กรณีศึกษาประกันรถไฟฟ้าขาดทุน! วิริยะฯ เล็งขึ้นเบี้ยในปี 68 แต่ไม่หยุดรับประกันรถ EV - Forbes Thailand

กรณีศึกษาประกันรถไฟฟ้าขาดทุน! วิริยะฯ เล็งขึ้นเบี้ยในปี 68 แต่ไม่หยุดรับประกันรถ EV

แม้รถยนต์ไฟฟ้าอาจทำให้หลายคนประหยัดค่าพลังงานลงได้ แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือต้องเคลมซ่อมกลับเจอปัญหามากมาย ทั้งศูนย์ซ่อมไม่เพียงพอ อะไหล่มาช้า และหลายชิ้นราคาสูงกว่าสันดาปหลายเท่าตัว แน่นอนว่าธุรกิจประกันวินาศภัยที่เป็นส่วนหนึ่งของการ ‘ซ่อม’ ย่อมเจอปัญหาไปพร้อมกับผู้ขับขี่ รวมถึงเผชิญกับการขาดทุนมากขึ้นด้วย


ธุรกิจรับประกันรถไฟฟ้ายังขาดทุน

    เริ่มกันที่ 'อมร ทองธิว' กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เล่าถึง การรับประกันรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ปัจจุบันแม้จำนวนกรมธรรม์จะเติบโตขึ้นโดยเพิ่มขึ้นเป็น 66,000 กรมธรรม์ในปี 2567 และมีเบี้ยประกันรวมกว่า 1,500 ล้านบาท รวมถึงราคาเบี้ยประกันรถ EV จะสูงกว่ากลุ่มรถยนต์สันดาป แต่พอร์ตประกันรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทฯ นั้นยังขาดทุนอยู่เพราะอัตราส่วนรวมค่าสินไหมทดแทนและค่าใช้จ่ายดำเนินงานทั้งหมด (Combined Ratio) สูงเกินกว่า 100% แล้ว

    เมื่อเกิดเคลมขึ้น เช่น ค่าซ่อม ค่าแรง ค่าอะไหล่ จะกลายเป็นอัตราค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio) ซึ่งต้องยอมรับว่าประกันรถ EV นั้นมี Loss Ratio สูงกว่ารถยนต์สันดาปถึง 50% แต่ปัจจุบันบริษัทฯ มีการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยรถ EV สูงกว่ารถสันดาปที่ 15% จึงไม่สอดคล้องกัน และทำให้ทั้งพอร์ตรถ EV ยังขาดทุนสูง


จ่อเพิ่มเบี้ยรถ EV ‘เฉพาะบางแบรนด์-บางรุ่น’ ให้สอดคล้องกับความเสี่ยง

    อมร เล่าต่อว่า แม้ต้นทุนและเคลมจะเพิ่มขึ้น แต่บริษัทฯ ยังคงจะเปิดขายประกันภัยรถ EV ตามความต้องการของตลาด แต่ปีนี้อาจต้องพิจารณาที่จะปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัยให้สูงขึ้นอาจมากกว่า 15% ในปัจจุบัน ซึ่งจะเพิ่มเบี้ยเฉพาะบางแบรนด์รถยนต์และบางรุ่น ขึ้นอยู่กับฐานข้อมูลและการเจรจากับพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ผลิต, ผู้จัดจำหน่าย ฯลฯ เพื่อพูดคุยว่าจะสามารถปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกิดขึ้นในการซ่อมได้มากน้อยเพียงใด

    “การปรับ (เพิ่ม) เบี้ยต้องรอดูหลังการพูดคุยกับพันธมิตรที่มีอยู่หลายสิบแบรนด์ โดยทั้งค่าซ่อม ค่าแรง ค่าอะไหล่ที่เกิดขึ้นจะสะท้อนไปที่เจ้าของผลิตภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันในตลาดยังไม่นิ่ง ดังนั้นการจะปรับเบี้ยต้องรอดูความชัดเจน และการปรับขึ้นเบี้ยขึ้นอยู่กับแบรนด์ รุ่น อีกด้วย” อมร กล่าว

    ทั้งนี้ ปี 2568 ยังคาดว่าเบี้ยประกันภัยรถ EV จะไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท เพราะบริษัทฯ ยังคงรับประกันภัยอย่างต่อเนื่อง เพราะมีพอร์ตรถยนต์ขนาดใหญ่สามารถบริหารความเสี่ยงได้ดี นอกจากนี้จะหันมาขยายอู่ซ่อม EV ให้มากขึ้น จากปัจจุบันจำนวนศูนย์ซ่อม EV กับผู้จำหน่าย/ผู้ผลิตมีอยู่ 300 แห่ง ส่วน อู่ในโครงการวิริยะมีอยู่ 30 แห่ง คาดว่าในปี 68 จะเปิดเพิ่มขึ้นสุ่ 100 แห่ง โดยจะทยอยเปิดเพื่อให้มั่นใจว่าคุณภาพในการซ่อมได้มาตรฐานความปลอดภัย แต่แม้จะมีอู่ซ่อม EV มากขึ้น แต่อาจไม่สามารถลด Loss ratio ได้มากนักเพราะยังมีเรื่องค่าอะไหล่อีก


ปี 68 เตรียมออกประกัน EV 2+ ตั้งเป้าเบี้ยโต 3.7%

    ปัจจุบันวิริยะประกันภัยยังมีความโดดเด่นด้านประกันภัยรถยนต์ (motor) สะท้อนจากการมีส่วนแบ่งตลาดที่ 22.6% เป็นอันดับ 1 ของตลาดฯ โดยปี 2568 นี้จะเร่งพัฒนาประกันภัยชั้น 2+ และ 3+ (กรณีซ่อมอู่) โดยจะเพิ่มความคุ้มครองภัยน้ำท่วม รวมถึงประกันรถไฟฟ้า 2+ ซ่อมห้าง

    ขณะเดียวกันจะเร่งขยายประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ (Non-motor) ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพและอุบัติเหตุ จะมีทั้งแบบมีความรับผิดส่วนแรก (Deductible) และแบบร่วมจ่าย (Copayment) รวมถึงประกันภัยการเดินทาง

    ในปี 2568 นี้ตั้งเป้าหมายมีเบี้ยประกันภัยรับตรงอยู่ที่ 42,569 ล้านบาท เติบโต 3.7% ขึ้นไป แบ่งเป็น ประกันภัยรถยนต์ 37,591 ล้านบาท เติบโต 3.3% และ Non-motor 4,978 ล้านบาท เติบโต 11% ซึ่งเชื่อว่าในปีนี้การขยายสู่ Non-motor จะช่วยสร้างสมดุลให้ธุรกิจมากขึ้น และยังออกแคมเปญโฆษณา ภายใต้แนวคิด “ใช้ทุกวิให้คุ้มค่า : ด้วยบริการที่เป็นเลิศครอบคลุมครบวงจร” เพื่อสร้างการเข้าถึงผู้บริโภคให้มากขึ้น



ภาพ: วิริยะประกันภัย



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ชัย โสภณพนิช เตรียมพร้อมให้ 2 ทายาท ‘ชวาล-ลสา โสภณพนิช’ สืบทอดธุรกิจ สานต่อความสำเร็จ ‘กรุงเทพประกันภัย’

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine