เปิดปี 2023 บริษัทเอกชนในสหรัฐฯ ลดต้นทุนด้วยการปลดพนักงาน

<h2>บริษัท Microsoft เตรียมทุ่มเงิน 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ กับ OpenAI บริษัทแม่เจ้าของแอปพลิเคชันแชตบอตอัจฉริยะ ChatGPT ส่งผลให้มูลค่าบริษัทเพิ่มสูงขึ้นแตะ 2.9 หมื่นล้านเหรียญ คาดหลังการตกลงเจรจาแล้วเสร็จ Microsoft จะถือครองหุ้นมากสุด 49%&nbsp;</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Microsoft และ OpenAI&nbsp; กำลังเป็นที่กล่าวถึงในกระแสโซเชียลเป็นอย่างมากสำหรับการตกลงเจรจาร่วมระดมทุนในแอปพลิเคชันแชตบอตชื่อดัง ChatGPT โดยการเจรจาหารือเกี่ยวกับข้อตกลงในครั้งนี้เป็นผลมาจากการที่ Micrisoft บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีต้องการผนึกกำลังให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อช่วงชิงพื้นที่ในตลาดเทคโนโลยีกลับคืนหลังถูกรุกล้ำจากคู่แข่งอย่าง Google มายาวนาน ซึ่งคาดว่าการระดมทุนรอบล่าสุดนี้รวมกับการระดมทุนที่ผ่านมาจะส่งผลให้บริษัท OpenAI มีมูลค่าสูงถึง 2.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานของเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ Semafor เมื่อช่วงบ่ายวันจันทร์ที่ผ่านมา ได้อ้างถึงแหล่งข่าววงในที่ทราบข้อมูลการเจรจาดังกล่าวว่า ขณะนี้ทาง Microsoft ได้ตกลงเจรจาเพื่อลงทุนมูลค่า 1 หมื่นล้านเหรียญกับทางบริษัท OpenAI เจ้าของแอปพลิเคชันปัญญาประดิษฐ์ชื่อดังอย่าง ChatGPT ไปแล้วเรียบร้อย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ หากการเจรจาสัดส่วนการถือหุ้นบรรลุข้อตกลงน่าจะมีผลให้ Microsoft กลายเป็นผู้มีสัดส่วนในการถือครองหุ้นมากที่สุดถึง 49% ขณะที่นักลงทุนรายอื่นๆ มีสัดส่วน 49% และ OpenAI ถือครองหุ้นเพียง 2%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านสำนักข่าว Bloomberg ยังรายงานข้อมูลตรงกับ&nbsp;Semafor เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยแหล่งข่าวกล่าวว่า Microsoft ได้หารือถึงการลงทุนที่สูงถึง 1 หมื่นล้านเหรียญใน OpenAI ที่จะส่งผลให้บริษัทมีมูลค่าสูงราว 2.9 ล้านเหรียญตามไปด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันโฆษกของบริษัท Microsoft ได้แถลงการณ์ผ่านทางอีเมลว่า บริษัทไม่ขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของการเก็งกำไรแต่อย่างใด ด้านบริษัท&nbsp;OpenAI ยังได้ปฏิเสธไม่ขอตอบคำถามจากทาง Forbes ด้วยเช่นกัน&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/01/LB2Dz2ZXW7aBtx1ACBwz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="LB2Dz2ZXW7aBtx1ACBwz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ OpenAI ได้เปิดตัวแอปพลิเคชันแชตบอต ChatGPT สู่สาธารณะโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายนับตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2022 ที่ผ่านมา โดยโปรแกรมดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้ใช้จำนวนมากต่างประทับใจกับการจำลองคำพูดของมนุษย์จากระบบ AI อัจฉริยะ ซึ่งทาง Microsoft เองได้ลงทุน 1 พันล้านเหรียญใน OpenAI มาตั้งแต่ปี 2019 และยังกลายเป็นผู้ให้บริการระบบคลาวด์แต่เพียงผู้เดียวของสตาร์ทอัพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า Microsoft วางแผนที่จะรวม ChatGPT เข้ากับเครื่องมือ search engine ของบริษัทตัวเองอย่าง Bing จึงเป็นผลให้ผู้บริหารของ Google กระตุ้นทีมงานให้รีบเร่งพัฒนาระบบ AI ของตนเองทิ้งห่างจากคู่แข่งตามไปด้วย โดย Microsoft และ OpenAI ต่างใช้เวลาในการเจรจาหารือกันเป็นระยะเวลาหลายเดือนเกี่ยวกับการระดมทุนและเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามข้อมูลการรายงานของสำนักข่าว Bloomberg และ The Wall Street Journal ที่รายงานข้อมูลไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วถึงกรณีที่ OpenAI กำลังจะปิดเจรจาการขายหุ้นมูลค่า 2.9 หมื่นล้านเหรียญ&nbsp;&nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม บันทึกการรายงานข้อมูลส่งถึงลูกค้าล่าสุดของ Justin Post และ Joanna Zhao สองนักวิเคราะห์จาก Bank of America เมื่อวันอังคารที่ผ่านมายังชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของแชตบอต ChatGPT ถือเป็นหนึ่งในห้าความเสี่ยงที่ต้องจับตามากที่สุดต่อสถานการณ์หุ้นของ Alphabet บริษัทแม่ของ Google ในปี 2023&nbsp; แปลและเรียบเรียงโดย กนกวรรณ มณีแสงสาคร จากบทความ Microsoft Reportedly Closing In On $10 Billion Investment Into ChatGPT Creator OpenAI&nbsp;เผยแพร่บน Forbes.com อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/david-berns-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-paul-kim-%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87-simplify" alt="ทำเงินจากความเสี่ยงฉบับ &quot;David Berns&quot; และ &quot;Paul Kim&quot; หัวกะทิแห่ง Simplify">ทำเงินจากความเสี่ยงฉบับ "David Berns" และ "Paul Kim" หัวกะทิแห่ง Simplify</a>​<hr class="__se__solid">​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine?mibextid=LQQJ4d" alt="Forbes Thailand Magazine">Forbes Thailand Magazine</a>​

Microsoft ทุ่มเงิน 1 หมื่นล้านเหรียญ เตรียมถือหุ้นใหญ่ใน OpenAI  

<h2>เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม Bill Gates และ Melinda French Gates ประกาศข่าวการหย่าหลังจากใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมา 27 ปี...</h2>
ในวันเดียวกัน Cascade Investment ของ Gates ก็โอนหุ้นมูลค่า 2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ใน 4 บริษัท (Canadian National Railway; AutoNation กลุ่มตัวแทนจำหน่ายรถยนต์; Coca-Cola Femsa บริษัทเม็กซิกันที่ผลิต Coke และ Grupo Televisa ผู้แพร่สัญญาณโทรทัศน์สัญชาติเม็กซิกัน) ให้แก่ French Gates และเขายังโอนหุ้น John Deere มูลค่า 851 ล้านเหรียญให้เธอเมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมด้วย

เท่าที่ Forbes ตรวจสอบได้ Melinda French Gates เป็นสตรีชาวอเมริกัน 1 ใน 3 คนที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งได้สถานะเศรษฐีพันล้านมาด้วยการหย่า (อีก 2 คนคือ MacKenzie Scott อดีตภรรยาของ Jeff Bezos และ Sue Gross ซึ่งเคยแต่งงานกับ Bill Gross ผู้ก่อตั้ง Pimco) แต่ French Gates ได้ทรัพย์สินไปมากกว่า และดูท่าจะมากกว่ามากเสียด้วย 

ทั้งคู่ขอให้ผู้พิพากษาในรัฐ Washington (ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐที่กฎหมายสินสมรสตัดสินให้คู่สามีภรรยาที่หย่ากันส่วนใหญ่ต้องแบ่งทรัพย์สินกันคนละครึ่ง) ดำเนินการตามข้อตกลงในการหย่าเพื่อแบ่งทรัพย์สิน 1.26 แสนล้านเหรียญของ Gates ซึ่งมีทั้งหุ้นในบริษัทสิบกว่าแห่ง รวมถึงหุ้นประมาณ 1% ใน Microsoft ที่ดินการเกษตรในสหรัฐฯ บ้านมูลค่า 131 ล้าน เหรียญใกล้เมือง Seattle และเครื่องบินส่วนตัวหลายลำ

มีรายงานว่า French Gates เริ่มปรึกษาทนายความด้านการหย่าในปี 2019 หลังจากเรื่องที่สามีของเธอไปพบปะกับ Jeffrey Epstein นักการเงินผู้ล่วงลับไปแล้วกลายเป็นข่าว ต่อมาหลายวันหลังจากประกาศหย่า โฆษกหญิงของ Gates ก็ยอมรับว่า “เมื่อ 20 ปีก่อน” เขาเคยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับพนักงานคนหนึ่งของ Microsoft จริง

<img class="size-full wp-image-56004 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Melinda-French-Gates-03.jpg" alt="" width="567" height="800" />

French Gates ร่วมก่อตั้งมูลนิธิ Bill and Melinda Gates ซึ่งมี (สินทรัพย์) มูลค่า 5 หมื่นล้านเหรียญในปี 2000 ก่อนจะก่อตั้ง Pivotal Ventures ในปี 2015 เพื่อลงทุนด้านสร้างความก้าวหน้าทางสังคมให้ผู้หญิงและคนผิวสี ในตอนนั้นเธอกล่าวกับ Forbes ว่า “ฉันสอนพวกลูกสาวฉันว่า ลูกต้องกล้าส่งเสียงให้โลกนี้ได้ยิน และเห็นได้ชัดว่าฉันก็ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างด้วย” เมื่อปีที่แล้ว MacKenzie Scott ช่วยสนับสนุน French Gates ในการเปิดตัวโครงการ Equality Can’t Wait ซึ่งให้ทุน 40 ล้านเหรียญแก่องค์กรต่างๆ ของผู้หญิงทั่วสหรัฐฯ

&nbsp;
<h2 style="text-align: center;">- Déjà View: การหย่าร้างด้วยเงินก้อนโต -</h2>
Bill และ Melinda French Gates ไม่ใช่สมาชิกในทำเนียบ The Forbes 400 เพียงคู่เดียวที่ได้บทเรียนว่า ถึงมีเงินท่วมเรือยอช์ตก็ซื้อชีวิตคู่ที่มีความสุขไม่ได้ เศรษฐีอเมริกัน 50 อันดับแรกในปัจจุบันผ่านการแต่งงานทั้งหมด 72 ครั้ง แต่มี 35 ครั้ง (49%) ที่จบลงด้วยการหย่า คู่สมรสพันล้านบางคู่จากกันด้วยดี แต่บางคู่ก็...

<img class="alignnone size-full wp-image-56002" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/BILL-GROSS.jpg" alt="" width="720" height="480" />

BILL GROSS 

ราชาพันธบัตรและภรรยาที่อยู่กินกันมา 3 ทศวรรษแยกทางกันในปี 2016 ตามมาด้วยศึกขอคำสั่งห้ามจากศาลและภาพ Picasso ปลอม แม้จะมีรายงานว่า Sue Gross ได้ภาพ “Le Repos” ปี 1932 ไปครอง แต่ที่จริงเธออาจจะชิงภาพไปก่อนหน้านั้นแล้ว โดยสลับเอาของปลอมที่เธอวาดเองไปแขวนผนังหลอก Bill

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-56001" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/TED-TURNER.jpg" alt="" width="720" height="480" />

TED TURNER 

เขาเลิกกับ Jane Fonda ในปี 2001 หลังจากแต่งงานกันมา 1 ทศวรรษ แต่อดีตดาราออสการ์ก็ยังชมว่า Turner เป็น “สามีเก่าคนโปรด” และเจ้าพ่อสื่อก็พูดถึงเธอในแง่ดีเช่นกัน “เมื่อคุณรักใครสักคน และรักเขาจริงๆ” Turner กล่าวเมื่อปี 2012 “คุณไม่มีทางเลิกรักได้ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน”

<img class="alignnone size-full wp-image-56003" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/HAROLD-HAMM.jpg" alt="" width="720" height="480" />

HAROLD HAMM 

เจ้าพ่อเหมืองขุดเจาะน้ำมันด้วยระบบแฟรกกิ้งเขียนเช็คมูลค่าสูงลิ่วถึง 974,790,317.77 เหรียญสหรัฐฯ จากบัญชีธนาคาร Morgan Stanley ของเขาให้อดีตภรรยาหลังจากหย่ากันในปี 2014 แต่ถึงจะได้เงินเข้ากระเป๋าไปแล้วมหาศาลเธอก็ยังพยายามจะเอาเพิ่มอีก ซึ่งไม่สำเร็จ และจากนั้นเธอก็ให้ทุนกลุ่มสนับสนุนเงินทุนแก่นักการเมืองที่ช่วยเขี่ยผู้พิพากษาซึ่งดูแลคดีหย่าของเธอลงจากบัลลังก์

&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม:
<ul id="crumbs">
 	<li><a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/world/global-world/10-%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5-%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9e%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b8%aa.html">10 มหาเศรษฐี ผู้มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากที่สุด ประจำปี 2021</a></li>
 	<li><a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/glow-recipe-%e0%b9%80%e0%b8%9c%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%84%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%84%e0%b9%83%e0%b8%8a%e0%b9%89-tiktok-%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%95%e0%b8%b8%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b8%a2.html">GLOW RECIPE เผยเทคนิคใช้ TIKTOK กระตุ้นยอดขายทะลุ 100 ล้านเหรียญฯ</a></li>
 	<li><a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/world/rentbrella-%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b9%89%e0%b8%84%e0%b8%b8%e0%b8%93%e0%b8%a2%e0%b8%b7%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b9%81%e0%b8%9a%e0%b8%9a%e0%b8%9f%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b9%86-%e0%b8%ab.html">RENTBRELLA ให้คุณยืมร่มแบบฟรีๆ (หากคืนตรงเวลา)</a></li>
</ul>

<hr />

<a href="https://bit.ly/3nVYPTf">คลิกอ่านบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2564 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<a href="https://bit.ly/3nVYPTf"><img class="lazy alignnone wp-image-53407 lazy-loaded" src="https://i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/forbes-november-2021_000.jpg" sizes="(max-width: 350px) 100vw, 350px" srcset="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/forbes-november-2021_000.jpg 750w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/forbes-november-2021_000-229x300.jpg 229w" alt="" width="350" height="459" data-lazy-type="image" data-lazy-src="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/forbes-november-2021_000.jpg" data-lazy-srcset="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/forbes-november-2021_000.jpg 750w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/forbes-november-2021_000-229x300.jpg 229w" data-lazy-sizes="(max-width: 350px) 100vw, 350px" /></a>

Melinda French Gates กับการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

<h2>Microsoft บริษัทผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่ ซึ่งร่วมก่อตั้งโดยอภิมหาเศรษฐี Bill Gates เมื่อ 46 ปีก่อน ใกล้จะขึ้นแท่นบริษัทแห่งที่ 2 ที่มีมูลค่าบริษัทสูงถึง 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา หลังราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นเทคโนโลยี</h2>
<figure><img class="wp-image-44752" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/GatesAllen-1024x802.jpg" alt="Bill Gates" width="700" height="548" /><figcaption> Paul Allen และ Bill Gates ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft</figcaption></figure>

หุ้นของ <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/sites/jonathanponciano/2020/10/27/microsoft-worlds-third-largest-tech-firm-earnings-14-billion-profit-third-quarter/?sh=729cea8be068">Microsoft</a> ค่อนข้างทรงตัวในวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังปรับตัวสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดราวร้อยละ 20 ในปีนี้ (เทียบกับดัชนี S&amp;P 500 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 13) ก่อนที่จะสร้างสถิติสูงสุดครั้งใหม่ ซึ่งทำให้มูลค่าบริษัทตามราคาตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 1.97 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งห่างจากเป้าหมาย 2 ล้านล้านเหรียญเพียงร้อยละ 1.5

โดยได้รับอานิสงส์มาจากการยอดขายซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์สำหรับองค์กรในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งการก้าวข้ามเกณฑ์ในครั้งนี้ของทางบริษัทเกิดขึ้นเพียง 8 เดือนหลัง <a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/sergeiklebnikov/2020/08/19/apple-becomes-first-us-company-worth-more-than-2-trillion/?sh=15891f3e66e6">Apple</a> ซึ่งตอนนี้มีมูลค่าบริษัทเกือบ 2.3 ล้านล้านเหรียญ ขึ้นแท่นบริษัทสหรัฐฯ แห่งแรก ที่มีมูลค่าบริษัท 2 ล้านล้านเหรียญในเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี Microsoft ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Redmond รัฐวอชิงตัน เป็นบริษัทสหรัฐฯ แห่งที่ 3 ที่มีมูลค่าบริษัทเกิน 1 ล้านล้านเหรียญในเดือนเมษายน 2019 ซึ่งเป็นระยะเวลาไม่ถึง 1 ปีหลังจากที่ Apple และ Amazon <a style="color: #333333;" href="https://www.cnbc.com/2018/09/04/amazon-hits-1-trillion-in-market-value.html">ทำสถิติเป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งที่ 2</a> ในเดือนสิงหาคมและกันยายน 2018 ตามลำดับ 

ขณะที่บริษัทที่สร้างสถิติมีมูลค่าทะลุหลัก 2 ล้านล้านเหรียญแห่งแรกของโลก คือ <a style="color: #008000;" href="https://www.nytimes.com/2019/12/16/business/energy-environment/saudi-aramco.html#:~:text=Saudi%20Aramco%2C%20the%20world's%20biggest,trillion%20on%20the%20Saudi%20exchange.">Saudi Aramco</a> ยักษ์ใหญ่ด้านน้ำมันหลังราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นในวันแรกของการเปิดตลาดเมื่อเดือนธันวาคม 2019

ทั้งนี้หุ้นของ Microsoft ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 ในปีที่ผ่านมาจนส่งผลให้บริษัทมีมูลค่ามากกว่า Tesla และ Facebook ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับที่ 5 และ 6 ของประเทศ ขณะที่ในปัจจุบันบริษัทที่มีมูลค่าใกล้เคียงกับ Apple และ Microsoft คือ Amazon (มูลค่า 1.7 ล้านล้านเหรียญ) และ Alphabet (มูลค่า 1.6 ล้านล้านเหรียญ)

<figure><img class="wp-image-44751" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/microsoft-headquarters1.jpg" alt="Bill Gates" width="700" height="466" /><figcaption> สำนักงานใหญ่ Microsoft ตั้งอยู่ในเมือง Redmond รัฐวอชิงตัน</figcaption></figure>

“ในสภาวะที่ Facebook, Amazon, Apple และ Alphabet ต่างเผชิญกับการตรวจสอบที่ว่าด้วยการละเมิดกฎหมายด้านการผูกขาดหรือไม่ Microsoft ซึ่งเคยผ่านบททดสอบ<a style="color: #993300;" href="https://www.forbes.com/sites/jonathanponciano/2021/04/26/microsoft-nears-2-trillion-market-value-second-only-to-apple-in-the-us/?sh=607ca15ec48a">ด้านกฎระเบียบในช่วงปี 1990 และต้นปี 2000</a> มาแล้ว พบว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าในการจะขยายธุรกิจคลาวด์” Dan Ives นักวิเคราะห์จาก Wedbush กล่าว

ด้านกำหนดการรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทในวันอังคารหลังจากตลาดปิด ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ นักวิเคราะห์คาดว่า บริษัทจะมีรายรับประมาณ 4.1 หมื่นล้านเหรียญมากกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อนร้อยละ 17 และอาจเป็นครั้งที่ 2 ที่มีผลประกอบการรายไตรมาสดีที่สุด หลังจากสร้างสถิติไว้ที่ 4.3 หมื่นล้านเหรียญในไตรมาสที่ 4 ของปี 2021

Bill Gates ก่อตั้ง Microsoft ในปี 1975 ภายในห้องพักมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดร่วมกับ <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/paul-allen/?sh=4c4b53274417">Paul Allen</a> เพื่อนสมัยเด็กที่เสียชีวิตลงในปี 2018 

แม้ว่าจะเริ่มต้นในฐานะบริษัทซอฟต์แวร์ขนาดเล็ก แต่ Microsoft ก็สามารถเปิดตัวคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกที่ใช้ระบบปฏิบัติการของตัวเองในปี 1981 และค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งขึ้นเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก พร้อมกับสร้างมหาเศรษฐีถึง 4 คนตลอดเส้นทาง ได้แก่ Gates, Allen และพนักงานรุ่นแรกๆ อย่าง <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/steve-ballmer/?sh=46b9bb14818a">Steve Ballmer</a> และ <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/charles-simonyi/?sh=62fbf5bc6639">Charles Simonyi </a>

ปัจจุบัน 3 ธุรกิจหลักของบริษัทอยู่ในรูปของโปรแกรมต่างๆ  (อาทิ Microsoft Office และ LinkedIn) ระบบคลาวด์ (อย่าง Azure) และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (ได้แก่ ระบบปฏิบัติการ Windows ฮาร์ดแวร์ และ Xbox) โดยไตรมาสที่ผ่านมา แต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์สามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทราว 1.5 หมื่นล้านเหรียญ

แปลและเรียบเรียงจากบทความ Microsoft Nears $2 Trillion Market Value—Second Only To Apple In The U.S. เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/news/hermes-ไตรมาสแรกปี-2021-รายได้เติ.html">Hermes ไตรมาสแรกปี 2021 รายได้เติบโต 33 % ผลงานขายจากเอเชีย</a>

Microsoft เกือบขึ้นแท่นบริษัทสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าสูงแตะ 2 ล้านล้านเหรียญ ต่อจาก Apple

Tony Hsieh อดีตซีอีโอ Zappos เว็บไซต์ขายรองเท้าออนไลน์ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุไฟไหม้ ในวัยเพียง 46 ปี

[JUST 100] เมื่อองค์กรอเมริกัน “กำกับตนเอง” เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Microsoft ยังคงถือหุ้นอยู่ในบริษัทราว 4% ซึ่งนับเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดมาก เนื่องจากหุ้นของบริษัททะยานถึง 20% ในปีที่ผ่านมา ขณะที่ Usafacts โครงการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดของเขานั้นทำาหน้าที่ติดตามการใช้จ่ายเงินและกิจกรรมต่างๆ ของรัฐบาล

Steve Ballmer

ลีลาใหม่ Microsoft ภายใต้การนำของ Satya Nadella

เศรษฐีหมายเลข 2 ของโลกบริจาคเงินไปแล้ว 3.58 หมื่นล้านเหรียญ ทั้งยังบอกอีกว่าเขาและเศรษฐีชาวอเมริกันคนอื่นๆ ควรเสียภาษีมากกว่านี้อีกซึ่งรวมถึงภาษีกองมรดกด้วย เขายึดครองอันดับสูงสุดได้เพียง 6 ครั้งนับตั้งแต่ปี 1995 มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ผู้นี้เพิ่มขึ้นแต่ยังคงเทียบไม่ได้กับการปรับขึ้นระดับตำนานของ Bezos

Bill Gates

<h2 class="p1">Jeff Bezos บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ผู้เป็นซีอีโอเเละผู้ก่อตั้งอาณาจักรอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon เตรียมหย่ากับภรรยาที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมานานกว่า 25 ปี โดยทั้งสองจะยังคงเป็นเพื่อนเเละหุ้นส่วนธุรกิจ ขณะที่ประเด็นเรื่องสินสมรสกำลังถูกจับตามอง เนื่องจากมีมูลค่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์</h2>
โดย Jeff Bezos ซีอีโอเเละผู้ก่อตั้งอาณาจักรอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Amazon วัย 54 ปี เเละ MacKenzie Bezos นักเขียนนวนิยายวัย 48 ปีออกเเถลงการณ์ประกาศเเยกทางกันเมื่อวันพุธที่ผ่านมา
“หลังจากใช้เวลาในการค้นหาความรักและทดลองแยกกันอยู่มาสักพัก เราตัดสินใจว่าจะหย่าร้างและจะใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะเพื่อน” Jeff ระบุในทวิตเตอร์ของเขา
“ต่อให้รู้มาก่อนว่าอีก 25 ปีเราทั้งสองจะต้องเลิกกัน เเต่เราก็จะยังเลือกทำทุกอย่างอีกครั้งอยู่ดี...เรามีช่วงชีวิตที่เยี่ยมยอดในฐานะคู่รักเเละจะทำหน้าที่เป็นพ่อเเม่ เป็นเพื่อนเเละเป็นหุ้นส่วนธุรกิจของกันเเละกันต่อไป” 
สำหรับ Jeff Bezos ปัจจุบันรั้งอันดับ 1 มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของ<a href="https://www.forbes.com/profile/jeff-bezos/#76c26d331b23"> Forbes </a>ด้วยสินทรัพย์กว่า 1.37 เเสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ทิ้งห้างอันดับสองอย่าง  Bill Gates เจ้าพ่อเทคโนโลยีแห่ง Microsoft ที่ปัจจุบันมีสินทรัพย์ 9.48 หมื่นล้านเหรียญ 
ขณะนี้ยังไม่เป็นที่เเน่ชัดว่าการหย่าร้างครั้งนี้จะมีผลต่อสินทรัพย์ของเขาเเละหุ้นของ Amazon มากเพียงใด ซึ่งเขาถือหุ้นเกือบ 79 ล้านหุ้นคิดเป็นสัดส่วน 16 % ของบริษัท โดยหุ้นเหล่านี้เชื่อมโยงทรัพย์สินของเขากว่า 95% นอกจากนี้ Jeff Bezos ยังเป็นเจ้าของบริษัทผู้ผลิตจรวดอย่าง Blue Origin เเละสื่อชื่อดังอย่าง Washington Post ที่ซื้อกิจการมาในราคา 250 ล้านเหรียญในปี 2013

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/people/cover-story/jeff-bezos-amazon-%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B1.html">Jeff Bezos ขับเคลื่อน AMAZON โตแบบไร้ขีดจำกัด</a></li>
</ul>
หากกรณีที่ MacKenzie Bezos ได้รับการเเบ่งทรัพย์สินจากสามีของเธอครึ่งหนึ่ง จะทำให้เธอมีทรัพย์สินถึง 6.8 หมื่นล้านเหรียญเเละอาจจะขึ้นเเท่นเป็นผู้หญิงที่รวยที่สุดในโลก 


<figure><img class=" wp-image-3580" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/063_173376072.jpg" alt="" width="735" height="545" /><figcaption> credit photo:  Kevork Djansezian/AFP</figcaption></figure>

&nbsp;
ทั้งนี้ Jeff เเละ MacKenzie เพิ่งเปิดโครงการการกุศล Day One Fund ร่วมกันเมื่อปี 2018 เพื่อช่วยเหลือครอบครัวคนไร้บ้านและสร้างโรงเรียนในชุมชนรายได้ต่ำ
อย่างไรก็ตาม Amazon ยังไม่มีการตอบข้อซักถามเกี่ยวกับวิธีการแบ่งสินสมรสที่อาจส่งผลกระทบต่อสถานะหุ้นของบริษัท เเละตอนนี้ยังไม่มีการฟ้องร้องใดๆในศาล
ตลอด 25 ปีที่ทั้งสองใช้ชีวิตร่วมกัน พวกเขามีลูกชายด้วยกัน 3 คน และรับอุปถัมภ์ลูกสาวบุญธรรมอีก 1 คน MacKenzie เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Vogue เมื่อปี 2013 ว่าเธอได้พบกับ Jeff ครั้งเเรกเพราะเขาเป็นคนสัมภาษณ์งานเธอที่นิวยอร์ก
โดยทั้งสองคบหาดูใจกัน 3 เดือนก่อนหมั้นหมายเเละเเต่งงานกันในปี 1993 เเละย้ายมาสร้างครอบครัวที่ Seattle หลังจากนั้นเพียง 1 ปี Jeff ได้ก่อตั้ง Amazon ขึ้นในปี 1994 โดยเริ่มต้นจากธุรกิจขายหนังสือออนไลน์ จากนั้นขยายกิจการพร้อมกับความช่วยเหลือเเละคำเเนะนำจากภรรยา ก่อนจะประสบความสำเร็จเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ที่มีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์สูงสุดในโลกที่ 7.97 เเสนล้านเหรียญ เเซงหน้าบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Microsoft ที่มีมูลค่าอยู่ที่ 7.89 เเสนล้านเหรียญ  (ข้อมูลหลังปิดตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา)
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.forbes.com/sites/noahkirsch/2019/01/09/jeff-bezos-worlds-richest-person-announces-divorce-after-25-years-of-marriage/?utm_source=FBPAGE&amp;utm_medium=social&amp;utm_content=2072010151&amp;utm_campaign=sprinklrForbesMainFB#60127b5817db">Forbes : Jeff Bezos, World’s Richest Person, Announces Divorce After 25 Years Of Marriage</a></li>
 	<li><a href="https://www.bloomberg.com/news/articles/2019-01-09/jeff-and-mackenzie-bezos-are-getting-a-divorce-after-25-years">Bloomberg : With $137 Billion at Stake, Jeff and MacKenzie Bezos to Divorce</a></li>
 	<li><a href="https://www.bbc.com/news/world-us-canada-46814557">BBC : Amazon boss Jeff Bezos and wife MacKenzie divorce</a></li>
</ul>
&nbsp;

<a href="http://bit.ly/2zv4aIX">อ่านสัมภาษณ์ฉบับเต็มของ “Jeff Bezos ขับเคลื่อน amazon โตไร้ขีดจำกัด” ได้จากนิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2561</a>

<img class="alignnone size-full wp-image-2348" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/%E0%B8%9B%E0%B8%81-NOV-2018.jpg" sizes="(max-width: 250px) 100vw, 250px" srcset="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/ปก-NOV-2018.jpg 250w, http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/ปก-NOV-2018-229x300.jpg 229w" alt="" width="250" height="328" />

Jeff Bezos มหาเศรษฐีรวยที่สุดในโลก หย่าภรรยา จับตาประเด็นเเบ่ง "สินสมรส" มหาศาล

<h2 class="p3">ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยีครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในรายชื่อของเรา โดยมี Apple ขึ้นอันดับ 1 เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน</h2>
บริษัทเทคโนโลยียังคงแสดงพลังยึดครองหัวตารางแบรนด์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก แม้ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายจะต่างกันไปไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ บริการค้นหา รีเทล โซเชียลมีเดีย หรือซอฟต์แวร์ แต่สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของบริษัทเทคโนโลยีก็คือ “แบรนด์” 
ชื่อแบรนด์อันโด่งดังคือสิ่งที่ช่วยสร้างดีมานด์และพลังการต่อรองราคา สังเกตได้จาก Top 5 ของแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดประจำปี 2018 Apple, Google, Microsoft และ Facebook ที่ยังคงยึดตำแหน่งเดิมของตนไว้ได้อย่างเหนียวแน่น รวมถึง Amazon ที่มูลค่าแบรนด์เติบโตถึง 31% และพุ่งแซงยักษ์ใหญ่วงการเครื่องดื่มอย่าง Coca-Cola ขึ้นมา ทั้งนี้ Coca-Cola เองกำลังประสบปัญหายอดขายลดลงจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่รักสุขภาพมากขึ้น
ไฮไลต์ที่น่าสนใจอยู่ที่วงการโทรศัพท์มือถือ Samsung Electronics สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า Apple ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2017 ยอดขายของ Samsung ช่วยดันให้มูลค่าแบรนด์ก้าวกระโดดจากอันดับ 10 ขึ้นมาเป็นอันดับ 7 
อย่างไรก็ตาม Canaccord Genuity ประเมินว่า Apple ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนถึง 87% หากวัดกันที่กำไร จากการวางจำหน่าย iPhone X สมาร์ทโฟนราคาแรง ความสามารถในทำกำไรเช่นนี้คือสิ่งที่สะท้อนมูลค่าแบรนด์อย่างชัดเจน และทำให้ Apple มีมูลค่าสูงกว่า Samsung ถึง 4 เท่า
&nbsp;
<h3 class="p4">อันดับ 1 Apple</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1654" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/01_Apple.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 1.828 แสนล้านเหรียญ (+8% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 2.286 แสนล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 1
&nbsp;
<h3 class="p4">อันดับ 2 Google</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1655" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/02_Google.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 1.321 แสนล้านเหรียญ (+30% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 9.72 หมื่นล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 2
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 3 Microsoft</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1656" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/03_Microsoft.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 1.049 แสนล้านเหรียญ (+21% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 9.84 หมื่นล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 3
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 4 Facebook</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1657" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/04_Facebook.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 9.48 หมื่นล้านเหรียญ (+29% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 3.57 หมื่นล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 4
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 5 Amazon</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1658" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/05_Amazon.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 7.09 หมื่นล้านเหรียญ (+31% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 1.693 แสนล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 6
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 6 Coca-Cola</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1659" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/06_CocaCola.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 5.73 หมื่นล้านเหรียญ (+2% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 2.34 หมื่นล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 5
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 7 Samsung</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1660" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/07_Samsung.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 4.76 หมื่นล้านเหรียญ (+25% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 2.034 แสนล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 10
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 8 Disney</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1661" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/08_Disney.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 4.75 หมื่นล้านเหรียญ (+8% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 3.04 หมื่นล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 7
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 9 Toyota</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1662" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/09_Toyota.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 4.47 หมื่นล้านเหรียญ (+9% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 1.764 แสนล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 8
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 10 AT&amp;T</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1663" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/10_ATT.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 4.19 หมื่นล้านเหรียญ (+14% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 1.605 แสนล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 12
&nbsp;

สำหรับวิธีรวบรวมรายชื่อ FORBES มีการประเมินแบรนด์ทั้งหมด 200 แบรนด์เพื่อคัดเลือกเหลือ 100 แบรนด์สุดท้าย เราดูกำไรช่วง 3 ปีและบทบาทที่แต่ละแบรนด์มีในอุตสาหกรรมของตนเพื่อประเมิน ทั้งนี้ ต้องเป็นแบรนด์ที่มีการทำตลาดในสหรัฐอเมริกาด้วย หากต้องการทราบวิธีการจัดอันดับและรายชื่อทั้งหมด สามารถอ่านได้ที่ <a href="http://forbes.com/valuable-brands">forbes.com/valuable-brands</a>

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/leaderboard-detail.php?did=2099">15 บริษัท ‘ผลิตชิ้นส่วน’ ที่มูลค่าหุ้นทะยานหลังจับมือกับ ‘Apple’</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/leaderboard-detail.php?did=1933">ย้อนรอยดีลควบรวม Disney ปี 1995 ชัยชนะของ Warren Buffett</a></li>
</ul>

10 “แบรนด์” มูลค่าสูงที่สุดในโลก ปี 2018

สงคราม IT ที่แผ่ก้าวไกลไปกว่าสามก๊ก

ภายใต้การบริหารของผู้นำคนใหม่ (ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2014) Microsoft รุดหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ตั้งแต่ราคาหุ้นของบริษัทที่สร้างผลตอบแทนชนะบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รายอื่นๆ ไปจนถึงตลาดโดยรวม รวมถึงการที่บริการคลาวด์ของ Microsoft สามารถไล่ทัน Amazon แม้จะปล่อยออกมาสู่ตลาดช้ากว่า ก็นับเป็นอีกเรื่องที่ไม่ธรรมดาเนื่องจากใคร่รู้ยิ่งนักว่า Satya Nadella ประธานบริหารของ Microsoft ปรับทิศทางบริษัทจากการพึ่งพาธุรกิจหลักอย่าง Windows และ Officeและหันไปมุ่งเจาะตลาดอุปกรณ์เคลื่อนที่และระบบคลาวด์ได้อย่างไร

ผมและทีมงาน Forbes จึงใช้เวลากว่าชั่วโมงนั่งจับเข่าคุยกับ Nadella เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา การสนทนาครั้งนี้เป็นการพูดคุยกันหลังไมค์แต่ Nadella ได้ทิ้งประเด็นอันน่าสนใจเอาไว้ เขาเล่าว่าเขาเป็นหนึ่งในสาวกทฤษฎีกรอบความคิดของ Carol Dweck ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย Stanford เมื่อปี 2006 Dweck ได้เขียนหนังสือชื่อ Mindset:The New Psychology of Success เธอได้อธิบายถึงแนวคิดที่เข้าใจง่ายแต่หนักแน่นด้วยสาระสำคัญ นั่นคือบุคคลประเภทที่มีกรอบความคิดตายตัว จะหยุดพัฒนาตนเองถึงแม้จะเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ ส่วนคนกลุ่มที่มีมุมมองความคิดแบบเปิด จะก้าวหน้าพัฒนาอยู่เสมอ

การยึดมั่นในธุรกิจ Windows และ Office มาเป็นเวลายาวนานบวกกับความเอนเอียงเพราะเชื่อมั่นว่าพนักงานของบริษัทมีความสามารถสูงที่สุดเหนือคู่แข่งทำให้ Microsoft มีกรอบความคิดที่ยึดติดในการดำเนินธุรกิจของตนในหนังสือ Dweck หยิบยกเรื่องราวของ John McEnroe อดีตนักเทนนิสมืออาชีพขึ้นมาเป็นกรณีตัวอย่างสำหรับบุคคลที่มีทักษะความสามารถแต่มีกรอบความคิดตายตัว McEnroe มีพรสวรรค์โดดเด่นแต่เกลียดการฝึกซ้อม นอกจากนี้เขายังเกลียดโปรแกรมฝึกพัฒนากล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่น อย่างที่ Roger Federer ทำเป็นประจำซึ่งโปรแกรมฝึกนี้อาจช่วยยืดเวลาการเล่นเทนนิสอาชีพของเขาให้นานขึ้น

สำหรับ McEnroe ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่พรสวรรค์ของเขาเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นคือทักษะฝีมือที่ติดตัวมาแต่กำเนิดส่วนขั้นตอนความคิดที่เปิดกว้างต่อการพัฒนา Dweck เขียนอธิบายว่าคือ การสงสัยใคร่รู้ ลงมือทดสอบ ทุ่มเทฝึกฝนและเรียนรู้ ทำตามซ้ำๆ ทำแล้วทำอีก เพราะถ้าหยุดเมื่อไหร่หมายความว่าจะหยุดพัฒนาและเติบโต ตอนนี้เมื่อคุณรู้แล้วว่า Nadella จาก Microsoft เป็นแฟนตัวยงของ Mindset อาจทำให้คุณอยากหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านอีกครั้ง

หนังสืออีก 2 เล่มที่เพิ่งวางแผงและควรค่าที่จะหยิบยกคือ Ego Is the Enemy โดย Ryan Holiday และ Shoe Dog: A Memoir by the Creator of Nike โดย Phil Knight

Ego Is the Enemy หนังสือคุณภาพคับอัดแน่นไปด้วยเคล็ดลับในการพัฒนาตนเอง ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพ การวิเคราะห์ตนเองและเสริมทักษะความสามารถ เรื่องราวของผู้เขียน Holiday วัย 29 ปีได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันแต่สามารถไต่เต้ากลายเป็นตัวแทนผู้ดูแลศิลปินเพลงร็อคแห่งวงการฮอลิวูด และรับตำแหน่งกรรมการบริหารฝ่ายการตลาดของ American Apparel ด้วยวัยเพียง 20 กว่าปี Holiday ศรัทธาในแนวคิดปรัชญาแบบ Stoicism ของชาว Spartan ซึ่งกลายมาเป็นหัวใจสำคัญของหนังสือ ทั้งนี้ Holiday ได้แนะนำแนวทางสู่ความสำเร็จและการพัฒนาประสิทธิภาพของตนเองเช่นเดียวกับ Dweck โดยมีหลักการว่ากำหนดชีวิตของคุณด้วยการลงมือทำไม่ใช่จากสิ่งที่ติดตัวมา อย่าปล่อยให้อัตตาสูงเกินไปจนมองความสามารถตนเองสูงเกินจริงหรือไม่รับฟังคำติเพื่อก่อ

Shoe Dog ซึ่งเขียนโดย Knight เป็นบันทึกไดอารี่ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยอ่านมา เนื่องจากเป็นบันทึกเรื่องราวจากประสบการณ์จริงของผู้แต่งจึงสามารถถ่ายทอดอารมณ์และความเป็นจริงได้อย่างลึกซึ้งขนาดที่หนังสืออัตชีวประวัติเล่มที่ดีที่สุดก็เทียบไม่ได้Knight เป็นนักวิ่งตัวยงสมัยเรียนอยู่ที่ University of Oregon ขณะที่เขาศึกษาระดับปริญญาโทที่ Graduate School of Business ณ Stanford เขาเขียนรายงานเกี่ยวกับโอกาสที่บริษัทญี่ปุ่นจะรุกเข้าเจาะตลาดธุรกิจกีฬาในสหรัฐฯ หลังจากเข้ารับใช้ชาติในกองทัพอเมริกา Knight เดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นและกลายเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าแบรนด์ Onitsuka Tiger ในสหรัฐฯ (หรือที่รู้จักกันในนามแบรนด์ Asics ในปัจจุบัน)

นั่นคือเรื่องราวในปี 1962 และเวลาล่วงเลยจนถึงปี 1971 ก่อนที่ Knight จะก่อตั้งธุรกิจรองเท้ากีฬาของตนเองภายใต้แบรนด์ Nike อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธุรกิจจะเติบโตในอัตราสองเท่าทุกปีแต่ Nike กลับมีกระแสเงินสดติดลบอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งนำบริษัทเข้าตลาดโดยออก IPO เมื่อเดือนธันวาคม 1980 (และเป็นเรื่องบังเอิญที่ Apple ออก IPO ในเดือนเดียวกัน) ในหนังสือ Shoe Dog Knight พาผู้อ่านผ่านท่องสู่เรื่องราวอันโลดโผนก่อน Nike จะก้าวสู่ความสำเร็จจากที่เคยพลาดพลั้งและเกือบล่มสลาย

ทั้งหมดนี้คือหนังสือ 3 เล่มที่ผมอยากแนะนำให้คุณอ่านในช่วงวันหยุดพักผ่อนนี้

<img style="width: 200px; height: 233px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/432321de160377a3103b9e50b008a56e.png" alt="" />
RICH KARLGAARD
ผู้พิมพ์ผู้โฆษณาของ Forbes กับผลงานหนังสือเล่มล่าสุด TEAM GENIUS : THE NEW SCIENCE OF HIGH-PERFORMING ORGANIZATIONS

<hr />

<a href="http://goo.gl/n8dXzO">คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมบทความทรงคุณค่า ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ October 2016 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/n8dXzO"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/51ea2f8575516d2f75c7d699c840a968.png" alt="" width="282" height="368" /></a>

หนังสือที่ควรค่าแก่การอ่านในวันพักผ่อน

<h2>Bill Gates Sr. พูดคุยถึงวัยเด็กของลูกชาย ซึ่งต่อมากลายเป็นผู้ก่อตั้ง Microsoft และอภิมหาเศรษฐีใจบุญ</h2>
Bill ในวัยเด็กเป็นยังไง?
เขาชอบอ่านหนังสือมาก ทั้งสารานุกรม นวนิยายแนววิทยาศาสตร์ เรียกได้ว่าหนังสือทุกประเภทเลยทีเดียว อ่านมากเสียจนทั้งผมและแม่ของเขาต้องตั้งกฎ ห้ามอ่านหนังสือเวลารับประทานอาหารเย็น

เขาเริ่มสนใจคอมพิวเตอร์ตอนไหน?
ตั้งแต่ตอนที่เขายังเด็กมาก สมัยที่ยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนตอนที่บรรดาผู้ปกครองระดมทุนกันเพื่อซื้ออุปกรณ์ที่จะเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับสายโทรศัพท์เพื่อให้คุณครูที่โรงเรียนได้ใช้ แต่ครูลองใช้แล้วทำไม่ค่อยถูก เลยไม่กล้าใช้มัน Bill เป็นหนึ่งในกลุ่มนักเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่ได้รับเลือกให้ทดลองใช้และเรียนรู้วิธีการใช้งาน และพอเขาอายุได้ 13 ปี เขาก็ติดคอมพิวเตอร์งอมแงม

เขาทำงานอะไรก่อนที่จะเข้ามหาวิทยาลัยหรือเปล่า?
ตอนที่เขาใกล้จะจบชั้นมัธยมปลาย Bill ขอพักการเรียนเพื่อไปวางโปรแกรมให้กับโรงไฟฟ้าที่ North Bonneville ในรัฐ Washington ซึ่งตอนนั้นผมกับภรรยาได้คุยกับครูใหญ่ของโรงเรียนและเห็นตรงกันว่างานนี้น่าจะช่วยเปิดโอกาสให้เขาได้ใช้ทักษะและความสนใจที่เขามีอยู่ ผมจำได้ว่าตอนนั้น Bill เล่าให้ฟังว่าเขากับ Paul Allen ทำงานกันไม่ยอมหลับยอมนอนเพื่อเขียนโปรแกรมระบบการบริหารสายส่งไฟฟ้า

คุณรู้สึกอย่างไรตอนที่ Bill บอกว่าเขาจะลาออกจาก Harvard?
ถ้าจะบอกว่าไม่ได้กังวลอะไรก็คงไม่ใช่ แต่ในตอนนั้น Bill ค่อนข้างมีความชัดเจนในเป้าหมายชีวิตของตัวเอง แล้วอีกอย่าง เขาเองก็ต้องทุ่มเทเวลาให้กับบริษัทคอมพิวเตอร์ที่เขากับ Paul Allen ตั้งขึ้นมาด้วย แต่ผมกับภรรยาก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าลูกของเราจะเลิกเรียนกลางคันแบบนี้ แต่สำหรับ Bill แล้ว เขารู้ดีว่าเขาทำอะไรอยู่

<hr />

<a href="http://goo.gl/5KbXgP">คลิ๊กอ่านบทความเพื่อสร้างแรงบันดาลใจทางธุรกิจได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ MARCH 2016 ในรูปแบบ E-Magaizne </a>
<a href="http://goo.gl/5KbXgP"><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%20march/cover-forbes-march2016-re.jpg" alt="" width="330" height="432" /></a>

เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นมหาเศรษฐี

เที่ยงคืนของวันที่ 27 ตุลาคม เป็นวันเปิดตัว Halo 5: Guardians และผู้คนทั่วโลกพากันต่างเข้าคิวซื้อวิดีโอเกมแนวไซไฟออกใหม่ภาคต่อสุดฮิตนี้ Microsoft เป็นเจ้าของเกมภาคต่อ Halo และลงให้สำหรับเครื่อง Xbox เท่านั้น และเมื่อ CEO ของ Microsoft เห็นการเปิดตัวแบบนั้น เขาก็พาลตื่นเต้นไปด้วย “ผมอยากให้คนเปลี่ยนจากการใช้ Windows เพราะความจำเป็น มาเป็นใช้เพราะรัก นั่นเป็นหัวใจของ Xbox”  กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์ในการประชุมวิดีโอเกม E3 เมื่อเดือนมิถุนายน เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ที่ CEO ของ Microsoft เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ซึ่งเป็นเวทีการประชุมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแวดวงธุรกิจเกม “แฟนๆ และความมีส่วนร่วม... เหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมต้องการให้เกิดขึ้นกับส่วนอื่นๆ ของบริษัท”

หลังรับตำแหน่ง CEO มาได้ราวปีครึ่ง Nadella แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ที่สนับสนุนเกมสุดตัวคนหนึ่ง Nadella ลงทุนไปมหาศาลกับเกม หนึ่งในนั้นคือการทุ่มเงิน 2.5 พันล้านเหรียญ ซื้อ Mojang AB บริษัทเกมจากสวีเดน ที่อยู่เบื้องหลัง Minecraft เกมคอมพิวเตอร์ยอดฮิตขายดีทำลายทุกสถิติ ที่ผ่านมาได้ตัดทอนธุรกิจในส่วนผู้บริโภค เช่น การโละแบรนด์ Nokia มูลค่า 7.6 พันล้านเหรียญ เขากลับค่อยๆ เพิ่มความสำคัญกับ Xbox ราวกับเป็นธุรกิจหลักของ Microsoft

เหตุผลก็คือ เกมเป็นแรงขับเคลื่อนนวัตกรรมที่สำคัญ และจะสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจอื่นๆ ของบริษัท รวมถึงคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และบริการคลาวด์ ประมาณการรายได้ต่อปีของ Xbox อยู่ที่เพียง 6.5 พันล้านเหรียญ คิดเป็นเพียงร้อยละ 7 ของรายได้รวมของ Microsoft ส่วนผลกำไรก็เพียงน้อยนิดและแตกต่างกันไปในแต่ละปี แต่ข้อดีของ Xbox ไม่อาจมองเห็นได้จากหนังสือชี้ชวนที่เสนอต่อคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ “Microsoft โดดเด่นในเรื่องแพลตฟอร์มและการผลิต อันนี้แน่นอน” Nadellaกล่าว “แต่อีกอย่างที่ Microsoft ทำได้ดีคือเกม เรามี Xbox ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ดี”

<figure><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%2002%20-%20FEB/cover---Microsoft-02.jpg" alt="" width="511" height="283" /><figcaption> Satya Nadella CEO ของ Microsoft</figcaption></figure>

Nadella ต้องการให้ Xbox เป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในวงจรธุรกิจของ Microsoft ระบบปฏิบัติการ Windows 10 มีแอพพลิเคชั่น Xbox ติดตั้งไว้ แอพฯ นี้จะช่วยให้เกมเมอร์ที่มีบัญชีผู้ใช้ Xbox Liveมองเห็นได้ว่าเพื่อนๆ ของพวกเขาเล่นอะไรกันอยู่ รวมทั้งพูดคุยกันได้ Windows 10 ยังสามารถสตรีมเกมจากเครื่อง Xbox One มาลงคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ตได้โดยตรง

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน Microsoft ได้เปิดเผยพัฒนาการด้านซอฟต์แวร์ล่าสุดสำหรับ Xbox One ซึ่งมีการปรับปรุงอินเตอร์เฟซและทำให้เครื่องสามารถรองรับเกมที่เล่นกับเครื่อง Xbox 360 ได้ดีขึ้น  นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติสำคัญที่น่าจะถูกใจบรรดานักพัฒนานั่นคือ ฟังก์ชั่นช่วยเหลือสำหรับ “Universal Apps” ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นที่รองรับ Windows ทั้งบนคอมพิวเตอร์พีซี โทรศัพท์ และ Xbox One “Microsoft ต้องเผชิญความท้าทายใหญ่หลวงในการเจาะตลาดผู้บริโภค” Xbox ยังเป็นตัวช่วยที่ดูสมเหตุสมผลที่สุด มันดูไม่น่าเชื่อที่ Xbox จะถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มพื้นฐาน ซึ่งยังเป็นหัวใจสำคัญของ Microsoft แต่ Nadella ไม่มีทางเลือกมากนัก” นั่นเป็นความเห็นจาก Daniel Ives กรรมการผู้จัดการบริษัทด้านการลงทุน FBR Capital Markets
&nbsp;

เรื่อง: David M. Ewalt เรียบเรียง: เอมวลี อัศวเปรม

<hr />

<a href="http://goo.gl/6fV29E">คลิ๊กอ่าน "หัวหอกใหม่ R&amp;D ของ Microsoft?" ฉบับเต็ม ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ MARCH 2016 ในรูปแบบ E-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/6fV29E"><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%2002%20-%20FEB/cover---feb.jpg" alt="" width="241" height="316" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events