<h2>ผลการดำเนินงานของกรุงเทพประกันภัย งวด 9 เดือนของปี 2566 มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 21,981.5 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 12.7 มีกำไรสุทธิ 2,546.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 217.3 บอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 3.75 บาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 (ก.ค.-ก.ย.) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 8,112.9 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.5 มีผลกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 554.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 76.8 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิจากการรับประกันภัย 313.4 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทฯ มีกำไรจากการลงทุนสุทธิ 448.5 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 705.6 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 36.43 และมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 1,002.7 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.6 โดยเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 856.1 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 8.04 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิ 981.7 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิลดลงร้อยละ 12.8&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2566 (ม.ค.-ก.ย.) บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 21,981.5 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 มีผลกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 1,619.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 123.1 มีกำไรจากการลงทุนสุทธิ 1,140.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 76.16 และมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 2,759.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 224.4&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 2,546.1 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 23.91 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขาดทุนสุทธิ 2,170.2 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 217.3&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ซึ่งได้ประชุมเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 มีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ปี 2566 แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 3.75 บาท ในวันที่ 8 ธันวาคม 2566&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจบนพื้นฐานของการกำกับดูเเลกิจการที่ดี โปร่งใสและเป็นธรรม ปรับตัวให้เท่าทันทุกสถานการณ์และบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง พร้อมมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่หลากหลาย เหมาะสมกับความเสี่ยงและการใช้ชีวิตของผู้บริโภคยุคใหม่ ยกระดับคุณภาพการบริการและเพิ่มการเข้าถึงในทุกช่องทาง สร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมถึงขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืนในทุกมิติ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเเละสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ ด้วยความแข็งแกร่งด้านเงินทุน เงินกองทุน และสินทรัพย์ที่มั่นคง โดยมุ่งมั่นสร้างประโยชน์สูงสุดต่อลูกค้า คู่ค้า ผู้ถือหุ้น เเละผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทฯ ทุกกลุ่ม ตามปรัชญาการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาลที่ยึดมั่นมาตลอดระยะเวลากว่า 76 ปี เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/kbank-the-great-wealth-transfer" alt="KBank Private Banking แนะรับมือปรากฎการณ์ส่งต่อทรัพย์สินครั้งใหญ่">KBank Private Banking แนะรับมือปรากฎการณ์ส่งต่อทรัพย์สินครั้งใหญ่</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

BKI โตแข็งแกร่ง ทำกำไรงวด 9 เดือน ปี 2566 พุ่ง 2,546.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 217.3%

<h2>ผู้ถือกรมธรรม์เก้าในสิบราย (93%) ยินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มเติมกับบริษัทประกันภัย เพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ รวมถึงบริการที่มีความเฉพาะตัวมากขึ้น ความคุ้มค่ากับเงินที่จ่าย เบี้ยประกันไม่แพง และความไว้วางใจในแบรนด์ ยังคงเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อประกันภัยมากที่สุด</h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการสำรวจตลาดประกันภัยไทยประจำปี 2566 ของแคปโค (Capco) พบว่า ผู้ถือกรมธรรม์ที่ร่วมตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ยินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มเติมกับบริษัทประกันภัย เพื่อให้ได้รับบริการที่มีความเฉพาะตัวมากขึ้น (56%) เพื่อปรับปรุงขั้นตอนการเรียกร้องค่าสินไหม (52%) และเพื่อสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ผลการสำรวจล่าสุดนี้แสดงให้เห็นถึงโอกาสอย่างชัดเจนหากบริษัทประกันภัยนำข้อมูลและการวิเคราะห์ไปใช้ปรับแต่งผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงตามความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจพบว่า ผู้ถือกรมธรรม์ในประเทศไทยหลายรายจากจำนวน 1,000 รายที่ร่วมตอบแบบสำรวจ อาจเลือกวิธีการใดวิธีการหนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่งวิธี ในการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การตรวจสุขภาพและทดสอบสมรรถภาพ (46%) สมาร์ทวอชและอุปกรณ์สวมใส่ไร้สายอื่น ๆ (44%) ข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย (43%) และอุปกรณ์อัจฉริยะในบ้าน (33%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทยที่ยินดีแบ่งปันข้อมูลบนโซเชียลมีเดียนั้นสูงที่สุดในตลาดเอเชียแปซิฟิก 5 ตลาดที่เป็นส่วนหนึ่งของรายงานการสำรวจตลาดประกันภัยทั่วโลกประจำปี 2566 ของแคปโค ซึ่งผลสำรวจในข้อนี้เน้นย้ำให้เห็นถึงบทบาทของประเทศไทยในฐานะผู้บ่มเพาะนวัตกรรมดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ในการซื้อประกันภัยนั้น ผู้ถือกรมธรรม์ในประเทศไทยยังคงตัดสินใจโดยพิจารณาจากปัจจัยเดิม ๆ โดยเฉพาะความคุ้มค่ากับเงินที่จ่าย (52%) เบี้ยประกันราคาไม่แพง (38%) และความไว้วางใจในแบรนด์ (37%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจของแคปโคในประเทศไทยได้จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างผู้ถือกรมธรรม์ที่มีอายุระหว่าง 18-65 ปี เพื่อรวบรวมความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อการประกันภัยและบริษัทประกันภัย รวมถึงช่องทางในการเลือกซื้อประกัน ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อประกันภัย มุมมองเกี่ยวกับขั้นตอนการเรียกร้องค่าสินไหมและแอปประกันภัย ความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการที่เหมาะกับแต่ละบุคคล และความยินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานที่เกี่ยวข้องเน้นย้ำให้เห็นถึงแนวโน้มนวัตกรรมที่สำคัญ พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางสำหรับบริษัทประกันภัยที่ต้องการคว้าโอกาส อาทิ ประสบการณ์ที่แตกต่างกันของลูกค้า ผลิตภัณฑ์ที่ปรับให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละรายมากขึ้น และการปรับปรุงการเสนอขายผลิตภัณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้อง (cross-selling) ซึ่งคำแนะนำเหล่านี้ได้มาจากมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการยินยอมเปิดเผยข้อมูลในรายงานวิจัยผู้บริโภคของแคปโค&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แลนซ์ เลวี (Lance Levy) ซีอีโอของแคปโค กล่าวว่า "ธุรกิจประกันภัยของประเทศไทยกำลังเติบโต และปริมาณข้อมูลที่บริษัทประกันเก็บรวบรวมนั้นมีแนวโน้มเติบโตเร็วยิ่งกว่า ผลการสำรวจของเราแสดงให้เห็นว่า ผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยจำนวนมากยินดีที่จะแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลจากโซเชียลมีเดียและแหล่งข้อมูลอื่น ๆ เพื่อแลกกับผลิตภัณฑ์และบริการที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น ชุดข้อมูลที่ปรับปรุงแล้วเหล่านั้น เมื่อรวมกับการจัดการข้อมูลในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมและเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ จะช่วยให้บริษัทประกันภัยของไทยได้รับข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ ที่มีคุณค่าเกี่ยวกับความต้องการ พฤติกรรม และบัญชีความเสี่ยงของลูกค้า"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นิกกี้ ยศวดี หงส์ชุมแพ Managing Principal บริษัท แคปโค ประเทศไทย กล่าวว่า "การที่ผู้ถือกรมธรรม์ยินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มเติมถือเป็นโอกาสที่ชัดเจนสำหรับบริษัทประกันภัย แต่ผู้ให้บริการก็จะต้องมีการจัดการข้อมูลและการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความไว้วางใจของลูกค้าเอาไว้ให้ได้ บริษัทประกันภัยที่สามารถทำเช่นนี้ได้ จะต้องสามารถให้คำแนะนำแก่ลูกค้าด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนและตรงตามความต้องการของลูกค้ามากขึ้น ขณะเดียวกันก็สามารถเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม พร้อมทั้งตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการสำรวจที่สำคัญอื่น ๆ ในรายงานของแคปโค ประเทศไทย ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้ตอบแบบสอบถามมีความพึงพอใจอย่างมากต่อผลิตภัณฑ์ประกันภัยประเภทต่าง ๆ ที่ตรงตามความต้องการเฉพาะบุคคลมากขึ้น อาทิ ประกันชดเชยรายได้ ประกันสุขภาพ และประกันชีวิต &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;· มากกว่าสามในสี่ (83%) ของผู้ถือกรมธรรม์ชดเชยรายได้ กล่าวว่า พวกเขาต้องการอย่างยิ่ง (53%) หรือต้องการให้กรมธรรม์มีความเฉพาะตัวมากขึ้น (30%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้ถือกรมธรรม์มีแรงจูงใจที่แตกต่างกันในการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มเติม &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;· นอกจากผู้ตอบแบบสอบถาม 56% ที่กำลังมองหาบริการที่เฉพาะตัวมากขึ้นแล้ว 52% ยอมแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อแลกกับการปรับปรุงขั้นตอนการเรียกร้องค่าสินไหม 47% ต้องการให้มีการปรับปรุงขั้นตอนการยืนยันตัวตน และ 46% ต้องการเบี้ยประกันที่ถูกลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (90%) ที่เคลมประกันได้รู้สึกพอใจกับขั้นตอนการเรียกร้องค่าสินไหม โดย 41% ในจำนวนนี้ ระบุว่า "พอใจอย่างมาก"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;· ในบรรดาผู้ที่ระบุว่าไม่พอใจนั้น ปัญหาหลักคือบริษัทประกันตอบสนองล่าช้า และการที่ต้องจัดการกับเอกสารมากเกินไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้ถือกรมธรรม์ใช้แอปประกันภัยเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ นอกเหนือจากการจัดการกรมธรรม์ โดย 90% ใช้แอปเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;· เหตุผลอื่น ๆ ในการใช้แอป ได้แก่ การเข้าถึงคำแนะนำเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ (83% ของผู้ใช้แอป) และการซื้อผลิตภัณฑ์เสริม (72%) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ ในแอปเป็นที่สนใจของผู้ใช้เหล่านี้ โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งข้อมูลด้านสุขภาพออนไลน์ (49%) และการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ (33%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;· การติดตามและคำแนะนำในการขับขี่อย่างปลอดภัย (33%) การติดตามและวิเคราะห์โภชนาการ (32%) และการตรวจสอบความปลอดภัยในบ้าน (29%) เป็นฟีเจอร์ที่ได้รับความสนใจเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;· ผู้ใหญ่วัยกลางคน (อายุ 35-54 ปี) มีแนวโน้มที่จะสนใจฟีเจอร์การติดตามโภชนาการมากกว่าผู้สูงอายุ (55-65 ปี) ในอัตรา 37% เทียบกับ 24%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สามารถดาวน์โหลดผลการสำรวจตลาดประกันภัยไทยประจำปี 2566 ของแคปโคได้ที่นี่ นอกจากนี้ยังมีรายงานธุรกิจประกันภัยของประเทศอื่น ๆ และจะมีการเผยแพร่รายงานอีกหลายตลาดตามมาในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า การสำรวจตลาดประกันภัยทั่วโลกปีล่าสุดของแคปโคจัดทำขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2566 และรวบรวมคำตอบจากผู้ถือกรมธรรม์อายุ 18-65 ปี จำนวน 13,750 ราย ทั่วประเทศไทย สิงคโปร์ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เขตเศรษฐกิจอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (ยกเว้นฮ่องกง) มาเลเซีย สหราชอาณาจักร สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี เบลเยียม โปแลนด์ อิตาลี สหรัฐอเมริกา แคนาดา และบราซิล &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/thaifight-hotel-%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A5-creative-excellence-awards" alt="THAI FIGHT HOTEL นำอัตลักษณ์มวยไทย คว้ารางวัล Creative Excellence Awards">THAI FIGHT HOTEL นำอัตลักษณ์มวยไทย คว้ารางวัล Creative Excellence Awards</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​​​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>&nbsp;&nbsp;​

ผลสำรวจตลาดประกันภัยไทย ปี 66 ชี้ลูกค้ายินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้ได้รับผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์มากขึ้น

<h2>บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ เคพีไอ (KPI) บริษัทประกันวินาศภัยในเครือธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมเดินหน้าต่อยอดธุรกิจในปี 2564 วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เน้นพัฒนาศักยภาพบุคลากร พัฒนาแผนผลิตภัณฑ์ใหม่พร้อมผสานเทคโนโลยีที่เหมาะสมให้ปรับเข้ากับการทำงานในยุคดิจิทัล ชูสามกลยุทธ์ปรับแนวคิดการดำเนินธุรกิจ ตั้งเป้าโตสองเท่าภายในปี 2567</h2>
พงษ์ภาณุ ดำรงศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ธุรกิจล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในรอบปีที่ผ่านมา ทำให้มีผลต่อความต้องการแบบใหม่ๆ ของผู้บริโภคเกิดขึ้น เคพีไอ จึงเห็นโอกาสและให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า ความต้องการบวกกับไลฟ์สไตล์ในยุคปัจจุบัน

รวมถึงการนำระบบเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาปรับปรุงกระบวนการทำงานให้เป็นรูปแบบดิจิทัลมากที่สุด และการให้ความสำคัญกับบุคลากรในการขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นไปตามแผน ด้วยการพัฒนาทักษะความรู้ ความสามารถของบุคลากรในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยี การนำมาใช้ การพัฒนาทางความคิดสร้างสรรค์ และอื่นๆ ที่จะส่งผลในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าและคู่ค้าให้ดีที่สุด”

ด้วยบทบาทของบริษัทประกันภัยที่พร้อมจะเป็นที่ปรึกษาที่ดี ในการสร้างความมั่นคงและคุณภาพชีวิตแบบยั่งยืน ในปี 2564 นี้ เคพีไอ พร้อมต่อยอดการดำเนินธุรกิจด้วยสามกลยุทธ์หลัก ที่นำมาใช้พัฒนาแบบองค์รวม ทั้งในด้านบุคลากร การออกแบบผลิตภัณฑ์เฉพาะบุคคล และการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ในการพัฒนาขั้นตอนการทำงาน เพื่อสร้างประสบการณ์การให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว และราบรื่นที่สุดให้แก่ลูกค้าในยุคปัจจุบัน

“การลงทุนในด้านเทคโนโลยีถือเป็นการยกระดับการให้บริการที่ตอบโจทย์ในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจงหรือเป็นไปตามความต้องการของแต่ะละบุคคลมากยิ่งขึ้น อาทิ การพัฒนาระบบการเคลมสินไหมรถยนต์ให้อยู่บนระบบฐานข้อมูลแบบดิจิทัล รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการออกแบบขั้นตอนและแก้ปัญหาการให้บริการให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ตลอดจนการนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคลให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มให้ได้มากที่สุด” พงษ์ภาณุ กล่าวเสริม

<figure><img class="wp-image-42917" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/พงษ์ภาณุ-ดำรงศิริ_002.jpg" alt="" width="600" height="320" /><figcaption> พงษ์ภาณุ ดำรงศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

ล่าสุด เคพีไอ ได้มีการปรับรูปแบบการออกผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน โดยเน้นเรื่องความต้องการแบบเฉพาะ อาทิ การคิดค้นผลิตภัณฑ์สำหรับธุรกิจ SME Online ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงวัย อย่าง “แผนประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 แบบพิเศษ รุ่นใหญ่ ใจเก๋า” เพื่อสนับสนุนให้ผู้สูงวัยมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองและพร้อมที่จะออกไปใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

เพราะแผนประกันภัยรถยนต์ “รุ่นใหญ่ ใจเก๋า” พร้อมดูแลให้ด้วยบริการเสริมพิเศษบริการอุบัติเหตุและสุขภาพ การโจรกรรมทรัพย์สิน บริการให้คำปรึกษาทางการแพทย์ Telemedicine และบริการเสริมพิเศษอื่นๆ อาทิ บริการรถยกฉุกเฉิน  บริการรถพยาบาลนำส่งผู้ขับขี่สูงวัยจากจุดเกิดเหตุถึงโรงพยาบาล  บริการขับรถรับ-ส่งอู่ซ่อมตามประสงค์ เป็นต้น  นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปจากการนำระบบหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในการทำงานเกี่ยวกับไซเบอร์ เป็นต้น

เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันและก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัลตามนโยบายของรัฐบาล เคพีไอ ได้มีการนำเทคโนโลยีใหม่มาพัฒนาเพื่อปรับกับระบบการทำงานในแต่ละขั้นตอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อาทิ การเก็บข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้สะดวกรวดเร็วในการให้บริการ การจัดการข้อมูลและนำข้อมูลมาวิเคราะห์ต่อยอดทางธุรกิจ โดยระบบใหม่นี้จะพร้อมใช้งานในเดือนพฤษภาคม 2564 ที่จะถึงนี้

เคพีไอ ในฐานะบริษัทประกันวินาศภัยสัญชาติไทย ที่ได้ทำหน้าที่ดูแลและให้ความคุ้มครองกับลูกค้าชาวไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 68 ปี ล่าสุดข้อมูลอ้างอิงสรุป ณ วันที่ 30 กันยายน 2563  ได้เผยให้เห็นว่าบริษัทมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 11,109 ล้านบาท และรายได้ในส่วนของเบี้ยประกันรับรวมที่ 2,916 ล้านบาท

“เคพีไอ ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ที่ก่อให้เกิดทั้งความท้าทายและโอกาสในธุรกิจประกันวินาศภัยที่ยังเติบโตได้อีกมาก และด้วยผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจอันเกิดจากโควิด-19 ก็ถือได้ว่าเป็นโจทย์ใหม่ที่ท้าทายบริษัทฯ มากที่จะต้องเร่งปรับตัวและปรับกลยุทธ์อยู่ตลอดเวลา เพื่อพร้อมแข่งขันในตลาดที่มีความหลากหลายและมีสิ่งใหม่ๆ เทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับองค์กรปรับพนักงานของเรา ให้พร้อมกับการเปลี่ยนผ่านให้เข้าถึงสังคมในยุคนี้ให้เร็วที่สุด

การนำเอานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจองค์กรและบุคลากร รวมถึงการพัฒนาช่องทางการขาย การพัฒนาความสัมพันธ์กับคู่ค้าใหม่ๆ การพร้อมรับมือกับสังคมผู้สูงวัย รวมถึงการให้ความสำคัญกับสังคมสิ่งแวดล้อมและการจัดการอย่างยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดนี้ เคพีไอ ได้ให้ความสำคัญและนำมาร่วมในการตีโจทย์ เพื่อกำหนดแนวทางในการขยายธุรกิจ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อจากนี้” พงษ์ภาณุ กล่าวสรุป

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/asia/hiroshi-mikitani-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B3-rakuten.html">Hiroshi Mikitani เดินหน้านำ Rakuten ผนึกกำลัง Japan Post, Tencent และ Walmart</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กรุงไทยพานิชประกันภัย ดัน 3 กลยุทธ์ ปรับแนวคิดการดำเนินธุรกิจ

<h2>“Benix" โบรกเกอร์ยุคดิจิทัลแห่งแรกในไทย จากการจับมือกันระหว่าง Humanica และ Fuchsia Venture Capital รวมทั้ง CXA Group ผสมผสานจุดแข็งด้านทรัพยากรบุคคล ธุรกิจนายหน้าประกันภัย และอินชัวร์เทคเอเชียก่อตั้งโบรกเกอร์แนวใหม่เป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ Employee Benefits และ Wellness ครบวงจรในยุคดิจิทัล</h2>
ปราโมทย์ ศักดิ์กำจร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบนนิกซ์ จำกัด เปิดเผยถึงการผนึกความร่วมมือครั้งสำคัญของบริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีเอ็กซ์เอ กรุ๊ป และ บริษัท ฟูเชีย เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด ซึ่งร่วมลงทุน 50 ล้านบาทก่อตั้ง บริษัท เบนนิกซ์ จำกัด (Benix) โบรกเกอร์แนวใหม่ยุคดิจิทัล บริการแพลตฟอร์มล้ำสมัยเพื่อบริหารจัดการสวัสดิการพนักงาน ผสานอีโคซิสเต็มต่างๆ เช่น การดูแลสุขภาพ Wellness รวมถึงคอมมูนิตี้ที่มีประโยชน์สำหรับพนักงานอย่างครบวงจร

"เบนนิกซ์ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือธุรกิจและกิจการของคนไทยให้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในฐานะองค์กรที่ดูแลและใส่ใจพนักงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพ ด้วยบริการรูปแบบใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์ ครอบคลุมตั้งแต่การช่วยจัดการต้นทุนด้านสวัสดิการพนักงานที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีจนถึงการนำสวัสดิการแบบยืดหยุ่นเข้ามาใช้ เพื่อให้พนักงานมีทางเลือกมากขึ้น โดยสิ่งสำคัญคือ การให้สวัสดิการที่ตอบโจทย์กับความต้องการของพนักงานที่หลากหลาย นอกเหนือจากสวัสดิการที่องค์กรจัดให้โดยตรงแล้ว เบนนิกซ์ยังคิดค้นผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่สามารถปรับให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล ผลิตภัณฑ์และบริการด้าน Wellness ที่ช่วยให้พนักงานไปถึงเป้าหมายในการดำเนินชีวิต ทั้งด้านสุขภาพและการเงินได้ในระยะยาว"

<figure><img class="wp-image-37629 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/Benix09-002.jpg" alt="" width="600" height="400" /><figcaption> ปราโมทย์ ศักดิ์กำจร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบนนิกซ์ จำกัด</figcaption></figure>

สำหรับความแตกต่างของเบนนิกซ์อยู่ที่การยกระดับการบริหารจัดการด้านสวัสดิการพนักงาน ด้วยบริการที่ครอบคลุมครบถ้วน นับตั้งแต่การช่วยค้นหาแบบประกันกลุ่มที่เหมาะสม การให้คำปรึกษา สวัสดิการแบบยืดหยุ่นหรือ Flexi Benefit การเชื่อมต่อกับอีโคซิสเต็มด้านสุขภาพ การประกันภัย และการเงินที่ให้ประโยชน์กับพนักงาน รวมถึงการบริหารจัดการสำหรับบริษัทที่ทำ self-insured

ขณะที่เบนนิกซ์คำนึงถึงปัจจัยหลัก ได้แก่ พนักงานสามารถเข้าถึงบริการได้สะดวก และฝ่ายทรัพยากรบุคคลหรือ HR สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ผสมผสานและเพิ่มประสิทธิภาพในทุกการบริการ เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่สะดวกรวดเร็วและตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละบุคคลได้อย่างลงตัว พร้อมทั้งทำให้เรื่องสวัสดิการที่มีความซับซ้อนเป็นเรื่องง่ายและสะดวกขึ้นสำหรับองค์กร เพื่อให้องค์กรสามารถให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานอย่างเต็มที่

“นอกจากนี้ เรายังนำการวิเคราะห์ข้อมูลมาช่วยให้นายจ้างสามารถบริหารงานด้าน HR ได้ดีขึ้น โดยมีต้นทุนที่ต่ำลง ดังนั้น เบนนิกซ์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงกับระบบ HR  จึงสามารถให้บริการด้านสวัสดิการของพนักงานได้อย่างครบถ้วน ทั้งการประกันกลุ่ม สวัสดิการแบบยืดหยุ่น การบริหารจัดการสวัสดิการสำหรับบริษัทที่ทำ self-insured  การตรวจสุขภาพ Wellness Portal และร้านค้าออนไลน์ ซึ่งตอบโจทย์ครบในที่เดียว”

<figure><img class="wp-image-37633 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/สุนทร-เด่นธรรม-001.jpg" alt="" width="400" height="500" /><figcaption> สุนทร เด่นธรรม ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

ด้าน สุนทร เด่นธรรม ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการโซลูชั่น HR และ ERP ชั้นนำของไทยย้ำถึงการรวมความแข็งแกร่งและจุดเด่นของทั้ง 3 บริษัท ประกอบด้วย ฮิวแมนิก้า ผู้ให้บริการโซลูชั่น HR ที่ใหญ่ที่สุดของไทย ซีเอ็กซ์เอ กรุ๊ป อินชัวร์เทคที่ประสบความสำเร็จในประเทศสิงคโปร์ จีน และประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชีย และ ฟูเชีย เวนเจอร์ แคปิทัล บริษัทร่วมลงทุนของเมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง ที่มีความรู้ ความชำนาญ และเป็นผู้นำในเครือข่ายธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย

"เราทุกคนตระหนักดีถึงปัญหาที่ทุกคนกำลังเผชิญ จากการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมและความท้าทายที่เกิดจากการดิสรัปต์ของธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงการเกิดขึ้นของโรคระบาดที่ไม่มีใครคาดคิด อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าพนักงานคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดที่จะนำพาองค์กรให้ก้าวผ่านปัญหาอุปสรรคต่างๆ เหล่านี้ไปได้ ซึ่งสวัสดิการและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้พนักงานมีความสุขและทุ่มเทที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตไปข้างหน้า เรามั่นใจว่าเบนนิกซ์ จะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ผ่านนวัตกรรมและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก” สุนทร กล่าว

<figure><img class="wp-image-37632 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/สาระ-ล่ำซำ-001.jpg" alt="" width="400" height="500" /><figcaption> สาระ ล่ำซำ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด และกรรมการ บริษัท ฟูเชีย เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด</figcaption></figure>

ขณะที่ สาระ ล่ำซำ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด และกรรมการ บริษัท ฟูเชีย เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด แสดงความมั่นใจในโอกาสและศักยภาพการเติบโตของธุรกิจด้านสุขภาพและประกันภัยในประเทศ ซึ่งความร่วมมือที่เกิดขึ้นดังกล่าวจะช่วยให้เกิดการสร้างสรรค์คุณค่าที่เหนือกว่าผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีอยู่ในปัจจุบัน ด้วยจุดเด่นบริการ digital-first เพื่อส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้ผู้ใช้บริการและทำให้องค์กรเห็นถึงประโยชน์จากการลงทุนด้านสวัสดิการพนักงานได้อย่างชัดเจน ทั้งยังสามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงานเพิ่มมากขึ้น

“สิ่งเหล่านี้จะช่วยผลักดันให้บริษัทประกันภัยและสถาบันการเงินสามารถพัฒนา ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ เพื่อส่งเสริมให้นายจ้างและพนักงานดูแลสุขภาพและปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้นผ่าน Incentive ต่างๆ นอกจากนี้ เบนนิกซ์ยังเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ใช้งาน และนำเสนอโซลูชั่นให้แก่องค์กร ซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย” สาระกล่าวถึงประโยชน์โดยรวมที่จะเกิดขึ้น

<img class="alignnone size-full wp-image-37630" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/Benix11-01.jpg" alt="" width="600" height="400" />

ด้าน โรซาลีน เชา คู ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีเอ็กซ์เอ กรุ๊ป ผู้บุกเบิกและผู้นำในด้านอินชัวร์เทคของเอเชีย ประกาศความพร้อมนำความเชี่ยวชาญด้านแพลตฟอร์มการบริหารจัดการสวัสดิการพนักงานร่วมมือกับพันธมิตรประเทศไทยเพื่อต่อยอดแพลตฟอร์มและนำเสนอบริการนวัตกรรมที่ครอบคลุมด้านการดูแลสุขภาพทั้งหมด ตั้งแต่การประกันภัย โทรเวชกรรม หรือ Telemedicine ระบบ e-pharmacy การให้คำปรึกษาโดยสถานพยาบาล ทันตกรรม การตรวจสุขภาพ ไปจนถึงบริการทางด้าน Wellness เช่น คลาสฟิตเนส และร้านอาหารเพื่อสุขภาพ

"นอกจากนั้น ยังสามารถนำข้อมูลขององค์กรด้านการดูแลสุขภาพและการรักษาโรค มาวิเคราะห์ต้นทุนและการดูแลสุขภาพให้ดีขึ้น เพราะเราต้องการให้พนักงานพึงพอใจกับสวัสดิการที่ได้รับจากองค์กร เรามั่นใจว่า ผู้ใช้บริการในไทยจะให้การตอบรับกับเบนนิกซ์เป็นอย่างดี” โรซาลีน ย้ำความมั่นใจในความร่วมมือสร้างความแตกต่างและการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต

&nbsp;

“Benix" โบรกเกอร์ยุคดิจิทัลแห่งแรกในไทย

<h2>“กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์” ผู้ให้บริการนายหน้าประกันภัย ภายใต้บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) แก้โจทย์ผู้บริโภค ชูกลยุทธ์เปรียบเทียบราคาออนไลน์ก่อนตัดสินใจ ตั้งเป้าเฟสแรกในปีนี้เฉพาะเบี้ยประกันภัยยานยนต์ผ่านออนไลน์ 200 ล้านบาท</h2>
ไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานกรรมการ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) กล่าว “ในยุคปัจจุบันดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเลือกซื้อสินค้าอย่างปฏิเสธไม่ได้ ผลิตภัณฑ์ประกันภัยก็เช่นเดียวกัน จากการสำรวจของ Bain &amp; Company ผู้ใช้ประกันวินาศภัยในประเทศไทยประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ หาข้อมูลผลิตภัณฑ์ผ่านอุปกรณ์มือถือและลูกค้ายังมักพบกับความลังเลเมื่อเลือกซื้อประกันภัยยานยนต์ออนไลน์ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ไม่ตรงตามงบประมาณที่กำหนด และมีตัวเลือกค่อนข้างจำกัด”

จึงเป็นที่มาของการเปิดตัวเว็บไซต์กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ เพื่อให้เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ให้ผู้ใช้รถได้เลือกซื้อประกันภัยตามงบประมาณที่กำหนดจากผลิตภัณฑ์ของพันธมิตรบริษัทประกันภัยซึ่งเราจับมือแล้ว 8 ราย  โดยผลิตภัณฑ์ประกันภัยครอบคลุมทั้งรถยนต์ และรถบิ๊ก ไบค์ สำหรับประกันชั้นหนึ่งสามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์นี้ได้ทันที ในขณะที่ประกันภัยรถยนต์ในชั้นอื่นๆ ยังจำเป็นต้องติดเรื่องการตรวจสอบสภาพรถยนต์

“สำหรับ เว็บไซต์ กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ เราตั้งเป้าผู้เข้าชมเว็บไซต์ 3 แสนรายต่อเดือน และตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยยานยนต์ผ่านช่องทางออนไลน์รวม 200 ล้านบาทภายในปีแรก โดยในเฟสแรกเว็บไซต์ของเราเสนอขายประกันภัยรถยนต์เพียงผลิตภัณฑ์เดียว เพื่อเป็นการทดสอบรวมถึงพัฒนาการขายออนไลน์และฟังผลตอบรับจากการผู้บริโภค และเราตั้งเป้าหมายครองส่วนแบ่งราว 5 เปอร์เซ็นต์ ของตลาดโบรเกอร์ประกันออนไลน์” ไพโรจน์ กล่าวและเสริมว่า สำหรับประกันภัยด้านอื่นๆ อาทิ วินาศภัยหรือการประกันชีวิตเราเตรียมเปิดตัวราวต้นปี 2563 และปลายปีตามลำดับ ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งสองรูปแบบมีเสนอขายที่สาขาทั้ง 52 สาขาและคอลเซ็นเตอร์

<figure><img class="wp-image-9174 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/ไพโรจน์-ชื่นครุท-02.jpg" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> ไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานกรรมการ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) กล่าว</figcaption></figure>

สำหรับเป้าเบี้ยประกันทั้งหมดของกรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ ในปี 2562 มูลค่า 8 พันล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยประกันยานยนต์ 3 พันล้านบาท และประกันอื่นๆ 5 พันล้านบาท โดยครึ่งปีที่ผ่านมากรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ ทำยอดเบี้ยประกันรวมราว 4 พันล้านบาท โดยเป็นอานิสงส์จากยอดสินเชื่อยานยนต์ที่เติบโตจากงานมอเตอร์โชว์และการจัดโปรโมชั่นต่างๆ โดยเฉพาะใน 4 เดือนแรกของปี 2562

ด้านภาพรวม บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด ไพโรจน์ เผยว่า ยอดสินเชื่อใหม่ปี 2561 มีมูลค่า 1.93 แสนล้านบาท และตั้งเป้าปี 2562 เติบโต 3 เปอร์เซ็นต์ หรือมีมูลค่า 1.99 แสนล้านบาท ในขณะที่ ยอดสินเชื่อคงค้างปี 2561 มีมูลค่า 3.68 แสนล้านบาท และตั้งเป้าปี 2562 เติบโต 9 เปอร์เซ็นต์ หรือมีมูลค่า 4 แสนล้านบาท

“ด้วยความมุ่งมั่นในการตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ใช้รถ เราได้มองหาโอกาสในการสร้างสรรค์บริการที่ครอบคลุมมิติด้านไลฟ์สไตล์การใช้รถอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เราเล็งเห็นว่า นอกเหนือไปจากสินเชื่อยานยนต์แล้ว ประกันภัยยานยนต์เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับผู้ใช้รถ และบริษัทฯ สามารถเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้รถได้ดียิ่งขึ้น พร้อมเดินหน้ารุกตลาดบริการประกันภัยอย่างจริงจัง ผ่านกรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์”

กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ สร้างแพลตฟอร์มรุกประกันภัยดิจิทัล

<h2 class="p3">ข้างมหาเศรษฐีหน้าใหม่ที่เข้าอันดับใหม่รวม 5 คน อาทิ ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ จากอีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป และนายแพทย์กำพล พลัสสินทร์ ที่โรงพยาบาลในเครือจุฬารัตน์ของเขาให้บริการรักษาคนไข้ในเขตอุตสาหกรรมของประเทศ</h2>
เรื่อง: Naazneen Karmali เรียบเรียง: คมสัน แกมทอง รายงานเพิ่มเติมโดย: Megha Bahree, Caroline Chen, Sean Kilachand, Suzanne Nam, Phisanu Phromchanya and Anuradha Raghunanthan
<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/759f59461f9b6df5d80bb2a965f824f4.png" alt="" />


&nbsp;

อันดับ28
ตระกูลวิริยะพันธุ์
3.034 หมื่นล้านบาท
ธุรกิจ: ประกันภัย

ครอบครัวเบื้องหลังบริษัท วิริยะประกันภัย บริษัทรับประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในไทย และเชี่ยวชาญในการขายประกันภัยรถยนต์ติดอันดับของเราเป็นครั้งแรก เล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ล่วงลับ ก่อตั้งกลุ่มบริษัทธนบุรีพานิช เมื่อปี 2484 เป็นบริษัทการค้าระหว่างประเทศที่ได้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อต่างๆอาทิ Mercedes-Benz ภายใต้การบริหารงานของพากเพียร ลูกชายคนโตที่เสียชีวิตแล้วกลุ่มบริษัทได้เริ่มประกอบรถบรรทุก ก่อนหันไปจับธุรกิจประกันภัยในปี 2490 โดยรับประกันวินาศภัยและประกันภัยขนส่งสินค้าทางทะเลต่อมาได้ขยายงานครอบคลุมธุรกิจประกันรถยนต์ หลังการเสียชีวิตของเล็กในปี 2543 มีการแบ่งมรดกแก่ลูกๆ ทั้งหกคน

&nbsp;

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f79f2fbb90d1cdece82ba04d4f34f5d2.png" alt="" />

&nbsp;

อันดับ31
ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์
2.552 หมื่นล้านบาท
ธุรกิจ: พลาสติก
64 ปี

พี่ชายคนโตจากพี่น้องทั้งหมด 10 คนเริ่มช่วยงานธุรกิจยางของครอบครัวตั้งแต่ในวัยหนุ่ม และก่อร่างสร้างอาณาจักรเครือธุรกิจอีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จนเติบโตสร้างรายได้ปีละกว่า 194 ล้านเหรียญ บริษัทเป็นผู้ผลิตยางสังเคราะห์สำหรับอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถยนต์และบรรจุภัณฑ์พลาสติกชั้นนำของประเทศราคาหุ้นของบริษัทพุ่งขึ้นมากกว่า 2 เท่านับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์และหนุนให้เขาติดอันดับบุคคลร่ำรวยที่สุดของประเทศเป็นครั้งแรก

&nbsp;

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/135402d8973663664a810a16f0157693.png" alt="" />


อันดับ39
กำพล พลัสสินทร์
2.016 หมื่นล้านบาท
ธุรกิจ: โรงพยาบาล
65 ปี/สมรส/บุตร 2 คน

เริ่มต้นจากโรงพยาบาลขนาดเล็กที่ตั้งขึ้นใจกลางเขตอุตสาหกรรมทางตะวันออกของกรุงเทพฯ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว นายแพทย์กำพลเดินหน้าพัฒนา บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์ซึ่งมีโรงพยาบาลในเครือ 7 แห่งและคลินิก 7 แห่งและได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ราคาหุ้นของโรงพยาบาลทะยานขึ้น 50% ในปีที่ผ่านมาส่งผลให้เขาติดอันดับมหาเศรษฐีไทยเป็นครั้งแรก รพ.จุฬารัตน์ยังเป็นบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งกลุ่ม Asia’s Best Under A Billion Companies ตามการจัดอันดับของ Forbes กำพลมุ่งหน้าขยายธุรกิจโดยได้เข้าซื้อโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในมูลค่า3.3 ล้านเหรียญเมื่อไม่นานมานี้

&nbsp;

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/655e005a80bfffa3ddd8f93bbaab395c.png" alt="" />


&nbsp;

อันดับ46
บัญชา องค์โฆษิต
1.767 หมื่นล้านบาท
ธุรกิจ: อิเล็กทรอนิกส์
64 ปี/สมรส/บุตร 3 คน

อดีตผู้บริหารบริษัทโฆษณาผู้ก่อตั้งบริษัท เคอีซี อีเลคโทรนิคส์ ผู้ผลิตและส่งออกแผ่นวงจรพิมพ์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ ติดอันดับของเราเป็นครั้งแรกในปีนี้ บริษัทที่เดิมมีชื่อว่าควงเจริญ อีเลคโทรนิคส์ ซึ่งตั้งตามชื่อพ่อของเขา ประสบภาวะวิกฤตในปี 2540 ก่อนจะฟื้นตัวในเวลาต่อมาปัจจุบันบริหารงานโดยพิธาน ลูกชายซึ่งเป็นบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยคอร์แนลล์ และรับตำแหน่ง CEO ตั้งแต่ปี 2556 เขาได้ขยายกำลังการผลิตจนส่งผลให้บริษัทมีรายได้และผลกำไรเพิ่มขึ้น บัญชารักการแล่นเรือเป็นชีวิตจิตใจและเพิ่งซื้อเรือยอชท์หรูสัญชาติอิตาเลียน Azimut

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/22fb759836267f3a56fd1bdb9aca1936.png" alt="" />

&nbsp;

อันดับ49
จุน วนวิทย์
1.481 หมื่นล้านบาท
ธุรกิจ: พัดลม
79 ปี/สมรส/บุตร 4 คน

&nbsp;

ผู้ก่อตั้งบริษัท ฮาตาริ อิเลคทริค เริ่มต้นจากร้านซ่อมพัดลม ก่อนจะได้สัญญาผลิตพัดลมให้กับแบรนด์ญี่ปุ่นหลายราย จากนั้นจึงเริ่มทำการผลิตภายใต้ตราสินค้าของตัวเองฮาตาริผลิตชิ้นส่วนร้อยละ 90 เอง โดยทำยอดขายพัดลมสำหรับใช้ในบ้านและอุตสาหกรรมในประเทศปีละ 8 ล้านเครื่อง จุนยังถือหุ้นส่วนน้อยของโฮมโปร ธุรกิจโฮมเซ็นเตอร์รายใหญ่ซึ่งมีอนันต์ อัศวโภคิน (อันดับที่ 26) บริหารกิจการอยู่

&nbsp;

&nbsp;

<hr />

<a href="http://goo.gl/C0BKxV">คลิ๊กอ่าน "50 อันดับมหาเศรษฐีไทย" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ June 2016</a>
<a href="http://goo.gl/C0BKxV"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/45c118021313fc065b87a4f7e8e1b670.png" alt="" width="240" height="318" /></a>

5 มหาเศรษฐีไทยหน้าใหม่ประจำ 2559 จาก Thailand's 50 Richest

<h2>ผกผัน คือคำที่ นวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เมืองไทยประกันภัย (MTI)  หรือ "มาดามแป้ง" ในวัย 49 ปี นิยามชีวิตของเธอนับแต่เริ่มบทสนทนากับ Forbes Thailand  </h2>
จุดเปลี่ยนที่นำนวลพรรณ กลับสู่เส้นทางธุรกิจประกัน จากการที่ภาครัฐกำหนดกฎเกณฑ์ให้บริษัทประกันชีวิตและวินาศภัยต้องแยกกันเป็นอิสระ รวมถึงการชักชวนและหว่านล้อมจากภูมิชาย ล่ำซำ รองประธานกรรมการ บมจ. เมืองไทยประกันภัย คุณอา ที่สนินสนม เมื่อ 15 ปีก่อน กระทั่งบริษัทควบรวมกิจการกับ บมจ.ภัทรประกันภัย

ในฐานะผู้บริหาร บมจ. เมืองไทยประกันภัย ปี 2554 คือปีแห่งความผกผันของนวลพรรณและธุรกิจประกันภัยอย่างแท้จริง กับเหตุการณ์ "มหาอุทกภัย’54" ที่ธุรกิจประกันภัยทุกแห่งเจอมาหนักยิ่ง และถือว่าหนักสุดสำหรับวงการและ บมจ. เมืองไทยประกันภัย ที่ขาดทุนกว่า 800 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายเรื่องค่าสินไหมทดแทนและการตั้งสำรอง

แม้หลายคนมองว่าธุรกิจประกันภัยกำลังเข้าสู่ช่วงขาลง หรือ sun set แต่นวลพรรณมองว่าคือ sun rise เพราะด้วยเหตุมหาอุทกภัยปี 2554 ทำให้มีผู้ตระหนักถึงความจำเป็นของการมีประกันภัยมากขึ้น “คนไม่ได้มองที่ราคาค่าเบี้ยต่ำอย่างเดียวแล้วแต่มองว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจะมีคนที่ protect จริงๆ มีส่วนทำให้ธุรกิจเราเติบโตดี” โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์พิเศษที่มีการตอบรับดีมาก เช่น การประกันภัยก่อการร้าย (สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่) ประกันภัยสินเชื่อทางการค้า ประกันภัยความรับผิดของกรรมการและเจ้าหน้าบริหารของบริษัท ฯลฯ

นอกจากบทบาทด้านธุรกิจประกันภัยแล้ว ปัจจุบัน "มาดามแป้ง" ยังคงเป็น ประธานกิตติมศักดิ์ บริษัท ซังออนอเร่ (กรุงเทพ) จำกัด นำเข้าและจำหน่ายสินค้า Hermes’ จากประเทศฝรั่งเศสที่เธอก่อตั้งเมื่อปี 2540 และบทบาทที่ผกผันและสร้างชื่อให้กับ มาดามแป้ง อย่างกว้างขวางในปัจจุบัน คือการพา ทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย ได้รับสิทธิ์เข้าแข่งขันฟุตบอลโลกหญิง 2015 ครั้งแรกในประวัติศาสตร์บอล(หญิง)ไทย ในฐานะผู้จัดการทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยและเป็นปีที่ 6 ที่ บมจ.เมืองไทยประกันภัย สนับสนุนฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย

สำหรับธุรกิจประกันภัย ปี 2557 ที่ผ่านมา บมจ. เมืองไทยประกันภัย มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ราว 17% สวนทางกับอัตราการเติบโตทั้งตลาดที่ 0%  โดยเป้าหมายหลักของ นวลพรรณ คือการพา MTI ไปให้ถึงการเป็นอันดับ 3 ของธุรกิจประกันภัย ให้สำเร็จ

&nbsp;

<hr />

<a href="http://goo.gl/APDH22">อ่าน ฉบับเต็ม “นวลพรรณ ล่ำซำ มุ่งพา MTI สู่ Top 3 ของ ประกันภัย” ได้กับ Forbes Thailandฉบับเดือน FEBRUARY 2015</a>

นวลพรรณ ล่ำซำ มุ่งพา MTI สู่ Top 3 ของ ประกันภัย

<div>
	สวัสดีปีใหม่จีนครับท่านผู้อ่าน&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ฉบับกุมภาพันธ์ 2558 เราต้อนรับปีแพะไม้เขียว ตามตำราโหราศาสตร์จีน ด้วยเรื่องราวของครอบครัว &ldquo;ชายชุดน้ำเงิน&rdquo; มาเป็นเรื่องเด่นประจำฉบับครับ &ldquo;ชายชุดน้ำเงิน&rdquo; เป็นคำแปลจากภาษาจีนของครอบครัว &ldquo;ล่ำซำ&rdquo; &nbsp;ซึ่งบรรพบุรุษต้นตระกูล คือ อึ้งเมี่ยวเหงี่ยน ผู้เป็นลูกคนที่ 3 ของครอบครัว และชอบใส่เสื้อสีน้ำเงิน ได้โดยสารเรือจากบ้านเกิดในจีนมาไทย ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มจากงานรับจ้างในร้านขายเหล้าไปจนเปิดร้านขายไม้เป็นของตัวเอง และรับสัมปทานทำไม้สัก จวบจนปัจจุบัน รุ่นที่ 5 ของ ครอบครัวชายชุดน้ำเงิน เกี่ยวพันอยู่กับธุรกิจที่หลากหลายใช้สีสันที่แตกต่างในแต่ละธุรกิจ เช่น เขียว ของ ธนาคารกสิกรไทย ไปจนถึง ชมพูบานเย็น ของ เมืองไทยประกันชีวิต และ ฟ้า ของเมืองไทยประกันภัย</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	เราเชิญครอบครัวของ โพธิพงษ์ ล่ำซำ &nbsp;คนรุ่นที่ 4 ของตระกูล ขึ้นมานำเสนอเป็นเรื่องเด่น จากสมาชิกครอบครัวล่ำซำหลายสาย เพราะชายวัยย่าง 81 ปีคนนี้คือ ผู้บุกเบิกและสร้างธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตให้เป็นที่ยอมรับในประเทศไทย เมื่อเขาวางมือ และส่งต่อไม้ให้ลูกชาย สาระ ดูแลเมืองไทยประกันชีวิต และลูกสาว นวลพรรณ ดูแลประกันภัย ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่สนุกสนาน ทันสมัย ล้ำหน้าคู่แข่ง บริษัททั้งสองก็เติบใหญ่ขึ้น แซงหน้าคู่แข่งหลายรายในอุตสาหกรรม&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ข้อคิดหนึ่งที่เราเรียนรู้จากครอบครัวนี้คือ โพธิพงษ์ผสานเรื่องงานและครอบครัวเข้าด้วยกันได้เป็นอย่างดี บ่อยครั้งเขาพาลูกๆไปทำงานต่างจังหวัด พบปะลูกค้าและพนักงานในช่วงวันหยุด ทำให้เรื่องราวของธุรกิจถูกถ่ายทอดผ่านสมาชิกรุ่นหลังอย่างเป็นธรรมชาติ ส่งผลให้คนหนึ่งเต็มใจรับไม้ต่อตั้งแต่ต้น คนหนึ่งมารับไม้ต่อในช่วงหลัง และอีกคนเดินตามความชอบของตัวเอง</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	นอกจากนี้ ความภูมิใจที่เราได้คือ การเป็นนิตยสารฉบับแรกที่ได้ลูกทั้ง 3 คนของโพธิพงษ์ มาขึ้นปกพร้อมกัน และได้ถ่ายทอดเรื่องราวความสำเร็จของ วรรณพร (ล่ำซำ) พรประภา ภูมิสถาปนิกหญิงเก่ง และลูกคนกลางของบ้านที่ไม่ปรากฏตัวผ่านสื่อมวลชนมากเท่าพี่สาวและน้องชายของเธอ มาไว้ในเล่มเดียวกัน</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	Cong Xi Fa Cai ขอให้ร่ำรวย รุ่งเรืองขึ้น ในปีแพะไม้เขียว ครับ 
	&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	นพพร วงศ์อนันต์</div>
<div>
	Editor-in-Chief</div>
<div>
	Forbes Thailand 
	 
	&nbsp;</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events