รยา วรรณภิญโญ GENTLEWOMAN แฟชั่นไทยพันล้าน ที่ใช้ทีมเวิร์คและดาต้าดีไซน์ความสำเร็จ - Forbes Thailand

รยา วรรณภิญโญ GENTLEWOMAN แฟชั่นไทยพันล้าน ที่ใช้ทีมเวิร์คและดาต้าดีไซน์ความสำเร็จ

จากพนักงานประจำที่ค้นพบว่าแฟชั่นและการทำธุรกิจของตัวเองคือความชอบ เมื่อแบรนด์เล็กๆ ของเธอเริ่มไปได้ ‘รยา วรรณภิญโญ’ หรือ แพง จึงตัดสินใจลาออกจากงานมาทำแบรนด์ของตัวเอง และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอได้พบกับหุ้นส่วน ก่อกำเนิดเป็น GENTLEWOMAN แบรนด์แฟชั่นสัญชาติไทยเจ้าของกระเป๋า Tote ที่ฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง จนกลายเป็นบริษัทรายได้พันล้าน และกำลังจะ Explore ไปตลาดต่างประเทศ


    ไม่กี่นาทีหลังศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์เปิดให้บริการในช่วงวันพุธซึ่งเป็นวันกลางสัปดาห์ บรรยากาศที่หน้าร้านแฟล็กชิปสโตร์สาขาล่าสุดของ GENTLEWOMAN ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชั้น 2 ก็คึกคักไปด้วยลูกค้าโดยเฉพาะชาวต่างชาติที่เข้ามาเลือกซื้อสินค้าในร้าน แน่นอนว่ามุมฮอตที่สุดที่มีลูกค้าเข้าไปเลือกชมไม่ขาดสาย คือมุมของ ‘กระเป๋า’ นั่นเอง

    หากใครยังจำกันได้ในช่วงโควิด กระเป๋า Tote ผ้าแคนวาสที่ด้านนอกมีคำว่า GENTLEWOMAN เป็นตัวอักษรขนาดใหญ่เบิ้ม คือไอเทมสุดฮิตที่เชื่อว่าในช่วงนั้นหากใครขึ้นรถไฟฟ้า ไปช็อปปิ้ง หรือไปนอกบ้าน ก็ต้องได้เห็นคนใช้กระเป๋ารุ่นนี้สักหนึ่งคนเป็นอย่างน้อย และไม่แน่ว่าผู้ที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ ก็อาจจะเป็นเจ้าของกระเป๋ารุ่นนี้ด้วยเช่นกัน

    แต่จุดเริ่มต้นของ GENTLEWOMAN ไม่ใช่กระเป๋า

    “กระเป๋า Tote รุ่นนั้นเป็นสินค้าแรกที่เราใช้ชื่อแบรนด์อยู่บนสินค้า ก่อนหน้านั้นเราเริ่มมาจากเสื้อผ้า แล้วเรารู้สึกว่าคนยังไม่รู้จัก เราเลยไม่กล้าเอาชื่อแบรนด์ไปไว้บนโปรดักต์เลย แต่พอเราอยากลองทำไอเทมอย่างอื่นที่ไม่ใช่เสื้อผ้าซึ่งก็คือกระเป๋าอันนี้ เราเลยลองดูว่าถ้าเอาชื่อแบรนด์ไปวาง โดยดีไซน์โลโก้ให้มีความเหลื่อม มีความเกยนิดนึง โดยที่ไม่ได้คาดหวังว่าคนจะชอบขนาดไหน

    “แต่ด้วยฟังก์ชั่น ความใช้ง่าย และช่วงนั้นที่คนเริ่มหันมาใช้ถุงผ้าเยอะ และโควิด คนก็ใช้ไปซูเปอร์ฯ เลยเหมือนเห็นเยอะขึ้นเรื่อยๆ มีดารา อินฟลูเอ็นเซอร์ใช้ เกิดการบอกปากต่อปาก คนก็อยากใช้ตาม” แพง-รยา วรรณภิญโญ กล่าวถึงที่มาที่ไปของการทำกระเป๋ารุ่นนั้นของแบรนด์


    เธอคือหนึ่งในบรรดาผู้ก่อตั้งทั้งหมด 3 คน ที่ต่างก็มี Passion ของการเป็นผู้ประกอบการ และเริ่มทำธุรกิจด้วยกันเพราะรู้สึกว่าอยากทำ และสนุกที่จะทำ

    ย้อนไปก่อนจะมี GENTLEWOMAN แพง-รยา เริ่มต้นชีวิตผู้ประกอบการแบบบังเอิญเล็กๆ เดิมทีเธอทำงานเป็น Audit ในบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสายอาชีพที่ตรงกับสิ่งที่เธอเรียนมาอย่างคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี สาขาการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ช่วงนั้นเธอเริ่มทำเสื้อผ้าใส่เองเพื่อแก้ Pain Point ที่ว่าเป็นคนตัวเล็กและหาเสื้อผ้าใส่ยาก

    เสื้อผ้าที่เธอทำใส่เองได้รับความสนใจจากเพื่อนร่วมงาน หลายคนอยากให้เธอทำขาย นั่นจึงเป็นการตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจเล็กๆ ควบคู่กับการทำงานประจำไปด้วย โดยใช้เวลาหลังเลิกงานและวันหยุดในการเช็กออร์เดอร์ แพ็กสินค้า ขนของไปส่งที่ไปรษณีย์

    “พอมันไปได้ดี รายได้ถ้าเทียบกับเงินเดือนเด็กจบใหม่ ณ ตอนนั้น ก็เรียกว่าค่อนข้างอยู่ได้ เราเริ่มรู้สึกว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เราชอบมากกว่า แล้วก็อยากจะอยู่กับมันไปเรื่อยๆ มากกว่างานประจำ เลยตัดสินใจออกจากงานประจำมาทำธุรกิจส่วนตัว แล้วพอเราเริ่มมีเวลา เราเลยรู้สึกว่าอยากลองไปเริ่มหาความรู้ใหม่ๆ เลยไปเรียน MBA ที่ศศินทร์ (สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)”

    การทำแบรนด์เสื้อผ้าออนไลน์ของ แพง-รยา ทำให้เธอได้พบกับหุ้นส่วนอีก 2 คนของ GENTLEWOMAN คือ จิตพล ศิริวัฒนเมธางกูร และ สิริภา เรืองวุฒิสกุลชัย ซึ่งขณะนั้นทำธุรกิจป๊อปอัพมาร์เก็ต รวบรวมแบรนด์ร้านออนไลน์มาเปิดบูทขายหน้าศูนย์การค้า ซึ่งแบรนด์ของ รยา ก็มาออกบูทด้วย ความคุยกันถูกคอทำให้รู้สึกว่าอยากร่วมทำธุรกิจอะไรสักอย่างด้วยกัน ก่อตั้งเป็นร้านมัลติแบรนด์อย่าง Camp ที่สาขาแรกที่สยามสแควร์ ซอย 5

    ธุรกิจแรกอย่าง Camp ค่อนข้างไปได้ดี ขยายสาขาไปได้ราว 5-6 สาขา แต่มาเจอกับโรคระบาด ด้วยโมเดลธุรกิจที่มีหัวใจคือหน้าร้าน ทำให้ Camp ต้องปิดตัวลงไป

    “ตอนนั้นเราคิดว่าการทำแบรนด์ของตัวเองมันมีทางให้ไปมากกว่า แล้วเราก็พอมีประสบการณ์ในการทำแบรนด์แล้ว เลยลองทำเป็นแบรนด์เจนเทิลวูแมนขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่แบรนด์เดิมที่เราเคยทำ แต่ก็เอาประสบการณ์ที่เคยทำเกี่ยวกับเสื้อผ้ามาใช้บ้างในช่วงแรกๆ”


[ แบรนด์แฟชั่น ยังไงก็ต้องมี ‘หน้าร้าน’ ]

    ปี 2018 แบรนด์ GENTLEWOMAN ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยมาในคอนเซ็ปต์แบรนด์เสื้อผ้าทำงานกึ่งแฟชั่น ที่มีสไตล์และไซส์ที่เข้ากับคนไทย สินค้าคอลเลคชั่นแรกเป็นเสื้อผ้าล้วน ยังไม่มีแอคเซสซอรี่อย่างอื่น

    “ช่วงแรกที่เราอยากเป็นแบรนด์แฟชั่นชุดทำงาน เราเลยอยากได้ชื่อแบรนด์ที่มีความ Strong แต่ว่ายังมีความ Feminine เพราะเราตั้งใจทำเสื้อผ้าผู้หญิงอย่างเดียวอยู่แล้ว ซึ่งคำว่า Gentlewoman ล้อมาจาก Gentleman ฟังแล้วก็จะดูมั่นใจ ดู Independent ดี ประกอบกับเป็นชื่อที่พูดง่าย ทุกคนอ่านออก ทุกคนออกเสียงถูกต้อง เราเลยใช้ชื่อนี้”



    ทั้งนี้ แม้จะเคยบาดเจ็บจากธุรกิจที่พึ่งพิงการมีหน้าร้านมาแล้ว แต่ แพง-รยา บอกว่าถึงอย่างไรการเป็นสินค้าแฟชั่นก็จำเป็นที่จะต้องมีหน้าร้านอยู่ นั่นทำให้เจนเทิลวูแมนเลือกเปิดหน้าร้านพร้อมๆ กับออนไลน์ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มธุรกิจ โดยสาขาแรกคือชั้นใต้ดินของสยามแควร์วัน

    “การได้มาลองหรือจับสินค้าจริง เป็นประสบการณ์ที่ต่างจากการช็อปปิ้งออนไลน์ และลูกค้าคนไทยชอบเดินห้าง เพราะฉะนั้นถ้าเป็นห้างที่มีโลเคชั่นที่ดี ยังไงก็มีทราฟฟิก และลูกค้าเราก็ชอบที่จะได้มาลองของจริง พอเราเปิดทั้งออฟไลน์และออนไลน์คู่กัน เรารู้เลยว่าคนจำเป็นต้องเห็นของจริงก่อน หรือว่ายิ่งเขาไม่รู้จักเรา เขายิ่งอยากมาลองไซส์อยู่แล้วว่ามันพอดีหรือเปล่า เราเลยมองว่าการมีหน้าร้านมันเป็นประโยชน์”

    แต่ถึงอย่างนั้นช่วงธุรกิจยังตั้งไข่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อแบรนด์ยังไม่เป็นที่รู้จักทำให้ยังไม่ค่อยมีลูกค้า แต่ธุรกิจมาพร้อมกับฟิกซ์คอสต์อย่างค่าเช่าที่ ซึ่งทำให้เจนเทิลวูแมนขาดทุนในระดับ 7 หลักอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง

    “ช่วงที่เปิดช่วงแรกเรียกได้ว่าแทบไม่มีลูกค้าเลย ซึ่งโลเคชั่นที่เราเลือก เราก็รู้สึกว่าทราฟฟิกค่อนข้างดี เพราะฝั่งตรงข้ามเป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่ใหญ่มาก มีลูกค้าตลอดเวลา เลยรู้สึกว่าทราฟฟิกห้างประมาณนี้ อย่างน้อยต้องมีคนเข้าบ้าง แต่ก็ไม่มี ซึ่งเป็นเพราะประสบการณ์เราอาจจะยังไม่คมพอในการเลือกสาขาแรก แต่ก็ทำให้เราได้เรียนรู้หลายอย่างว่าโลเคชั่นที่ดีอาจไม่ใช่โลเคชั่นที่เหมาะ”


[ แฟชั่นไม่ใช่แค่เสื้อผ้าอีกต่อไป ]

    จุดเปลี่ยนสำคัญของเจนเทิลวูแมนคือช่วงโควิด โรคระบาดทำให้โลกการทำงานเปลี่ยนไป ผู้คนต้องทำงานจากที่บ้านแทน นั่นทำให้เสื้อผ้าชุดทำงานอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นในตอนนั้น กลายเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของเจนเทิลวูแมนที่ต้องพับเก็บคอนเซ็ปต์เดิม และปรับโปรดักต์ครั้งใหญ่ให้กลายเป็นสิ่งที่ casual ขึ้น ใส่ง่ายมากขึ้น และเทรนดี้มากขึ้น

    หลังจากนั้น เจนเทิลวูแมนเริ่มแตกไลน์สู่โปรดักต์อื่นๆ ที่ไม่ใช่เสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋า รองเท้า แอคเซสซอรี่ต่างๆ เช่น หมวก กิ๊บติดผม พวงกุญแจ สร้อยคอ ต่างหู ฯลฯ ไปจนถึงปัจจุบันที่มีทั้งแก้วน้ำ กระบอกน้ำ และสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงด้วย

    “แอคเซสซอรี่อย่างอื่นมาเกิดตอนโควิด เพราะเรารู้สึกว่าการเป็นแบรนด์แฟชั่นไม่ใช่แค่เสื้อผ้าแล้ว การที่ลูกค้าเดินเข้าร้านแฟชั่น เขาอาจจะไม่ได้มองหาแค่เสื้อผ้าก็ได้ และแอคเซสซอรี่อื่นๆ บางทีเป็น entry product เขาอาจจะยังไม่ได้อยากซื้อเสื้อผ้าเราในวันนี้ แต่เขาอาจจะซื้อกระเป๋า รองเท้า หรือของจุกจิกอื่นๆ ที่ใช้ง่ายกว่า แล้วหลังจากนั้นเขาอาจจะกลับมาลองเสื้อผ้าเราก็ได้”


    นอกจากจะได้รับการตอบรับดีจากลูกค้าชาวไทยแล้ว ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าต่างชาติด้วย หน้าร้านอย่างแฟล็กชิปสโตร์ขนาด 1,500 ตารางเมตรที่เซ็นทรัลเวิลด์ มีลูกค้าจากหลากหลายสัญชาติแวะเวียนมาเลือกซื้อตั้งแต่ห้างเปิด กิจการขยายจากพนักงานเพียงหยิบมือในปีแรก สู่จำนวนกว่า 200 คนในปัจจุบัน (ไม่รวมพนักงานหน้าร้าน) จำนวนสาขาขยายสู่ 26 สาขา กระจายทั้งในศูนย์การค้าชั้นนำในกรุงเทพฯ และยังขยายไปต่างจังหวัดอย่างเชียงใหม่ หาดใหญ่ ขอนแก่น และภูเก็ต 2 สาขา

    ความสำเร็จของบริษัทก็สะท้อนออกมาผ่านตัวเลขผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดจนมีรายได้หลักพันล้าน โดยข้อมูลจากเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ รายงานผลประกอบการบริษัท เจนเทิลวูแมน จำกัด ไว้ดังนี้

    -ปี 2564 รายได้ 168,247,566.52 บาท กำไร 31,986,020 บาท
    -ปี 2565 รายได้ 594,095,401.92 บาท กำไร 183,876,645.68 บาท
    -ปี 2566 รายได้ 1,506,658,828.19 บาท กำไร 525,147,179.46 บาท


[ ความล้มเหลวเป็นเรื่องปกติ ความสำเร็จมาจาก ‘ทีมเวิร์ค’ และ ‘ดาต้า’ ]

    รยา บอกกับ Forbes Thailand ว่า กุญแจความสำเร็จของเจนเทิลวูแมนในแง่หนึ่งมาจากโปรดักต์และแบรนดิ้งที่มี Identity ที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีการทำงานที่อาศัยกลยุทธ์ที่แตกต่างจากแบรนด์อื่น เช่น การออกสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ทุกสัปดาห์

    “ย้อนกลับไปช่วงแรกเราก็ทำเหมือนแบรนด์อื่น คือมีเป็นซีซั่น จากนั้นเราก็ทำถี่ขึ้น คือสองเดือนครั้ง เดือนละครั้ง จนมาอาทิตย์ละครั้ง เพราะมองว่าลูกค้ามองหาอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอด คือเหมือนยิ่งเรามีสาขาเยอะ ทุกครั้งที่ลูกค้ามาที่ร้าน ถ้าเราไม่ได้มีอะไรใหม่ๆ เลย ก็เหมือนไม่มีอะไรดึงดูดให้เขากลับมาหาเราเรื่อยๆ”



    แม้จะออกคอลเลคชั่นใหม่ทุกสัปดาห์ แต่เธอไม่อยากให้มองว่าเจนเทิลวูแมนเป็น Fast Fashion เพราะสินค้าของเจนเทิลวูแมนให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพ อีกทั้งแต่ละคอลเลคชั่นยังผลิตมาในจำนวนจำกัด ไม่ใช่การผลิตออกมาในปริมาณมากๆ แล้วนำมาลดราคาในภายหลัง

    “เราเร็วในแง่การทำงานหรือการออกคอลเลคชั่นใหม่ แต่คุณภาพของโปรดักต์ หรือสิ่งที่เราตั้งใจจะทำ เราอยากให้สิ่งนี้อยู่ได้ยาวๆ ใช้ได้ยาวๆ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเห็นว่ามีลูกค้าใช้ชุดทำงานที่ออกมาตั้งแต่ 5 ปีที่แล้วอยู่ นี่เป็นสิ่งที่เราทำในเรื่องของคุณภาพ” รยา กล่าว ก่อนจะย้ำว่า “GENTLEWOMAN เราไม่เน้นขายของเซลส์ เราพยายามจะบอกลูกค้าว่าของมีจำนวนจำกัดนะ ถ้าเขาชอบคอลเลคชั่นนี้ เขาต้องรีบมาซื้อ”


    นอกจากกลยุทธ์ที่แตกต่าง อีกหนึ่งปัจจัยที่รยาย้ำถึงอยู่เสมอว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เจนเทิลมาไกลจนถึงวันนี้ นั่นก็คือ ‘ทีมเวิร์ค’ โดยเฉพาะการสื่อสารและการรับฟังความคิดของกันและกันอยู่เสมอ ตั้งแต่ผู้ร่วมก่อตั้งทั้งสามคน จนมาถึงทีมงานในปัจจุบัน ที่การตัดสินใจในหลายๆ ครั้งไม่ได้เกิดจากใครคนใดคนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการระดมสมองและตัดสินใจร่วมกัน

    เพราะทีมเวิร์คเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้เจนเทิลวูแมนเลือกคนข้ามาทำงานโดยเลือกจากคนที่มี DNA เหมือนกัน ให้คุณค่ากับบางสิ่งบางอย่างเหมือนกัน “เรารู้สึกว่าคนแบบเดียวกัน ถ้าอยู่ในที่เดียวกัน จะสามารถไดรฟ์อะไรให้เกิดได้เร็วขึ้น”

    Value ที่รยาบอกว่าเจนเทิลวูแมนให้ความสำคัญ คือการทำงานเป็นระบบ และมี Analytical Skill คือสามารถนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของตัวเองมาวิเคราะห์และปรับใช้กับการทำงานได้ เรียกได้ว่าเป็นบริษัทแฟชั่นที่ใช้ Data Driven ประกอบด้วย

    เธอยกตัวอย่างว่าในการออกแบบสินค้าใหม่ๆ แม้ว่าแฟชั่นจะต้องอาศัยเรื่อง Emotional เข้ามาเกี่ยว แต่ก็จะบอกทีมว่าไม่สามารถใช้ความชอบของตัวเองอย่างเดียวในการออกแบบได้ ต้องดูข้อมูลประกอบด้วย

    “การออกแบบต้องอิงกับเทรนด์อยู่แล้ว ซึ่งดีไซเนอร์แต่ละคนต้องไปคิดมาว่าช่วงนี้เขาอยากทำอะไร หรือมีอันไหนที่เขาอยากหยิบมาปรับหรือมา adapt ให้เป็น inspiration ของแต่ละคอลเลคชั่น เราจะค่อนข้างให้เวทีกับน้องๆ ดีไซเนอร์ เพราะเรารู้ตัวว่าเราไม่ใช่มนุษย์ดีไซเนอร์ แต่ว่าเราก็จะสอนเขาว่าการดีไซน์ไม่ใช่ based on art อย่างเดียว สิ่งที่ต้องทำคือ นอกจากความสวยงาม เขาต้องดูข้อมูลด้วย นี่เป็นสิ่งที่ co-founder พยายามสอนน้องๆ ในทีมของเราทุกคน”


    แม้จะอาศัยทั้งความสวยงามและใช้ข้อมูลประกอบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าสินค้าทุกชิ้นจะขายดี แต่รยาบอกว่าความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องแปลก

    “ความ fail เป็นเรื่องปกติมาก ไม่มีใครที่ไม่เคย fail แม้แต่แบรนด์ที่ใหญ่กว่าเรามากๆ เขาก็ต้องมีสินค้าที่ขายไม่ได้ แต่ถ้าเรามีเวทีให้น้องเราได้ทดลองเยอะ แปลว่าน้องจะมีข้อมูลเยอะว่าสิ่งนี้เวิร์ค สิ่งนี้ไม่เวิร์ค ถ้าเขาปรับแบบนี้ มันอาจจะออกมาดี หรือมันอาจจะไม่เวิร์คอีกก็ได้ แต่ถ้าเราไม่ลองเลย เราจะไม่มีดาต้าพวกนี้มาใช้พัฒนาต่อไปได้เลย

    “เพราะฉะนั้นการ fail เป็นเรื่องปกติมากๆ เราบอกกับน้องในทีมเสมอว่าเรา fail ได้ แต่ต้อง fail ในขอบเขตความเสี่ยงที่เราจำกัดไว้แล้วว่าเราจะเทสต์นะ แต่ถ้าเราเทสต์แล้วมันไม่เวิร์ค จนถึงจุดนึงเราต้องไม่ฝืน”


[ เตรียม Explore ตลาดต่างประเทศ ]

    แม้จะเติบโตมาไกล แต่ แพง-รยา บอกว่าเจนเทิลวูแมนก็ยังมีความท้าทายอยู่ “การแข่งขันรุนแรงในทุกอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่แฟชั่น ถามว่ากลัวไหม คงไม่ใช้คำว่ากลัว แต่จะทำยังไงให้เราไม่เหมือนคนอื่น ทำยังไงให้เราอยู่ได้ไปเรื่อยๆ ซึ่งแบรนด์แฟชั่นทุกแบรนด์มี identity ที่ต่างกันอยู่แล้ว สิ่งที่เราพยายามทำคือพยายามพูดออกมาให้ลูกค้าเห็นภาพ เห็น brand value ของเรา ทั้งลูกค้าเก่า ลูกค้าใหม่ และลูกค้าที่อาจจะรู้จักเราแค่ผิวเผิน”

    เธออธิบายว่า GENTLEWOMAN ตั้งใจที่จะ Empower ผู้หญิง โดยให้ความสำคัญกับการเป็นปัจเจก ความแตกต่าง และความสวยงามที่ไม่เหมือนกันของแต่ละคน โดยล่าสุดในงานเปิดแฟล็กชิปสโตร์สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ ได้จัดแฟชั่นโชว์ในชื่อ THE REAL-ity SHOW ที่ใช้นางแบบที่มีคาแร็กเตอร์ที่แตกต่าง ตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ มาโชว์ในลุคต่างๆ ที่ใส่ได้จริงผ่านการมิกซ์แอนด์แมตช์ที่ต่างกัน

    “เป็นสิ่งที่เราพยายามสื่อว่า จริงๆ แล้วความสวยงามของเแฟชั่นหรือเสื้อผ้ามันไม่ต้องประดิษฐ์หรือเป็นอะไรก็ตามที่จับต้องไม่ได้ มันค่อนข้าง simple แต่ว่าแล้วแต่คนจะตีความ แล้วแต่ว่าคนจะแมตช์ยังไง เราชอบสไตล์นี้ เรามั่นใจแบบนี้ นี่เป็นสิ่งที่เราพยายามจะนำเสนอในแง่ความหลากหลายตรงนี้”

ภาพจากงาน THE REAL-ity SHOW


    สำหรับแผนธุรกิจของ GENTLEWOMAN ในปีนี้ คือตั้งเป้าเปลี่ยนสาขาบางแห่งให้เป็นแฟล็กชิปสโตร์ ซึ่งต้องขยายพื้นที่ร้านเพิ่ม รวมถึงยัง Explore สำหรับโอกาสในการขยายสาขาใหม่ในไทย และขยายไปต่างประเทศด้วย เนื่องจากได้รับการตอบรับที่ดีจากต่างชาติโดนเฉพาะลูกค้าจากประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


[ อยากทำธุรกิจสำเร็จ ต้องวางแผน ลงมือทำเลย ต่อเนื่อง และจริงจัง ]

    ช่วงท้ายของการพูดคุยในวันนั้น Forbes Thailand ถามเธอถึงคำแนะนำสำหรับคนที่อยากจะเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งผู้บริหารในวัยย่าง 37 ปีอย่าง แพง-รยา ให้คำแนะนำข้อแรกนั่นก็คือ “ต้องรู้ก่อนว่าอยากทำอะไร อยากขายอะไร และขายให้ใคร ที่สำคัญมากๆ คือต้องวางแผน แต่ว่าแผนนี้ต้องปรับเปลี่ยนได้ตลอด การมีแพลนเป็นเรื่องที่ดี แต่การมี contingency plan เป็นเรื่องที่ดีกว่า เพราะว่ามันพร้อมที่จะมีอะไรที่ไม่คาดฝันเข้ามาเสมอ การมีแพลนบีจะทำให้เรากลับมาได้เร็ว ถ้าสมมติมีอะไรที่ทำให้เราไม่เป็นไปตามที่คิด”


    ข้อที่ 2 ที่เธอนะนำนั่นก็คือ “ถ้าอยากทำอะไรก็ทำเลย มีการวางแผนและลงมือทำเลย เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุดคือเวลา ยิ่งเราปล่อยเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ก็เหมือนปล่อยโอกาสให้ผ่านไปเรื่อยๆ คนที่ลงมือทำเร็วก็จะได้เปรียบ แพงว่ามันไม่มีวันที่พร้อมที่สุดสำหรับทุกคน แค่ต้องมองว่าปัจจุบันเรามีอะไรรอบตัว เพราะฉะนั้นเราอาจจะไม่ต้องเริ่มให้ใหญ่มาก แต่ว่าระหว่างทางอาจจะมีโอกาสนู่นนี่เข้ามาให้เราลอง เราก็อย่าพลาด”

    และข้อสุดท้ายที่เธอแนะนำคือ “ต้องมีความต่อเนื่องและจริงจัง ถ้าเทียบสมัยที่แพงเริ่ม (ทำธุรกิจ) สมัยนี้อาจจะเริ่มอะไรได้ง่ายขึ้น ด้วยตัวช่วยหลายๆ อย่าง หรือ know-how ที่สามารถเสพได้จากที่ต่างๆ แต่ว่าในการที่จะจริงจังกับมันมากพอ จนสามารถทำมันต่อไปได้เรื่อยๆ แม้ว่าจะเจออุปสรรคหรือความเหลว สิ่งนี้ (ความต่อเนื่องและจริงจัง) อาจจะเป็นคุณสมบัติที่ entrepreneur ต้องมี”



น่ารู้นอกจากแบรนด์ GENTLEWOMAN แล้ว บริษัท เจนเทิลวูแมน จำกัด ยังมีอีก 2 แบรนด์ในเครือด้วย คือ Gentle Littlewoman แบรนด์เสื้อผ้าเด็กที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการที่ แพง-รยา มีลูก ส่วนอีกแบรนด์หนึ่งคือ Matter Maker ซึ่งเป็นเสื้อผ้าแนวสตรีทแฟชั่น



ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์ และ GENTLEWOMAN



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘ศุภณัฐ สัจจะรัตนกุล’ Shinkanzen Sushi จากซูชินักศึกษา สู่อาณาจักรอาหารพันล้าน

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine