<h2>โอยัตสึ โนะ จิกัน (Oyatsu no Jikan) ร้านของหวาน Kakigori จากเชฟระดับ 2 ดาวมิชลินจากโตเกียวที่ต้องจองล่วงหน้า 2-3 เดือน มาถึงไทยแล้ว จับมือทายาทซาฟารีเวิลด์ เปิดร้านนอกญี่ปุ่นครั้งแรกพรุ่งนี้ ที่โครงการ Velaa สินธร วิลเลจ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท คชา บราเธอร์ส จำกัด เจ้าของแบรนด์คชา บราเธอร์ส ผู้นำธุรกิจของหวานสไตล์ญี่ปุ่น อาทิ แบรนด์ Kyo Roll En, Teraoka Gyoza, Mont Blanc และ Jerome Cheesecake ประกาศกลับมาลงทุนขยายธุรกิจเบเกอรี่และขนมหวานเชิงรุกอีกครั้ง โดยเตรียมเปิดร้าน “Oyatsu no Jikan” ร้านของหวาน Kakigori ชื่อดังระดับเชฟ 2 ดาวมิชลินจากโตเกียวในวันพรุ่งนี้ (23 เม.ย. 2567) ที่ชั้น G โครงการเวลา สินธร วิลเลจ ซอยหลังสวน กรุงเทพฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เดช คิ้วคชา รองกรรมการผู้จัดการและเชฟใหญ่ บริษัท คชา บรา เธอร์ส จำกัด แชมป์ขนมหวาน La Liste Pastry Chef of the Year 2023 เปิดเผยว่า “Oyatsu no Jikan” คือร้านน้ำแข็งไสสไตล์ญี่ปุ่นสุดฮอตจากกรุงโตเกียว ที่ต้องจองคิวล่วงหน้าหลายเดือนในญี่ปุ่น โดยการเปิดสาขาในไทยครั้งนี้เป็นการเปิดสาขาแรกนอกญี่ปุ่น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/7rnqaH2y8d71BjQbHXm6.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="7rnqaH2y8d71BjQbHXm6.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยร้านนี้เป็นของเชฟ Hiroyasu Kawate เชฟระดับ 2 ดาวมิชลินติดต่อกันกว่า 6 ปี และอันดับที่ 2 ร้านอาหารยอดเยี่ยมในเอเชียจาก Asia's 50 Best Restaurant 2024 ภายใต้ชื่อร้าน “Oyatsu no Jikan” by Azuki to Kouri&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“โดยส่วนตัวผมชอบปั้นแบรนด์ตัวเองมากกว่า แต่ได้รู้จักกับเชฟ Kawate มากว่า 10 ปี ตั้งแต่สมัยเปิดร้าน Florilège ร้านอาหารฝรั่งเศสแนวโมเดิร์น 2 ดาวมิชลิน ที่โตเกียว แต่ด้วยความชื่นชอบและหลงใหลในอาหารและวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเป็นการส่วนตัว และการได้มีโอกาสร่วมงานอีเวนต์ โดยไปทำของหวานที่ร้านของเชฟที่ญี่ปุ่น ทำให้มีความคุ้นเคย และต่างก็ชื่นชอบในผลงานซึ่งกันและกัน จึงตัดสินใจนำแบรนด์ ‘Oyatsu no Jikan’ by Azuki to Kouri มาเปิดที่เมืองไทยเป็นที่แรกของโลกที่อยู่นอกญี่ปุ่น” เดชบอก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/iDeYpXpm1yMz8s2e1Hdk.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="iDeYpXpm1yMz8s2e1Hdk.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คชา บราเธอร์ส ได้ศึกษาตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคตั้งแต่ช่วง Covid-19 จนถึงปัจจุบัน เล็งเห็นว่ากลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงและกลุ่มนักท่องเที่ยวไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมุ่งเจาะกลุ่มตลาดไฮเอนด์ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เน้นสินค้าที่เอ็กซ์คลูซีฟ หรือจับต้องยาก โดยมีจุดขายหรือเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาทิ สินค้า Collaboration กับเชฟมิชลิน หรือขนมหวานที่สามารถสร้างกระแสในโลกโซเชียลได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทได้นำร่องเปิดตัวพรีเมียมแบรนด์ ‘Mont Blanc’ ซึ่งเป็นแบรนด์ของคชา บราเธอร์สเอง สาขาแรกที่เกษรวิลเลจ เมื่อปีที่ผ่านมา นำเสนอไอศกรีมโคนท็อปด้วยเส้นสปาเกตตี้รสชาเขียว จนเกิดกระแสมีลูกค้าต่อคิวยาวเป็นเวลาหลายเดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และในเวลาต่อมาได้สิทธิ์นำเข้าชีสเค้กหน้าไหม้อันดับ 1 ของญี่ปุ่น แบรนด์ ‘Jérôme Cheesecake’ โดยเชฟระดับ 3 ดาวมิชลิน ซึ่งเป็นชีสเค้กที่อยู่ในกระแสและโด่งดังที่สุดในญี่ปุ่นตั้งแต่ช่วงโควิด ติดอยู่ในลิสต์ที่นักท่องเที่ยวรวมถึงชาวไทยต้องซื้อกลับ เข้ามาทำตลาดในไทยและอาเซียน ถือเป็นแบรนด์นำเข้าพรีเมียมแบรนด์แรก และ “Oyatsu no Jikan” เป็นแบรนด์พรีเมียมนำเข้าแบรนด์ที่ 2 ของพอร์ต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผมคิดว่ามันหมดยุคการทำสินค้าแมสที่ต้องเปิดร้านครั้งละ 10-20 สาขาต่อปี เพราะไลฟ์สไตล์ลูกค้าเปลี่ยน มีความต้องการสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟ เฉพาะตัวมากขึ้น แม้จะนำเข้าพรีเมียมแบรนด์ เราก็จะเปิดแบรนด์เราเองด้วย แต่เน้นพรีเมียม เราจะกลับมาเปิดแบรนด์สฟรี (Sfree) คอนเช็ปต์ใหม่ที่สยามดิสคัฟเวอรี่เดือนพฤษภาคมนี้ หลังจากหยุดขยายภายใต้แบรนด์นี้มาถึง 7 ปีเต็ม” เดชบอก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ Oyatsu no Jikan มีเมนูให้เลือกหลากหลาย อาทิ เมนู Milk &amp; Meringue Kakigori น้ำแข็งไสรสนมไส้ถั่วแดงญี่ปุ่นเนื้อหวานมัน พร้อมเมอแรงค์กรอบๆ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/wnJRDDivW1ezK9KEM5ch.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="wnJRDDivW1ezK9KEM5ch.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมถึง Avocado Kakigori เมนูที่เดชร่วมคิดขึ้นมาเป็นพิเศษกับเชฟคาวาเตะ (Kawate) และ French Toast เนื้อขนมปังแบบ Brioche (บริออช) หรือขนมปังฉ่ำเนยชุบไข่สัญชาติฝรั่งเศส ทานคู่กับโฟมถั่วแดง และเกลือทะเล​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/QxGKZxkQwAwXFkvhJ3La.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="QxGKZxkQwAwXFkvhJ3La.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เชฟ Kawate กล่าวว่า เมนูขนมหวานที่ร้านนี้ ทุกเมนูเน้นการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ ไม่ใช้น้ำเชื่อม ใช้ผลไม้และของสดที่ผลิตแบบวันต่อวัน มีคุณภาพเดียวกันกับที่ใช้ในร้านที่ญี่ปุ่น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/4CFzRpBVF4FTtRbhYXqQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4CFzRpBVF4FTtRbhYXqQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="4"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากเมนูที่นำมาจากญี่ปุ่นแล้ว ยังมีเมนูที่ทำขึ้นตามฤดูกาลคิดขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับคนไทย อาทิ เมนู สตรอเบอร์รี่และมัทฉะ และเมนู Collaboration ที่ร่วมคิดค้นกับเชฟเดช ราคาของหวานที่ร้านจะอยู่ที่ 150-420 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากเมืองไทยแล้ว คชา บราเธอร์ส ยังมองหาโอกาสขยายธุรกิจในเอเชียด้วย อาจจะเริ่มจากเจอโรมชีสเค้ก ที่ได้สิทธิ์ทำตลาดในภูมิภาคเอเชีย 10 ปี โดยการขยายไปต่างประเทศของเจอโรมชีสเค้ก จะอาศัยการผ่านพาร์ทเนอร์ และไปในหลายฟอร์แมต ทั้งคาเฟ่ ร้านป็อบอัพ หรือคีออสขายเค้ก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ต่อจากนี้ เราจะหาแบรนด์ที่มีศักยภาพเข้ามาเสริมความแข็งแรงของพอร์ต แบรนด์ที่นำเข้าต้องเป็นท็อประดับโลกในแต่ละ category แต่เราจะหลีกเลี่ยงธุรกิจที่ come and go เพราะต้องการสร้างธุรกิจที่มั่นคงในระยะยาว” เดช กล่าวทิ้งท้าย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/walls-x-inthanin-create-6-new-menu-together" alt="ไอศกรีมผสมเครื่องดื่ม! ‘วอลล์’ จับมือ ‘อินทนิล’ รังสรรค์ 6 เมนูแปลกใหม่คลายร้อน">ไอศกรีมผสมเครื่องดื่ม! ‘วอลล์’ จับมือ ‘อินทนิล’ รังสรรค์ 6 เมนูแปลกใหม่คลายร้อน</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

มาไทยแล้ว! ‘Oyatsu no Jikan’ ร้านของหวานดังจากโตเกียว นำเข้าโดยทายาท ‘ซาฟารีเวิลด์’

<h2>ZEN ร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยู่คู่บริโภคชาวไทยมายาวนาน ด้วยความใส่ใจผู้บริโภค ที่ไม่ได้หมายถึงแค่บริการหน้าร้าน แต่ยังศึกษาข้อมูลพฤติกรรม ความต้องการ นำมาวางกลยุทธ์ที่สามารถครองใจลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจับเทรนด์อาหารแบบ ‘บุฟเฟต์’ ที่ผู้ผู้บริโภคมองว่าคุ้มค่า เสริมแกร่งด้วยราคา คุณภาพ และเมนูอันหลากหลาย จนประสบความสำเร็จตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เซ็น เรสเตอร์รอง หนึ่งในธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น เครือ เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป เปิดดำเนินการครั้งแรก เมื่อปี 2534 ให้บริการในรูปแบบ A la carte โดยสามารถครองใจผู้บริโภคอย่างยาวนานมาตลอด 32 ปี ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มครอบครัว ปัจจุบันมีสาขารวมทั้งหมด 55 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศไทย เทรนด์ของผู้บริโภคเปลี่ยน - ธุรกิจปรับตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จุดเริ่มต้นการให้บริการบุฟเฟต์ ของ เซ็น เรสเตอร์รอง เกิดขึ้นในปี 2564 ในช่วงหลังประกาศคลายล็อคดาวน์ ประกอบกับข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคที่โหยหาการทานบุฟเฟต์ มองหาความคุ้มค่า เน้นความหลากหลายของเมนูอาหาร ทำให้สถิติการค้นหาบน Google Search ในช่วงเวลานั้นเพิ่มขึ้นถึง 430% และด้วยกระแสการบริโภคแบบบุฟเฟต์ของคนไทยมีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทาง เซ็น เรสเตอร์รอง ตัดสินใจเพิ่มอีกหนึ่งรูปแบบการให้บริการประเภทบุฟเฟต์​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/F4US5AC72sFpXAeP52XM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="F4US5AC72sFpXAeP52XM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;"></figure></div> การเติบโตของ ZEN Grand Premium Buffet ตลอดระยะเวลา 3 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2564 ร้านอาหารญี่ปุ่นเซ็น เรสเตอร์รอง ปรับ 16 สาขาในขณะนั้น เพิ่มการให้บริการในรูปแบบบุฟเฟต์ รองรับความต้องการของลูกค้าที่ชื่นชอบการทานบุฟเฟต์ วัตถุดิบพรีเมียม มากกว่า 80 เมนู และการให้บริการที่มีคุณภาพ ภายใต้การวางกลยุทธ์ Value Promotion&nbsp;เริ่มต้น 599+ เสิร์ฟความคุ้มค่าระดับพรีเมียม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภายในปีแรกก็ได้รับกระแสการตอบรับเป็นอย่างดี เป็นอีกหนึ่งแบรนด์บุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นที่หลายคนให้ความสนใจและนึกถึง โดยสามารถขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ ช่วงอายุ 26 - 45 ปี ที่เข้ามาใช้บริการ ซึ่งเป็นวัยที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง และแตกต่างจากกลุ่มลูกค้าเดิม จนสร้างรายได้เติบโตขึ้นกว่า 23%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2565 ต่อมาในปีที่ 2 ทางแบรนด์ยังได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้กลยุทธ์การทำการตลาดใหม่อีกครั้ง ผ่านการ Revamp Menu ปรับ Mood &amp; Tone เมนูใหม่ทั้งหมดให้มีความพรีเมียมกว่าเดิม พร้อมกับการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ จากเดิมที่มี 80 เมนู เพิ่มขึ้นเป็น 130 เมนู ในราคาเริ่มต้นเพียง 599+ ชูความคุ้มค่าของวัตถุดิบ คุณภาพอาหารระดับพรีเมียม เมนูหลากหลาย เปิดให้บริการในรูปแบบบุฟเฟต์ รวม 29 สาขา ซึ่งในปีดังกล่าว แบรนด์สามารถขยายฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นอีกกว่า 120% สร้างการเติบโตของรายได้ 41%&nbsp; &nbsp;&nbsp;ในปี 2566 เซ็น เรสเตอร์รอง เน้นกลยุทธ์การขยายสาขาเป็นหลัก เป็นไปตาม Growth Strategy ขององค์กร โดยการเปิดสาขาบนพื้นที่ใหม่ๆ มุ่งเน้นการขยายไปที่น่านน้ำใหม่ เช่น ในพื้นที่ต่างจังหวัด ทั้งเมืองหลัก และเมืองรอง เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงการกินบุฟเฟต์แบบพรีเมียมได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมีการขยายสาขาอีก 7 สาขา รวมกว่า 55 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยสาขาที่ให้บริการบุฟเฟต์มีทั้งหมด 37 สาขา​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/agXqF7u6XuXhf2ooBGrg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="agXqF7u6XuXhf2ooBGrg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp; &nbsp;&nbsp;มยุรี จิตรกร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เซ็น คอปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความสำเร็จของ เซ็น เรสเตอร์รอง หลังจากเปิดให้บริการในรูปแบบบุฟเฟต์มาตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่ผ่านมา สามารถขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม GEN Y - GEN Z ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้นกว่า 200% แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของแบรนด์ในตลาดบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่น และการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกปี ทั้งยอดขายและการเพิ่มจำนวนสาขาที่ให้บริการบุฟเฟต์ได้มากขึ้นในทุกปี แต่ทั้งนี้ทางแบรนด์ก็ยังคงรักษามาตรฐาน โดยไม่หยุดพัฒนาต่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเมนู วัตถุดิบ และการให้บริการที่มีคุณภาพระดับพรีเมียมในทุกองค์ประกอบ หวังสร้าง Brand Royalty การมีส่วนร่วมกับแบรนด์ และตัดสินใจกลับมาใช้บริการซ้ำแบบต่อเนื่อง คาดเติบโตกว่า 13% ภายในสิ้นปี”&nbsp; &nbsp;&nbsp;โดยเป้าหมายในปี 2567 คือการ Revamp Menu ใหม่อีกครั้ง ความตั้งใจที่จะสร้าง Product ที่ดึงดูดกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ให้มากขึ้นอีก โดยทางแบรนด์ได้มีการใช้ Data Analytic วิเคราะห์พฤติกรรมและทำความเข้าใจผู้บริโภคในกลุ่มนี้ เพื่อนำมาวางแผนการตลาด รวมถึงการคัดสรรเมนูให้ตอบโจทย์มากที่สุด ซึ่งพบว่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่ม GEN Y ชอบทานเมนูเย็น เช่น ซาชิมิ ซูชิ โดยเมนูแซลมอนจะได้รับผลตอบรับที่ดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเมนูไหน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่ม GEN Z มองหาความคุ้มค่ามากกว่ากลุ่มอื่น มีการสั่งเมนูซาชิมิแซลมอน ซูชิแซลมอน มากกว่ากลุ่มอื่น&nbsp; &nbsp; และลูกค้ากว่า 70% จบท้ายมื้อด้วยขนมหวาน ทำให้การ Revamp Menu ใหม่ในปีนี้ เกิดจากความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง สร้างการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ และตอบโจทย์ความต้องการในการเลือกสรรเมนูอาหาร เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/bangkokcable-2024-strategy-expanding-asean-market" alt="บางกอกเคเบิ้ล ทุ่มงบฯ กว่า 500 ล้านบาทรุกตลาดสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล ตั้งเป้าเบอร์ 1 อาเซียน">บางกอกเคเบิ้ล ทุ่มงบฯ กว่า 500 ล้านบาทรุกตลาดสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล ตั้งเป้าเบอร์ 1 อาเซียน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เปิดกลยุทธ์ ‘เซ็น เรสเตอร์รอง’ ชนะใจผู้บริโภคต่อเนื่อง 3 ปี ด้วย ‘บุฟเฟต์’ ที่คุ้มค่าทั้งราคา คุณภาพ และเมนูหลากหลาย

Manabu Yoshitomi ฝ่าบททดสอบชีวิต ปลุกปั้น Ichiran Ramen เติบโตหมื่นล้านเยน 

<h2>วัฒนธรรมอาหารญี่ปุ่นยังรุ่ง เจโทร เผยผลสำรวจปี 2565 พบร้านเปิดใหม่เกือบ 1,000 แห่ง สูงสุดนับตั้งแต่สำรวจในประเทศไทย ต่างจังหวัดขยายตัวสูง ชี้คนรุ่นใหม่รับวัฒนธรรมอาหารญี่ปุ่นตั้งแต่เด็ก ชี้แนวโน้มยังเติบโตต่อเนื่อง และมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น</h2>&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) เปิดเผยผลสำรวจร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทย ประจำปี 2565 พบมีจำนวน 5,325 ร้าน เพิ่มขึ้น 955 ร้านจากปีที่แล้ว หรือคิดเป็นร้อยละ 21.9 โดยมีจำนวนเพิ่มมากที่สุดตั้งแต่เริ่มการสำรวจร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยเมื่อปี 2550&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมีจำนวนเพิ่มขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด โดยเฉพาะจำนวนร้านอาหารในปริมณฑล 5 จังหวัด (นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร) มีจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.2 และต่างจังหวัดร้อยละ 28.5&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2565 มีจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดใหม่ 1,404 ร้าน โดยเฉพาะประเภทร้านซูชิเพิ่มขึ้น 448 ร้าน ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 263 ร้าน และร้านราเมงเพิ่มขึ้น 185 ร้าน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่มีร้านที่ปิดกิจการชั่วคราวจากสถานการณ์แพร่ระบาดของ โควิด-19 จำนวน 231 ร้าน และบางร้านได้กลับมาเปิดให้บริการและบางร้านปิดกิจการถาวร ทำให้จำนวนร้านที่ปิดกิจการชั่วคราว ลดลงเหลือ 105 ร้าน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยร้านอาหารญี่ปุ่นถือว่ามีความสำคัญสำหรับการเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารของญี่ปุ่นสู่ทั่วโลก และเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตร ป่าไม้ ประมง และอาหารของประเทศญี่ปุ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ทราบว่ามีร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นทั่วประเทศไทยทำให้ผู้บริโภคชาวไทยมีโอกาสได้รับประทานอาหารญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น หวังว่าการที่มีร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นจะทำให้มีจำนวนคนที่ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายของร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น และทำให้ปริมาณการนำเข้าวัตถุดิบสินค้าอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมากตามไปด้วย” จุน คุโรดะ ประธานเจโทร กรุงเทพฯ กล่าว <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/01/wGuojg31RLaC79Xop6vT.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="wGuojg31RLaC79Xop6vT.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> คนรุ่นใหม่บริโภคอาหารญี่ปุ่นตั้งแต่เด็ก &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น ให้ความเห็นว่า ในประเทศไทยมีอาหารญี่ปุ่นขายมานานกว่า 30 ปี คนรุ่นใหม่จำนวนมากคุ้นเคยกับอาหารญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ คาดการณ์ว่าในอนาคต ร้านอาหารญี่ปุ่นในพื้นที่ต่างจังหวัดจะแพร่หลายและได้รับความนิยมมากขึ้น และจะมีการนำเสนออาหารญี่ปุ่นให้กับผู้บริโภคคนไทยในรูปแบบ และระดับราคาที่หลากหลายมมากขึ้นจะทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงอาหารญี่ปุ่นในรูปแบบต่างๆ ได้หลากหลายยิ่งขึ้นเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จากการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นหลายรายได้ให้ความเห็นว่า ยอดขายของร้านอาหารญี่ปุ่นฟื้นตัวขึ้นร้อยละ 70-90 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยสาเหตุที่ยังไม่ฟื้นตัวจนสู่ภาวะปกติได้นั้น เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้น การชะลอตัวในการฟื้นตัวด้านต่างๆ เช่น การรับประทานอาหารร่วมกัน การจัดงานเลี้ยง รวมถึงการชะลอตัวในการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้บางรายมีความเห็นว่า การสั่งอาหารแบบ Food delivery ที่นิยมขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิดจะยังคงมีการใช้บริการต่อไปแม้ว่าการขยายตัวของการใช้บริการจะชะลอตัวลง <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/01/MQNT8VjencXLxXNd5efQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="MQNT8VjencXLxXNd5efQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คุโรดะ กล่าวว่า เจโทรฯ มุ่งมั่นที่จะดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางต่อไป และส่งเสริมการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารจากญี่ปุ่นมายังประเทศไทยให้มีมากขึ้น โดยจัดแคมเปญ “Made in JAPAN วัตถุดิบญี่ปุ่นแท้ ส่งต่อความรัก ด้วยความอร่อย” ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 มีจุดประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์เสน่ห์ของสินค้าอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับร้านอาหาร 236 ร้านทั่วประเทศไทย ซึ่งมี 86 ร้านอยู่ในต่างจังหวัด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“แคมเปญประชาสัมพันธ์ที่จัดขึ้นสอดคล้องกับการสำรวจร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยที่พบว่ามีร้านอาหารญี่ปุ่นกรุงเทพฯ ได้จัดกิจกรรมในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น วัตถุดิบหลักในแคมเปญนี้ คือ เนื้อวัว อาหารทะเล และวัตถุดิบอาหารที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จัก เช่น เนื้อหมูจากประเทศญี่ปุ่น ปลาบุริ ปลาซันมะ เป็นต้น”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ เจโทร กรุงเทพฯ ยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการเจรจาธุกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการญี่ปุ่นมาโดยตลอด เช่น การจัดบูธ JAPAN PAVILION ภายในงาน THAIFEX 2022 ซึ่งเป็นนิทรรศการสินค้าอาหารที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีมูลค่าประมาณการซื้อขายสูงถึง 1,900 ล้านเยน หรือประมาณ 493 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และการจัดงาน JETRO Online Business Matching &amp; Exhibition of Japanese Food Products 2022 โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 800 ล้านเยน หรือ ประมาณ 207 ล้านบาท อ่านเพิ่มเติม:&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/executive-interview/%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3-%E0%B8%9D%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89-1-000-%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B3-tipak-%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C" alt="“วีรชัย มั่นสินธร” ฝ่าวิกฤตหนี้ 1,000 ล้าน เตรียมนำ TIPAK เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์">“วีรชัย มั่นสินธร” ฝ่าวิกฤตหนี้ 1,000 ล้าน เตรียมนำ TIPAK เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์</a><hr class="__se__solid">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine

ซอฟต์พาวเวอร์ อาหารญี่ปุ่น ยังรุ่ง ปี 65 เปิดใหม่เกือบพันร้านค้า

<h2>ธุรกิจ ร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยยังรุ่ง ปี 2564 มีจำนวน 4,370 ร้าน เพิ่มขึ้น 6.7% ต่างจังหวัดขยายตัวสูง แต่รายได้ผู้ประกอบการยังไม่ฟื้นจากผลกระทบโควิด–19 ฉุดธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหาร ขณะที่มูลค่าส่งออกอาหารญี่ปุ่นมาไทยเพิ่ม ทั้งผลิตภัณฑ์ปลา เนื้อวัว ผลไม้</h2>
องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) เปิดเผยผลการสำรวจร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทย ประจำปี 2564 พบว่า ในปี 2564 มีร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยจำนวน 4,370 ร้าน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 6.7 (ปี 2563 มี 4,094 ร้าน) จำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในต่างจังหวัดมี 2,297 ร้าน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 15.5 (ปี 2563 มี 1,989 ร้าน) ในขณะที่จำนวนร้านในกรุงเทพฯ ได้ลดลงร้อยละ 1.5 (ปี 2563 มี 2,105 ร้าน) ทำให้จำนวนร้านในต่างจังหวัดแซงหน้าจำนวนร้านในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกของการสำรวจ

สำหรับประเภทร้านที่เพิ่มขึ้นมากเป็นพิเศษคือร้าน Sushi โดยร้าน Sushi ที่เพิ่มสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ได้ผลักดันจำนวนร้านให้เพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องจากปีที่แล้ว รองลงมาเป็นภัตตาคารอาหารญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 50 ของประเภทร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทย นอกจากนี้ จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มีจำนวนร้านปิดกิจการชั่วคราว 231 ร้าน เพิ่มจากปีที่แล้วที่มีการปิดชั่วคราว 70 ร้าน

<img class="alignnone size-full wp-image-55928" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/jetro_1201.jpg" alt="" width="350" height="466" />

ทาเคทานิ อัทสึชิ ประธานเจโทร กรุงเทพฯ กล่าวว่า จำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยจำนวนร้านของปี 2564 เพิ่มขึ้นถึง 6 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2550 ซึ่งเป็นปีที่เริ่มทำการสำรวจ การบริโภคอาหารญี่ปุ่นของคนไทยมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งทานเป็นอาหารสำหรับมื้อพิเศษและอาหารในชีวิตประจำวัน

ผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นหลายท่านให้ความเห็นว่า ในอนาคตจะมีร้านอาหารที่มีการปรับให้เข้ากับรสนิยมและวัฒนธรรมการกินของคนไทยมากขึ้น และในขณะเดียวกันร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารเน้นความเป็นต้นตำรับอาหารญี่ปุ่นแบบแท้ๆ จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นด้วย

ราคาอาหารต่อหัวลดลง

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลราคาอาหารเฉลี่ยต่อหัว พบว่า ระดับราคาอาหารเฉลี่ยต่อหัวที่มีจำนวนร้านมากที่สุด อยู่ที่ระดับราคา 101–250 บาท ตามด้วยระดับราคา 251–500 บาท ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด โดยสำหรับร้านเปิดใหม่จำนวนมากในต่างจังหวัดจะมีราคาต่อหัวต่ำอยู่ที่ 101–250 บาท และต่ำกว่า 100 บาท สะท้อนถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟืนตัวจากสถานการณ์โควิด–19

ทาเคทานิ อัทสึชิ กล่าวว่า แม้ภาครัฐจะมีการผ่อนคลายให้เริ่มกลับมานั่งรับประทานอาหารภายในร้านอาหารได้ ทำให้จำนวนลูกค้าและรายได้ของร้านอาหารมีแนวโน้มฟื้นตัวตามมาตรการผ่อนคลายควบคุมร้านอาหารตามลำดับ

แต่การฟื้นตัวยังไม่เต็มร้อย เมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19 ระบาด จากการสัมภาษณ์ได้รับความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น การขาดแคลนแรงงงานในอุตสาหกรรมร้านอาหาร การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้บริโภคสืบเนื่องมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นต้น

ขณะที่จากการสำรวจยอดขายของบริษัทเชนร้านอาหารญี่ปุ่นรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่ไตรมาส 1 – ไตรมาส 3 ของปีนี้ ลดลง 28 – 56 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า มูลค่าของอุตสาหกรรมร้านอาหารโดยรวมในปี 2564 หดตัวลง 13.5 – 17.3 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อน คิดเป็นมูลค่ารวม 3.5 – 3.35 แสนล้านบาท

“สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด–19 เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะมีผลต่อการฟื้นตัวของธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ซึ่งเศรษฐกิจไทยเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก ถ้าท่องเที่ยวกลับมา เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว จะส่งผลต่อการฟื้นตัวของธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นด้วย” ประธานเจโทร กรุงเทพฯ กล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-55929" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/jetro_1202.jpg" alt="" width="600" height="334" />

เดลิเวอรี่ – ส่งออกรุ่ง

ทาเคทานิ อัทสึชิ กล่าวอีกว่า แนวโน้มการขยายตัวของธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทย ยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากการบริโภคอาหารญี่ปุ่นที่มีความหลากหลายมากขึ้น และกลุ่มผู้บริโภควัยรุ่นปัจจุบันรับประทานอาหารญี่ปุ่นตั้งแต่เด็กจนกลายเป็นอาหารในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นการขยายตัวทั้งร้านอาหารญี่ปุ่นที่ปรับรสชาติให้เข้ากับวัฒนธรรมการกินของไทย และอาหารต้นตำรับก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ พฤติกรรมการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ ยังมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น ทั้งในช่วงสถานการณ์โควิด และหลังจากนี้ บริการเดลิเวอรี่จะกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญเพื่อเพิ่มช่องทางการขาย และรองรับความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดระลอกต่อไปที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ในปี 2564 มูลค่าตลาดเดลิเวอรี่ เติบโตขึ้นร้อยละ 46.4 จากปีที่ผ่านมา

รวมทั้งวัฒนธรรมอาหารของญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมมากขึ้นทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ช่วยผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตร ป่าไม้ ประมง และอาหารของประเทศญี่ปุ่น โดยปี 2019 ญี่ปุ่นส่งออกสินค้าเกษตร ประมง และอาหารของประเทศญี่ปุ่นมาไทย มูลค่า 39,500 ล้านเยน ปี 2020 มูลค่า 40,100 ล้านเยน และตั้งแต่เดือน ม.ค. - ต.ค. 2021 มีมูลค่า 36,700 ล้านเยน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สินค้าหลัก ได้แก่ ปลา เนื้อวัว ผลไม้ เช่น องุ่น แอปเปิ้ล สตรอเบอร์รี่ เป็นต้น รวมถึงสาเก

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/commentaries/thought-leaders/%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%81.html">ตั้งรับ ปรับตัว และหาโอกาส กลยุทธ์สร้าง “ศักยภาพผู้ประกอบการไทย”</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ร้านอาหารญี่ปุ่น ยังรุ่ง ปี'64 เปิดเพิ่ม

<h2>เจโทร เปิดเผยผลสำรวจ ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น เปิดเพิ่ม 12.6% สวนกระแสโควิด แฟรนไชส์ร้านซูชิขยายตัวพุ่งเจาะตลาดต่างจังหวัด เตรียมแผนจัดกิจกรรมต่อเนื่องปี 2564 ผลักดันยอดส่งออกสินค้าเกษตรญี่ปุ่นมาไทย</h2>
องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) เปิดเผยผลสำรวจ ร้านอาหารญี่ปุ่น ในประเทศไทย ประจำปี 2563 พบว่า มีจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทย จำนวน 4,094 ร้าน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 จากปี 2562 ที่มีจำนวน 3,637 ร้าน ขณะเดียวกันมีร้านอาหารญี่ปุ่นที่ปิดตัวลงมีจำนวน 726 ร้าน ถือเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่ทำการสำรวจเมื่อปี 2550 ซึ่งเป็นผลจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การแข่งขันที่สูงขึ้น รวมทั้งยอดขายและจำนวนลูกค้ายังไม่ฟื้นกลับมาเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ แต่ทั้งนี้อัตราการเปิดร้านใหม่ยังมากกว่าที่ปิดตัวลง

Taketani Atsushi ประธานเจโทร กรุงเทพฯ กล่าวว่า การปิดตัวของร้านอาหารญี่ปุ่น 1 ใน 3 จะเป็นร้านที่มีสาขาเดียว ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด-19 แต่ร้านที่เปิดเพิ่มมากเป็นร้านประเภทซูชิ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50.9 เนื่องจากการขยายตัวของสาขาร้านซูชิแบบแฟรนไชส์ ทำให้ร้านซูชิเป็นประเภทของร้านอาหารญี่ปุ่นมีจำนวนมากที่สุดถึง 1,038 สาขา เพิ่มขึ้น 504 สาขาจากปี 2562 โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ที่มีร้านประเภทนี้เพิ่มขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ

“รู้สึกยินดีที่มีร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่าอาหารญี่ปุ่นยังคงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคคนไทย ซึ่งเจโทรจะผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น เพื่อช่วยให้ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยขยายตัว” ประธานเจโทร กรุงเทพฯ กล่าว

<img class="alignnone wp-image-39687" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/Jetro_001.jpg" alt="" width="650" height="347" />

สำหรับประเภทของร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทย ประจำปี 2563 ร้านประเภทซูชิมีจำนวนมากที่สุด 1,038 สาขา เป็นร้านประเภทภัตตาคารอาหารญี่ปุ่น 1,015 สาขา ร้านราเม็ง 420 สาขา ร้านสุกี้และชาบู 336 สาขา และร้านอิซากายะ 285 สาขา ปัจจุบันสัดส่วนร้านอาหารญี่ปุ่นในต่างจังหวัด คิดเป็นร้อยละ 48.6 ของร้านทั่วประเทศ เพิ่มจากสัดส่วนร้อยละ 37.3 ในปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าการขยายธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นเกิดขึ้นในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ ผลสำรวจ พบว่า จังหวัดที่มีร้านอาหารญี่ปุ่นมากเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ คือ จังหวัดชลบุรี ที่มีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่มากรองจากกรุงเทพฯ อันดับ 3 คือ จังหวัดนนทบุรี ที่มีจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมากจากปีก่อนถึง 86 ร้าน ปัจจุบันพบว่ามีร้านอาหารญี่ปุ่นดำเนินกิจการอยู่ในทุกจังหวัด

&nbsp;

ผลกระทบ ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น จากโควิด-19

เจโทร กรุงเทพฯ ยังได้ทำการสำรวจผลกระทบของธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นประมาณ 40 ร้าน ที่ได้รับจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่า ช่วงดังกล่าวร้านอาหารญี่ปุ่นมียอดขายลดลงเหลือ 0-30% โดยร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีลูกค้าหลักเป็นคนไทย หรือกลุ่มคนไทยที่มีกำลังซื้อสูง เริ่มมีลูกค้ากลับมาและยอดขายฟื้นตัว และมีบางร้านเริ่มวางแผนขยายจำนวนสาขามากขึ้น ส่วนร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีลูกค้าหลักเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ หรือใช้ในการเลี้ยงรับรองลูกค้าของบริษัท ฟื้นตัวค่อนข้างล่าช้า

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2563 นี้ ยอดขายของร้านอาหารญี่ปุ่น กลับมาอยู่ระหว่าง 30-35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ช่วงล็อกดาวน์ร้านอาหารหลายแห่งรวมทั้งร้านอาหารญี่ปุ่นปรับตัวมาให้บริการเดลิเวอรี่มากขึ้น และผู้บริโภคหันมาใช้บริการเดลิเวอรี่มากขึ้น หลังจากคลายล็อกดาวน์ผู้บริโภคยังคงใช้บริการเดลิเวอรี่มากขึ้น และเป็นพฤติกรรมที่ยังคงมีเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง

&nbsp;

ผลักดันส่งออกสินค้าเกษตรญี่ปุ่นมาไทย

Atsushi กล่าวว่า เจโทรมีแผนจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรญี่ปุ่นมาไทย ซึ่งในช่วง 10 เดือน (มกราคม-ตุลาคม 2563) ยอดส่งออกสินค้าเกษตรจากญี่ปุ่นมาไทยมีมูลค่า 3.4 หมื่นล้านเยน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งไทยเป็นตลาดส่งออกอันดับ 6 ของญี่ปุ่น ขยับจากอันดับ 7 เนื่องจากการส่งออกไปเกาหลีลดลง ขณะที่ในอาเซียน ไทยเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 รองจากเวียดนาม

สำหรับสินค้าส่งออกหลักมาไทย ได้แก่ สินค้าประมง วัตถุดิบ เช่น ปลา เพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารของไทย นอกจากนี้ยังมีเนื้อวัว เครื่องปรุงรส ซอสต่างๆ ไข่ปลา รวมถึงผล ผลไม้ โดยในปี 2564 เจโทร กรุงเทพฯ มีแผนจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์เสน่ห์ของผลไม้นำเข้าจากญี่ปุ่นในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อกระตุ้นการรับรู้ให้กับผู้บริโภคชาวไทยให้รู้จักอาหารญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น

สำหรับปี 2563 ที่ผ่านมา เจโทร กรุงเทพฯ ได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นการบริโภคอาหารญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง ผ่านแคมเปญ “Let’s eat JAPAN อาหารญี่ปุ่น ยิ่งทานยิ่งสนุก ยิ่งทานยิ่งอร่อย” โดยร่วมมือกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และแพลตฟอร์มส่งอาหาร มีแคมเปญประกวดถ่ายภาพอาหาร ทำให้มีลูกค้าใหม่ๆ รู้จักร้านอาหารญี่ปุ่นมากขึ้น เป็นแคมเปญเพื่อช่วยผู้ประกอบการร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยในช่วงสถานการณ์โควิด-19

นอกจากนี้ ยังมีการจัดงานเจรจาธุรกิจออนไลน์อาหารและวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่น 2020 ในเดือนพฤศจิกายน ทำให้เกิดการจับคู่ธุรกิจทางออนไลน์รวม 367 คู่ เป็นการเจรจาธุรกิจอย่างมีประสิทธิผล ในวิถีปกติใหม่ โดยไม่ต้องเสียเวลาและค่าเดินทาง

“เจโทรจะมุ่งมั่นดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อส่งเสริมและประชาสัมพันธ์เสน่ห์ของวัตถุดิบอาหารนำเข้าจากญี่ปุ่น และช่วยกระตุ้นธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยให้กลับมาฟื้นตัว และส่งเสริมให้อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมจากกว้างขวางมากขึ้น” Atsushi กล่าว

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/property/%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%AA-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%B5.html">พลัส พร็อพเพอร์ตี้ คาดปี 64 บ้านเดี่ยวราคาต่ำกว่า 5 ล้านได้ไปต่อ</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

เจโทร เผยผลสำรวจ "ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น" เปิดเพิ่มสวนกระแสโควิด

<h2>ยาโยอิ ทุ่ม 10 ล้านบาท ส่งแคมเปญต่อเนื่องปีที่2 ลุ้นฟิน กินฟรี หลังมีส่วนสำคัญกระตุ้นยอดขายในปีที่ผ่านมาทะลุ 2,900 ล้านบาท ด้านผู้บริหารมั่นใจสร้างรายได้ปลายปี 3,500 ล้านบาท</h2>
ภาพรวมปี 2559 ยาโยอิ ยังคงครองส่วนแบ่งทางการตลาดของธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นที่ 35% คิดเป็นอันดับสองในกลุ่มธุรกิจ จับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น กลุ่มคนเริ่มทำงาน และกลุ่มครอบครัวขนาดเล็ก โดยปี 2559 มีการเติบโตอยู่ที่ 15% สร้างยอดขาย 2,900 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2558 ในปีที่ผ่านมา ยาโยอิขยายสาขา 25 แห่งทั่วประเทศคิดเป็นสัดส่วน 60-40% ระหว่างกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด

“ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินงานในประเทศไทยกว่า 11 ปี ยาโยอิ ได้มุ่งดำเนินธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์ต้นตำรับที่พิถีพิถันในทุกขั้นตอน ทั้งการคัดสรรวัตถุดิบและการปรุงอาหารสูตรเฉพาะที่เน้นรวดเร็วแต่ยังคงไว้ซึ่งคุณภาพที่ยอดเยี่ยม พร้อมเสิร์ฟความอร่อยที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกเวลา” สมชาย หาญจิตต์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (พัฒนา, การตลาด และธุรกิจอาหารญี่ปุ่น) บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวและเสริมว่า

นอกจากรสชาติและงานบริการ ส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้ยาโยอิเติบโตอย่างต่อเนื่องคือการปัจจัย 3 ด้าน ได้แก่ สถานที่ตั้ง ระบบโลจิสติกส์ และฝ่ายพัฒนาและวิจัยสินค้า ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับปรุงศูนย์กลางการบริหารย่านบางนาทั้งในแง่ด้านสินค้า การจัดส่ง และการวิจัย

<figure><img style="width: 680px; height: 502px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e42ed01afd1176464b0e1eec093fb008.png" alt="" width="680" height="502" /><figcaption> สมชาย หาญจิตต์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (พัฒนา, การตลาด และธุรกิจอาหารญี่ปุ่น) บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ กิตติยา วรรณสุรีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายดูแลกิจการอาหารญี่ปุ่น บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด</figcaption></figure>

ด้าน กิตติยา วรรณสุรีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายดูแลกิจการอาหารญี่ปุ่น บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงความร่วมมือกับเจ้าของไลเซนส์และพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น “ทุกไตรมาส ฝ่ายวิจัยและพัฒนาจากประเทศญี่ปุ่นเดินทางมายังศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารของ ยาโยอิ เพื่อร่วมการสร้างสรรค์รสชาติและคุณภาพสินค้า” เกิดเป็นเงื่อนไขสำคัญของความสำเร็จ ทั้งยังเป็นที่มาของคุณภาพอาหารและการกำหนดราคาที่สามารถจับต้องได้ โดยรายการอาหารของยาโยอิเฉลี่ยที่ 200 บาทต่อรายการ

ทั้งนี้ สมชาย กล่าวเพิ่มเติมถึงการสร้างแคมเปญ “ลุ้นฟิน กินฟรี” ที่กลายเป็นซิกเนเจอร์แคมเปญของยาโยอิไปแล้ว การจัดสร้างแคมเปญดังกล่าวเพิ่มเกิดการบริโภคซ้ำมากขึ้น โดยเฉลี่ยกลุ่มที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของยาโยอินั้นเดินเข้าร้านเฉลี่ยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง โดยสมชาย กล่าวทิ้งท้ายถึงเป้าหมายใหญ่ในการพายาโยอิไปให้ถึง 300 สาขา ซึ่งช้าเร็วมีปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจเป็นเงื่อนไขหลัก

นอกจากการให้บริการของยาโยอิในประเทศไทยแล้วกลุ่มเอ็มเค เรสโตรองต์ ยังได้ไลเซนส์ในการบริหารร้านยาโยอิในสิงคโปร์ ซึ่งปัจจุบันในประเทศสิงคโปร์มี 9 สาขา  ปี 2559 ยาโยอิ ขยายสาขา  3 แห่ง และ คาดการณ์การขยายสาขาในปี 2560 ที่ 4 สาขา

แคมเปญ “ลุ้นฟิน กินฟรี” ปี 2 ลูกค้าที่ทานอาหารครบทุก 500 บาทต่อ 1 ใบเสร็จ รับคูปองร่วมลุ้นเป็นผู้โชคดี กินฟรี ตลอดปี รับบัตรรับประทานอาหารที่ร้านอาหารยาโยอิ มูลค่าเดือนละ 2,000 บาท จำนวน 30 รางวัล เน็ตฟรี  ตลอดปี ลุ้นรับแพ็คเกจอินเตอร์เน็ต ทรูมูฟ เอช มูลค่าเดือนละ 1,000 บาท จำนวน 60 รางวัล ดูหนังฟรี ตลอดปี รับบัตรชมภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เดือนละ 6 ที่นั่ง มูลค่า 1,200 บาท จำนวน 60 รางวัล ทั้งนี้ หากชำระค่าอาหารผ่านบัตรเครดิตในเครือกรุงศรี ลุ้นเป็นผู้โชคดีเที่ยวโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น กันแบบฟรีๆ จำนวน 6 รางวัล รางวัลละ 2 ที่นั่ง

<img style="width: 680px; height: 452px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e61cc67b45dd224baa534761a07ef6bf.png" alt="" />

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events