<h2>หลายคนคงคุ้นเคยกับร้านอาหาร “โอ้กะจู๋” ที่เริ่มต้นจากการเปิดร้านในเชียงใหม่ โดยมีจุดขายคือฟาร์มผลิตผักของตนเอง ต่อมาเริ่มขยายร้านมาสู่กรุงเทพจนมีสาขาในหลายจังหวัด จากนั้นยังมีข่าวใหญ่คือ OR หรือ บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก เข้ามาซื้อหุ้นของโอ้กะจู๋ และขยายธุรกิจผ่านเครือข่ายของ ปตท. ล่าสุดเตรียมเข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว&nbsp;</h2><h2> </h2>เตรียม IPO! ประกาศยื่น Filing ต่อ ก.ล.ต.แล้ว
​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2 เม.ย.67 ที่ผ่านมา บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ เจ้าของแบรนด์ โอ้กะจู๋ ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และร่างแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 159 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 26.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อใช้ขยายสาขา เพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อต่อยอดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
 โอ้กะจู๋ วางแผนธุรกิจไว้อย่างไร?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ เล่าว่า ปัจจุบันมีแผนใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ธุรกิจบริการและจำหน่ายอาหาร ภายใต้แบรนด์ “โอ้กะจู๋” โดยจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โดยมี 4 ช่องทางการขายหลัก คือ 
 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.1 Full-service Restaurant ร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ ที่จะขายอาหารปรุงสด, มีบริการ Drive Thru, บริการ Snack box และรองรับ Food Delivery ปัจจุบันมีจำนวน 30 สาขา ในเชียงใหม่ กรุงเทพฯ ปริมณฑล ระยอง และชลบุรี
 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.2 Delivery and Kiosk ที่จะเน้น Delivery และ Grab &amp; Go ปัจจุบันมีจำนวน4 สาขา ในกรุงเทพฯ
 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.3 Cafe Amazon จำหน่ายอาหารว่างและอาหารเพื่อสุขภาพ เช่น แซนวิช สลัดผัก แร็พ สลัด ผ่านร้าน Cafe Amazon กว่า 300 สาขาในกรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคกลางและภาคตะวันออก และ
 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.4 Supermarket ซึ่งเป็นการวางจำหน่ายผลผลิตการเกษตรอินทรีย์ ภายใต้แบรนด์ “โอ้กะจู๋” เช่น ผัก ผลไม้ สลัดพร้อมทาน เป็นต้น ผ่าน Rimping Supermarket และ Gourmet Market จำนวน 9 สาขา ในเชียงใหม่ และกรุงเทพฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. ธุรกิจร้านอาหารประเภทจานด่วน ภายใต้แบรนด์ “Ohkajhu Wrap &amp; Roll” จำหน่ายสลัด แร๊พสลัด แซนวิช เบอร์เกอร์ และเมนูสุขภาพพร้อมหยิบ (Grab &amp; Go) เพื่อให้ตอบโจทย์ชีวิตที่เร่งรีบ<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/Ffxeq7zo8uzRNjKARHMk.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-index="0" data-file-name="Ffxeq7zo8uzRNjKARHMk.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. ธุรกิจร้านน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ “Oh Juice” ได้แก่ น้ำผักออร์แกนิคและผลไม้ที่จำหน่ายในร้านโอ้กะจู๋ คาดว่าจะเปิดร้าน Ohkajhu Wrap &amp; Roll และร้าน Oh Juice สาขาแรกไตรมาส 2 ปี 2567
 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ปัจจุบัน OKJ ยังปลูกทั้งผักสลัด ผลไม้ และดอกไม้ทานได้ (แบบเกษตรอินทรีย์) ในจังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ราว 380 ไร่ อีกทั้งยังรับซื้อผักผลไม้ออร์แกนิคจากเกษตรกรในเครือข่ายเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบและจำหน่ายในร้านโอ้กะจู๋ ภายใต้แบรนด์ “โอ้กาด”เปิดรายได้ OKJ ปี 2564 ขาดทุน แต่ปี 2565-2566 พลิกกำไร&nbsp;​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในด้านรายได้ปี 2564-2566 จากข้อมูลจากเอกสาร Filing ของ ก.ล.ต. พบว่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายได้จากการขาย (ณ 31 ธ.ค.) 
 - ปี 2564 อยู่ที่ 797.86 ล้านบาท (ค่าใช้จ่ายรวม 336.89 ล้านบาท)
 - ปี 2565 อยู่ที่ 1,210.41 ล้านบาท (ค่าใช้จ่ายรวม 462.23 ล้านบาท)
 - ปี 2566 อยู่ที่ 1,712.83 ล้านบาท (ค่าใช้จ่ายรวม 585.99 ล้านบาท)
 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่กำไรสุทธิ (ณ 31 ธ.ค.) 
 - ปี 2564 ขาดทุน 84.6 ล้านบาท (อัตรากำไรสุทธิ -10.5%)
 - ปี 2565 มีกำไรสุทธิ 38.3 ล้านบาท (อัตรากำไรสุทธิ 3.2%)
 - ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 140.6 ล้านบาท (อัตรากำไรสุทธิ 8.2%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2566 OKJ มีสินทรัพย์รวม 1,349.93 ล้านบาท ขณะที่มีหนี้สินรวม 772.01 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 577.92 ล้านบาท เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/forbes-life/travel-forbes-life/chiangmai-marriott-now-open" alt="‘เชียงใหม่ แมริออท โฮเทล’ สัมผัสกลิ่นอายล้านนา ในความหรูหราระดับ 5 ดาว"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/thai-pickups-are-risk-competed-with-china-and-ev-cars" alt="หวั่นใจ 'ปิกอัพ-ยานยนต์ไทย' เสี่ยงถูกจีนกินรวบตลาด เสียเปรียบทั้งเรื่องราคา-กำลังผลิตรถ EV">หวั่นใจ 'ปิกอัพ-ยานยนต์ไทย' เสี่ยงถูกจีนกินรวบตลาด เสียเปรียบทั้งเรื่องราคา-กำลังผลิตรถ EV</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘โอ้กะจู๋’ แบรนด์ร้านอาหารสุขภาพ ยื่น Filing เตรียม IPO ในตลาดหุ้นไทย 159 ล้านหุ้น

<h2>อดีตรองกรรมการผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ ปตท. คร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจน้ำมันและการค้าระหว่างประเทศมายาวนาน ทำให้ ดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR มีจุดแข็งที่โดดเด่นในการบริหารต้นทุน การวิเคราะห์ข้อมูล และบริหารความเสี่ยงเรื่องต้นทุนและราคา เมื่อก้าวสู่ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของ OR แน่นอนการบริหารต้นทุนจะยิ่งทำให้กำไรของ OR เพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“Trading ถูก disrupt ทุกวัน ต้องเคลื่อนไหวเร็วอยู่บนการซื้อขาย เป็นธุรกิจที่ไม่มี asset ชัดเจน asset เดียวที่มีคือสมองและความสามารถในการบริหารต้นทุน” ดิษทัตเริ่มต้นบอกเล่าประสบการณ์ทำงานของเขาให้ทีมงาน Forbes Thailand ได้รับทราบ และทำให้รู้ว่าจุดแข็งที่สำคัญของเขาคือ เรื่องการค้าที่ฉับไวและมุมมองในเรื่องของการบริหารต้นทุน เพราะน้ำมันเป็นสินค้าที่มีความเคลื่อนไหวราคาแบบรายวัน หาก ปตท. ไม่สามารถวางแผนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงราคา อาจทำให้ขาดทุนได้โดยง่าย ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อดิษทัตเข้านั่งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OR สิ่งแรกที่เขามองคือ การบริหารต้นทุน โดยเฉพาะต้นทุนที่มาจากต้นน้ำซึ่งยังมีช่องว่างที่ควรปรับปรุง ในขณะที่ปลายน้ำของ OR ดีอยู่แล้ว ด้วยจำนวนร้านสาขา ทั้งสถานีบริการน้ำมันกว่า 2,000 สาขา ร้าน Cafe Amazon ที่มีกว่า 4,000 สาขาทำยอดขายที่ดี รวมทั้งธุรกิจต่างๆ เช่น ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันผ่าน PTT Station, FIT Auto, PTT Lubricants, ก๊าซหุงต้ม ปตท. และ LPG Station&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธุรกิจน้ำมันเชิงพาณิชย์ เชื้อเพลิงอากาศยาน, เชื้อเพลิงเรือขนส่ง, เชื้อเพลิงภาคอุตสาหกรรม, เชื้อเพลิงเพื่อการขนส่ง และผลิตภัณฑ์พิเศษ ธุรกิจค้าปลีก Cafe Amazon, Jiffy, Texas Chicken, Panamera Coffee Roaster, Pearly Tea ทำรายได้ OR อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย 4-5 แสนล้านบาทต่อปี​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/VRcGWeQXXweTZQjGMVXV.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="VRcGWeQXXweTZQjGMVXV.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="752,452" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก่อนหน้านี้ดิษทัตดูแลต้นทุนราคาน้ำมันเป็นหลัก เมื่อก้าวมาสู่ธุรกิจค้าปลีกในภาพรวมเขาจึงมองเรื่องต้นทุนและการบริหารความเสี่ยงเป็นปัจจัยสำคัญเช่นเดียวกัน โดยเครื่องมือที่เขาใช้คือดาต้าหรือตัวเลขในการซื้อขายที่มีในระบบซึ่งเดิม OR มีการเก็บตัวเลขอยู่แล้ว แต่ยังขาดรายละเอียดแบบ executive data เขาเสริมส่วนนี้เข้าไป นำตัวเลขมาประเมินและวิเคราะห์ ทำให้มองภาพรวมธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ดูจากตัวเลขสถิติผมสามารถประเมินได้เลยว่าเดือนนี้กำไรเท่าไร บอกได้เลยกี่ร้อยล้านโดยไม่ต้องดูผลประกอบการ ยิ่งเห็นตัวเลขทุกเดือนคาดการณ์ได้ใกล้เคียงบวกลบไม่เกิน 20%” ซีอีโอ OR ย้ำและว่า เครื่องมือที่เขาใช้ประเมินนี้คือ การนำตัวเลขดาต้าที่มีอยู่มาทำแดชบอร์ด หรือการนำข้อมูลต่างๆ ที่อาจเป็นข้อมูลในรายงานอยู่แล้วหรือข้อมูลใหม่มาสรุปให้สามารถเห็นภาพได้ในหน้าเดียว และเป็นข้อมูลที่อัปเดตสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นความถนัดของเขาที่ใช้มาตลอดกับการเทรดดิ้งน้ำมันให้กับ ปตท. เชื่อมทุกยูนิตไร้ข้อจำกัด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“บริษัทเราใหญ่ ผมมาจาก trading คนซื้อคนขายคนเดียวกัน แต่ OR ไม่ใช่ คนซื้อคนขายคนละคนกัน ถ้าการเชื่อมต่อไม่ดีข้อมูลไม่ซิงค์กันเกิดวิกฤตได้ง่าย” เขามองว่าเป็นจุดที่ต้องแก้ไขเพื่อให้ตัวเลขสอดคล้องกันระหว่างการซื้อและการขาย เพราะการซื้อต้องมีการสำรองมากถึง 12 ชิปเมนต์ และตลาดเคลื่อนไหวเร็ว ถ้าไม่ได้ทำการบริหารความเสี่ยง (risk management) ไว้มีโอกาสขาดทุน ดังนั้น ทีมซื้อและขายต้องทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขายังบอกด้วยว่าธุรกิจ mobility เช่น สถานีบริการน้ำมันเปิดมากไม่ได้เพราะจะแน่นเกินไป ทุกครั้งที่ OR เปิดจะมีการวิเคราะห์เสมอว่าทำเลนี้เหมาะสมหรือไม่ จะส่งผลกระทบกับสถานีที่มีอยู่เดิมเพียงใด และยอมรับว่าทุกวันนี้สถานีบริการน้ำมันถูกดิสรัปต์ด้วย EV เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/dCdw99vG8UqBv8cHvKVF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="dCdw99vG8UqBv8cHvKVF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="370,507" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้เขาจะมองว่าต่อไปอีก 15 ปีข้างหน้า รถใช้น้ำมันก็ยังคงอยู่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า EV จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้น สถานีบริการน้ำมันของ ปตท. ต้องปรับตัว และมองว่า EV เป็นอีกหนึ่งโปรดักต์ที่ต้องมีในระบบนิเวศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“คิดง่ายๆ เราก็เพิ่ม EV ไปอีก 1 โปรดักต์ สร้างความทันสมัยให้ OR ดู smart และยังเป็นการเพิ่มโอกาสในรีเทลอื่นๆ ในปั๊มด้วย” เนื่องจากการเติมพลังงานไฟฟ้าของรถ EV ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 20 นาที ส่วนมาก 30 นาที เวลาพอเหมาะ PTT กว่า 2,000 แห่งใส่ EV ไปแล้วกว่า 500 แห่ง “เรามีเป้าหมายหัวชาร์จไฟฟ้า 7,000 หัวภายในปี 2573 ตอนนี้มี 1,000 ไม่ว่าพลังงานจะเปลี่ยนอย่างไร OR จะเป็นผู้นำทั้งหมด” ดิษทัตยืนยัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน ปตท. มีสถานีบริการน้ำมันมากกว่า 2,000 แห่ง เมื่อเทียบกับพื้นที่ถนนแล้วยังสามารถขยายสถานีตามถนนสายรองได้แต่ไม่มากนัก ดังนั้น จึงมองเรื่องการขยายไปต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาซึ่งมีภูมิประเทศแบบเดียวกับไทย มีกำลังซื้อและมีถนนรองรับมากมาย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/Hw3k1bS3mZbnjUkjqcoN.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Hw3k1bS3mZbnjUkjqcoN.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="900,600" style="" data-index="2"></figure></div> พุ่งเป้าตลาด “กัมพูชา”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราขยายไปประเทศเพื่อนบ้านไม่ไกล ต้องโฟกัสใกล้ๆ ไปไกลเดี๋ยวฟุ้งซ่าน กัมพูชาดีที่สุดแล้ว ทำให้ดี ประเทศเขากว้างขวาง ทำอย่างไรให้โตไปได้เหมือนไทยอีกหนึ่งประเทศ ผลักดันยอดขายได้เยอะ” ดิษทัตเผยว่า OR กำลังวางกลยุทธ์เพิ่มโครงสร้างพื้นฐานทำให้กัมพูชาเป็น second home base ใส่สรรพกำลังเข้าไป ปัจจุบันในกัมพูชามี 170 สถานี โดย PTT Cambodia เชื่อว่าจะโตได้อีกถึง 700 สถานี และมีหลายผลิตภัณฑ์ยังไม่ได้ใส่ลงไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งหมดนี้คือมุมมองและเป้าหมายทางธุรกิจที่วางไว้ แต่ดิษทัตยังมีอีกเรื่องที่อยากสื่อสารคือความยั่งยืน เขาบอกว่า ปตท. ใส่ใจเรื่องความยั่งยืนและเป็นมิตรกับชุมชนที่เข้าไปตั้งกิจการทุกแห่ง โดยพยายามดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม และออกแบบสถานีให้เป็นกรีนด้วยการใช้พลังงานสะอาด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผมอยากให้ OR เป็น green company อยากให้คนมองเห็นความ green ของ OR ซึ่งเราช่วยเหลือเยอะแต่ไม่ค่อยเห็นภาพว่าเราดูแลสังคมทั้งที่เราทำมาตลอด” เป็นกรีน 100% เอาผลิตภัณฑ์มารียูส มีโมเดลจ้างงานคนพิการ หูหนวก ที่ร้าน Amazon โต๊ะอุปกรณ์รีไซเคิลหมด เสื้อผ้ารียูสถักทอจากพลาสติก และมีแผนลดการปล่อยคาร์บอนชัดเจนไปถึงปี 2573 มีการปลูกป่า และล่าสุดกำลังร่วมกับเกษตรกรปลูกกาแฟเพื่อใช้เอง ​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/people/small-giants/teerachai-prasitrattanaporn-adding-light-to-tmi-biogas-power-plant" alt="ธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร เพิ่มแสงสว่างให้ TMI ด้วยโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ">ธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร เพิ่มแสงสว่างให้ TMI ด้วยโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ</a>​ ​​<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/e05f13b4-8402-40df-acea-d1073274e800" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/Ft9BuZicTn8Tv1PUpQHu.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="Ft9BuZicTn8Tv1PUpQHu.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="320,420" style="" data-index="3"></figure></div>

ดิษทัต ปันยารชุน ซีอีโอลูกหม้อ ปตท. เสริมแกร่งบริหารต้นทุน “OR”

<h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นิตยา ธำรงราชนิติ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์และการตลาด คาเฟ่อเมซอน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และ จันต์สุดา ธนานิตยอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพาณิชย์และการตลาด แกร็บ ประเทศไทย ผุดไอเดีย “รับเอง งดแยกน้ำแข็ง” ชวนลูกค้าคาเฟ่ อเมซอนที่ใช้บริการเดลิเวอรีผ่านแกร็บ ร่วมลดขยะพลาสติกจากการเลือก “ไม่แยกน้ำแข็ง” ด้วยการรับเองที่หน้าร้าน (Self Pick-Up)</h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คาเฟ่ อเมซอน ผนึก แกร็บ ต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจ ร่วมผลักดันประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ชวนลูกค้าเดลิเวอรีรักษ์โลก-ลดใช้พลาสติกครั้งเดียวทิ้ง ผ่านโครงการ “รับเอง งดแยกน้ำแข็ง ” ส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการลดขยะพลาสติกจากการเลือก “ไม่แยกน้ำแข็ง” เมื่อสั่งเครื่องดื่มผ่านบริการ “รับเองที่ร้าน” (Self Pick-Up) ซึ่งมีให้บริการเฉพาะที่แกร็บเท่านั้น โดยคาดว่าจะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกได้กว่า 8 แสนชิ้นต่อปี พร้อมเตรียมปล่อยแคมเปญและกิจกรรมการตลาดร่วมกันตลอดปี หวังดันตลาดเดลิเวอรีด้วยกลยุทธ์ “Green Marketing” ชวนผู้บริโภคดื่มกาแฟแบบคนรักษ์โลกผ่านแก้ว “อเมซอน ไบโอ คัพ”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/jatoJ1nFRdUGdbPvErBR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="jatoJ1nFRdUGdbPvErBR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="1920,1280" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นิตยา ธำรงราชนิติ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์และการตลาด คาเฟ่อเมซอน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า “นโยบายหรือพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมของ OR มุ่งเน้นการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Net Zero) ผ่านการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ของใช้ภายในร้านคาเฟ่ อเมซอน ทั้งแก้วร้อน BIO แก้วเย็น PLA รวมทั้งหลอด BIO ที่ผลิตจากพืช เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสลายตัวได้ทางชีวภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ OR ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับแกร็บมากว่า 5 ปี นอกจากความร่วมมือทางธุรกิจแล้ว OR ยังต้องการขยายความร่วมมือกับแกร็บในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากทั้ง OR และแกร็บต่างมีพันธกิจในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมไปในทิศทางเดียวกัน อีกทั้งแกร็บยังเป็นแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีอันดับหนึ่ง เข้าถึงผู้ใช้บริการหลายล้านราย ความร่วมมือในครั้งนี้ OR โดยคาเฟ่ อเมซอน ต้องการร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมผ่านไอเดีย "รับเอง ไม่แยกน้ำแข็ง" ที่คาดว่าจะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกจากการไม่แยกน้ำแข็งได้กว่า 8 แสนชิ้นต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านแนวคิด SDG ในแบบฉบับของ OR หรือ OR SDG ที่จะตอบโจทย์เป้าหมาย "G" หรือ "GREEN" ในการมุ่งสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืนอีกด้วย”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/JwH72dsSkizk8TSjMK97.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="JwH72dsSkizk8TSjMK97.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="1920,1280" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จันต์สุดา ธนานิตยอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพาณิชย์และการตลาด แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “การส่งเสริมความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability) ถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของการดำเนินธุรกิจของแกร็บ ภายใต้พันธกิจที่เรียกว่า "แกร็บ…เพื่อชีวิตที่ดีกว่า" (GrabForGood) ซึ่งหนึ่งในโครงการหลักคือการส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการของเราร่วมลดปริมาณการใช้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง โดยการพัฒนาฟีเจอร์ “เลือกไม่รับช้อนส้อมพลาสติกแบบอัตโนมัติ” (Plastic cutlery opt-out feature) ตั้้งแต่ปี 2562 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้บริการ โดยในปีที่ผ่านมาฟีเจอร์นี้สามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งไปได้มากกว่า 8,000 ตันทั่วทั้งภูมิภาค1”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สำหรับการผนึกความร่วมมือกับ คาเฟ่ อเมซอน ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการต่อยอดความร่วมมือในเชิงธุรกิจแล้ว ยังถือเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของแกร็บที่ต้องการมีส่วนร่วมในการรับมือกับประเด็นปัญหาในด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเด็นด้านขยะพลาสติก ซึ่งถือเป็นความท้าทายในระดับโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเราเล็งเห็นว่ากาแฟเป็นเมนูเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดบนแพลตฟอร์ม เราจึงได้ริเริ่มโครงการ "รับเอง ไม่แยกน้ำแข็ง" ร่วมกับคาเฟ่ อเมซอน ซึ่งถือเป็นเชนร้านกาแฟที่มีสาขามากที่สุดและมียอดขายสูงสุดบนแกร็บ เพื่อเชิญชวนให้ผู้ใช้บริการสั่งเครื่องดื่มผ่านบริการรับเองที่ร้าน (Self Pick-Up)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ เรายังมีแผนในการทำกิจกรรมการตลาดร่วมกันผ่านแคมเปญต่างๆ ตลอดทั้งปี โดยเน้นให้ผู้บริโภคหันมาดื่มกาแฟแบบคนรักษ์โลกผ่านแก้วอเมซอน ไบโอ คัพ (Amazon Bio Cup) เพื่อผลักดันตลาดเดลิเวอรีควบคู่ไปกับการส่งเสริมความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม” &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/smd-%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%95-257-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87" alt="SMD โชว์ผลงาน หลังทรานฟอร์มธุรกิจครั้งใหญ่ เติบโต 257% เล็งต่อยอดธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง">SMD โชว์ผลงาน หลังทรานฟอร์มธุรกิจครั้งใหญ่ เติบโต 257% เล็งต่อยอดธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>&nbsp;​

คาเฟ่ อเมซอน ผนึก แกร็บ ดันตลาดเดลิเวอรีด้วย “ไบโอ คัพ” ผุดไอเดีย “รับเอง งดแยกน้ำแข็ง”

<h2>OR ร่วมมือกับ Big C ขยายเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Station PluZ บนพื้นที่เชิงพาณิชย์ภายในศูนย์การค้า ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคสามารถชาร์จรถระหว่างชอปปิ้ง พร้อมตั้งเป้าติดตั้งครบ 42 แห่ง ภายในปี 2566</h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ร่วมกับ ดร.ปิยะวรรณ ปิยะพงษ์ รองประธานเจ้าหน้าที่ สายธุรกิจดิจิทัล บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดตัวสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Station PluZ ในพื้นที่เชิงพาณิชย์ ณ ศูนย์การค้าบิ๊กซี สาขาติวานนท์ ซึ่งติดตั้งพร้อมกับเปิดให้บริการในศูนย์การค้าบิ๊กซีตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา รวมจำนวนทั้งสิ้น 12 แห่ง เพื่อร่วมสนับสนุนนโยบายพลังงานสะอาดและรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ต้องการเข้าถึงความสะดวกในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่มากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุชาติ เปิดเผยว่า สำหรับการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Station PluZ ในศูนย์การค้าบิ๊กซี นำร่องติดตั้งแห่งแรก ณ สาขาสระแก้ว ซึ่งขณะนี้ได้เปิดให้บริการไปแล้ว 12 แห่ง ด้วยเครื่องชาร์จกำลังไฟสูงสุด 120 kW ประกอบด้วยหัวชาร์จประเภท DC CCS2 จำนวน 2 หัว และ AC Type 1 จำนวน 1 หัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกทั้งมีแผนดำเนินการติดตั้งให้เสร็จสิ้นภายในปี 2566 นี้ ให้ครบ 42 แห่ง ทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถเข้าใช้บริการในสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายยิ่งขึ้น และสามารถเดินชอปปิ้งหรือทำธุระต่าง ๆ ที่ศูนย์การค้าขณะรอชาร์จรถได้อีกด้วย นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวกผ่านแอปพลิเคชัน EV Station PluZ ที่รองรับระบบการค้นหา นำทาง จองชาร์จล่วงหน้า เริ่ม-หยุด การชาร์จ และชำระเงินได้ในแอปเดียว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/ikDSupjG3pPssQvKU1gh.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="ikDSupjG3pPssQvKU1gh.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="1920,1535"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;OR ยังเดินหน้าขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Station PluZ อย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวก เพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ ให้สามารถเข้าถึงบริการในสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ซึ่งในระยะเวลาครึ่งปีแรกของปี 2566 รถยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ OR วางเป้าหมายขยายเครือข่าย EV Station PluZ ให้ได้ 800 แห่ง ในปี 2566&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 477 แห่ง ครบ 77 จังหวัดทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคม 2566) ซึ่งนอกจากพื้นที่ภายในสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น แล้ว OR ยังมีแผนขยายสาขาออกไปยังพื้นที่เชิงพาณิชย์อื่นๆ ที่มีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์การค้า โรงแรม รีสอร์ต ร้านอาหาร และอาคารสำนักงาน เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/70922" alt="จีเอเบิล เผยผลประกอบการไตรมาส 2/2566 กำไรโต 143% พร้อมลุยขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง">จีเอเบิล เผยผลประกอบการไตรมาส 2/2566 กำไรโต 143% พร้อมลุยขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง</a>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

OR ขยายเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า "EV Station PluZ" ในบิ๊กซี พร้อมตั้งเป้า 42 แห่ง ในปี 66

OR ชูโมเดล ขับเคลื่อนธุรกิจรับมือโลกผันผวน สนับสนุนภาคธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ประกาศความสำเร็จงาน “Inclusive Growth Days empowered by OR” ระหว่าง 22-24 ก.ค. 65 ตอกย้ำพลังแห่งการส่งต่อโอกาสและความมุ่งมั่นเพื่อสร้างการเติบโตร่วมกัน

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ได้จัดงาน “Inclusive Growth Days empowered by OR” ระหว่างวันที่ 22-24 กรกฎาคม 2565 ซึ่งถือเป็นอีเวนต์สำคัญเพื่อตอกย้ำวิสัยทัศน์ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน” หรือ Empowering All toward Inclusive Growth ที่ฉายภาพการดำเนินธุรกิจของ OR ในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

<figure><img class="wp-image-67309 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/08/o1-1.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption>จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR</figcaption></figure>

จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR กล่าวเปิดงานในหัวข้อ “Inclusive Growth ทิศทางธุรกิจแห่งอนาคต” ว่า โลกปัจจุบันมีความเหลื่อมล้ำสูงมาก คนที่มีความมั่งคั่งมีเพียงร้อยละ 1 คนเหล่านี้มีสิทธิในการทรัพยากรมากกว่าคนส่วนใหญ่ การปฎิวัติระบบเศรษฐกิจที่ผ่านมา มีคนได้ประโยชน์เพียงร้อยละ 10 แต่สร้างความเสียหายให้กับสิ่งแวดล้อมร้อยละ 50 ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป อนาคตอันใกล้ในปี 2023 ผู้คนอย่างน้อยร้อยละ 40 ของประชากรโลกจะต้องเกิดการอพยพ ย้ายถิ่นฐาน เพราะไม่สามารถดำรงชีวิตได้

“ปัญหาที่เกิดขึ้นนำมาสู่สงคราม และความแตกแยก เด็กเกิดใหม่ 2 ใน 3 จะต้องอยู่กับสังคมที่แตกแยก แบ่งฝัก แบ่งฝ่าย แบ่งสี เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยน การให้คุณค่าทางสังคมเปลี่ยน ในฐานะองค์กรธุรกิจเราต้องคำนึงถึงความเท่าเทียม ความใส่ใจสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม การทำธุรกิจต้องเปลี่ยนหลักคิด ไปสู่วิถีการทำธุรกิจที่มีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วนของสังคม ไม่งั้นองค์กรไม่สามารถอยู่ได้ ในโลกที่มีความผันผวนเช่นนี้” จิราพรกล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-67299" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/08/amazon.jpg" alt="" width="720" height="480" />

โมเดลธุรกิจต้องเปลี่ยน

เมื่อคุณค่าของสังคมเปลี่ยนไป คุณค่าที่ธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญต้องเปลี่ยนไปจากเดิม จากที่มุ่งมั่นขายสินค้าและบริการ (Product Selling) มาสู่การสร้างแบรนด์ที่ส่งคุณค่าไปสู่ผู้บริโภค (Value Matching) จากการมุ่งสร้างคุณค่าให้ผู้ถือหุ้น (Shareholders) สู่การสร้างความเข้าใจและตอบโจทย์คุณค่าของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด (Stakeholders) จากการมุ่งสร้างการเติบโตให้องค์กรเพียงลำพัง (Company) สู่การยกระดับระบบนิเวศเพื่อให้ทุกภาคส่วนเติบโตไปด้วยกัน (Ecosystem) และจากการมุ่งสร้างผลกำไรเพียงอย่างเดียว (Profit) สู่การสร้างผลในเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นเป้าหมาย (Impact)

“ทั้งหมดนี้ คือการเปลี่ยนผ่านจากการเติบโตแบบ Exclusive หรือต่างคนต่างเติบโต กลายเป็น Inclusive หรือการเติบโตร่วมกับผู้คน สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดย OR พร้อมจะเป็นองค์กรต้นแบบในการเปลี่ยนวิถีการทำธุรกิจ จาก Exclusive ไปสู่ Inclusive และเปิดให้ทุกคนได้มีโอกาสใช้แอสเส็ทที่เราสั่งสมมาตลอด 40 ปี ให้เกิดประโยชน์ต่อคนไทย ธุรกิจไทย ทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแรงของประเทศไทย” จิราพรกล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-67310" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/08/o3.jpg" alt="" width="720" height="480" />

เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด

สำหรับการจัดงาน “Inclusive Growth Days empowered by OR” ในครั้งนี้ยังได้ฉายภาพทิศทางการดำเนินธุรกิจใหม่ที่มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (Inclusive Growth) ในทุกมิติ พร้อมเปิดเผยอินไซต์และโอกาสทางธุรกิจใหม่ด้วยหัวข้อการบรรยายและเวทีเสวนาจากกว่า 50 ผู้ทรงคุณวุฒิในหลากหลายอุตสาหกรรม ภายใต้ธีมที่สอดคล้องพันธกิจทั้ง 4 ของ OR ประกอบด้วย
<ul>
 	<li>Seamless Mobility - พลิกโฉมธุรกิจพลังงานและการเคลื่อนที่อย่างไร้รอยต่อ</li>
 	<li>All Lifestyles – ตอบโจทย์ทางเลือกการใช้ชีวิตในอนาคต ทั้งอาหาร สุขภาพ และการท่องเที่ยว</li>
 	<li>Global Market - โอกาสของธุรกิจไทยในต่างแดน และหลากหลายสูตรสำเร็จเพื่อการเติบโตในต่างประเทศ</li>
 	<li>New Innovation - นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน สร้างตลาดใหม่ด้วยการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม</li>
</ul>
“ทิศทางที่สำคัญอีกประการหนึ่งของ OR คือการมุ่งสู่พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนทั้งในระดับโลก ภูมิภาค และประเทศไทย ปัจจุบัน OR ได้ขยายสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้ากว่า 450 แห่ง เพื่อรองรับยานยนต์ไฟฟ้าที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต เพราะการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมค่อนข้างสูง ซึ่งการเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานสะอาดอย่างไร้รอยต่อ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อนำความเปลี่ยนแปลงแบบ Inclusive มาช่วยสร้างการเติบโตร่วมกันกับผู้คน สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” จิราพรกล่าวในการบรรยายหัวข้อ “Seamless Mobility”

รศ.ดร. ยศพงษ์ ลออนวล หัวหน้าศูนย์วิจัย Mobility and Vehicle Technology Research Center (MOVE) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และ นายกสมาคมกิตติมศักดิ์ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย กล่าวว่า ยานยนต์ไฟฟ้ากำลังอยู่ในกระแสความต้องการของผู้บริโภค ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ยอดขายรถยนต์โดยรวมทั่วโลกในปี 2021 ลดลง เนื่องจากสถานการณ์โควิด แต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ากลับเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากตัวเลขราว 3 ล้านคัน เป็น 6.5 ล้านคัน สะท้อนว่านี่คือสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าหลายรายกล้าพอที่จะลงทุนและสร้างผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคล รถบัสขนาดใหญ่ ไปจนถึงรถตุ๊กตุ๊ก และรถจักรยานยนต์ ซึ่งคนไทยควรให้การสนับสนุน

<figure><img class="wp-image-67311 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/08/o4-1.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption>ฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานกรรมการบริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์กรุ๊ป จํากัด (มหาชน)</figcaption></figure>

ทุกความต้องการในชีวิตประจำวันที่ผสานเป็นหนึ่งเดียว

ขณะที่หัวข้อการเสวนาภายใต้ธีม All Lifestyles ได้นำเสนอบทเรียนแห่งความสำเร็จของนักธุรกิจผู้คร่ำหวอดในวงการธุรกิจไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ตั้งแต่อาหาร สุขภาพ บิวตี้ และเวลเนส เช่น ฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานกรรมการบริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) ที่บอกเล่าเรื่องราว “รสชาติแห่งความสุข” ของ MK Restaurant ตลอดจนแนวทางการดำเนินธุรกิจของแบรนด์ THANN ที่มองว่าอุตสาหกรรมเวลเนสเป็นมากกว่าเรื่องของการดูแลสุขภาพ แต่ลงลึกถึงการดูแลสภาวะร่างกายและจิตใจ การใช้ชีวิตอย่างสมดุล และมีความหมาย

<img class="alignnone size-full wp-image-67312" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/08/o5-1.jpg" alt="" width="720" height="480" />

ก้าวสู่ธุรกิจแห่งอนาคตระดับโลก

ส่วนเวทีเสวนาในธีม Global Market ได้ผู้บริหารในองค์กรชั้นนำที่นำพาธุรกิจไทยไปไกลสู่ตลาดโลกได้สำเร็จ มาบอกเล่าบทเรียนที่น่าสนใจ เช่น เส้นทางการเติบโตในวงการแฟชั่นเทคโนโลยีของแบรนด์ “Pomelo” ที่ก้าวสู่การเป็นธุรกิจแบบ Omnichannel อย่างเต็มตัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เส้นทางการเติบโตต่อยอดไปได้ไกลทั่วโลกด้วยความมุ่งมั่นที่จะตอบเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นของกลุ่มดุสิตว่าจะต้องสร้างแบรนด์โรงแรมของไทยให้เป็นที่รู้จักด้วยมาตรฐานสากล

<img class="alignnone size-full wp-image-67313" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/08/o6.jpg" alt="" width="720" height="480" />

นวัตกรรมใหม่เพื่อโลกที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น

และปิดท้ายที่การเสวนาภายใต้ธีม New Innovation ครอบคลุมถึงแนวคิดใหม่ของการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสังคมโลกที่ยั่งยืน และส่งเสริมให้ธุรกิจสามารถสร้างตลาดใหม่ โดยถอดบทเรียนจาก คมสันต์ ลี ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจแฟลช ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์กว่าจะเป็นยูนิคอร์นตัวแรกของเมืองไทยที่มุ่งมั่นสร้างธุรกิจอีคอมเมิร์ซเพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างสังคมเมืองและสังคมชนบท และ สมศักดิ์ บุญคำ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Local Alike ซึ่งเปิดมุมมองใหม่ด้านการท่องเที่ยวที่ต้องทำงานร่วมกับชุมชนเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีในวงกว้าง

<figure><img class="wp-image-67314 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/08/o7.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption>คมสันต์ ลี ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจแฟลช</figcaption></figure>

“ถึงเวลาที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน เปลี่ยนวิธีคิด วิถีการทำธุรกิจ ผู้บริโภคต้องให้คุณค่ากับองค์กรท่ำธุรกิจโดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง ต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วนเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน OR มีความพร้อมที่จะรองรับพันธมิตรอย่างเปิดกว้างทุกขนาด ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจขนาดไมโคร (Micro Business) เอสเอ็มอี สตาร์ตอัป ในฐานะ Inclusive Growth Platform ที่พร้อมจะเติบโตร่วมกันในอนาคต” จิราพรกล่าวทิ้งท้าย

<img class="alignnone size-full wp-image-67301" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/08/fo.jpg" alt="" width="720" height="480" />

&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events