<h2>บมจ.บิลท์แลนด์ ประกาศปรับพอร์ตการพัฒนาธุรกิจครั้งใหญ่ เตรียมลุยตลาดอสังหาฯ แนวราบเปิดตัว 6 โครงการ และพัฒนาอีก 3 แบรนด์ใหม่ในระดับเมกะโปรเจกต์บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 4,700 ล้านบาท </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชัยรัตน์ ธรรมพีร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิลท์แลนด์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจมา 15 ปี เราเปิดโครงการคอนโดฯ ไปแล้ว 8 โครงการ และโครงการแนวราบอีก 6 โครงการ รวมทั้งสิ้น 14 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 7,480ล้านบาท สามารถปิดการขายได้ตามระยะเวลาที่กำหนด และในปี 2566 ที่ผ่านมา เราได้ตัดสินใจลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างรายได้หมุนเวียนให้กับบริษัท ได้แก่ อาคาร B Work ซึ่งเป็นอาคารสำนักงาน และ Co-Working &amp; Event Space ย่านแจ้งวัฒนะ พร้อมกับพัฒนาโรงแรม Koo Hotel ซึ่งเป็น Stylish Budget Hotel เพื่อรองรับทั้งนักท่องเที่ยวและผู้มาประชุมสัมมนาที่ Impact เมืองทองฯ การเปิดตัวทั้ง 2 โครงการดังกล่าว สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนกลับมาได้เป็นอย่างดี&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/5S1a7mbHsN2xRJ5XvG2T.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-index="4" data-file-name="5S1a7mbHsN2xRJ5XvG2T.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px;"></figure></div>​​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/WDZ8qmoyZ2HewU2MtL2b.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="5" data-file-name="WDZ8qmoyZ2HewU2MtL2b.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับในปี 2567 นี้ เรามีแผนเตรียมโรงแรมที่ 2 ย่านงามวงศ์วาน เพื่อสร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง และสำหรับธุรกิจพัฒนาโครงการเพื่อขายทางบิลท์แลนด์หันมาเจาะกลุ่มตลาดแนวราบ โดยเปิดตัวโครงการแนวราบให้ครอบคลุมทุก segment รวม 6 โครงการ และพัฒนา 3 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ MYRRA, TERRA, และ LAKE TEMPO ซึ่งเป็นเมกะโปรเจกต์ใหญ่ที่สุดย่านไทรน้อย บนพื้นที่กว่า 200 ไร่&nbsp; รวมทุกโครงการมีมูลค่ากว่า 4,700 ล้านบาท” พร้อมวางกลยุทธ์งานธุรกิจบริการด้านอสังหาฯ แบบรอบด้าน เพื่อเตรียมขยายขอบเขตธุรกิจ และเอื้อประโยชน์ให้กับลูกบ้านแบบครบวงจร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การวางโครงสร้างแบบค่อยเป็นค่อยไปศึกษาตลาด ความต้องการของลูกค้า มองหาทำเลที่เหมาะสม และมองความเป็นไปได้ในการขยายธุรกิจ พร้อมนำศักยภาพและประสบการณ์ความเชี่ยวชาญต่างๆ มาพัฒนาองค์กร เพื่อต่อยอดสร้างโครงสร้างธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น นับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของบิลท์แลนด์ ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างชีวิตที่ดีภายใต้ความธรรมดาที่เป็นสุข โดยมุ่งเน้นในเรื่องของการอยู่ได้จริงแล้ว ยังมุ่งมั่นขับเคลื่อนด้าน Ecosystem เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี และคืนธรรมชาติให้กับระบบนิเวศด้วยการปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้แต่ละโครงการ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเมืองที่ยั่งยืน ผมมั่นใจว่าปีนี้จะเป็นปีที่น่าจับตามองสำหรับบิลท์แลนด์ครับ” ชัยรัตน์ กล่าวเสริม <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/GSjRAYDUozg6bifA29gS.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="6" data-file-name="GSjRAYDUozg6bifA29gS.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน วิฑูรย์ อภิวาทธนะพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บิลท์แลนด์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า ปีนี้เราพร้อมลุยเปิดโครงการแนวราบทั้งสิ้น 6 โครงการ โดยเป็นแบรนด์เดิม 1 โครงการได้แก่ RITMO PARKVIEW (ริทโม พาร์ควิว ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ) โครงการบ้านแฝด สไตล์ Nordic ผสานการใช้ชีวิตให้มีความสุข ที่กระจายพื้นที่สีเขียวทั่วโครงการ บนแหล่งไลฟ์สไตล์ใหม่ แยกราชพฤกษ์ตัดแจ้งวัฒนะ จำนวนเพียง 72 ยูนิต ในราคาเริ่มต้น 4.77 ลบ. มูลค่าโครงการ 360 ลบ. และอีก 5 โครงการ ภายใต้ 3 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ MYRRA 1 โครงการ , TERRA 3 โครงการ และ LAKE TEMPO ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยพัฒนามา ทุกแบรนด์ล้วนถูกพัฒนาขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์ ‘BUILT FOR BETTER LIFE’ ที่เน้นพื้นที่สีเขียวยั่งยืนในส่วนกลาง และเพิ่มสวนแนวตั้งในบ้าน ให้เป็น DNA ของแต่ละแบรนด์ที่สอดคล้องแนวคิดโครงการแต่ละระดับราคาที่แตกต่างกัน&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/KjXpnUWYM2FUnRNvxckn.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="KjXpnUWYM2FUnRNvxckn.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/marketing/ananda-organize-roadshow-campaign-8-countries-first-time-thai-real-estate" alt="อนันดาฯ เตรียมจัดแคมเปญโรดโชว์ 8 ประเทศ พร้อมบุกตลาดต่างชาติเป็นครั้งแรกของอสังหาฯไทย">อนันดาฯ เตรียมจัดแคมเปญโรดโชว์ 8 ประเทศ พร้อมบุกตลาดต่างชาติเป็นครั้งแรกของอสังหาฯไทย</a>​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

'บิลท์แลนด์' รุกอสังหาฯ แนวราบ 6 โครงการ เตรียมปักหมุด ‘เมกะโปรเจกต์’ ย่านไทรน้อย มูลค่ารวมกว่า 4,700 ลบ. 

<h2>กลุ่มบริษัท เรนวูด กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดตัวโครงการ “เรนวูด ปาร์ค” (Reignwood Park) เมกะโปรเจกต์มิกซ์ยูสแห่งใหม่ย่านปทุมธานี บนพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ มูลค่าโครงการ 50,000 ล้านบาท มีทั้งโรงเรียนนานาชาติ-บ้านพักหรู-สนามกอล์ฟ-คอมมูนิตี้มอลล์-สปอร์ตคอมเพล็กซ์และโฮเทล พร้อมเปิดบริการเฟสแรกช่วงเดือนสิงหาคม 2567</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วรพนิต รวยรุ่งเรือง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เรนวูด กรุ๊ป ประเทศไทย (Reignwood Thailand) เปิดเผยว่า ได้นำประสบการณ์การพัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม และสนามกอล์ฟทั้งในฝั่งตะวันตกและตะวันออก มาสร้างสรรค์โครงการใหม่ที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการอสังหาริมทรัพย์ในไทย ด้วยการพัฒนาโครงการ “เรนวูด ปาร์ค” อาณาจักรเมกะโปรเจกต์มิกซ์ยูสแห่งใหม่ รองรับไลฟ์สไตล์อัลตร้าลักชัวรี่แบบครบวงจร ในจังหวัดปทุมธานี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 50,000 ล้านบาท โดยโครงการตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มีสภาพแวดล้อมและอากาศที่ดี สามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมือง เชื่อมต่อไปยังสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งมุ่งหน้าสู่แหล่งท่องเที่ยวทางภาคตะวันออกได้อย่างสะดวกสบาย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/iEqCWwtVFb8QetTdnxrL.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="iEqCWwtVFb8QetTdnxrL.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> ​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“โครงการ เรนวูด ปาร์ค จะตอกย้ำความแข็งแกร่งของไทยในฐานะแลนด์มาร์คที่สำคัญของการผสานสองวัฒนธรรมสองซีกโลกเข้าไว้ด้วยกัน ด้วยการเนรมิตรสถาปัตยกรรมทั้งโลกตะวันตก และตะวันออกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะมาไว้ในโครงการ โดยเราคาดหวังว่าจะทำให้โครงการนี้ เป็นพื้นที่การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกวันของคนทุกเจเนอเรชั่น” วรพนิต กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เรนวูด ปาร์ค ประกอบไปด้วย โซนที่พักอาศัย สถาบันการศึกษาคุณภาพโรงเรียนนานาชาติ KIS Reignwood Park สนามกอล์ฟระดับโลก Robinswood Golf Club โซน Lifestyle community space สปอร์ตคอมเพล็กซ์และสปอร์ตโฮเทล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยในส่วนของที่พักอาศัย จะมีโครงการบ้านสุดเอ็กซ์คลูซีฟ 4 โครงการ ออกแบบพิถีพิถันเพื่อสะท้อนและตอบโจทย์ยุคใหม่ที่ต้องการบ้านพักอาศัยที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว ภาพรวมตามแนวคิดหลักของโครงการคือ East Meets West ให้ความเป็นตะวันออกพบกับตะวันตกอย่างมีเสน่ห์เพื่อตอบโจทย์การพักอาศัยของโลกที่ปรับตัวหลังยุคโควิตอย่างลงตัว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/zGwPTjZVW5ey9LFyNsnT.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="zGwPTjZVW5ey9LFyNsnT.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> ​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับเฟสแรกมี 2 โครงการที่เริ่มเปิดตัวได้แก่ โครงการแรก REIGNWOOD ESTATE (เรดวูด เอสเตท) คฤหาสน์สั่งสร้างกับแนวคิดบ้านจัดสรรแบบ Bespoke Design ที่ต้องการทำบ้านพักในฝันให้เป็นความจริงที่จับต้องได้กับดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงทั้งในระดับประเทศและระดับโลก แบบรวมความต้องการที่สุดของความอัลตร้าลักชัวรีเอาไว้ในการพักอาศัยอย่างแท้จริง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอกสิทธิ์แห่งความเป็นที่สุดเพียง 41 หลังในสนามกอล์ฟ Robinswood Golf Club บนที่ดินขนาดตั้งแต่ 1 ไร่ครึ่ง ถึง 3 ไร่ กับบ้านที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 1,500 ตารางเมตร มูลค่าราคา 300 ล้านบาท เป็นต้นไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โครงการที่สอง REIGNWOOD SERENO (เรนวูด เซรีโน) บ้านระดับพรีเมียมลีฟวิ่งที่เน้นความเป็นส่วนตัว ในโซนสุดไพรเวทรายล้อมรอบสนามกอล์ฟพาร์ 3 มี 9 หลุม ที่มีจำนวนทั้งหมด 101 หลัง โดยบ้านจะมีขนาดพื้นที่ใช้สอยที่ 300 ตารางเมตร แบบ 5 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 40 ล้านบาท ที่ได้ทยอยเปิดจองไปบ้างส่วนแล้วในช่วงปี 2566​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/aTprhWe13ArUGZEVtFBk.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="aTprhWe13ArUGZEVtFBk.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> ​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนเฟสที่จะเปิดตัวในอนาคตอีก 2 โครงการ ได้แก่โครงการบ้านเดี่ยวพักอาศัย REIGNWOOD SONIA (เรนวูด โซเนีย) บ้านขนาดที่ดิน 80 ตารางวา และ REIGNWOOD SANCTIA (เรนวูด แซงเทีย) คอนโดฯ Low Rise รวมกันอีกเกือบ 400 ยูนิต ที่จะเปิดให้มีการจองสิทธิ์ในช่วงต้นปี 2567 ซึ่งจะทยอยก่อสร้างและแล้วเสร็จภายในปี 2570&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ในเฟสแรก ยังได้ร่วมลงทุนกับ KIS International School สร้างแคมปัสแห่งใหม่ในโครงการเป็นโรงเรียนนานาชาติ KIS สาขาสองที่มีชื่อว่า “โรงเรียนนานาชาติ KIS Reignwood Park” ในรูปแบบโรงเรียนประจำและไป-กลับ หลักสูตร Full IB (International Baccalaureate) แห่งแรกและแห่งเดียวในกรุงเทพฯ เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงเกรด 12 รองรับความต้องการของครอบครัวที่พักอาศัยในโครงการและพื้นที่โดยรอบ พร้อมเปิดสอนเทอมแรกในเดือนสิงหาคม 2567 นี้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/DqJZqmjJfR6KLCYevrXw.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="DqJZqmjJfR6KLCYevrXw.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div> ​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมทั้งพัฒนา โรบินส์วูด กอล์ฟ คลับ (Robinswood Golf Club) สนามกอล์ฟมาตรฐานระดับโลกขนาด 18 หลุม ความยาวระดับ 7,591 หลา ที่ให้บริการเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะสมาชิกเท่านั้น โดยสนามนี้ออกแบบมาเพื่อรองรับการแข่งขันทัวร์นาเมนต์กอล์ฟระดับโลก มีทีม European Golf Design มีส่วนร่วมในการออกแบบ layout ของแต่ละหลุมให้มีความท้าทายนักกอล์ฟระดับมืออาชีพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้มีคลับเฮาส์ขนาดใหญ่ มีสถานที่ฝึกซ้อมที่พร้อมและทันสมัย ด้วยเทคโนโลยี Trackman Range และสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจรตามมาตรฐานสากล​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/pSokgq9z7Pzm1ua7kheu.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="pSokgq9z7Pzm1ua7kheu.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="4"></figure></div> ​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่เพียงเท่านี้ในเฟสถัดไปโครงการเรนวูด ปาร์ค ยังมี Lifestyle community space โครงการก่อสร้าง Sport Complex ขนาดใหญ่ที่มาพร้อม Sport Hotel พร้อมรองรับการเก็บตัวของกลุ่มนักกีฬาระดับโลกด้วย โดยคาดว่า เรนวูด ปาร์ค จะเปิดให้บริการเฟสแรกได้ในช่วงเดือนสิงหาคม 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับกลุ่มบริษัทเรนวูด กรุ๊ป ก่อตั้งโดย ดร.ชาญชัย รวยรุ่งเรือง โดยประสบความสำเร็จจากการลงทุนหลากหลายธุรกิจในจีน และขยายการลงไปยังอีกหลายประเทศเช่น สิงค์โปร์ อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าของแบรนด์น้ำดื่ม VOSS&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังเข้าซื้อและเป็นผู้บูรณะฟื้นฟูให้กับสถาปัตยกรรมระดับโลกตึก Ten Trinity Square ที่ถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งและให้บริการโรงแรม Four Seasons Ten Trinity Square ในปัจจุบัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังลงทุนในกลุ่ม Lifestyle Property อย่างสนามกอล์ฟและโรงแรม ได้แก่ สนามกอล์ฟ Reignwood Pine Valley ในกรุงปักกิ่งหลังกำแพงเมืองจีน และการคืนชีวิตชีวาให้สนามกอล์ฟ Wentworth Club ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 100 ปี และเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ยูโรเปียนทัวร์ผู้จัดแข่งขันกอล์ฟระดับโลก เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/property/news/origin-resort-world-phuket" alt="เขย่าอสังหาฯ ภูเก็ต “ออริจิ้น” ทุ่ม 8,000 ล้าน เนรมิตอาณาจักรมิกซ์ยูส 25 ไร่">เขย่าอสังหาฯ ภูเก็ต “ออริจิ้น” ทุ่ม 8,000 ล้าน เนรมิตอาณาจักรมิกซ์ยูส 25 ไร่</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เปิดตัว “เรนวูด ปาร์ค” มิกซ์ยูสมูลค่า 50,000 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ในปทุมธานี

เปิดความอลัง “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” Mixed-use 3.67 หมื่นล้าน “ซูเปอร์คอร์ซีบีดี”

<h2>คิง ไว กรุ๊ป (KWG) บริษัทอสังหาฯ-การเงินจากเกาะฮ่องกงซุ่มวางมาสเตอร์แพลนโครงการสมาร์ทซิตี้ขนาด 2,000 ไร่ ใน จ.ฉะเชิงเทรา รับนโยบายอีอีซี พร้อมรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับบนในกรุงเทพฯ เปิดตัวคอนโดมิเนียมแห่งแรก "S61" ย่านเอกมัย</h2>
Henry Chan รองประธานกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KWG เปิดเผยว่า KWG ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในจีนมาตั้งแต่ปี 2525 ปีนี้บริษัทได้เริ่มต้นขยายการลงทุนในประเทศไทยแล้วในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งโครงการ Mixed-use ขนาดใหญ่ในต่างจังหวัด และโครงการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ

ทั้งนี้ KWG เริ่มเข้ามาลงทุนในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2559 ผ่านการซื้อหุ้นทั้งหมดใน บริษัท เคปเปล ไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หลังจากนั้นรุกสู่ธุรกิจการเงิน โดยใช้ KWG เข้าซื้อหุ้น 98% ใน บริษัท คิว บี อี อินชูแรนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด แล้วจึงเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท คิง ไว ประกันภัย จำกัด เพื่อทำธุรกิจประกันวินาศภัยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

<figure><img class="wp-image-2230" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/008_7152.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> Henry Chan รองประธานกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการแรกของบริษัทในไทย S61 Sukhumvit by KWG</figcaption></figure>

Chan กล่าวว่า KWG ต้องการขยายการลงทุนเข้ามาในไทยตามนโยบาย One Belt, One Road ของประเทศจีน และเลือกไทยเป็นศูนย์กลางการขยายตัวของบริษัทในภูมิภาคอาเซียนจากศักยภาพบุคลากรไทยที่มีความสามารถ และค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ

โดยบริษัทเตรียมการลงทุนเมกะโปรเจกต์ 2 แห่ง ซึ่ง KWG ได้จัดซื้อที่ดินเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ ที่ดิน 2,000 ไร่ใน จ.ฉะเชิงเทรา และ ที่ดิน 2,600 ไร่ ใน จ.พระนครศรีอยุธยา

&nbsp;
<h2>สมาร์ทซิตี้ ที่อยู่อาศัย-แหล่งงาน-ท่องเที่ยว</h2>
Chan กล่าวต่อว่า พื้นที่ 2,000 ไร่ใน จ.ฉะเชิงเทรา นั้น บริษัทกำลังออกแบบมาสเตอร์แพลนเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ดอีอีซี) และคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (บอร์ดสมาร์ทซิตี้)

โดยคอนเซปท์โครงการนั้นจะให้สอดรับกับนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 เป็นเมืองใหม่ที่เหมาะสมกับการทำงาน ไลฟ์สไตล์ และอยู่อาศัย (work-play-live) ภายในโครงการจะมีที่อยู่อาศัยที่ตอบสนองสังคมผู้สูงอายุ ศูนย์เวลเนสและสุขภาพ สถาบันการศึกษา และมีกิจกรรมความบันเทิงเพื่อการท่องเที่ยว ได้แก่ สวนสนุกธีมปาร์คและห้างสรรพสินค้า

สำหรับการยกระดับให้เป็นสมาร์ทซิตี้นั้น KWG จะออกแบบให้ตรงกับแนวนโยบายสมาร์ทซิตี้ 8 องค์ประกอบที่รัฐบาลไทยกำหนด

ส่วนโครงการ Mixed-use ขนาดใหญ่ 2,600 ไร่ในอยุธยา กำหนดให้เป็นเมืองการศึกษาเป็นหลัก โดยจะมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาจากประเทศจีนในอนาคต

<figure><img class="size-full wp-image-2231" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/经纬城市绿洲.jpg" alt="" width="741" height="516" /><figcaption> King Wai Oasis Shanghai เมกะโปรเจ็กต์ของ คิง ไว กรุ๊ป ในจีน (PHOTO CREDIT: meitesh.com)</figcaption></figure>

Chan กล่าวว่า บริษัทมีความพร้อมและความเข้าใจการพัฒนาเมืองใหม่เหล่านี้ จากประสบการณ์ของ KWG ที่เคยพัฒนาเมืองขนาดใหญ่ในจีนมาก่อน เช่น King Wai Oasis Shanghai พื้นที่ 1.8 ล้านตร.ม. ซึ่งเป็นโครงการ Mixed-use เน้นด้านเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมและบริษัทกำลังจะทดลองระบบรถยนต์ไร้คนขับในเมืองเร็วๆ นี้ หรือโครงการ King Wai Hongqiao CBD Core ใน Shanghai ขนาด 3.3 แสนตร.ม. ที่ใช้เป็นศูนย์จัดงานแสดงสินค้าและเชื่อมต่อธุรกิจด้านนำเข้าส่งออก IMX International Trade and Exhibition Centre ระดับประเทศของจีน

อย่างไรก็ตาม KWG ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกของเมกะโปรเจกต์ในไทยรวมถึงมูลค่าโครงการทั้งหมด แต่คาดว่าเฟสแรกของโครงการในฉะเชิงเทราจะชูโรงด้านการท่องเที่ยวด้วยสวนสนุกธีมปาร์ก ห้างสรรพสินค้า และศูนย์สุขภาพ

&nbsp;
<h2>เจาะคอนโดฯ ตลาดบนสุขุมวิท-พระราม 4</h2>
ด้านแผนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ปี 2561 KWG มีการเปิดขายโครงการแนวราบ วิลล่า อะคาเดีย ศรีนครินทร์ และ วิลล่า อะคาเดีย วัชรพล เป็นโครงการต่อเนื่องจากการเทกโอเวอร์บริษัท เคปเปลฯ

ในขณะที่วิสัยทัศน์การพัฒนาโครงการของ KWG เอง Dave Keung ประธานฝ่ายบริหาร บริษัท คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเลือกเน้นโครงการคอนโดมิเนียมระดับบน ราคาเฉลี่ย 1.5-2.5 แสนบาทต่อตร.ม. ในทำเลกลางเมือง เนื่องจากมองว่าซัพพลายคอนโดฯ ปี 2560-61 ร้อยละ 50 เป็นการพัฒนาในย่านนอกเมืองและเป็นคอนโดฯ ราคาต่ำกว่า 1.5 แสนบาทต่อตร.ม. จึงมองว่าคอนโดฯ ระดับบนในเมืองน่าจะมีโอกาสที่ดีกว่า

<figure><img class="wp-image-2232" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/1-Headshot.jpg" alt="" width="800" height="450" /><figcaption> สิ่งอำนวยความสะดวกบนดาดฟ้า โครงการ S61</figcaption></figure>

ทำให้ KWG เลือกเปิดตัวโครงการแรก S61 Sukhumvit by KWG คอนโดฯ low rise ในซอยสุขุมวิท 61 ทำเล 600 เมตรจากสถานีบีทีเอสเอกมัย ที่ดิน 1 ไร่ จำนวน 126 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ออกแบบห้องชุดฟังก์ชัน 1-3 ห้องนอนและเพ้นท์เฮ้าส์ พื้นที่ใช้สอย 40-160 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.92 แสนบาทต่อตร.ม. หรือ 7.69 ล้านบาทต่อยูนิต เริ่มพรีเซลวันที่ 1 ธันวาคม 2561

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแลนด์แบงก์พร้อมพัฒนาโครงการแนวสูงอีก 2 แปลง บริเวณซอยสุขุมวิท 31 ที่จะพัฒนาเป็นอาคาร low rise และบริเวณริมถนนพระราม 4 ทำเลติดกับโรงแรมมณเฑียร ห่างจากสถานีเอ็มอาร์ทีสามย่าน 250 เมตร ซึ่งจะพัฒนาเป็นคอนโดฯ high rise ทั้งนี้ 2 โครงการดังกล่าวเตรียมพัฒนาภายในปี 2562

<figure><img class="wp-image-2233" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/3-40sqm-01-copy.jpg" alt="" width="800" height="450" /><figcaption> ภาพห้องตัวอย่างพื้นที่ใช้สอย 40 ตร.ม.</figcaption></figure>

คิง ไว กรุ๊ปผุด "สมาร์ท ซิตี้" 2,000 ไร่รับอีอีซี รุกตลาดคอนโดฯ หรูกรุงเทพฯ

The Bangkok’s 8 Megaprojects เมกะโปรเจกต์ของภาคเอกชน ตอนที่ 2

คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ ร่วมกับ BCEG ประกาศความร่วมมือโดยได้รับเงินสนับสนุนทางการเงินจาก Ping An Bank ธนาคารใหญ่จากจีน 375 ล้านเหรียญสหรัฐ ครอบคลุมการสร้างโครงการเจ้าพระยา เอสเตท จนแล้วเสร็จในปี 2561

หลังเริ่มดำเนินการก่อสร้างไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนในเครือคันทรี่ กรุ๊ป เผยความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญหลังได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารไชน่า ผิง อัน 375 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการพัฒนาโครงการหรูริมแม่น้ำ “เจ้าพระยา เอสเตท” มูลค่า 32,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการใหญ่สุดของบริษัท

“เรามีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่าบริษัทได้บรรลุข้อตกลงกับสถาบันการเงินชั้นนำซึ่งจะให้การสนับสนุนทางการเงินในการพัฒนาโครงการต่างๆ ภายในโครงการ ‘เจ้าพระยา เอสเตท’ โดยข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทสามารถเดินหน้าพัฒนาโครงการได้อย่างเต็มที่ และเราก็เชื่อมั่นว่าการผสมผสานที่ลงตัวของโฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเด้นซ์ กรุงเทพ โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพ และโรงแรมคาเพลล่า กรุงเทพ จะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับโครงการแบบผสมผสานระดับโลกด้วย” เบน เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริหาร บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าว

โดยเงินทุนดังกล่าวจะได้รับการบริหารจัดการโดย บริษัท แลนด์มาร์ค โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่ได้เพิ่มทุนแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาระหว่างบริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท บีซีอีจี ไทย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด  เป็นสัดส่วน 70:30

“บีซีอีจีได้ร่วมงานกับพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งในหลากหลายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศการได้ร่วมทุนกับคันทรี่ กรุ๊ป ในครั้งนี้ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างสองบริษัทใหญ่ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ความเป็นเลิศในการก่อสร้างและการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์” ซิง หยาน ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีซีอีจี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวและเสริมว่า

“เนื่องจากการเจรจาพูดคุยร่วมกันในหลายครั้งที่ผ่านมาทำให้เห็นถึงแนวทางและทิศทางการบริหารธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน รวมไปขนบธรรมเนียมในการนับถือศาสนาที่คล้ายเคียงกันของสองประเทศ ในขณะที่ประเทศไทยโรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาในปัจจุบันไม่มีโรงแรมระดับไฮเอนเกิดใหม่ ซึ่งโครงการเจ้าพระยา เอสเตท ที่กำลังก่อสร้าง ได้ถือแบรนด์โรงแรมระดับไฮเอนถึงสองแบรนด์ คือ โฟว์ซีซั่นและคาเพลล่า จึงเป็นที่มาถึงความร่วมมือทางธุรกิจที่ได้เกิดขึ้น”

BCEG หรือ Beijing Construction Engineering Group เป็น 1 ใน 50 บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีรายได้ดีที่สุดในโลกอาทิ สนามโอลิมปิก 29 แห่ง อาคารสำนักงานไห่หนานแอร์ไลน์แห่งใหม่ ทั้งยังเป็นผู้ร่วมลงทุนและร่วมก่อสร้างโครงการ Airport City มูลค่า 800 ล้านปอนด์ภายในสนามบินแมนเชสเตอร์ อังกฤษ

ด้าน เซี้ย จง ผู้จัดการทั่วไป ธนาคารผิง อัน ซึ่งมีทรัพย์สินรวม 4.77 ล้านล้านหยวน ณ สิ้นปี 2558  ผู้สนับสนุนทางการเงินในโครงการเจ้าพระยา เอสเตส  กล่าวเสริมว่า “กลุ่มไชน่า ผิง อัน เชื่อมั่นในความร่วมมือแบบ Win-Win ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สร้างผลดีให้กับทุกฝ่าย เรามุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาโครงการที่มีความยั่งยืนและมั่นคง ร่วมกับแบรนด์และองค์กรที่มีจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกันกับเรา”

สำหรับความคืบหน้าในการก่อสร้างอาคารหลักของโครงการโฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเด้นซ์ กรุงเทพ ณ แม่น้ำเจ้าพระยานั้น ปัจจุบันงานโครงสร้างจากชั้น LG ถึง L8 เสร็จสมบูรณ์ 100% แล้ว ในขณะที่งานก่อสร้างโรงแรมคาเพลล่า และโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ นั้น มีความคืบหน้าตามแผนที่วางไว้ และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ตามกำหนดในไตรมาสที่ 4 ของปี 2561

“การสนับสนุนทางการเงินเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาโครงการในระดับบนในส่วนของการก่อสร้างนั้นได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ปี 2557 และด้วยเงินสนับสนุนก้อนนี้ ผนวกกับความแข็งแกร่งของพันธมิตรทางธุรกิจ เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการจะเสร็จสมบูรณ์ตามกำหนดในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2561” เบน เตชะอุบล กล่าวเสริม

นอกจากโครงการมูลค่า 32,000 ล้านบาทนี้ คันทรี่ กรุ๊ป ยังเตรียมเล็งลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ประเทศอังกฤษเพิ่มเติม อาทิ ธุรกิจด้านการศึกษาและโครงการดาต้า เซ็นเตอร์

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/08f12643e5484d22dae8000a9da198b9.png" alt="" />

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/3d111c2c7a5400e0f0e7904138c1dde6.png" alt="" />

เบน เตชะอุบล ผนึก 2 ยักษ์ใหญ่ประเทศจีน เดินเครื่องพัฒนาโครงการเจ้าพระยา เอสเตท

<h2>ณ ริมทะสาป Beira ใจกลางกรุง Colombo ศรีลังกา  John Keells Holdings เครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่สุดของประเทศ ส่งรถขุดขนาดยักษ์ลงปรับเตรียมพื้นที่เพื่อก่อสร้างฐานรากสำหรับรีสอร์ทแห่งใหม่ ขนาดใหญ่ที่สุดในศรีลังกา</h2>
โปรเจ็กต์นี้ใช้เงินลงทุน 820 ล้านเหรียญ นับเป็นเมกะโปรเจ็กต์ใหญ่สุดที่ลงทุนโดยเอกชนภายในประเทศ ประกอบไปด้วยโรงแรมหรูขนาด 800 ห้อง ห้องประชุมสัมมนา ช้อปปิ้งมอลล์ อพาร์ทเม้นต์ที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน และที่สำคัญคือกาสิโน แม่เหล็กดูดนักท่องเที่ยวย่านเอเชีย

นับตั้งแต่สงครามกลางเมือง 26 ปี สิ้นสุดลงในปี 2009 ศรีลังกากลายเป็นเป้าหมายหนึ่งของนักเดินทาง ที่ต้องการแสวงหาดินแดนต้นปาล์ม ชมทิวทัศน์ของมหาสมุทรอินเดีย และลิ้มลองอาหารรสจัดจ้าน จำนวนนักท่องเที่ยวจากปี 2009 จนถึงปี 2012 เพิ่มขึ้นถึง 20% เทียบกับช่วงปี 2004 ถึงปี 2008 ที่เพิ่มเพียง 5% เท่านั้น ขณะที่ปีกลายมียอดนักท่องเที่ยวสูงถึง 1.3 ล้านคน แม้ชาวจีนจะเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ แต่ส่วนใหญ่ยังมาจากอินเดีย

John Keells บริษัทใหญ่สุดของศรีลังกา ก่อตั้งโดยนักธุรกิจอังกฤษสองรายเมื่อทศวรรษ 1870 ให้เป็นนายหน้าซื้อขายหุ้น แต่ทุกวันนี้หันมาจับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ดำเนินกิจการซุปเปอร์มาร์เก็ตและโรงแรม และยังลงทุนในกิจการธนาคารและท่าเรือ โดยมีนักลงทุนสถาบันต่างชาติถือหุ้น 56%

"หลังสงครามสิ้นสุด เราตัดสินใจทันใดว่าศรีลังกาคือที่ของเรา" Susantha Ratnayake ประธานบริษัทวัย 55 ปี ให้สัมภาษณ์ที่สำนักงานใหญ่ใน Cinnamon Lakeside Hotel โรงแรมระดับห้าดาวหนึ่งในสองแห่งของเมืองหลวง ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามทะเลสาป Beira ที่รีสอร์ทกำลังปักเสาเข็ม

รายได้ของธุรกิจโตขึ้นเป็นเท่าตัวมาตั้งแต่ปี 2009 จนในปี 2013 มีรายได้ถึง 675 ล้านเหรียญ ขณะที่กำไรสุทธิก็พุ่งขึ้น 107 ล้านเหรียญในช่วงเดียวกัน

ในขณะที่คนอินเดียเริ่มเดินทางไปประเทศจำพวกสิงคโปร์ มาเลเซีย และมาเก๊าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  ผู้บริหาร Keells จึงตัดสินใจว่า สำหรับยุคหลังสงครามแล้ว ยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวในภูมิภาคต้องเปลี่ยน

"ทำไมเม็ดเงินและนักท่วงเที่ยวพวกนั้นไม่เป็นเของเรา" Ratnayake กล่าว "หากจะไม่ให้คนอินเดียพวกนี้ไม่ต้องไปไกล คุณต้องมีศูนย์การค้าและแหล่งบันเทิงระดับไฮเอนต์ เรารู้ดีว่าหากเราจะเข้าสู่แวดวงธุรกิจใหม่ ขนาดเป็นเรื่องสำคัญ"

ผลก็คือรีสอร์ทแบบครบวงจรที่จะเปิดตัวในปี 2018

ในเวลาเดียวกัน ทางการศรีลังกาต้องการเพิ่มตัวเลขนักท่องเที่ยวขึ้นเป็นสองเท่า ให้ถึง 2.5  ล้านในปี 2016  เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการ จึงได้ยกเว้นภาษีสำหรับรายได้ที่เกิดจากนักท่องเที่ยว โดยไม่รวมเงินจากการพนัน เป็นเวลานานถึง 10 ปี  โดยจะรับหน้าที่สร้างถนนเลียบทะเลสาป Beira เพื่อรอรับคาสิโนใหม่ คล้ายกับลาสเวกัสฉบับย่อส่วน

ธุรกิจของ John Keells ยังต้องแข่งขันกับ Dhammika Perera ผู้ร่ำรวยคนหนึ่งของศรีลังกา และมหาเศรษฐีชาวออสเตรเลีย James Packer ทั้งสองรายนี้มีกิจการคาสิโนรีสอร์ทในบริเวณที่รัฐบาลกำหนด (ส่วนของ Keells ก่อสร้างบนที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง ห่างไปราวหนึ่งไมล์ แต่ก็ต้องขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษ)

โครงการของ Perera คือ Queensbury Integrated Resort &amp; Casino ประกอบด้วยโรงแรม 500 ห้อง, ศูนย์ประชุมขนาดเล็ก และห้างสรรพสินค้า ส่วนของ Packer จับมือกับนักลงทุนศรีลังกา Ravi Wijeratne มีมูลค่า 400 ล้านบาท โดยจะเน้นจุดขายด้วยพ่อครัวคนดัง (เศรษฐีออสซี่ยังมีกาสิโนในมาเก๊า ลอนดอน และเพิร์ธด้วย)

อุปสรรคอันท้าทาย John Keells ก็คือใบอนุญาตสำหรับกิจการพนันในศรีลังกาทั้งห้าใบ ต่างแบ่งกันอยู่ในมือของ Perera สามใบ และ Wijeratne สองใบ  ดังนั้น Keells จึงพยายามพาผู้ประกอบการสถานการพนันจากต่างแดนเข้ามา เพื่อชิงใบอนุญาตจากมือของทั้งสองเจ้า

แม้ว่ารัฐบาลจะไม่มีการออกใบอนุญาตให้ใหม่ แต่จะไร้แรงต่อต้านใดๆ เลย

ในช่วงเดือนเมษายนขณะกำลังพิจารณาเรื่องนี้ ผู้นำศาสนาพร้อมมวลชนฝ่ายค้านนับร้อยเดินขบวนประท้วงใน Colombo พวกเขากล่าวว่าการเปิดกาสิโนขนาดใหญ่จะทำให้โสเภณีเพิ่มขึ้น และบั่นทอนศีลธรรมของประเทศ โดยโจมตีโครงการของ Packer อย่างโกรธแค้น ว่าร่ำรวยจากการรับสิทธิทางภาษี

ทว่าพันธมิตรท้องถิ่นของเขา Wijeratne ไม่แยแสกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ พร้อมตอบโต้ว่า "พวกนักการเมืองไม่สนใจข้อเท็จจริง"

ไม่ไกลจากสถานกาสิโนรีสอร์ทพวกนี้ บรรดาโรงแรมหรูจากต่างชาติไม่ว่า Shangri-La, Hyatt และ ITC ของอินเดีย กำลังก่อสร้างบนพื้นที่ที่เคยเป็นป้อมค่ายของกองทหารที่หลงเหลือจากสงครามกลางเมืองมาก่อน

Ajit Gunewardene รองประธาน John Keells วัย 56 ปี กล่าวว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องวาง Colombo ไว้บนแผนที่ท่องเที่ยวอันหรูหรา

"คุณจะอยู่รอดได้เมื่อมีรายรับวันละ 40 เหรียญ และต้องมีอัตราเข้าพักไม่ต่ำกว่า 50%" เขากล่าวว่า "ไม่ทางเลยที่จะเอาของไปขายยังตลาดใหม่โดยยังมีความขัดแย้งอยู่"

เขาเพิ่มเติมว่า "เราต้องการแบรนด์ ที่เกี่ยวกับการสร้าง Colombo หรือ Sri Lanka ใหม่นะหรือ? พวกเขากำลังนำพวกเราก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 แล้ว แต่เหมือนกับว่าเรากำลังเหนื่อยหน่ายกับยุคก่อนได้รับเอกราช"

&nbsp;

<hr />

เรียบเรียงจาก <a href="http://www.forbes.com/sites/meghabahree/2014/06/25/sri-lanka-plans-its-own-mini-vegas/">Sri Lanka Plans Its Own Mini Vegas</a> โดย Megha Bahree

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events