PP Group ผู้นำเข้าและจำหน่ายสินค้าแฟชั่น Luxury แบรนด์ฮิตในหมู่คนไทย โดยเฉพาะแบรนด์เครื่องหนังสุดคลาสสิกอย่าง Longchamp พร้อมเร่งเครื่องสู่การขายแบบยุคดิจิทัลแบบเต็มตัว
สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรม แต่ตลาดสินค้า Luxury นั้นกลับสวนกระแส เติบโตราวๆ ร้อยละ 10-20ในครึ่งปีแรก PP Group ได้ตระหนักและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ดังกล่าวมากขึ้น สุวดี พึ่งบุญพระ ประธานกรรมการ และโอฬาร ปุ้ยพันธวงศ์ รองประธานกรรมการ PP Group จึงรื้อแผนธุรกิจปรับช่องทางการขายให้เข้ากับพฤติกรรมชาวไทยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำ Longchamp เข้าสู่ช่องทางการขายแบบ Omnichannel เต็มรูปแบบ การยกระดับระบบ e-Commerce รวมไปถึง Social Commerce สำหรับแฟนๆ Longchamp และแบรนด์อื่นๆ ในเครือให้ช้อปกันสะดวกมากขึ้น รวมไปถึงพัฒนาโมเดลธุรกิจ Outlet เพื่อกลุ่มลูกค้าที่อยากช้อปแบบสบายกระเป๋า โดยการพัฒนาช่องทางการขายของแบรนด์ Longchamp ให้เป็น Omnichannel โดยพัฒนาทุกๆ touchpoint นอกจากจะช่วยให้ลูกค้าได้ประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ครบครันมากขึ้น ยังช่วยให้เกิด Brand Experience เมื่อลูกค้าเข้ามาที่หน้าร้าน ไม่ว่าจะเพื่อรับสินค้าที่สั่งทางช่องทางออนไลน์ หรือเพื่อมาดูกระเป๋าที่กำลังเล็งเอาไว้ด้วย นอกจากนี้ ช่องทาง e-Commerce และ Social Commerce ก็เป็นอีกช่องทางที่จะมองข้ามไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการพัฒนาการขายผ่านบนหน้าเว็บไซต์ ppgroupthailand.com และ Line OA ให้กลุ่มลูกค้าใหม่ ที่เป็นคนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึงการพัฒนา CRM เพื่อสนับสนุนแบรนด์ต่างๆ ที่อาจจะนำมาขายบนแพลตฟอร์มทั้งสองนี้นอกจาก Longchamp และ Maison Kitsune "กลุ่มลูกค้าเราเปลี่ยนไป เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคส่วนมากอายุ 40 ปีขึ้นไป มีหน้าที่การงานที่ค่อนข้างดี แต่ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ลูกค้าส่วนมากเป็นคน gen z มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีคาแรคเตอร์ และมองว่าตัวเองประสบความสำเร็จได้เร็ว จึงกล้าซื้อ" สุวดี พึ่งบุญพระ ประธานกรรมการ PP Group กล่าว ในส่วนของโมเดลธุรกิจแบบ Outlet นั่น Longchamp Outlet ที่ Siam Premium Outlets เป็น 1 ใน 2 Outlet ใน South East Asia และได้รับการตอบรับดีมากเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยประมาน 4-5 ใน 10 ของลูกค้าที่เดินเข้าร้าน ก็ต้องมีของติดไม้ติดมือออกมาด้วย และมุ่งพัฒนาให้ลูกค้าที่เลือกช้อปที่ Outlet ได้ประสบการณ์สุดพิเศษเหมือนกับที่ Official Store ให้มากที่สุด นอกจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปใช้ช่องทางออนไลน์มากขึ้นแล้ว ตลาดผู้บริโภคสินค้า Luxury ก็เปลี่ยนไปมาก โดยเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen-Z มากขึ้น โดยกลุ่มลูกค้านี้ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมากทีเดียว ทางแบรนด์จึงได้ปล่อยคอลเล็กชั่น Le Pliage® Green ภายใต้ Le Pliage® Collection ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการผลิต และผลิตมาจากวัสดุรีไซเคิลทั้งใบ โดยทาง Jean Cassegrain ผู้ก่อตั้งและ CEO คนปัจจุบัน ประกาศจุดยืนและความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้กระเป๋ารุ่นฮิตสุดคุ้นตาอย่าง Le Pliage® ทุก collection ให้หันมาใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย ทัตชญา บุษยากิตติกร - รายงาน อ่านเพิ่มเติม: “นิคมฯ ปิ่นทอง” นับหนึ่งไฟลิ่งเข้าตลาดฯไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine