DAVID JOU ปั้น Pomelo แฟชั่นเทคที่ 1 อาเซียน

<h2 class="p3">Jean Cassegrain ยืนยัน ประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในตลาดยุทธศาสตร์สำหรับ Longchamp แบรนด์สินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์หรูจากฝรั่งเศส ด้วยยอดขายอันโดดเด่นจากธุรกิจอี-คอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา แม้จะเกิดวิกฤตโควิดทั่วโลกก็ตาม</h2>
หลังจากสถานการณ์โรคระบาดเริ่มบรรเทาลง Jean Cassegrain ผู้สืบทอดธุรกิจรุ่น 3 และประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนปัจจุบันแห่ง Longchamp ก็เริ่มออกเดินทางพบปะพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ รวมถึงให้สัมภาษณ์กับนักข่าวตามประเทศต่างๆ อีกครั้ง โดยครั้งนี้ ทาง Forbes Thailand ก็ได้มีโอกาสพบปะกับผู้สืบทอดธุรกิจ Longchamp ชาวฝรั่งเศสคนนี้ด้วย

<figure><img class="wp-image-65577 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/FG_25190.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Jean Cassegrain</figcaption></figure>
โดยผู้พาซีอีโอคนนี้มาพบปะนักข่าวคือ PP Group ผู้จัดจำหน่ายสินค้า Longchamp อย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดย Jean Cassegrain กล่าวว่า “สำหรับประเทศไทย เราจับมือเป็นพันธมิตรกับ PP Group ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า Longchamp ในรูปแบบค้าปลีกแต่เพียงผู้เดียวตั้งแต่ปี 2557 โดย PP Group บริหารแบรนด์ได้เป็นอย่างดีและมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น” และเสริมว่า “ทั้งนี้ Longchamp ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ช่วยให้ตลาดในประเทศสำหรับ Longchamp ขยายตัวด้วยการจัดจำหน่ายผ่าน omni-channel หรือการผสมผสานช่องทางจำหน่ายแบบออนไลน์และแบบหน้าร้านเข้าด้วยกัน” 
ทาง ​PP Group ยังเผยด้วยว่า ทางบริษัทมีแผนจะเปิดบูติก Longchamp ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ 2 สาขา ในไตรมาส 3 และ 4 นี้ เพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตของแบรนด์หรูจากฝรั่งเศส โดย Cassegrain เผยว่า คอนเซ็ปต์ใหม่นี้ จะเปรียบเสมือนการนำความเป็นปารีเซียงมามอบให้กับลูกค้าผ่านหน้าร้าน ให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนก้าวเข้ามาในที่พักของสาวชาวปารีเซียง มอบความรู้สึกที่เป็นกันเองยิ่งขึ้น


<figure><img class="wp-image-65575 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/FG_25371.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Cassegrain และ สุวดี พึ่งบุญพระ</figcaption></figure>
ทั้งนี้ เมื่อถามถึงศักยภาพของตลาดไทย Cassegrain ก็ได้กล่าวว่า “ประเทศไทยมีประชากรมากถึง 70 ล้านคน นับเป็นหนึ่งในตลาดที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์สำหรับ Longchamp และเป็นหนึ่งในประเทศที่มียอดซื้อสูงสุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” 
และเผยว่า “สัดส่วนการจัดจำหน่ายในปัจจุบัน จะเป็นยอดขายจากฝรั่งเศสร้อยละ 30 ยุโรปและตะวันออกกลางร้อยละ 29 อเมริการ้อยละ 13 และเอเชียร้อยละ 28” โดยทาง Cassegrain เองก็มองว่า ตลาดเอเชียยังสามารถโตได้กว่านี้อีกมาก เนื่องจากยังมีโอกาสให้ขยายตัวทั้งในด้านของหน้าร้าน และอิทธิพลอยู่ ต่างจากในตลาดยุโรป โดยเฉพาะในฝรั่งเศสที่ทางแบรนด์มีหน้าร้านจำนวนมากพอตัวแล้ว โดยเป้าหมายต่อไปของทางแบรนด์คือการเจาะตลาดเวียดนาม
นอกจากนี้ สุวดี พึ่งบุญพระ ประธานกรรมการ บริษัท พีพี ลุกซ์ จำกัด ได้เสริมว่า Longchamp ถือเป็นแบรนด์หรู และเป็นเสมือนแบรนด์คู่บ้านคนไทย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ใครๆ ก็ถือ Le Pliage และกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าที่มีรายได้ และหลากหลายกลุ่ม ส่งผลให้ยอดขายออนไลน์รายเดือนโดยเฉลี่ยเติบโตแบบก้าวกระโดดถึงร้อยละ 120 ในช่วงที่ผ่านมา
อีกทั้งยังเผยด้วยว่า ยอดขายของ Longchamp ในช่วงต้นปีนี้โตขึ้นจากเมื่อช่วงต้นปีที่แล้วถึงร้อยละ 80 และคาดว่ายอดขายภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วแบบเท่าตัว ทั้งนี้ ลูกค้าส่วนมากยังคงเป็นคนไทย
<img class="alignnone size-full wp-image-65576" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/FG_25305.jpg" alt="" width="533" height="800" />

โดยแม้ว่าทาง PP Group จะมุ่งนำกลยุทธ์อี-คอมเมิร์ซมาใช้กับแบรนด์ Longchamp อย่างเต็มที่ สุวดีย้ำว่า หน้าร้านยังมีความสำคัญอย่างมากต่อแบรนด์แฟชั่นหรู เพราะตัวสถานที่นับเป็นช่องทางส่งมอบประสบการณ์เกี่ยวกับแบรนด์ให้แก่ลูกค้า
​Cassegrain ชี้ว่า ลูกค้าที่ซื้อสินค้าจากผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการอย่าง PP Group จะมั่นใจได้เต็มที่ว่าผลิตภัณฑ์ Longchamp ที่ได้รับเป็นของแท้ รวมถึงจะได้รับสินค้าคุณภาพตลอดจนบริการหลังการขายอย่างครบถ้วน ยิ่งไปกว่านั้น ลูกค้ายังสามารถรับบริการส่งฟรีทั่วอาณาเขตไทยอีกด้วย

<h3>Le Pliage Re-play กระเป๋าอันเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม</h3>
กระเป๋า Longchamp ที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่สุดคงหนีไม่พ้นกระเป๋าไนลอนอย่าง Le Pliage โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ทางแบรนด์ก็ได้เปลี่ยนมาใช้ไนลอนรีไซเคิลมาใช้ในการผลิต ซึ่งสามารถลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ถึงร้อยละ 20 แต่ยังสามารถคงไว้ซึ่งความทนทานของผลิตภัณฑ์ได้ ทำให้ใช้งานได้นาน นับเป็นการลดขยะไปในตัว อีกทั้ง ทางแบรนด์ยังประกาศจะเริ่มผลิต Le Pliage ด้วยวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกคอลเล็กชั่นให้ได้ภายในปี 2565
นอกจากนี้ Longchamp ยังมุ่งมั่นลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการผลิตผ่านหลากหลายมาตรการ อาทิ การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และการปรับปรุงระบบโลจิสติกส์เพื่อให้การขนส่งเกิดประสิทธิภาพสูงสุด


<figure><img class="wp-image-65578 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/FG_25011.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Le Pliage Re-play</figcaption></figure>

โดยล่าสุด Longchamp ก็ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้ชื่อ Le Pliage Re-play โดย Cassegrain เผยว่า เขาได้มอบโจทย์ให้กับทีมออกแบบซึ่งนำทีมโดย Sophie Delafontaine ผู้เป็นน้องสาวว่า ต้องชุบชีวิตกับวัสดุเหลือใช้ในโรงงาน โดยเฉพาะวัสดุไนลอนให้ได้ ดังนั้น ทางทีมของ Delafontaine จึงได้นำผ้าไนลอนหลากหลายสีสันชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหล่านั้น มาประกอบกันเป็นกระเป๋าใบใหม่อันสดใสอย่าง Le Pliage Re-play ขึ้นมานั่นเอง

Cassegrain ยังเผยด้วยว่า ทาางแบรนด์มีแผนจะนำไอเดียการนำวัสดุเหลือใช้มาชุบชีวิตนี้ไปใช้กับกระเป๋าแบบอื่นๆ และกับวัสดุเหลือใช้อื่นๆ อีกด้วย
อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/pp-group-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b8%9c%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%81-longchamp-%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%b9%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%b8%e0%b8%84%e0%b8%94.html">PP Group พร้อมผลัก Longchamp เข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มแรง</a>

<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a style="color: #003300;" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

Jean Cassegrain แห่ง Longchamp มั่นใจ PP Group พาแบรนด์โตได้อีก

<h2>ชาวอินเดียไม่ว่าจะมีฐานะทางการเงินอยู่ในระดับใด ล้วนแต่ให้ความสำคัญกับการเฉลิมฉลองพิธีมงคลสมรส ซึ่งมักจะจัดอย่างน้อย 2-3 วัน จึงไม่น่าแปลกใจที่งานแต่งงานของชาวอินเดียจะตามมาด้วยค่าใช้จ่ายจำนวนมากตั้งแต่พิธีการ งานสังสรรค์ ไปจนถึงเครื่องแต่งกายอันล้ำค่า</h2>
<figure><img class="wp-image-65145 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/img_183463_modifamily.jpg" alt="Ravi Modi" width="450" height="600" /><figcaption> (ซ้าย-ขวา) Ravi Modi, ภรรยา Shilpi และบุตรชาย Vedant</figcaption></figure>

ทว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา กลับกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการเติบโตของตลาดชุดแต่งงานอินเดียที่มีมูลค่ากว่า 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 

กระทั่งในวันนี้ที่รัฐบาลอินเดียได้ยกเลิกมาตรการทั้งหมดในการควบคุมโรคโควิด-19 ทำให้การเฉลิมฉลองงานแต่งงานกลับมาคึกคักอีกครั้ง เอื้อประโยชน์ให้กับ Ravi Modi ประธานและกรรมการผู้จัดการ Vedant Fashions บริษัทค้าปลีกเสื้อผ้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศ 

Vedant Fashions รายงานรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 84 เป็น 1.04 หมื่นล้านรูปี (138 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเป็น 3.15 พันล้านรูปีสำหรับปีงบการเงินสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2022 

ไม่เพียงเท่านี้ ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2022 บริษัทยังได้เปิดสาขาใหม่อีก 17 แห่ง รวมยอดร้านค้าในประเทศทั้งหมดเป็น 595 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1.1 ล้านตารางฟุต ซึ่งบริษัทคาดว่าจะสามารถขยายการเติบโตอีก 2 เท่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ด้าน Ravi Modi วัย 45 ปี ตัดสินใจนำบริษัทอายุ 23 ปี เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ที่มูลค่า ณ ราคาตลาด 2.8 พันล้านเหรียญ ซึ่งปัจจุบันมูลค่าหุ้นได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่าร้อยละ 12 ส่งผลให้บริษัทมีมูลค่าแตะ 3 พันล้านเหรียญเป็นที่เรียบร้อย 

ส่งผลให้ Modi มีรายชื่อปรากฏในทำเนียบ “มหาเศรษฐีพันล้าน” เป็นครั้งแรกในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2.7 พันล้านเหรียญ ท่ามกลางความผันผวนในตลาดหุ้นและเงินรูปีที่อ่อนค่าลง

ทั้งนี้ Modi เริ่มทำงานที่ร้านเสื้อผ้าของพ่อตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น กระทั่งอายุ 22 ปี เขาจึงตัดสินใจก่อตั้งบริษัทของตัวเองเพื่อผลิตชุดอินเดียแบบดั้งเดิมในราคาไม่แพง โดยยืมเงิน 10,000 รูปี (235 เหรียญ) จากแม่ของเขาในปี 1999 

โดย Modi ซึ่งแต่งงานตั้งแต่อายุ 21 ปีและกลายเป็นพ่อในอีก 1 ปีต่อมา ตั้งชื่อบริษัทว่า Vedant Fashions ตามชื่อบุตรชายของเขา และตั้งชื่อแบรนด์เสื้อผ้าว่า Manyavar ซึ่งหมายถึง “ความโดดเด่น” และ “ความเคารพนับถือ” ในภาษาฮินดูพื้นเมือง จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายตั้งแต่ sherwanis (เสื้อที่มีลักษณะคล้ายเสื้อโค้ทตัวยาว) kurta (เสื้อคอจีนหลวม) ไปจนถึงแจ็กเก็ตเนห์รู (Nehru jackets)

<figure><img class="wp-image-65146 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/Vedant_Modi__CMO__Vedant_Fashions_Ltd_.jpg.jpg" alt="Ravi Modi" width="543" height="543" /><figcaption> Vedant Modi ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด Vedant Fashions</figcaption></figure>

ในระยะเวลาเพียง 2 ทศวรรษต่อมา เขาได้ขยายอาณาจักรแฟชั่นดังกล่าวไปยัง 223 เมืองในอินเดีย และในต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และสหรัฐอเมริกา โดยมีกลุ่มลูกค้าเป็นชาวอินเดียพลัดถิ่น

วันนี้ Manyavar ก้าวขึ้นเป็นแบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มชุดแต่งงานสำหรับผู้ชายในแง่ของรายได้และผลกำไร ขณะที่เครื่องแต่งกายของสุภาพสตรีในแบรนด์ Mohey ซึ่งทางบริษัทได้ก่อตั้งในปี 2015 ก่อนที่จะเข้าซื้อกิจการ Mebaz ซึ่งเป็นแบรนด์เสื้อผ้ายอดนิยมในรัฐ Andhra Pradesh และ Telangana ทางตอนใต้ของอินเดียก็กำลังเติบโตอย่างสวยงาม 

อย่างไรก็ดี Vedant Fashions เป็นหนึ่งในบริษัทที่ไม่เคยทำแคมเปญส่วนลด ทว่าเลือกที่จะเพิ่มแบรนด์ลงในพอร์ตพอร์ตโฟลิโอ เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลาย 

ยกตัวอย่างเช่น Manyavar จะวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในราคากลาง ขณะที่ Twamev เจาะผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม และ Manthan รุกตลาดมวลชน ที่มีกลุ่มเป้าหมายที่มีจำนวนมาก ซึ่งจะเน้นการขายในเชิงปริมาณเป็นหลัก ควบคู่กับการคัดเลือกดาราบอลลีวูดยอดนิยมอย่าง Ranveer Singh และ Alia Bhatt มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์

ด้าน Vedant บุตรชายของ Modi ซึ่งปัจจุบันตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด กล่าวในการประชุมทางโทรศัพท์ครั้งล่าสุดกับนักวิเคราะห์ว่า “เรามีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งด้วยอัตรากำไรขั้นต้น ผลตอบแทน และกระแสเงินสดที่ดี ทุกรูปีของเงินลงทุนสามารถสร้างผลกำไรในอัตราที่เท่ากันหลังหักภาษี โดยกว่าร้อยละ 90 เป็นกระแสเงินสดอิสระ”

ล่าสุด CRISIL บริษัทวิเคราะห์ใน Mumbai คาดการณ์ว่าตลาดเสื้อผ้าของอินเดียจะเติบโตราวร้อยละ 15 ถึง 17 ในอีก 3 ปีที่มูลค่า ณ ราคาตลาดประมาณ 1.37 พันล้านรูปี (1.83 หมื่นล้านเหรียญ) เนื่องจากในแต่ปีจะมีการเฉลิมฉลองงานแต่งงานราว 9.5 ล้านถึง 10.5 ล้านครั้งในอินเดีย ซึ่งมีงบประมาณรายวันโดยเฉลี่ยตั้งแต่ 1 ล้านรูปี (13,000 เหรียญ) ถึง 2 ล้านรูปี (26,000 เหรียญ)

ด้าน Bharat Chhoda นักวิเคราะห์จาก ICICI Securities กล่าวในรายงานเมื่อเดือนมกราคมว่า การใช้จ่ายในงานแต่งงานที่เพิ่มขึ้นจะช่วยขยายตลาดให้เติบโตยิ่งขึ้น เป็นเหตุให้ Vedant ซึ่งมีแฟรนไชส์ที่แข็งแกร่งอยู่แล้วรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก

แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ The Low-Profile Billionaire Who Makes Big, Fat Profits Selling Ethnic Garments For Big, Fat Indian Weddings เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/technology/global-technology/mercer-เมืองที่มีค่าครองชีพแ.html">การจัดอันดับ “เมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก” ประจำปี 2022</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a style="color: #003300;" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

Ravi Modi แห่ง Vedant Fashions อาณาจักรค้าปลีกเสื้อผ้ารายใหญ่ที่สุดของอินเดีย

Emma Grede สาวเก่งเบื้องหลังธุรกิจฟู่ฟ่าของบ้าน Kardashian

Paige Mycoskie แห่ง Aviator Nation ผู้มั่งคั่งจากกางเกงวอร์ม 160 เหรียญ

ครบรอบ 10 ปี ธุรกิจ MANGO MOJITO เดินหน้ารับผิดชอบสังคมและสิ่งแวดล้อม

<h2 class="p1">Pomelo แพลตฟอร์มแฟชั่น omnichannel แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จับมือ Suuchi Inc. พัฒนากลยุทธ์ดิจิทัลซัพพลายเชนอันเป็นก้าวสำคัญของธุรกิจ</h2>
Pomelo ผนึกกำลัง Suuchi Inc. ยกระดับ The GRID ตัวเชื่อมต่อระหว่างเทคโนโลยีที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ สู่การจัดการระบบซัพพลายเชนระดับโลกประสิทธิภาพสูง พร้อมควบคุม อีกทั้งยังสามารถเชื่อมโยงข้อมูลผ่านแต่ละส่วนของซัพพลายเชน โดยแพลตฟอร์ม The GRID จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของ Pomelo ทั้งด้านการยืดอายุวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ และการดำเนินการด้านกลยุทธ์เพื่อรองรับแบรนด์ต่างๆ ที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มแฟชั่นนี้ในอนาคต
โดย The Suuchi GRID แพลตฟอร์มซัพพลายเซนซึ่งสร้างขึ้นเพื่อแบรนด์เสื้อผ้า เครื่องสำอาง รองเท้า และสินค้าอุปโภคบริโภคกว่าอีก 20 ประเภท โดย The GRID มีทั้งแพลตฟอร์มซอฟแวร์ปฏิบัติการด้านซัพพลายเซนที่เข้มแข็ง และเครือข่ายแหล่งผลิตดิจิทัลระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น โรงงานผลิตกว่าร้อยแห่ง ซัพพลายเออร์ และบริษัทขนส่ง
<img class="alignnone size-full wp-image-63746" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/SUUCHI-GRID_Analytics-Graphic-1.jpg" alt="" width="521" height="480" />
จึงทำให้ Suuchi สามารถช่วยเหลือแบรนด์และธุรกิจต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ผ่านการสร้างข้อมูล การติดตาม การร่วมมือ การรายงาน และผนวกความสามารถต่างๆ เข้าด้วยกัน อีกทั้งยังช่วยจัดการเรื่องซัพพลายเชนอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวิเคราะห์และพัฒนาสินค้า แหล่งวัสดุ การผลิต การควบคุมคุณภาพ จนถึงระบบโลจิสติกส์
ทั้งสองบริษัทได้จับมือขับเคลื่อนการทำงานให้มีประสิทธิภาพและจัดการข้อมูลได้อย่างราบรื่นขึ้น เพื่อให้ทุกกระบวนการสามารถติดตามและวัดผลได้ พร้อมช่วยพัฒนา moodboard และคอลเล็กชั่น รวมไปถึงการสั่งซื้อ การผลิต การควบคุมคุณภาพ ไปจนถึงการขนส่ง
The GRID จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของ Pomelo เพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตของ GMV ของแบรนด์ Pomelo ที่ร้อยละ 260 และเพิ่มการเติบโต GMV ของแบรนด์อื่นๆ บนแพลตฟอร์มเป็น 2 เท่า และช่วยพัฒนาระบบให้พร้อมรับรองกว่าแบรนด์อีก 2,000 แบรนด์ที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มนี้ในอนาคตอันใกล้


<figure><img class="wp-image-63745 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/David-Jou-Pomelo.jpg" alt="" width="533" height="800" /><figcaption> David Jou</figcaption></figure>
“ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา เราเป็นกำลังสำคัญในการสร้างพลังให้สาวๆ ให้รู้สึกดูดีและเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุดผ่านสไตล์คุณภาพและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ในฐานะบริษัทแฟชั่นเทคชั้นนำ เราจำเป็นต้องสร้างความมั่นใจว่าเทคโนโลยีของเรามีประสิทธิภาพสูงทั้งสำหรับผู้ใช้งานอย่างลูกค้า แบรนด์ พาร์ตเนอร์ ไปจนถึงระบบจัดการที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ การลงทุนกับระบบใหม่ของ the GRID ในปี 2022 จะเป็นโครงสร้างเทคโนโลยีพื้นฐานที่แข็งแรงสำหรับการดำเนินการธุรกิจของเราในอนาคต รวมไปถึงเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมแฟชั่นเทคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” David Jou ซีอีโอ และผู้ร่วมก่อตั้ง Pomelo Fashion กล่าว
Suuchi นำเสนอระบบซัพพลายเซนเต็มรูปแบบอย่าง the Suuchi GRID ที่ทำงานผ่านระบบซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์เฉพาะ โดยลูกค้าสามารถใช้งาน the GRID ในฐานะระบบแยก เพื่อยกระดับแพลตฟอร์มผ่านการผลิตและจัดหาวัสดุ ช่วยทำให้ระบบการดำเนินการของทั้งซัพพลายเซนมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบข้อมูลได้อย่างทันที รวมถึงการสื่อสารระหว่างกระบวนการ และวิเคราะห์ข้อมูลที่มีเพื่อใช้ในการตัดสินใจของแบรนด์
นอกจากนี้ แบรนด์ต่าง ๆ ยังสามารถเลือกที่จะผนวกระบบภายในของแบรนด์กับ The GRID เพื่อทำให้ระบบซัพพลายเชนเป็นระบบดิจิทัลแบบเดี่ยว ทั้งจากต้นน้ำในระดับการผลิตและปลายน้ำจนสินค้าถึงมือลูกค้าอีกด้วย
“เรารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่ได้ร่วมงานกับโพเมโลที่มีการดำเนินงานและวิสัยทัศน์อันโดดเด่น และยังถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สถาปัตยกรรมเทคโนโลยีของ The GRID และหน้าจอผู้ใช้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์เรื่องซัพพลายเซนที่ซับซ้อนโดยเฉพาะ ทำให้เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับหน้าที่ในการดูแลระบบดิจิทัลที่สำคัญด้านซัพพลายเซนของโพเมโล การร่วมมือครั้งนี้จะนำไปสู่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดเพื่อเป็นแนวหน้าของอุตสาหกรรม นับเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางธุรกิจที่เข้มแข็งกับโพเมโล” Suuchi Ramesh ซีอีโอ และผู้ก่อตั้ง  Suuchi Inc. กล่าว
อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/people/power-women/%e0%b8%94%e0%b8%a7%e0%b8%87%e0%b8%94%e0%b8%b2%e0%b8%a7-%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b0%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b9%8c-sabina.html">ดวงดาว มหะนาวานนท์ พาแบรนด์ SABINA จรัสแสงตลาดภูมิภาค</a>


<hr />
<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Pomelo ผนึกกำลัง Suuchi GRID ยกระดับดิจิทัลซัพพลายเชน

<h2>การตลาดไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อทั่วโลกจับตามอง แต่สำหรับ Natalie Guzman แห่ง Savage X Fenty ความกล้าได้กล้าเสียมันอยู่ในดีเอ็นเอของเธอ</h2>
การเสี่ยงทางธุรกิจมันง่ายจะตายเมื่อคุณไม่มีอะไรต้องเสี่ยงเท่าไร ท้ายที่สุดแล้ว อะไรกันที่คุณต้องสูญเสียไปล่ะ? มันจะยากขึ้นก็ต่อเมื่อคุณก้าวข้ามตำแหน่งยูนิคอร์น และยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อ “รู้สึกได้เลยว่าทั้งโลกกำลังจ้องมองเรา” ดังที่ Natalie Guzman ผู้นั่งตำแหน่ง Co-president และ <a href="https://forbesthailand.com/world/cmos-%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%87%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%98%e0%b8%b4%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%94%e0%b9%83%e0%b8%99.html">CMO</a> แห่ง Savage x Fenty แบรนด์ชุดชั้นในที่ Rihanna เป็นผู้ก่อตั้งกล่าวไว้
การที่มีคนทั้งในและนอกวงการกำลังเฝ้ารอ และเฝ้าดูคุณล้มเหลว ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะคงไว้ซึ่งสปิริตความเป็นผู้ประกอบการและนักการตลาดไว้ได้มากนักสำหรับบริษัทอายุ 4 ปีที่มีรายงานว่า<a href="https://forbesthailand.com/world/america/rihanna-%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b8%b3-savage-x-fenty-%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%97%e0%b8%b3-ipo-%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%83%e0%b8%99.html">กำลังเตรียมทำ IPO</a> ซึ่งจะผลักให้บริษัทมีมูลค่ามากกว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ อย่างบริษัทนี้


<figure><img class="wp-image-62449 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Natalie-Guzman.jpg" alt="" width="567" height="567" /><figcaption> Natalie Guzman</figcaption></figure>
แต่สำหรับแบรนด์ที่ออกแบบมากให้ดิสรัปต์วงการและขนบวัฒนธรรมทั้งอย่างเป็นนัยและอย่างเป็นรูปธรรม การเสาะหาความปลอดภัยและความอุ่นใจในบางอย่างที่ลองแล้วว่าใช้ได้นั้นไม่ใช่ “ความหมายของการเป็น Savage” Natalie กล่าว
เธอตระหนักรู้ว่านอกจากทางบริษัทจะผลิตและจำหน่ายชุดชั้นใน พวกเขายังทำการตลาดกับคำว่า “มั่นใจ, ปราศจากความกลัว, เป็นตัวของตัวเอง และตามที่ Rihanna พูดไว้ว่า ‘ทำเพื่อตัวแกเองนั่นแหละ’” อีกด้วย แต่ในฐานะหัวหน้าทีมการตลาดของแบรนด์ Guzman รู้ว่าสิ่งที่เธอทำนั้นไม่ได้ทำเพียงแค่สำหรับตัวเธอเองเท่านั้น แต่เธอกำลังทำเพื่อคอมมิวนิตี้ของผู้คนที่ “ถูกผลักให้ไปอยู่ชายขอบ ถูกมองข้าม และไม่มีบทบาทมานานเกินพอแล้ว”
<img class="alignnone size-full wp-image-62453" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Savage-Spring-Break.jpg" alt="" width="720" height="383" />
ในยามที่คำว่า authenticity, inclusivity , diversity และ disruption ถูกใช้ทางการตลาดแบบผิดๆ ถูกๆ แถมยังใช้กันให้เกลื่อน จนทำให้ความหมายของคำเหล่านั้นใกล้สูญเปล่าเข้าไปทุกวัน Savage x Fenty ก็พร้อมยกระดับความเป็นเอกลักษณ์และการแสดงออกถึงความรู้สึกของมนุษย์ให้กว้างขึ้นกว่าเดิม โดยไม่ว่าใครที่รับชมโชว์ที่ได้รับเสนอเข้าชิงรางวัล Emmy ซึ่งเผยแพร่ทาง Amazon Prime ของทางแบรนด์ก็ได้เห็นถึงความมานะนั้นอย่างยิ่งใหญ่และสวยงาม
“เราอยากให้ผู้หญิงมีอำนาจในการนิยามคำว่าเซ็กซี่และงดงามในแบบของพวกเขาเอง การเป็นตัวแทนของคนทุกคนเกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติสำหรับแบรนด์นี้เพราะมันยังมีบางส่วนที่ไม่ได้รับการพูดถึง Body Positivity และความหลากหลายไม่ได้หยุดอยู่กับแค่เพศ” Guzman กล่าว
<img class="alignnone size-full wp-image-62454" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/highxtar-savage-x-fenty-rihanna-nothing-but-net-2-1024x682.jpg" alt="" width="720" height="480" />
ในฐานะแบรนด์แรกๆ ที่มีกางเกงชั้นในผ้าบางๆ แสนเย้ายวนให้ผู้ที่ระบุเพศวิถีเป็นชายและนอนไบนารี่ได้เลือกใส่ พวกเขาก็ได้ปรากฎตัวให้เห็นในลักษณะที่เชิญชวนและส่งเสริมให้ทุกคน ไม่ว่าจะรูปร่าง ขนาด สีผิว และอัตลักษณ์ใดก็ตามกล้าที่จะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ด้วยทั้งเป็นแฟชั่นโชว์ซึ่งถ่ายทอดทางโทรทัศน์ จนไปถึงรีเทลแบบ omni-channel ที่มีทั้งในรูปแบบอี-คอมเมิร์ซ, โซเซียลมีเดีย และหน้าร้านที่เดินหน้าขยายสาขาอย่างไม่หยุดหย่อน
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคอมมิวนิตี้ของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้าง, ลูกค้า, สมาชิก, คนเก่งๆ, อินฟลูเอนเซอร์ จนไปถึงแอมบาสเดอร์ถึงได้มีความสัมพันธ์ในระดับลึกกับแบรนด์ และทำไมพวกเขาถึงเป็นส่วนสำคัญของคอนเทนต์การตลาดและวัฒนธรรมของบริษัทขนาดนี้
แน่นอนว่าเมื่อแบรนด์ของคุณเข้ามาเปลี่ยนเกมและเปลี่ยนบทสนทนา การอยู่เหนือความคาดหมายตลอดนั้นก็ก่อให้เกิด “ความกดดันอย่างมาก ความกดดันที่จะคงต่อสู้ และคงเป็นผู้เปลี่ยนแปลงและผู้นำต่อไป” Guzman ยอมรับ “ทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาด้วยของที่เรา หรือไม่ก็สร้างมันขึ้นมาซะถ้าเราไม่มี”


<figure><img class="wp-image-62452 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Savage-X-Fenty_Rihanna.jpg" alt="" width="646" height="480" /><figcaption> Rihanna นักร้องสาวเจ้าของแบรนด์</figcaption></figure>
Natalie กล่าวไว้ชัดเจนว่าแม้กลยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่และหัวคิดสร้างสรรค์จะสำคัญ อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการรู้ว่าหัวคิดธุรกิจและอิมแพ็คนั้น “เกิดขึ้นจากสิ่งเล็กๆ ในการสร้างวัฒนธรรมที่ท้าทายให้ทีมงานของเราคิดต่าง ทดลองใช้วิธีการ อุปกรณ์ ช่องทาง สื่อกลาง บุคคลากร การร่วมมือ ผ้า ทรงใหม่ๆ …ทุกอย่างสามารถเอามาพูดกันได้หมด และทุกปัญหาก็คือโอกาสที่จะได้ทำในสิ่งที่แตกต่าง”
ถือว่าโชคเข้าข้าง Savage x Fenty เพราะ Guzman รู้ถึงความสำคัญในการปล่อยให้ตัวเอง และทีมของเธอสามารถกล้าที่จะเสี่ยง “ความเสี่ยงอยู่ในสายเลือดฉัน” ลูกสาวคนเดียวของผู้ประกอบการชาวอพยพกล่าว เธอให้เครดิตกับพ่อของเธอเป็นพิเศษสำหรับจิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการที่เธอมี โดยเธอมีนิสัยชอบท้าทายครอบจำกัดความทางเพศนี้มานานก่อจะเริ่มรับตำแหน่งนี้ด้วยซ้ำไป
อาชีพของเธอนี้เป็นผลิตผลของและเป็นการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมการเลี้ยงดูที่เธอเติบโตมา ท่ามกลางขนบธรรมเนียมที่ทำให้เกิดความเป็นสองมาตรฐานทางเพศที่ Savage X พยายามจะถอนรากถอนโคนออกไปอยู่ ณ ตอนนี้ ผู้ชายโตขึ้นมา “พร้อมกับแรงกดดันในการหาเลี้ยงและทำให้ครอบครัวภาคภูมิใจ ในขณะที่ผู้หญิงต้องระวังอย่านำความแปดเปื้อนมา” เธอกล่าว


<figure><img class="wp-image-62450 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Savage-X-Fenty-Show.jpg" alt="" width="718" height="480" /><figcaption> แฟชั่นโชว์ของทางแบรนด์ที่ถ่ายทอดทาง Amazon Prime</figcaption></figure>
ตลอดอายุการทำงานของเธอที่เริ่มจากการขายดิจิทัลมีเดีย Natalie มีแรงกระตุ้นเป็นสิ่งที่เธอเรียกว่า “ความรู้สึกโดนให้ค่าน้อยกว่าที่เป็นจริงในฐานะผู้หญิง” และก็ด้วยทัศนคตินั้นนั่นแหละ ที่นำพาเธอมาสู่แบรนด์และตำแหน่งนี้ ตำแหน่งที่เธอต้องนำทีมงานผู้รับผิดชอบทั้งกลยุทธ์และการลงมือทำตามแผนของแบรนด์, PR, โซเซียล, ฝ่ายเรียกลูกค้า, CRM และฝ่ายครีเอทีฟ รวมไปถึงคอยดูแลการเติบโตโดยรวม, ผลประกอบการ และการดำเนินการของบริษัท ยันไปถึงการนั่งบอร์ดบริหาร
แต่ทัศนคตินั้นก็ช่วยให้เธอสามารถเจอกับสิ่งที่เหมือนกับคอมมิวนิตี้ของแบรนด์นี้ได้ คอมมิวนิตี้ที่เริ่มตั้งแต่พนักงานภายในองค์กร จนไปถึงแขกระดับ VIP ทั้งหลาย
เมื่อถามว่าเธอมีคำแนะนำอะไรให้กับนักการตลาดคนอื่นๆ บ้างหรือไม่ เธอก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง “ประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน” เธอกล่าว แต่สิ่งหนึ่งที่ถ่องแท้คือ “หากคุณเชื่อในมัน ไล่ตามมันซะ งานนี้ทำให้ฉันเชื่อในตัวเองมากขึ้น ฉันไม่เคยรู้สึกมีพลังและมีแรงบันดาลใจ หรือรู้สึกว่ามากกว่านี้ก็เป็นไปได้ขนาดนี้มาก่อน”
บทความแปลและเรียบเรียงจากบทความ Marketing When The Eyes Of The World Are On You เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/heidi-cooley-%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%95%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%94-%e0%b9%80%e0%b8%9a%e0%b8%b7%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87.html">Heidi Cooley เจ้าแม่การตลาดผู้ชุบชีวิต Crocs</a>


<hr />
<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Natalie Guzman CMO สาวแกร่งแห่ง Savage X Fenty

Heidi Cooley เจ้าแม่การตลาดผู้ชุบชีวิต Crocs

Rebecca Minkoff เปิดตัวคอลเล็กชั่นใหม่ใน Crypto Fashion Week

Rihanna เปิด Savage X Fenty สาขาแรก พร้อมรับเงินหนุน 125 ล้านเหรียญฯ

Balmain X Barbie: อนาคตของ NFT ในโลกแฟชั่นและตุ๊กตา

<h2>ภาพยนต์เรื่องราวบ้าน Gucci อย่าง House of Gucci นอกจากจะพาทุกคนดำดิ่งเข้าสู่ความจริงอันน่ากลัวภายใต้แบรนด์อันสวยหรู ยังเผยให้เห็นตลาดของวินเทจที่กำลังมาแรง และแคมเปญการตลาดสุดล้ำอีกด้วย</h2>
<figure><img class="wp-image-54838 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/House-of-Gucci.jpg" alt="House of Gucci" width="720" height="380" /><figcaption> (Photo Credit: TIME)</figcaption></figure>

House of Gucci ภาพยนตร์โศกนาฏกรรมอันบีบคั้นหัวใจเรื่องนี้นอกเหนือจากดาราคนดังที่ล้นจอแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวที่เปรียบเสมือนยาพิษทำร้ายกันเอง ทะเลาะกันเรื่องหุ้น ดูถูกความสามารถกันและกัน จนทำรายได้อยู่อันดับต้นๆ ใน box office เลยทีเดียว

Lady Gaga สวมบทบาท Patrizia Reggiani ภรรยาเก่าของ Maurizio Gucci และผู้จ้างมือปืนโดยมีสามีเก่าที่ห่างเหินของตัวเธอเป็นเป้าหมาย (ปัจจุบัน Reggiani อายุ 72 ปี หลังจากอยู่ในคุกมาถึง 18 ปี ก่อนจะถูกปล่อยตัวในปี 2016) โดยเธอ<a href="http://theglitterandgold.com.au/the-remarkable-remarks-of-patrizia-gucci/">กล่าวว่า</a> “อำนาจมันเป็นเหมือนโรคสำหรับตระกูล Gucci”

นอกจากนี้ยังมีนักแสดงอย่าง Adam Driver รับบทบาท Maurizio Gucci และ Jared Leto ในบทบาทของ Paolo Gucci สุดพิลึกที่มันสวมใส่สูทลายตาราง กำกับโดย Ridley Scott โดยทาง Gucci ก็ได้ส่งไอเท็มจากคลังของทางแบรนด์มาให้กับ ​Costume Designer เช่นกัน

สำหรับผู้นั่งเก้าอี้ Costume Designer ประจำกองถ่ายคือ Janty Yates <a href="https://nypost.com/2021/11/23/house-of-gucci-fashion-is-true-to-the-brands-toxic-family/">ได้กล่าวไว้เมื่อเร็วๆ นี้ว่า</a>ทีมศิลป์ของทางกองได้ยืมเครื่องแต่งกายวินเทจจากคลังของ Gucci มาหลายชิ้นเพื่อที่จะสามารถถ่ายทอดความเป็น Gucci ในยุค 1970s และ 1980s ให้ได้ดีที่สุด

<figure><img class="wp-image-54844 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/Lady-Gaga_House-of-Guccijpg.jpg" alt="House of Gucci" width="720" height="480" /><figcaption> (Photo Credit: New York Post)</figcaption></figure>

หนึ่งในไอเท็มที่โด่งดังที่สุดภาพยนตร์เรื่องนี้คงหนีไม่พ้นชุดแบบ two-piece ที่มีโลโก้ของทางแบรนด์เต็มไปหมด พร้อมด้วยตะเข็บหนังที่ Lady Gaga สวมใส่ในฉากที่เธอไปเยือนตลาดขายของปลอม ในฉากอื่นๆ เรายังได้เห็นรองเท้า Horsebit Loafers สี Buttercream Yellow และรองเท้าหนัง Gucci Brixton ที่ออกแบบโดย Aldo Gucci ในปี 1953 อีกด้วย

ส่วนไอเท็มหลักของทางแบรนด์ที่ Rodolfo Gucci เป็นผู้ออกแบบก็ได้ปรากฎให้เห็นใน House of Gucci เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นผ้าพันคอที่เขารังสรรค์ให้กับ Grace Kelly และกระเป๋า Fifties Constance ที่ภายหลังได้ตั้งชื่อโดยมี Jackie Onassis เป็นแรงบันดาลใจ

ภาพยนตร์เรื่องนี้เปรียบเสมือนฝันสำหรับสาวก Gucci ที่รักของวินเทจจากแบรนด์นี้อย่างหัวปักหัวปำ ที่เปิดประตูให้พวกเขาได้มองย้อนกลับไปในยุค 1970s และ 1980s และเสาะหาไอเท็มเด็ดๆ ที่จะสามารถหาซื้อได้ในยุคปัจจุบันตามเว็บไซต์เสื้อผ้ามือสองทั้งหลาย ซึ่งนั่นก็รวมถึงกระเป๋า Gucci รุ่น Jackie, กระเป๋า Gucci รุ่น Jackie Bardot และอีกนับไม่ถ้วน
<h3>Father, Son, and Secondhand Gucci</h3>
เสื้อผ้าจาก Gucci ในยุค 1970 และ 1980 ที่คับจอนี้ ส่งผลให้แอปขายเสื้อผ้ามือสองต่างๆ อย่าง 1stdibs, Vestiaire, Poshmark และ Etsy เต็มไปด้วยข้าวของจาก Gucci จากช่วงที่ Tom Ford เป็น Creative Director (บัญชีผู้ใช้ในอินสตาแกรม<a href="https://www.instagram.com/tomfordforgucci/"> @tomfordforgucci</a> ได้มีส่วนช่วยในการตามล่าไอเท็มหลักๆ จากยุคนั้นอีกด้วย)

แม้ว่าจะยังระบุตัวเลขที่แน่ชัดไม่ได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีผลต่อยอดขายของ Gucci โดยเฉพาะชิ้นวินเทจต่างๆ มากแค่ไหน แต่ทางแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซอย่าง <a href="https://www.lovethesales.com/">lovethesales</a> ก็ได้รายงานว่ายอดค้นหากระเป๋า Gucci พุ่งขึ้นกว่า 250 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา

<figure><img class="wp-image-54839 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/Tom-Ford_Gucci.jpg" alt="Tom Ford_House of Gucci" width="720" height="480" /><figcaption> Tom Ford หลังเวทีแฟชั่นโชว์ของ Gucci (Photo Credit: Sleek Magazine)</figcaption></figure>

ยอดที่พุ่งขึ้นนี้ แน่นอนว่ายอดนั้นส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการช็อปในเทศกาลปลายปีก็เป็นได้ แต่เราก็ไม่สามารถมองข้ามความสนใจในแบรนด์ Gucci ที่อาจมี House of Gucci เป็นตัวกระตุ้น จนทำให้ยอดค้นหาใน Google ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาได้ 30 วันกว่าๆ ในสหรัฐฯแล้วได้เลย

กระแส Gucci วินเทจนี้ก็มาแรงในฝั่ง London ไม่แพ้กัน โดยซูเปอร์มาร์เก็ตประจำเมืองผู้ดีอย่าง Asda ได้จัดแคมเปญล่าสมบัติ โดยคัดสรร<a href="https://i-d.vice.com/en_uk/article/m7vvqp/asda-vintage-gucci-treasure-hunt">ไอเท็มวินเทจจาก Gucci</a> ทั้งหมด 30 ชิ้น และกระจายไปตาม <a href="https://global.direct.asda.com/george/clothing/10,default,sc.html">Georges at Asda</a> (ร้านขายเสื้อผ้าของทาง Asda) กว่า 50 สาขาเมื่อทั้งโลกกำลังบ้าคลั่งกับกระแส Gucci วินเทจที่จะมาพร้อมกับลมหนาวนี้ 

ชาเลนจ์ล่าสมบัติครั้งนี้เป็นการร่วมมือกับ<a href="https://www.preloved.co.uk/"> PreLoved</a> ร้านค้าส่งของวินเทจที่เผอิญเป็น ‘sustainability partner’ ของทาง Asda ซะด้วย “ไม่ว่าคุณจะเป็นคนรักของวินเทจ หรือแค่อยากจะหันหาตัวเลือกที่ยั่งยืนกว่า” Lauren Mallins ผู้เชี่ยวชาญจากฝ่ายซื้อของทางซูเปอมาร์เก็ตกล่าว “ของจาก PreLoved ที่เราเลือกมาเองกับมือเป็นเหมือนกับขุมสมบัติเต็มไปด้วยเพชรพลอย และตอนนี้ Gucci ก็จะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ลูกค้าของเราจะมาหาเรา”

แม้ว่าไอเท็มที่ปรากฎใน House of Gucci ที่นักช็อปทั้งหลายกำลังตามล่ากันอยู่ ทาง Gucci จะเป็นคนมอบให้กับทางกองถ่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าทั้งหมดที่คุณเห็นบนจอยักษ์จะมาจากคลัง Gucci หรอกนะ <a href="https://www.vogue.com/article/house-of-gucci-lady-gaga-costumes">Yates</a> เองก็พึ่งพา eBay และ Vestiaire Collective ในการตามล่าหา Gucci เพื่อนำมาโชว์ให้ผู้กำกับดูเหมือนกัน หน่ำซ้ำ เสื้อผ้าบางชิ้นยังมาจากตู้เสื้อผ้าของ Gaga เองอีกด้วย

<figure><img class="wp-image-54842 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/Father-son-and-House-of-Gucci.jpg" alt="Father, son and House of Gucci" width="720" height="405" /><figcaption> (Photo Credit: i-D)</figcaption></figure>

ทางฝั่งผู้เชี่ยวชาญเองก็ได้กล่าวว่า มันยากมากที่จะไล่ล่าหา Gucci วินเทจจากช่วงก่อนที่ Tom Ford จะเข้ามาเป็นดีไซน์ให้กับทางแบรนด์ตั้งแต่ปี 1990 ถึง 2004

<a href="https://www.harpersbazaar.com/culture/film-tv/a38335191/house-of-gucci-janty-yates-costume-design-interview/">Yates ยังได้อธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า</a>เธอได้หันไปยัง Museo Gucci ใน Florence เพื่อมองหาแรงบันดาลใจ เนื่องจากแบรนด์นี้ก็ได้ถือกำเนิดที่เมือง Florence ในปี 1921 “ฉันคิดว่า Gucci เป็นบริษัทที่มหัศจรรย์มาก เข็มขัดที่งดงาม รองเท้าและกระเป๋าที่สุดยอด แต่แฟชั่นในสมัยนั้นของทางแบรนด์ก็ดูค่อนข้างอนุรักษ์นิยมอยู่” เธอกล่าว

“เมื่อ Tom Ford เข้ามา เขาเข้ามาประดุจมีดร้อนๆ ที่มาตัดเนยเลย แล้วมันก็เซ็กซี่ขึ้นมาก บ้าสุดๆ ไปเลย ในสมัยนั้น ฉันไม่คิดว่า ready-to-wear เป็นแนวของ Gucci เลยล่ะ” Yates กล่าวทิ้งท้าย

แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ 
<ol>
 	<li>‘House Of Gucci’ Is Fueling A Vintage Gucci Craze เผยแพร่บน ​Forbes.com</li>
 	<li>Asda have organised a vintage Gucci treasure hunt เผยแพร่บน ​i-D.vice.com</li>
 	<li>House of Gucci is Here, But Will it Really Impact the Brand’s Sales? เผยแพร่บน ​Thefashionlaw.com</li>
</ol>
อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/emily-in-paris-%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%ad%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%87-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%ad.html">‘Emily In Paris’ กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับ ‘คอนเทนต์ช็อปได้’</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

House of Gucci: คดีสะเทือนโลก สู่ Gucci ในซูเปอร์มาร์เก็ต

‘Emily In Paris’ กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับ ‘คอนเทนต์ช็อปได้’

<h2>สรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง ผู้ก่อตั้งแบรนด์ TIMO TRUNKS แบรนด์แฟชั่นกางเกงว่ายน้ำชาย ที่จำหน่ายไปแล้วใน 14 ประเทศทั่วโลก และเป็นที่กล่าวถึงในต่างแดน พร้อมเปิดเผยแนวคิดขึ้นแท่นแบรนด์ชุดว่ายน้ำชายที่นำสมัยแห่งอนาคตผ่าน forbes.com</h2>
<img class="alignnone wp-image-49008 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/TIMO-Yangon.jpg" alt="สรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง" width="600" height="424" />

สรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง ผู้ก่อตั้งและควบตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างสรรค์ TIMO เมื่อปี 2011 และวันนี้  TIMO แบรนด์แฟชั่นกางเกงว่ายน้ำชาย เข้ามาเปลี่ยนตลาดกางเกงว่ายน้ำด้วยความความคิดสร้างสรรค์ผ่านการออกแแบบ ปัจจุบันส่งออกแบบไปแล้ว 14 ประเทศทั่วโลก และล่าสุดจับมือเป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตในอิตาลี มุ่งหน้าลดคาร์บอนฟูตปรินต์ จากการผลิตพร้อมนำเสนอกลยุทธ์ความยั่งยืนอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญหลังเดินหน้าสะสมประสบการณ์กว่า 10 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ สรรพสิทธิ์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Timo Trunks เปิดเผยบทสัมภาษณ์ผ่าน Joseph DeAcetis แฟชั่นคอลัมนิสต์และคอนทริบิวเตอร์ Forbes.com ว่า จากประสบการณ์การพัฒนาและออกแบบโรงแรม รีสอร์ต ทำให้ในช่วงเวลาหลายปีระหว่างเดินทางไปท่องเที่ยวตามเกาะต่างๆ ผมสังเกตและไม่พบชุดว่ายน้ำแบบที่ผมชอบที่ผู้คนสวมใส่ จึงตัดสินใจว่าผลิตสินค้าแฟชั่นด้านนี้เอง

โดยเน้นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไปที่การสร้างลวดลาย โดยแต่ละซีซั่น Timo จะออกแบบลายผ้าที่คิดว่าสวยและใหม่ที่สุดมากถึง 30 ลาย แต่จะมีเพียง 12 ลายที่ดีที่สุดเท่านั้นที่ถูกเลือกเข้ามาอยู่ในคอลเล็กชั่นนี้ จึงทำให้เราเรียกได้ว่าเป็น “นวัตกรรมแฟชั่น” ระดับโลกอย่างแท้จริง

“เราเลือกเฉพาะลายที่ใหม่ที่สุด และลายที่ไม่เคยมีใครในโลกทำมาก่อน ปัจจุบันเราได้นำเสนอลวดลายใหม่ๆ ออกสู่ตลาดไปแล้วหลายร้อยลวดลาย จนถึงขั้นต้องจัดทำคลังเก็บลวดลายผ้าไว้ในศูนย์ ฐานข้อมูลที่สตูดิโอ ซึ่งผู้ชายจะไม่เหมือนกับผู้หญิงตรงที่เวลาไปเที่ยวทะเลจะต้องมีชุดว่ายน้ำหลากหลายแบบ แต่ผู้ชายจะไม่ได้ซื้อชุดว่ายน้ำใหม่กันบ่อยๆ จึงจะใส่ชุดว่ายน้ำตัวเดิมซ้ำๆ กัน ดังนั้น การจะดึงดูดความสนใจของผู้ชายจึงต้องมีลวดลายที่ไม่เพียงสะดุดตาเท่านั้น แต่จะต้องเป็นลวดลายที่เข้าใจถึงความชอบของเขาอย่างลึกซึ้งชนิดที่เห็นแล้วต้องซื้อทันที”

<img class="alignnone wp-image-49007 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/TIMO-ESCHER-RED.jpg" alt="สรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง" width="300" height="313" />

จุดเด่นของ TIMO TRUNKS คือการสร้างสรรค์ลายผ้าเพื่อเป็นตัวเลือกของผู้บริโภคที่แต่งตัวทันสมัย โดยไม่ได้จำกัดแต่เพียงชุดว่ายน้ำชายเท่านั้น แต่ TIMO ยังมีกางเกงหลากหลายแบบที่เก๋ไก๋ โก้หรู และคล่องตัว เหมาะกับการสวมในวันหยุดพักผ่อน ด้วยคุณสมบัติของเนื้อผ้าที่ซับความชื้นได้ดี ช่วยให้แห้งเร็ว

นอกจากกางเกงว่ายน้ำแบบขาสั้น TIMO ยังเปิดตัวไลน์กางเกงว่ายน้ำแบบบิกินนี่ทรงเต็มตัว (Square Cut) ออกแบบมาเพื่อนักว่ายน้ำโดยเฉพาะ และกางเกงเล่นเซิร์ฟ เป็นอีกสองกลุ่มผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ของความเนี้ยบ เท่ห์ ตัดเย็บอย่างทันสมัย ลายผ้าที่มีเอกลักษณ์หรือเรื่องราวอันแหวกแนวของที่มาแต่ละลวดลาย เน้นลวดลายรูปทรงเรขาคณิตและมินิมัลยังคงเป็นสินค้ายอดฮิตเหมือนเช่นฤดูกาลก่อนๆ

นอกจากนี้ยังนำเทคนิคพื้นเมือง อย่างเช่น การมัดย้อมแบบญี่ปุ่นในสีแบบดั้งเดิมสำหรับการผลิต ที่เห็นได้ชัดว่าผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นแบบกีฬาที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้น เน้นการใช้งานและความทนทานไปพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ในหลายๆ คอลเล็กชั่น เขายังเปิดโอกาสในการดึงศิลปินดังทั่วโลก กลุ่มเด็กออทิสติก หรือสตรีในทัณฑสถานได้มีส่วนร่วมในการผลิตสินค้า และก้าวย่างสำคัญคือการริเริ่มการผลิตสินค้าที่ช่วยลด Carbon Footprint  หรือการผลิตที่ช่วยให้โลกยั่งยืน

“เราเดินหน้าผลิตสินค้าของทีโม่ ในโซนที่เรามีการจัดจำหน่ายสินค้าแบบรีเทล ยกตัวอย่างเช่น ตลาดในสหภาพยุโรป เราเริ่มจับมือเป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตในอิตาลี โดยมีแผนที่จะผลิตกางเกงว่ายน้ำ มุ่งหน้าลดคาร์บอนฟูตปรินต์ ที่เลือกวัสดุสินค้าที่ไม่จำเป็นต้องขนส่งไปรอบโลกหลายครั้งกว่าจะถึงมือลูกค้าเหมือนแต่ก่อน โดยตั้งแต่คอลเล็กชั่น 2023 เป็นต้นไป สินค้าที่จะจัดจำหน่ายในตลาดสหภาพยุโรป ก็จะผลิตในภูมิภาคนั้น หรือสินค้าที่จะจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา เราก็จะตั้งฐานการผลิตที่นั่นเลย ส่วนตลาดเอเชียสินค้าของเราทั้งหมดจะใช้ฐานการผลิตในประเทศไทย”

สำหรับท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา สรรพสิทธิ์ แสดงความคิดเห็นถึงยอดขายของแบรนด์ที่ยังเติบโต เพราะคนรู้สึกอืดอัด จึงมีความต้องที่จะออกไปเดินทางท่องเที่ยวอย่างมาก นับตั้งแต่มีการล็อกดาวน์ทั่วโลกครั้งล่าสุด ยอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้นสองเท่า ซึ่งลูกค้าเต็มใจที่จะจ่ายเงินมากขึ้นในการเตรียมตัวไปท่องเที่ยว ไม่ว่าจะซื้อต่อชิ้น หรือซื้อในจำนวนมากก็ตาม เพื่อเพิ่มความเอ็กซ์คลูซีฟของแต่ละทริป ซึ่งเป็นสิ่งที่เกินความคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก”

“ดูเหมือนว่าผู้บริโภคปัจจุบันจะใจถึงกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะเมื่อถึงโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น การไปท่องเที่ยวพักผ่อนหรือการไปร่วมงานปาร์ตี้ชายหาด เพราะทุกคนคิดว่าเดี๋ยวนี้ชีวิตไม่ยืนยาวเหมือนแต่ก่อนจากบทเรียนโควิด จึงหันมา ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุดทุกนาทีนับจากนี้” ผู้ก่อตั้งแบรนด์ทิ้งท้าย

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/people/fabulous-40s-and-50s/%E0%B8%A8%E0%B8%B8%E0%B8%A0%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B9%8C-%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%A5-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%B2.html">ศุภเชษฐ์ พิริยพูล กับก้าวที่มั่นคงของ “พิริยพูล”</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง สร้าง TIMO TRUNKS ดังไกลต่างแดน

<h2>Pomelo แพลตฟอร์มแฟชั่น omnichanel ชั้นนําของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดตัว Prism. แบรนด์โซลูชันครบวงจร ที่พร้อมช่วยเหลือแบรนด์ต่างๆ ในการยกระดับตำแหน่งทางการตลาดและขับเคลื่อนการเติบโต โดยใช้องค์ความรู้และประสบการณ์จาก Pomelo</h2>
<img class="alignnone wp-image-47229" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/Pomelo-Fashion-4-1024x684.jpg" alt="Pomelo เปิดตัวบริการ Prism." width="720" height="481" />

“สถานการณ์การแพร่ระบาดส่งผลกระทบอย่างมากต่อวงการแฟชั่น และจุดมุ่งหมายของ Prism. คือการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการให้บริการแบบครบวงจร เราต้องการช่วยให้แบรนด์ต่าง ๆ เติบโตไปพร้อมกับเรา และร่วมกันสร้างอุตสาหกรรมแฟชั่นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เติบโต” David Jou ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ <a style="color: #008000;" href="https://www.pomelofashion.com/th/th/clothes/new-arrivals">Pomelo Fashion</a> กล่าว 

โดยในช่วงวิกฤตโควิด-19 รายงานของ Google และ Temasek พบว่า ตลาดแฟชั่นออนไลน์เติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่าร้อยละ 22 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ

ด้วยเหตุนี้ Prism. จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนันสนุนการเติบโตของตลาด โดยอาศัยความชำนาญของ Pomelo ทั้งด้านสินค้า การตลาด เทคโนโลยี และการใช้ข้อมูลมากมายที่ได้จากผู้บริโภคกว่า 40 ล้านคนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาสร้างความโดดเด่นให้กับแต่ละแบรนด์และเชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

อาทิเช่น บริการ Tap.Try.Buy. ซึ่งเป็นฟีเจอร์การช้อปจากออนไลน์สู่ออฟไลน์ของ Pomelo ที่ให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าบนแอปพลิเคชัน ลองสินค้าที่หน้าร้านจริงของแบรนด์ในประเทศไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ และจ่ายเฉพาะชิ้นที่ถูกใจ

นอกเหนือจากนั้น แบรนด์ต่างๆ ยังสามารถใช้ประโยชน์ในด้านของการตลาดแบบรอบทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นการให้คำปรึกษาด้านแบรนด์ดิ้ง บริการสตูดิโอเต็มรูปแบบสำหรับสร้างสรรค์คอนเทนต์คุณภาพดี การใช้สื่อโซเชียลมีเดียในช่องทางต่างๆ ที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนเครือข่าย KOL และอินฟลูเอนเซอร์ที่กว้างขวาง 

<figure><img class="wp-image-47230" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/David-Jou.png" alt="Pomelo เปิดตัวบริการ Prism." width="543" height="733" /><figcaption> ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Pomelo Fashion</figcaption></figure>

“Pomelo เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแฟชั่นเทคโนโลยีมากว่า 8 ปี ด้วยความรู้และความเชี่ยวชาญที่เราได้รับมาระหว่างทาง รู้สึกว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมในส่งต่อความสามารถของเรา และสร้างชุมชนของแบรนด์ omnichannel ที่เข้าใจลูกค้า” Jou เสริม 

ปัจจุบัน Pomelo มีผู้เข้าใช้มากกว่า 40 ล้านคน และเริ่มให้บริการ Prism. แก่ Urban Revivo, Levi’s และแบรนด์อื่นๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/news/motoring/carro-ประเทศไทย-เตรียมเปิดตั.html">Carro (ประเทศไทย) เตรียมเปิดตัวประสบการณ์ซื้อ-ขายรูปแบบใหม่ จาก AI</a>

Pomelo เปิดตัวบริการ Prism. ตอบโจทย์แบรนด์สินค้าแฟชั่นด้วยโซลูชันการตลาด

<h2>"Maisie Williams" ร่วมโปรเจ็กต์ระดับโลกเพื่อสร้างอนาคตที่มีความยั่งยืนมากขึ้นให้แก่วงการแฟชั่น กับ H&amp;M โดยมีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ภายในปี 2573 กับการใช้วัสดุที่มาจากการรีไซเคิลหรือมาจากแหล่งที่ยั่งยืนเท่านั้น</h2>
<img class="alignnone wp-image-44142 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/hM_002.jpg" alt="Maisie Williams" width="600" height="424" />

"Maisie Williams" จะร่วมงานกับ H&amp;M ตลอดทั้งปี เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในโลกแฟชั่นทั้งในโลกเสมือนจริงและในชีวิตจริง เพื่อสนับสนุนให้มีการนำเสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้วกลับมาใส่ซ้ำ ทำเป็นเสื้อผ้าใหม่และนำมารีไซเคิล เพื่อร่วมกันทำให้วงจรการผลิตสินค้าแฟชั่นเป็นวงจรปิดที่ยั่งยืนได้ในอนาคต

Maisie กล่าวว่า ”ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ประกาศความร่วมมือกับ H&amp;M ในฐานะทูตด้านความยั่งยืนระดับโลกและรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทุกท่านกำลังจะได้เห็นผลงานที่เราร่วมกันสร้าง ในโอกาสนี้ฉันจะได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้เชี่ยวชาญของ H&amp;M เพื่อขับเคลื่อนโครงการริเริ่มด้านความยั่งยืนต่างๆ และวางรากฐานที่จะนำไปสู่อนาคตแห่งแฟชั่นที่เข้าถึงได้และครบวงจร

เป้าหมายในระยะยาวคือ ภายในปี 2573 วัสดุทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตสินค้าสิ่งทอของทุกแบรนด์ภายใต้ H&amp;M Group จะมาจากการรีไซเคิลหรือจากแหล่งที่ยั่งยืน 100% ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะลงมือทำและสร้างวงจรการผลิตสินค้าแฟชั่นที่มีศักยภาพมากขึ้นเพื่อปกป้องโลกของเราให้แก่คนรุ่นหลัง”

<img class="alignnone wp-image-44143 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/hM_003.jpg" alt="Maisie Williams" width="600" height="424" />

ฝาแฝดดิจิทัลของ Avatar Maisie

ตลอดปี 2564 นี้ H&amp;M และไมซี ผู้เป็นทั้งนักแสดง ผู้ผลิตภาพยนตร์และตัวแทนแห่งพลังความเป็นผู้หญิง การดูแลสิ่งแวดล้อมและความหลากหลาย จะร่วมมือกันในโปรเจ็กต์มากมายเพื่อสร้างวงจรหมุนเวียน หนึ่งในความร่วมมือที่น่าตื่นเต้นก็คือการเปิดตัวฝาแฝดดิจิทัล Maisie Williams  ซึ่งมีชื่อว่า Avatar Maisie

โดยตัวละครเสมือนจริงตัวนี้เป็นฝีมือการสร้างสรรค์ของนักสร้าง อนิเมชั่นสามมิติของ Goodbye Kansas Studio และจะเปิดตัวเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์ โดย Avatar Maisie และ Maisie ตัวจริงจะปรากฏตัวตลอดทั้งปีเพื่อสื่อสารกับลูกค้าของ H&amp;M ในการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการลงมือทำผ่านการร่วมมือกันและด้วยตนเอง

&nbsp;

ครั้งแรกของสถานีรีไซเคิลเสื้อผ้า Animal Crossing: New Horizons 

ความร่วมมือแรกคือการเปิดตัว H&amp;M Looop Island ในรูปแบบเกมยอดนิยมของ Nintend  ซึ่งคือเกมแอนิมอลครอสซิง : นิวโฮไรซอนส์ (Animal Crossing: New Horizons) สถานีนี้มีชื่อว่า H&amp;M Looop Island โดยตั้งชื่อให้เข้ากับเครื่องรีไซเคิลเสื้อผ้าของ H&amp;M ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งให้คนนำเสื้อผ้าเก่ามารีไซเคิลให้เป็นเสื้อผ้าใหม่ได้
ซึ่งภายในเกม

H&amp;M Looop Island ได้รับการออกแบบในธีมความยั่งยืน โดยมีฟังก์ชันโดดเด่นคือผู้เล่นสามารถนำเสื้อผ้าในเกมมารีไซเคิลเป็นเสื้อผ้าใหม่ได้ที่เครื่อง Looop ในสถานีรีไซเคิลเสื้อผ้าแห่งแรกของแอนิมอลครอสซิง : นิวโฮไรซอนส์ ซึ่งจะเปิดตัวในวันที่ 13 เมษายนนี้

Pascal Brun หัวหน้าฝ่ายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ H&amp;M กล่าวว่า “การได้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์นี้กับไมซี วิลเลียมส์ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมแฟชั่น โดยการส่งเสริมให้ลูกค้าหันมานำเสื้อผ้าเก่ากลับมาใส่ซ้ำ ทำเป็นเสื้อผ้าใหม่ หรือนำมารีไซเคิล นี่คือสิ่งที่เป็นเป้าหมายของ H&amp;M คือ อนาคตของแฟชั่นจะต้องเปลี่ยนไป ซึ่งเราอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา”

<img class="alignnone wp-image-44141 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/hM_001.jpg" alt="Maisie Williams" width="600" height="424" />

Maisie Williams และ H&amp;M พบกับกลุ่มเกมเมอร์ 

ในวันที่ 13 เมษายน 2564 เกมเมอร์ทั่วโลกจะได้มีโอกาสพบกับไมซี ซึ่งเป็นแฟนตัวยงของแอนิมอล
ครอสซิง ที่ Looop Island รวมถึงได้พบกับ Pascal Brun หัวหน้าฝ่ายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ H&amp;M ซึ่งผู้เล่นที่มาเยี่ยมชมสถานีนี้จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการรีไซเคิล ร่วมสนุกกับ H&amp;M และแบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับแฟชั่นหมุนเวียน โดยการทิ้งข้อความไว้ที่กระดานของ H&amp;M Looop Island

อ่านเพิ่มเติม : <a href="https://forbesthailand.com/news/travel/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94.html">กลุ่มสแตนดาร์ด เปิดตัว “เดอะ เภรี โฮเต็ล” 2 แห่งในไทย</a>

&nbsp;

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events