MAGURO กำไรเติบโตทะลุเป้า 33.3% กว่า 97 ล้านบาท รายได้ 1,373 ล้านบาท โต 32 % มั่นใจปีนี้เติบโตต่อกว่า 30% ชี้ร้านหมูทอด AOKI ขายดี เตรียมเปิดเพิ่ม 4 สาขา เผยปีนี้ยังคงเน้นกลยุทธ์จับกลุ่มกำลังซื้อสูง ขยายสาขาต่อเนื่อง และเตรียมเปิด 2 แบรนด์ใหม่
จักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดเผยว่า การดำเนินงานของบริษัทฯ ปี 2567 มีผลการดำเนินการที่ดี มีรายได้รวม 1,378.2 ล้านบาท เติบโต 32% จากรายได้รวม 1,046 ล้านบาทในปี 2566 และมีกำไรสุทธิ 96.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 33.3% จากกำไรสุทธิ 72.5 ล้านบาทในปีก่อน
นับว่าประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายที่บริษัทฯ ตั้งไว้ โดยเฉพาะไตรมาส 4/2567 รายได้เติบโต 12.4% เป็น 399.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 34.3 ล้านบาท เติบโต 16.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่าปี 2567จะเป็นปีที่ท้าทายเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายของผู้บริโภค จึงทำให้มีการชะลอตัวของการเติบโตสำหรับแบรนด์ที่มีกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อในระดับกลาง แต่ในภาพรวมบริษัทฯ ยังคงรักษาการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิ ด้วยการดำเนินแผนธุรกิจที่กระตุ้นยอดขายร้านเดิม (SSSG) สร้างยอดขายเพิ่มจากการขยายสาขา และเน้นการทำตลาดแบรนด์พรีเมียมที่เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ ซึ่งสามารถทำกำไรสุทธิ (Margin) ได้สูงกว่า รวมถึงใช้กลยุทธ์การบริหารต้นทุน (Cost Control) อย่างมีประสิทธิภาพ
“ในปีนี้ 2568 บริษัทฯ มีแผนจะสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงตั้งเป้าหมายปี 2568 จะมีรายได้รวมเติบโต 30% จากปี 2567 ด้วยการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องและระมัดระวัง โดยบริษัทมีแผนจะเปิดร้านหมูทอด Tonkatsu Aoki เพิ่มอีก 4 สาขาในไตรมาส 1 และ 2 หลังจากสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ประสบความสำเร็จอย่างสูงเกินความคาดหมาย และมีรายได้ต่อบิลล์ค่อนข้างสูง

“นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนจะเปิดร้านอาหารแบรนด์ใหม่เพิ่มอีก 2 แบรนด์ เพื่อขยายฐานรายได้ ขยายสู่เซ็กเมนต์ใหม่ และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีแผนจะเปิดสาขาเพิ่มสำหรับร้าน Maguro และ Hitori Shabu อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มพรีเมียมแมส โดยล่าสุดได้เปิดร้าน Hitori Shabu สาขาพระราม 9 ซึ่งได้รับการต้อนรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
“และนอกจากเปิดร้านเพิ่ม บริษัทฯ ยังเน้นการตลาดที่มีความแปลกใหม่ การจัดโปรโมชั่นเมนูพิเศษทั้งในแง่ของวัตถุดิบใหม่ รสชาติใหม่ที่หลากหลาย และในแง่ของขนาด (portion size menu) และราคาที่หลากหลายรองรับทุกความต้องการของผู้บริโภค” จักรกฤติกล่าวเสริม
ปัจจุบัน MAGURO มีร้านอาหารในเครือรวมทั้งหมด 38 ร้านจาก 5 แบรนด์ ได้แก่
- MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่น และซูชิระดับพรีเมียม 18 ร้าน เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ โดยในปี 2567 ร้านมากุโระมีรายได้รวม 777 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นสัดส่วน 57% ของรายได้บริษัทฯ
- HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ 11 ร้าน และร้าน HITORI SUKIYAKI ร้านสุกี้ยากี้คันไซแบบดั้งเดิม ในรูปแบบ Authentic Japanese Sukiyaki Course สาขาแรกที่เอกมัย 12 โดยในปี 2567 มีรายได้รวม 386 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 96 เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นสัดส่วน 28% ของรายได้บริษัทฯ
- SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลีวัตถุดิบพรีเมียม 6 ร้าน สำหรับผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม ทั้งนักศึกษา วัยทำงาน และครอบครัว ในราคาที่จับต้องได้ โดยในปี 2567 มีรายได้รวม 206 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นสัดส่วน 15% ของรายได้บริษัทฯ
-TONKATSU AOKI ร้านหมูทอด สาขาแรก ณ เซ็นทรัล เวิลด์ ชั้น 3 มีรายได้รวม 3 ล้านบาท และ CouCou ร้านอาหารรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตก สาขาแรกที่ The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม มีรายได้รวม 1 ล้านบาท ซึ่งเป็น 2 แบรนด์ใหม่ของบริษัทฯ โดยขยายฐานกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ค่าครองชีพพุ่ง การแข่งขันสูง! MK GROUP ปี 67 รายได้-กำไรลด ปีนี้ลุยปรับกลยุทธ์การตลาดสู้ศึก
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine