ทำไมประเทศไทยต้องบังคับใช้ประกันภัยรถยนต์แบบ ‘ระบุคนขับ’ เริ่มรถสันดาปป้ายแดงปีนี้ ใช้ทั้งระบบปี 69! - Forbes Thailand

ทำไมประเทศไทยต้องบังคับใช้ประกันภัยรถยนต์แบบ ‘ระบุคนขับ’ เริ่มรถสันดาปป้ายแดงปีนี้ ใช้ทั้งระบบปี 69!

ประกันภัยรถยนต์ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยบริหารความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนน อย่างน้อยก็มีความคุ้มครองทั้งตัวรถ ผู้ขับขี่ และความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ซึ่งกรมธรรม์ส่วนใหญ่ที่ขายในตลาดจะเป็นแบบที่ไม่ระบุผู้ขับขี่ ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิด ไม่ว่าผู้ขับขี่เป็นใครจะได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขของกรมธรรม์


    แต่หลังจากปี 2569 นี้ กรมธรรม์รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า และรถสันดาป ทั้งระบบจะเปลี่ยนเป็นแบบ ‘ระบุชื่อผู้ขับขี่’ เท่านั้น เรื่องนี้จะส่งผลต่อประชาชน และประเทศไทยอย่างไร

กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แบบ ‘ระบุชื่อผู้ขับขี่’ คืออะไร

    หลายคนที่เป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า อาจคุ้นเคยกับประกันภัยรถยนต์ที่ระบุชื่อผู้ขับขี่แล้ว เพราะเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เริ่มบังคับใช้กรมธรรม์รูปแบบนี้กับรถยนต์ไฟฟ้ามาก่อน ผ่านการ ‘กำหนดใช้แบบและข้อความกรมธรรม์ประกันภัยและพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ’ ขึ้นมา

    ทว่ากรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แบบที่ระบุชื่อผู้ขับขี่ ไม่ใช่เรื่องใหม่นัก เพราะเดิมหากมีการระบุชื่อผู้ขับขี่ อาจช่วยให้บริษัทประกันภัยพิจารณาความเสี่ยงได้มากขึ้น และอาจสามารถลดค่าเบี้ยประกันภัยฯ ลงได้

    โดยเบื้องต้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุและการเคลม (เรียกร้องสินไหมทดแทน) เช่น หากผู้ขับขี่มีชื่ออยู่ในกรมธรรม์จะได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ แต่หากผู้ขับขี่ไม่มีชื่ออยู่ในกรมธรรม์ อาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติมก่อนจะเคลมได้ เช่น มีค่าใช้จ่ายส่วนแรก เป็นต้น (แต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไของกรมธรรม์เช่นกัน)

    ขณะเดียวกัน กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แบบที่ระบุชื่อผู้ขับขี่ เป็นเรื่องที่บังคับใช้มาแล้วในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ สิงคโปร์ ไอร์แลนด์ ฯลฯ ดังนั้นนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ คปภ. และบริษัทประกันภัยต่างมองว่าต้องเริ่มใช้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ระบุชื่อผู้ขับขี่ในไทยแล้ว

    ส่งผลให้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ระบุชื่อผู้ขับขี่จะเริ่มใช้กับรถยนต์สันดาปที่จดทะเบียนใหม่ หรือรถป้ายแดง ซึ่งถ้าบริษัทประกันภัยไหนที่ยังไม่พร้อมด้านระบบ คปภ.จะอนุโลมให้เริ่มได้ถึง 31 พฤษภาคม 2568 แต่ข้อสำคัญคือ ข้อกำหนดนี้จะใช้กับรถยนต์สันดาปทั้งระบบของไทยในวันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป


ไทยถึงเวลาต้องเริ่มใช้ประกันภัยรถยนต์แบบระบุคนขับ ?

    การเริ่มบังคับใช้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ระบุชื่อผู้ขับขี่ แน่นอนว่าต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ คปภ. ซึ่ง ‘ชูฉัตร ประมูลผล’ เลขาธิการ คปภ. ได้เล่าถึงประเด็นนี้ว่า การกำหนดแบบประกันภัยรถยนต์ให้เป็นแบบระบุชื่อผู้ขับขี่ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์สันดาป เป้าหมายใหญ่เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน และส่งเสริมความรับผิดชอบรวมถึงเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่ เนื่องจากพฤติกรรมการขับขี่จะส่งผลโดยตรงต่อค่าเบี้ยประกันภัย (ไทยได้ตั้งเงื่อนไขให้ระบุผู้ขับขี่สูงสุด 5 รายต่อกรมธรรม์)

    ข้อดีของการระบุผู้ขับขี่คือ ผู้ที่มีพฤติกรรมการขับขี่ดี และไม่มีการเรียกร้องค่าสินไหมย่อมต้องได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัยด้วย ซึ่งปัจจุบันได้กำหนดให้ส่วนลดตามพฤติกรรมการขับขี่สูงสุด 40%

    ขณะที่การจะวัดพฤติกรรมผู้ขับขี่ได้มีส่วนสำคัญที่ต้องเร่งทำคือ การพัฒนาระบบตรวจสอบข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่ โดยคปภ. ได้วางแนวทางให้ผู้ขอเอาประกันภัยสามารถให้สิทธิบริษัทในการตรวจสอบประวัติการขับขี่ หรือ ตรวจสอบด้วยตนเองแล้วเพื่อแจ้งไปยังบริษัทประกันภัยได้ผ่าน Line Official คปภ. รอบรู้ และแอปพลิเคชันทางรัฐ โดยคปภ. เชื่อว่าการเริ่มใช้ข้อกำหนดใหม่นี้จะส่งผลดีต่อการรับประกันภัยรถยนต์


ชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คปภ.


ข้อดีกรมธรรม์ฯ แบบระบุผู้ขับขี่ ‘เพิ่มส่วนลด - พัฒนาโปรดักส์ใหม่’

    เมื่อไทยจะเริ่มใช้กรมธรรม์ประกันรถยนต์แบบระบุผู้ขับขี่กับรถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งมาพร้อมแนวคิดที่ว่า ‘ใครขับดี คุมความเสี่ยงได้ดี มีประวัติดี ควรได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่าคนที่มีพฤติกรรมการขับขี่ไม่ดี’ แล้วในมุมมองภาคเอกชนการเริ่มใช้ระบบนี้จะส่งผลต่อภาพรวมธุรกิจอย่างไร

    วาสิต ล่ำซำ กรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บมจ. เมืองไทยประกันภัย และประธานคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยกับ ForbesThailand ว่า เดิมถ้าเป็นรถสันดาป แบบที่ไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่คนที่ขับดีหรือไม่ดีก็จะถูกเฉลี่ยกันไป นี่จึงเป็นส่วนที่สมาคมฯ และ คปภ.ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ จึงพยายามจะทำเรื่องการระบุชื่อผู้ขับขี่กับรถยนต์ทุกประเภท (ยกเว้นแบบประกันรถยนต์เชิงพาณิชย์)

    “ส่วนในเรื่องการเคลมสินไหม กรณีที่ผู้ขับขี่ไม่ถูกระบุชื่อและมีเคลม ไม่ได้แปลว่าเคลมไม่ได้ แต่จะเคลมได้ โดยอาจจะมีเรื่อง Deductible (ค่าใช้จ่ายส่วนแรก) ตามกรมธรรม์เท่านั้น เช่น หากทำประกันแบบระบุชื่อไว้ 2 2 คน แล้วเกิดคนที่ 3 มาขับขี่แล้วเกิดเคลม ก็จะมีส่วน Deductible สำหรับตัวรถเท่าไหร่ สำหรับบุคคลภายนอกเท่าไหร่” วาสิต กล่าว

วาสิต ล่ำซำ ประธานคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยไทย


    ในส่วนของผลกระทบเบื้องต้นประเมินว่า ในปีแรกที่เริ่มใช้กับรถป้ายแดงคงยังไม่กระทบมากเพราะเป็นช่วงการตั้งฐานข้อมูลผู้ขับขี่เบื้องต้น ซึ่งอาจเริ่มให้ส่วนลดที่ 0 หรือว่าคิดเบี้ยที่ 100% พอเข้าสู่ปีที่ 2 ในปี 2569 จะนำสินไหมของผู้ขับขี่มาทำสถิติในการรับประกันภัยได้ หากผู้ขับขี่ไม่มีการเคลม ย่อมจะได้ส่วนลด แต่หากมีเคลมอาจไม่ได้ส่วนลด เป็นต้น

    อย่างไรก็ตาม การระบุผู้ขับขี่จะทำให้เกิดการตื่นตัวในเรื่องของการเคลมที่ควรจะเป็นการเคลมจริงๆ ผู้ขับขี่ควรจะระมัดระวังในการเคลมมากขึ้น (เช่น การซ่อมรอยขนแมว, ซ่อมเพื่อความสวยงามอาจลดลง) เพราะอาจมีความต้องการอยากจะมีประวัติการขับขี่ที่ดี โดยจะได้รับส่วนลดเบี้ยในส่วนพฤติกรรมการขับขี่ที่ดีสูงสุดถึง 40% อย่างไรก็ตามเบี้ยประกันภัยรถยนต์เมื่ออายุรถมาขึ้น เบี้ยประกันภัยจะลดลงตามปัจจัยนี้เช่นกัน

    นอกจากนี้ ในต่างประเทศเริ่มใช้การระบุผู้ขับขี่มานานแล้ว และไทยมีความพร้อมมากขึ้น ทั้งจากการมีระบบฐานข้อมูล IBS หรือ Insurance Bureau System ที่เริ่มใช้มาระยะหนึ่งจนฐานข้อมูลเริ่มนิ่ง ซึ่งหากเริ่มเก็บข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ขับได้จะทำให้ในอนาคต สามารถตรวจสอบประวัติผู้ขับขี่แต่ละรายได้ง่ายขึ้น โดยในต่างประเทศเมื่อมีฐานข้อมูล ปัจจัยต่างๆ มากพอ บริษัทประกันภัยจะอาจนำสถิติมาออกแบบโปรดักส์เฉพาะทางที่ดียิ่งขึ้น เช่น ในอังกฤษ บางพื้นที่/โซน อาจคิดราคาเบี้ยประกันภัยตามความเสี่ยงของพื้นที่ เป็นต้น

    กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แบบระบุผู้ขับขี่ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของไทยที่จะมีการเก็บข้อมูลและระบุตัวผู้ขับขี่ แต่ยังต้องติดตามกันว่า เครื่องมือที่บริษัทประกันภัยจะนำมาใช้เพื่อจับพฤติกรรมของผู้ขับขี่จะเป็นรูปแบบใด เพราะปัจจุบันในไทยยังใช้ปัจจัยการเคลมเป็นหลัก แต่หากจะรู้ได้ว่าใครขับช้า/เร็ว เปลี่ยนเลนอย่างไร หรือ มีพฤติกรรมการขับขี่แบบใด อาจต้องใช้เทคโนโลยี Telematic เข้ามาช่วย หรืออาจมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ต้นทุนถูกลงเข้ามาใช้งานก็ได้



ภาพ : วรัชญ์ แพทยานันท์, คปภ., สมาคมประกันวินาศภัยไทย, Markus Winkler on UnsplashImage by freepikImage by freepik



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ทำความเข้าใจเงื่อนไขประกันสุขภาพ CoPayment ที่ผู้ซื้อต้อง ‘ร่วมจ่าย’ เริ่ม มี.ค. 68 นี้!

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine