ธุรกิจอาหารในไทยแข่งเดือด แต่เทรนด์ ‘หม่าล่า’ ยังฮอตต่อเพราะเผ็ดจัดจ้านโดนใจ! Yakiniku Like คอลแล็บแบรนด์ไทย ‘ฟ้าไทย’ คิดค้นซอสหม่าล่าร่วมกัน ชูไฮไลต์ “กินหม่าล่ากลิ่นไม่ติดตัว” พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจสู่ 30 สาขา และรายได้โตแตะพันล้านบาทใน 3 ปี
ทิพย์สุดา อเนกวัชรากรณ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด Yakiniku Like Thailand เปิดเผยว่า ธุรกิจอาหารในเมืองไทยมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง ซึ่งสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญ คือ เทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยผู้บริโภคไทยที่นิยมรสชาติที่จัดจ้านของหม่าล่ามีเพิ่มมากขึ้น เพราะความเผ็ดคือความสุขของเหล่าผู้ที่ชื่นชอบความเผ็ดร้อนของหม่าล่า
“แต่ความสุขก็กลายเป็นมีข้อจำกัด เมื่อต้องไปทำงานต่อ หรือไปพบปะผู้คน ด้วยกลิ่นหม่าล่าที่จะติดตัวต่อไป จึงเป็นที่มาของการจับมือกับ ‘ฟ้าไทย’ เปิดตัวเมนู Boss & Baby ที่มีความเผ็ดให้เลือกตามใจผู้บริโภค 2 ระดับ และยังรักษาจุดแข็งในเรื่องของรสชาติ และประสิทธิภาพในเรื่องของการดูดควันที่ทำให้ไร้กลิ่นติดตัว

“เรามีความพร้อมที่จะประกาศให้รู้ว่า ‘กินหม่าล่าที่ Yakiniku Like ไร้กลิ่นติดตัว’ นี่คือการคอลแล็บครั้งแรกของทั้ง Yakiniku Like และฟ้าไทย เราอยากขอบคุณฟ้าไทยที่คิดค้นน้ำซอสให้เหมาะกับการรับประทานปิ้งย่างโดยเฉพาะ จากการทดลองกว่า 40 รสชาติ จนออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด” ทิพย์สุดากล่าว
อริญชย์ เพ็งแป้น ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท วันทูเทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า เบื้องหลังการร่วมมือในครั้งนี้ แม้ฟ้าไทยจะเก่งเรื่องหม่าล่าและเป็นอันดับหนึ่งในตลาด แต่โปรเจกต์นี้ไม่ได้นำผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่มาเข้าร่วม แต่เป็นการทำซอสสำหรับปิ้งย่างแบบพิเศษ โดยต้องรังสรรค์รสชาติให้ลงตัวทั้งระดับความเผ็ดและความขม กว่าจะได้เวอร์ชันที่ทั้งสองฝ่ายพอใจและได้รับการอนุมัติจากญี่ปุ่น คาดว่าความร่วมมือนี้จะช่วยเพิ่มความสนุกและความตื่นเต้นให้กับตลาดเครื่องปรุงรสและปิ้งย่างได้
อริญชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งสองแบรนด์อยู่ในอุตสาหกรรม Food & Beverage แต่มีลักษณะธุรกิจที่แตกต่างกัน โดยฟ้าไทยเน้นผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายตามร้านสะดวกซื้อ ในขณะที่ Yakiniku Like คือธุรกิจร้านอาหาร การคอลแล็บครั้งนี้จึงเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าซึ่งกันและกัน เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าฟ้าไทยอาจได้มาลองลิ้มรสของ Yakiniku Like และในทางกลับกัน ลูกค้า Yakiniku Like ที่เคยบริโภคผลิตภัณฑ์ฟ้าไทยอยู่แล้ว ก็จะได้ทำความรู้จักกับฟ้าไทยในมิติใหม่

ด้าน ทิพย์สุดา กล่าวเสริมว่า “ก่อนหน้านี้สาขาที่สิงคโปร์มีการปล่อยรสชาติซอสหม่าล่าออกมาก่อนแล้ว แต่เกิดปัญหาบางอย่าง ทำให้เราไม่ได้ตัดสินใจนำรสชาติของสิงคโปร์มาใช้ ส่วนรสชาติซอสหม่าล่าของทางฟ้าไทยที่พัฒนาออกมานี้ ทางญี่ปุ่นก็อนุมัติเรียบร้อยแล้ว และสูตรหม่าล่าเวอร์ชันนี้จะถูกส่งไปที่ฮ่องกงและเวียดนามในอนาคต”
เป้าหมายสู่พันล้านภายใน 3 ปี
Yakiniku Like ยังคงมีแผนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากเปิดมา 4 ปีในไทย ปัจจุบันให้บริการทั้งหมด 21 สาขา คาดว่าสิ้นปีนี้จะเปิดครบ 22 สาขา และเปิดเพิ่มอีก 8 สาขาในปีหน้า หรือเรียกได้ว่าจะมีครบ 30 สาขาหลังจากเปิดให้บริการมา 5 ปี โดยมูลค่ากรลงทุนในการขยายสาขาอยู่ที่ 20 ล้านบาท/สาขา
ทิพย์สุดาเผยว่า Yakiniku Like ประเทศไทย เป็นอันดับที่ 4 ในเรื่องของการเติบโตและยอดขาย โดยอันดับ 1 คือญี่ปุ่น อันดับ 2 อินโดนีเซีย และอันดับ 3 ฮ่องกง และถ้าไม่นับญี่ปุ่น ไทยก็เป็นอันดับที่ 3 ในแง่การขยายสาขา
“มูลค่าตลาดปิ้งย่างในเมืองไทยอยู่ที่ประมาณ 9,000 ล้านบาท ตลาดอาหารญี่ปุ่นได้กลายเป็น Red Ocean ไปแล้ว รวมถึงหมวดหมู่อาหารก็หลากหลายมากขึ้น ไม่ได้มีแค่ซูชิและราเมนแบบเมื่อก่อน แต่สำหรับ Yakiniku Like ด้วยการทำราคาที่ผู้บริโภคเอื้อมถึงได้, บรรยากาศร้านที่สบายๆ, และการนำเสนอเนื้อพรีเมียม จะยังคงเป็น 3 เหตุผลหลักที่ทำให้แบรนด์สามารถครองใจผู้บริโภคได้” ทิพย์สุดาย้ำ

สำหรับ Yakiniku Like Thailand ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าเป็นคนไทย 90% และชาวต่างชาติ 10% ซึ่งตัวเลขชาวต่างชาติลดลงกว่าปีที่แล้ว โดยหลายสาขาได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ลดลง ส่วนราคาต่อหัวปีนี้อยู่ที่ 350 บาท ลดลงจากปีที่แล้วที่อยู่ที่ 360-370 บาท โดยสาขาในไทยที่เติบโต 3 อันดับแรก ได้แก่ เซ็นทรัลลาดพร้าว, เซ็นทรัลเวิลด์ และเมกาบางนา
เธอยังเผยอีกว่า อย่างไรก็ตาม จากกลยุทธ์ต่างๆ ที่วางไว้ คาดว่าจะทำให้ Yakiniku Like กวาดรายได้ 700 ล้านบาท และคาดหวังจะเติบโตขึ้น 20% ในปีหน้า พร้อมกับการขยายสาขาใหม่อย่างน้อย 6-8 สาขา ส่วนเป้าหมายใหญ่ที่สุด คือ หากเปิดครบ 30 สาขาได้สำเร็จ คาดว่าจะมีรายได้แตะระดับพันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นภายใน 3 ปี
ทั้งนี้ Yakiniku Like ยังมีแผนขยายไปยังหัวเมืองใหญ่ เช่น ชลบุรี, เชียงใหม่, ราชบุรี และหัวหิน ในปีหน้า ขณะเดียวกัน ฟ้าไทย ก็มุ่งมั่นที่จะเติบโตต่อเนื่องและตั้งเป้าหมายในการเป็นอันดับหนึ่งในทุกตลาด โดยเน้นความตื่นเต้นทางการตลาด เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ และถูกใจ สำหรับซอสหม่าล่าวางจำหน่ายในร้านตั้งแต่ 31 ตุลาคม - 11 ธันวาคมนี้ หรือจนกว่าสินค้าจะหมด
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : MK Group ประกาศศักดา ‘โบนัส สุกี้’ คาดรายได้แตะ 3,600 ล้านบาทปีหน้า และขยายสู่ 100 สาขาในไตรมาส 2/2570
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine


