ประกันสุขภาพในไทย 'เคลมสูง' แค่ไหน จนต้องเริ่มใช้เกณฑ์ใหม่ Copay ให้ร่วมจ่ายค่ารักษาฯ ในปีถัดไป - Forbes Thailand

ประกันสุขภาพในไทย 'เคลมสูง' แค่ไหน จนต้องเริ่มใช้เกณฑ์ใหม่ Copay ให้ร่วมจ่ายค่ารักษาฯ ในปีถัดไป

ดีเดย์ที่เอกชนจะเริ่มใช้ประกันสุขภาพส่วนร่วมจ่าย หรือ Copayment (Copay) คือตั้งแต่ 20 มี.ค. 68 นี้แล้ว เล่าแบบง่ายๆ คือการเพิ่มเงื่อนไขใหม่ว่า เมื่อต่ออายุประกันฯ หากผู้เอาประกันเคลม IPD หรือเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจาก Simple diseases (โรคเจ็บป่วยเล็กน้อย) ที่เข้าหลักเกณฑ์ใหม่นี้ ในปีถัดไปจะต้อง “ร่วมจ่าย” ที่ 30% หรือ 50% ในทุกค่ารักษาของปีถัดไป (ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี)

    โดยสาเหตุหลักที่เริ่มใช้ Copayment ทั้งภาคธุรกิจและหน่วยงานผู้กำกับอย่าง คปภ. ต่างระบุว่า ช่วงที่ผ่านมาเคลมประกันสุขภาพ และอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) เพิ่มขึ้นมาก และอาจทำให้เบี้ยประกันสุขภาพในภาพรวมเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งการใช้ Copay นี้เชื่อว่าจะช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันสุขภาพได้เพราะจะช่วยลดการเคลมจากการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลที่เกินความจำเป็นทางการแพทย์ได้อีกด้วย

    Forbes Thailand อยากชวนมาทำความเข้าใจ จากข้อมูลในหลายด้านเพื่อคลายความสงสัยว่าทำไมไทยต้องเริ่มใช้ Copay ในปีนี้


ประเทศไทยมีการเคลมประกันสุขภาพมากแค่ไหน

    การซื้อประกันสุขภาพ หลายคนมองว่าเป็นการบริหารความเสี่ยงหากเจ็บป่วยไม่คาดคิดก็สามารถเข้ารักษาตัวไ้ด้แบบสบายใจยิ่งขึ้น และช่วงที่ผ่านมายังเกิด COVID-19 ที่ทำให้หลายคนตระหนักถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลซึ่งทำให้ประกันสุขภาพบูมขายดิบขายดี แต่ขณะเดียวกันในทางสถิติกลับพบว่า อัตราเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio) หรือที่หลายคนเรียกง่ายๆ ว่าอัตราการเคลมเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

    ข้อมูลจากแหล่งข่าวในธุรกิจประกันชีวิตไทยเปิดเผยว่า ถ้าย้อนดูจากปี 2562 ถึง ปี 2566 ตัว Loss Ratio ของประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยปี 2566 อยู่ที่ 66.7% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากปี 2565 ที่อยู่ 60.0% และในอนาคตภายใต้คาดการณ์ Medical Inflation ที่ 10% ต่อปี จะจะส่งผลให้ Loss Ratio ของประกันภัยสุขภาพเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งตามข้อมูลได้มีการประมาณการไว้ว่า ปี 2567 Loss Ratio อาจเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับที่ 73% ปี 2568 อยู่ที่ 81% และ ปี 2569 อาจเพิ่มขึ้นถึง 89% ซึ่งปัจจัยนี้อาจส่งผลให้ผู้เอาประกันต้องเผชิญกับเบี้ยประกันภัยท่ีสูงขึ้นมาก ถ้าไม่มีมาตรการจัดการท่ีเหมาะสม


    ในเรื่องต้นทุนการรับประกันภัยที่สูงขึ้นนี้ ‘นุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์’ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เคยเล่าไว้ว่า Medical Inflation เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ที่สมาคมฯ ลุกขึ้นมาทำ เพื่อกระตุกให้คนระมัดระวังให้คนตระหนักถึงเรื่องนี้มากขึ้น

    ขณะที่เรื่องการปรับเบี้ยฯ ปัจจุบันบริษัทประกันชีวิตจะทำอะไร ก็จะทำอย่างระมัดระวัง ทั้งเสียงลูกค้า ความเข้าใจลูกค้า คนขายคุยไว้ว่าอย่างไร เราต้องทำอย่างระมัดระวัง ทั้งนี้ คปภ. เป็นผู้อนุมัติ ดังนั้นการที่เราจะขอปรับเบี้ย (ขึ้น) ได้ อาจต้องมี Loss Ratio เกิน 70% นี่คือเคลมเฉพาะส่วนที่เราจ่ายโรงพยาบาล ไม่นับค่าดำเนินงาน ไม่นับค่า Incentive คนขายที่จ่ายไปตั้งแต่ต้น และอื่นๆ ดังนั้น Loss Ratio 70% นี่คือขาดทุน

    “เวลาที่เราไปขอ คปภ. เราต้องมีสิ่งพิสูจน์ว่า Loss มันจะลงมาเหลืออยู่เท่าไหร่ เขาไม่ได้ปล่อยให้ Loss เรากดลงไปต่ำมาก”

    “ต้องยอมรับว่า คปภ. ที่เขาต้องคุ้มครองผู้บริโภค และสร้างสมดุลระหว่างผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าจะเป็นผู้เอาประกันบริษัทประกันเขาก็ไม่ได้ปล่อยให้เราอยากจะเบี้ยแพงๆ ตามใจ และถ้าเราขายเบี้ยแพงเราก็ขายไม่ได้เพราะคู่แข่งก็ไม่ได้ขายแพงเท่าเรา” นุสรา กล่าว

นุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย


3 เงื่อนไขเคลมสูง ปีถัดไป ‘ต้องร่วมจ่าย’
เปรียบเทียบกรณีสิงคโปร์ให้ร่วมจ่ายทุกการรักษา  

    Forbes Thailand อยากชวนมาทบทวน 3 เงื่อนไข 3 กรณีในแนวปฎิบัติ Copayment ได้แก่

    กรณีที่ 1 การเคลมสำหรับโรคที่ไม่รุนแรง หรืออาการที่ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล การเจ็บป่วยเล็กน้อย (Simple diseases) หรืออาการที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล โดยเบิกเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งต่อปีกรมธรรม์ และอัตราการเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 200% ของเบี้ยประกันภัยสุขภาพ จะต้องร่วมจ่าย 30% ทุกค่ารักษาในปีถัดไป

    กรณีที่ 2 การเคลมสำหรับโรคทั่วไปแต่ไม่นับรวมการผ่าตัดใหญ่และโรคร้ายแรง โดยเบิกเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งต่อปีกรมธรรม์ และอัตราการเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 400% ของเบี้ยประกันสุขภาพ จะต้องร่วมจ่าย 30% ทุกค่ารักษาในปีถัดไป

    กรณีที่ 3 หากเข้าเงื่อนไขทั้งในกรณีที่ 1 และ กรณีที่ 2 จะต้องร่วมจ่าย 50% ทุกค่ารักษาในปีถัดไป

    แม้ทั้ง 3 กรณีนี้เป็นการเพิ่มเงื่อนไขใหม่กับผู้บริโภค แต่จะบังคับใช้เฉพาะปีถัดไปหลังจากมีการเคลมสูงเท่านั้น

    'อาภากร ปานเลิศ' รองเลขาธิการ ด้านกำกับ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยกับ Forbes Thailand ว่า ข้อสำคัญในการเริ่มใช้ Copayment คือ หากผู้เอาประกันเคลมเข้าเงื่อนไขแม้ในปีถัดไปจะต้องร่วมจ่ายทุกค่ารักษาที่เกิดขึ้น แต่หากปีนั้นๆ การเคลมไม่เข้าเกณฑ์ทั้ง 3 กรณี ก็จะกลับเข้าสู่เงื่อนไขเดิมของกรมธรรม์ ซึ่งในปีต่อมาจะไม่ต้องร่วมจ่าย

   Copayment ในต่างประเทศมีหลายกรณีศึกษา เพราะกรมธรรม์มักจะมี Copayment อยู่แล้ว เช่น สิงคโปร์บังคับใช้ให้ร่วมจ่าย 5% ในทุกการรักษา โดยไม่ได้กำหนดเฉพาะ Simple diseases เหมือนของไทยที่กำลังจะเริ่มใช้

    ทั้งสิงคโปร์และทั่วโลกเจอปัญหาเดียวกับไทยคือ อัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงใช้ Copayment เพื่อแก้ปัญหานี้ เพราะเมื่อมี Copay พบว่าคนจะตรวจสอบค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลเรียกเก็บมากขึ้น และพิจารณาถึงความจำเป็นในการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลมากขึ้นด้วย และจากสถิติในสิงคโปร์พบว่าเคลมลดลงเช่นกัน


   อาภากร ปานเลิศ รองเลขาธิการ ด้านกำกับ คปภ.

ลูกค้าในไทยกลุ่มเสี่ยงเจอเกณฑ์ Copay มีแค่ 5%

    นุสรา เล่าถึงการเริ่มใช้ Copay ในปีนี้ว่า จากการวิเคราะห์ของสมาคมฯ เชื่อว่ามีคนกว่า 90% ที่ไม่ได้รับผลกระทบ ถ้ายังมีการเคลมเหมือนกับที่ผ่านมา เพราะจากสถิติสัญญาสุขภาพเดิมพบว่า มีคนอยู่ราว 5% ที่มี Loss Ratio หรือเคลมสูงไปถึง 25% ตามเงื่อนไข Copay

    “เราเชื่อว่าตารางเบี้ยที่ใช้กันในแต่ละบริษัทวันนี้ และสถิติของเราที่มีการเคลม ถ้าเราใส่เงื่อนไข Copay และทำให้คนทั้ง 100% ตระหนักว่าฉันจะต้องคิดดูก่อนว่า ฉันมีความจำเป็นที่จะนอนโรงพยาบาลจริงๆ หรือไม่ หลังจากถามคุณหมอว่า ถ้านอนมีความเสี่ยงอะไร ถ้าไม่นอนมีความเสี่ยงอะไร เกิดอาการอะไร และจะต้องรู้ตัวและรีบวิ่งมาโรงพยาบาล ซึ่งทำให้ในภาพรวมอาจจะลดการนอนโรงพยาบาลลงแล้วก็ลดเคลมลง”

    “แต่คนที่เข้าข่ายเดิม Product เดิม และปีนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม เคลมถึง 3 ครั้งจากโรค Simple disease ไม่มีความจำเป็นที่ต้องนอนโรงพยาบาล แล้วก็ยังมียอดเคลมถึง 200% 2 ข้อบวกกัน แล้วก็ข้อ 2 เข้าโรงพยาบาล 3 ครั้งจากโรคที่อาจ Simple disease หรืออื่นๆ ก็ตาม แต่มีความจำเป็นที่ต้องนอนเคลมถึง 400% กลุ่มคนพวกนี้จะมีจำนวนกรมธรรม์เดิมๆ ที่มีอยู่ไม่ถึง 5%” นุสรา กล่าว


เอกชนยันเริ่มใช้ Copay หวังลดเคลม-ชะลอเบี้ยสุขภาพขึ้นแรง

    'สุทธิ รจิตรังสรรค์' เหรัญญิก ประกันชีวิตไทย เล่าว่าการทำ Copay ส่วนดีที่เห็นชัดเจนคือ การชะลอการขึ้นเบี้ยประกันสุขภาพในภาพรวม จากเบี้ยในปัจจุบันหาก Medical inflation ยังปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจทำให้ไม่เพียงพอ แต่ว่าในการที่มี Copay ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไป (เคลม) ปกติจะมีผลกระทบ

    “เพราะการที่จะไปถึงจุด Co Pay มันจะต้องมีเงื่อนไขการเคลมกี่ครั้ง ยอดเท่าไร มีความจำเป็นไม่จำเป็น มันมีขั้นตอนเยอะ เพราะฉะนั้นเปรียบเสมือนว่าเราพยายามที่จะมองว่า ภาพเฉลี่ยของเบี้ยประกันภัย อาจจะไม่ได้ไปคุมเกณฑ์ส่วนที่มีการเบี่ยงเบนของการเข้ารักษาพยาบาลเกินความจำเป็นอะไรต่างๆ มันอาจจะไม่ให้คุมเกมในส่วนที่มีการเบี่ยงเบนของการเข้ารักษาพยาบาลเกินความจำเป็นอะไรต่างๆ หรือถ้าสมมุติเราสามารถ Balance ตรงนี้ได้ จะทำให้ภาพรวมของเบี้ยประกันภัยจะเฉลี่ยได้ดีขึ้น ทำให้คนที่เข้ารักษาตัวตามปกติเนี่ยเหมือนอยู่ในเกณฑ์ที่เบี้ยประกันไม่ได้กระทบในการที่จะขึ้นเบี้ยในระยะยาวมากเกินไป” นายสุทธิกล่าว

    สุดท้ายนี้ การบังคับใช้ Copay ในทุกกรมธรรม์ประกันสุขภาพเป็นความหวังที่จะทำให้ภาคธุรกิจยังบริหารความเสี่ยง และไม่ต้องขึ้นเบี้ยสุขภาพรวดเร็วนัก เหมือนที่ประกันสุขภาพเด็กเจอในช่วงที่ผ่านมา โดยทั้งคปภ. และภาคเอกชนเชื่อว่าการมี Copay จะทำให้ผู้เอาประกันพิจารณามากขึ้นว่า หากเจ็บป่วยเล็กน้อย (ตามนิยามของภาคธุรกิจที่ตกลงกับด้านการแพทย์แล้ว) จะนอนโรงพยาบาลหรือไม่ และต้องติดตามว่าหลังการใช้ Copay ไประยะหนึ่งแล้ว เคลมในธุรกิจประกันฯ จะลดลงหรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร



ภาพ: สมาคมประกันชีวิตไทย, คปภ.,สมาคมประกันวินาศภัยไทย, Hush Naidoo Jade Photography on Unsplash



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ทำความเข้าใจเงื่อนไขประกันสุขภาพ CoPayment ที่ผู้ซื้อต้อง ‘ร่วมจ่าย’ เริ่ม มี.ค. 68 นี้!

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine