Jean Cassegrain ยืนยัน ประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในตลาดยุทธศาสตร์สำหรับ Longchamp แบรนด์สินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์หรูจากฝรั่งเศส ด้วยยอดขายอันโดดเด่นจากธุรกิจอี-คอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา แม้จะเกิดวิกฤตโควิดทั่วโลกก็ตาม
หลังจากสถานการณ์โรคระบาดเริ่มบรรเทาลง Jean Cassegrain ผู้สืบทอดธุรกิจรุ่น 3 และประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนปัจจุบันแห่ง Longchamp ก็เริ่มออกเดินทางพบปะพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ รวมถึงให้สัมภาษณ์กับนักข่าวตามประเทศต่างๆ อีกครั้ง โดยครั้งนี้ ทาง Forbes Thailand ก็ได้มีโอกาสพบปะกับผู้สืบทอดธุรกิจ Longchamp ชาวฝรั่งเศสคนนี้ด้วย
โดยผู้พาซีอีโอคนนี้มาพบปะนักข่าวคือ PP Group ผู้จัดจำหน่ายสินค้า Longchamp อย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดย Jean Cassegrain กล่าวว่า “สำหรับประเทศไทย เราจับมือเป็นพันธมิตรกับ PP Group ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า Longchamp ในรูปแบบค้าปลีกแต่เพียงผู้เดียวตั้งแต่ปี 2557 โดย PP Group บริหารแบรนด์ได้เป็นอย่างดีและมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น” และเสริมว่า “ทั้งนี้ Longchamp ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ช่วยให้ตลาดในประเทศสำหรับ Longchamp ขยายตัวด้วยการจัดจำหน่ายผ่าน omni-channel หรือการผสมผสานช่องทางจำหน่ายแบบออนไลน์และแบบหน้าร้านเข้าด้วยกัน”
ทาง PP Group ยังเผยด้วยว่า ทางบริษัทมีแผนจะเปิดบูติก Longchamp ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ 2 สาขา ในไตรมาส 3 และ 4 นี้ เพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตของแบรนด์หรูจากฝรั่งเศส โดย Cassegrain เผยว่า คอนเซ็ปต์ใหม่นี้ จะเปรียบเสมือนการนำความเป็นปารีเซียงมามอบให้กับลูกค้าผ่านหน้าร้าน ให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนก้าวเข้ามาในที่พักของสาวชาวปารีเซียง มอบความรู้สึกที่เป็นกันเองยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ เมื่อถามถึงศักยภาพของตลาดไทย Cassegrain ก็ได้กล่าวว่า “ประเทศไทยมีประชากรมากถึง 70 ล้านคน นับเป็นหนึ่งในตลาดที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์สำหรับ Longchamp และเป็นหนึ่งในประเทศที่มียอดซื้อสูงสุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”
และเผยว่า “สัดส่วนการจัดจำหน่ายในปัจจุบัน จะเป็นยอดขายจากฝรั่งเศสร้อยละ 30 ยุโรปและตะวันออกกลางร้อยละ 29 อเมริการ้อยละ 13 และเอเชียร้อยละ 28” โดยทาง Cassegrain เองก็มองว่า ตลาดเอเชียยังสามารถโตได้กว่านี้อีกมาก เนื่องจากยังมีโอกาสให้ขยายตัวทั้งในด้านของหน้าร้าน และอิทธิพลอยู่ ต่างจากในตลาดยุโรป โดยเฉพาะในฝรั่งเศสที่ทางแบรนด์มีหน้าร้านจำนวนมากพอตัวแล้ว โดยเป้าหมายต่อไปของทางแบรนด์คือการเจาะตลาดเวียดนาม
นอกจากนี้ สุวดี พึ่งบุญพระ ประธานกรรมการ บริษัท พีพี ลุกซ์ จำกัด ได้เสริมว่า Longchamp ถือเป็นแบรนด์หรู และเป็นเสมือนแบรนด์คู่บ้านคนไทย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ใครๆ ก็ถือ Le Pliage และกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าที่มีรายได้ และหลากหลายกลุ่ม ส่งผลให้ยอดขายออนไลน์รายเดือนโดยเฉลี่ยเติบโตแบบก้าวกระโดดถึงร้อยละ 120 ในช่วงที่ผ่านมา
อีกทั้งยังเผยด้วยว่า ยอดขายของ Longchamp ในช่วงต้นปีนี้โตขึ้นจากเมื่อช่วงต้นปีที่แล้วถึงร้อยละ 80 และคาดว่ายอดขายภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วแบบเท่าตัว ทั้งนี้ ลูกค้าส่วนมากยังคงเป็นคนไทย

Cassegrain ชี้ว่า ลูกค้าที่ซื้อสินค้าจากผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการอย่าง PP Group จะมั่นใจได้เต็มที่ว่าผลิตภัณฑ์ Longchamp ที่ได้รับเป็นของแท้ รวมถึงจะได้รับสินค้าคุณภาพตลอดจนบริการหลังการขายอย่างครบถ้วน ยิ่งไปกว่านั้น ลูกค้ายังสามารถรับบริการส่งฟรีทั่วอาณาเขตไทยอีกด้วย
Le Pliage Re-play กระเป๋าอันเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
กระเป๋า Longchamp ที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่สุดคงหนีไม่พ้นกระเป๋าไนลอนอย่าง Le Pliage โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ทางแบรนด์ก็ได้เปลี่ยนมาใช้ไนลอนรีไซเคิลมาใช้ในการผลิต ซึ่งสามารถลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ถึงร้อยละ 20 แต่ยังสามารถคงไว้ซึ่งความทนทานของผลิตภัณฑ์ได้ ทำให้ใช้งานได้นาน นับเป็นการลดขยะไปในตัว อีกทั้ง ทางแบรนด์ยังประกาศจะเริ่มผลิต Le Pliage ด้วยวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกคอลเล็กชั่นให้ได้ภายในปี 2565
นอกจากนี้ Longchamp ยังมุ่งมั่นลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการผลิตผ่านหลากหลายมาตรการ อาทิ การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และการปรับปรุงระบบโลจิสติกส์เพื่อให้การขนส่งเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

อ่านเพิ่มเติม: PP Group พร้อมผลัก Longchamp เข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มแรง
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine