<h2>จากคาดการณ์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทยว่า แนวโน้มผลผลิตทางการเกษตรในช่วงครึ่งปีหลังอาจได้รับผลกระทบจากภาวะแห้งแล้งเนื่องจากปรากฎการณ์เอลนีโญ ส่งผลให้พืชเกษตรสำคัญของไทยที่ปกติจะมีผลผลิตทยอยออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงปลายปีเกิดความเสียหาย รวมถึงสินค้าปศุสัตว์และประมงซึ่งอาจได้รับผลกระทบเช่นกัน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลให้ราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นและผู้ประกอบการอาจต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม็คโคร พร้อมยืนหยัดสร้างความเชื่อมั่น ตอกย้ำความเป็นศูนย์รวมอาหารสดและวัตถุดิบเพื่อผู้ประกอบการและลูกค้าทุกกลุ่ม ได้วางแผนร่วมกับพาณิชย์จังหวัด หน่วยงานท้องถิ่น และทีมงานฝ่ายจัดซื้อส่วนภูมิภาคของแม็คโครที่อยู่ใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ เข้าสนับสนุนและวางแผนการรับซื้อจากเกษตรกรอย่างใกล้ชิด อีกทั้งวางแผนบริหารจัดการปริมาณผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงดูแลราคาให้เกิดความเป็นธรรมกับเกษตรกรผู้ผลิตและลูกค้าทุกกลุ่ม โดยครึ่งปีหลังตั้งเป้ารับซื้อสินค้ากลุ่มผัก ผลไม้ไทยสูงขึ้นกว่าปี 2565 ถึง 23% <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 100%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 100%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/vgt31hGv9hAJg9QTPCA1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="vgt31hGv9hAJg9QTPCA1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="100%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="100," origin-size="654,344" style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน)&nbsp; กล่าวว่า “แม็คโคร ยืนหยัดช่วยเหลือเกษตรกรไทยเพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์ เอลนีโญ พร้อมเชื่อมโยงภาคการผลิตสู่การบริโภค เป็นช่องทางกระจายสินค้าเกษตรจำนวนมากในแต่ละปี ซึ่งทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าจะมีสินค้าจำหน่ายได้อย่างเพียงพอต่อทุกความต้องการ ในราคาที่เหมาะสม และทำให้การดำเนินธุรกิจเดินหน้าอย่างราบรื่น พร้อมสร้างโอกาสการเติบโตให้เกษตรกรได้อย่างยั่งยืน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/laureato-chronograph-42-mm-%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-girard-perregaux-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-laureato" alt="Laureato Chronograph 42 mm อีกหนึ่งผลงานชิ้นเอกจาก Girard-Perregaux ที่ยังคงสืบสานดีเอ็นเอในแบบฉบับของ Laureato">Laureato Chronograph 42 mm อีกหนึ่งผลงานชิ้นเอกจาก Girard-Perregaux ที่ยังคงสืบสานดีเอ็นเอในแบบฉบับของ Laureato</a>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

แม็คโคร สนับสนุนและวางแผนการรับซื้อจากเกษตรกรทุกภูมิภาค

&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซีพี แอ็กซ์ตร้าฯ เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดสาขาใหม่ “แม็คโคร สมุทรสงคราม” ศูนย์รวมวัตถุดิบคุณภาพเพื่อผู้ประกอบการและผู้บริโภค พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผ่านการสร้างงานสร้างอาชีพคนในท้องถิ่น หนุนเกษตรกรและเอสเอ็มอี เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ <div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/qUVoqyCnTmPydZqCJe2L.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="qUVoqyCnTmPydZqCJe2L.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="1186,720"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจค้าส่งแม็คโคร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT เปิดเผยว่า การเปิดแม็คโคร สาขาสมุทรสงคราม ถือเป็นสาขาที่ 154 โดยทุกสาขาของแม็คโคร มุ่งเน้นความครบครันของสินค้าอุปโภคบริโภคและอาหารสดจากทั่วทุกมุมโลก ช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อย ผู้ประกอบการร้านอาหาร กลุ่มธุรกิจโฮเรก้า และผู้บริโภคทั่วไปที่ต้องการสินค้าคุณภาพ ในราคาขายส่ง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/AEJpgD2pkb8Wi6ffMkur.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="AEJpgD2pkb8Wi6ffMkur.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="1477,1108" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นอกจากนี้ในทุกการเปิดสาขา เรายังมีนโยบายสนับสนุนการสร้างงานสร้างอาชีพในท้องถิ่น โดย 80% ของพนักงานสาขาสมุทรสงครามเป็นลูกหลานของชาวสมุทรสงคราม และเรายังสนับสนุนสินค้าเกษตร สินค้าเอสเอ็มอีประจำท้องถิ่น เพื่อสร้างรายได้และอาชีพมั่นคง สร้างแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในจังหวัดให้เติบโต ตอกย้ำพันธกิจในการเป็นผู้นำธุรกิจค้าส่งที่เคียงข้างสังคมไทยของแม็คโคร”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/XEVY17HXpR6cHVS9XAja.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="XEVY17HXpR6cHVS9XAja.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="1567,1045"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สมุทรสงคราม นับเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ โดยที่ผ่านมา สำนักงานคลังจังหวัด คาดการณ์ว่า ในปี พ.ศ. 2566 เศรษฐกิจจังหวัดสมุทรสงคราม จะมีการขยายตัวร้อยละ 8.1 ต่อปี ซึ่งมาจากการขยายตัวของภาคเกษตรกรรม ภาคบริการ การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชน โดยภาคเกษตรกรรมมีผลผลิตประจำท้องถิ่นที่สำคัญคือ ลิ้นจี่ มะพร้าว ส้มโอ กุ้งขาว อาหารทะเล ซึ่งทำให้เกิดรายได้หมุนเวียนในจังหวัด​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/N6rwWWohVaU93Es1YA6H.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="N6rwWWohVaU93Es1YA6H.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3" origin-size="1475,954"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สาขาสมุทรสงครามนี้ มีขนาดพื้นที่ขาย 4,000 ตารางเมตร และมีสินค้ามากกว่า 10,000 รายการ รวมถึงสินค้าชื่อดังของท้องถิ่นอย่าง ปลาทู ปลากะพง กุ้งขาว ส้มโอขาวใหญ่(GI) ใบชะครามฯ ไม่เพียงเท่านั้น ยังเปิดพื้นที่สำหรับจำหน่ายสินค้าเอสเอ็มอีด้วย ซึ่งเรามุ่งหวังให้การขยายสาขาของแม็คโคร สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของจังหวัด เพื่อช่วยสร้างการเติบโตให้เศรษฐกิจในท้องถิ่น สนับสนุนเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนในจังหวัดสมุทรสงครามและจังหวัดใกล้เคียง ให้พัฒนาศักยภาพ พร้อมมีช่องทางจำหน่ายที่มั่นคง สร้างรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน” เสาวลักษณ์ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน แม็คโครมีสาขาให้บริการรวม 154 สาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีสาขาในต่างประเทศรวม 10 สาขา ใน 4 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา 1 สาขา กัมพูชา 3 สาขา อินเดีย 4 สาขา และจีน 2 สาขา ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/ktRzigN58xncx85hop7N.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="ktRzigN58xncx85hop7N.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="4" origin-size="1416,942"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/70600" alt="อุตสาหกรรมกระดาษฝ่ากระแสคลื่นดิจิทัล จับมือ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ จัดงานใหญ่ระดับภูมิภาค ASEAN Paper Bangkok ดึงผู้ประกอบการทั่วโลกร่วมงาน โชว์ศักยภาพอุตสาหกรรมกระดาษไทย">อุตสาหกรรมกระดาษฝ่ากระแสคลื่นดิจิทัล จับมือ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ จัดงานใหญ่ระดับภูมิภาค ASEAN Paper Bangkok ดึงผู้ประกอบการทั่วโลกร่วมงาน โชว์ศักยภาพอุตสาหกรรมกระดาษไทย</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

ซีพี แอ็กซ์ตร้า เดินหน้าขยายธุรกิจ เปิดสาขา "แม็คโคร สมุทรสงคราม" หนุนเกษตรกรและเอสเอ็มอี เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ

กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ประเทศไทย ที่ประกอบไปด้วย บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด และบริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับกลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง และสถาบันคีนันแห่งเอเซีย ภายใต้การสนับสนุนโดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม

หลังจากเปิดตัวโครงการฯ เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจเจ้าของร้านค้าปลีกหญิงทั่วประเทศ เมื่อปีพ.ศ. 2557 โดยล่าสุด โคคา-โคลา ลงทุน 4 ล้านบาทในโครงการนำร่องเพิ่มศักยภาพเกษตรกรสตรีชาวไร่อ้อย 600 คน ในอำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ และอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ด้วยการฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารจัดการการเงินและทำการเกษตรอย่างยั่งยืน ภายใน 1 ปี (สิงหาคม พ.ศ. 2559 – กรกฎาคม พ.ศ. 2560)  ในสองหัวข้อหลัก คือ การบริหารการเงินส่วนบุคคล และการทำการเกษตรอย่างยั่งยืน และมีเป้าหมายเพื่อขยายผลการดำเนินโครงการฯ นำร่องไปสู่เกษตรกรสตรีชาวไร่อ้อยและกลุ่มพันธมิตรผู้ผลิตวัตถุดิบน้ำตาล ทรายอื่นในระยะต่อไป

“ในฐานะผู้นำตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศไทย กลุ่มธุรกิจ โคคา-โคลาฯ ให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าร่วมกันระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคประชาสังคม กล่าวคือการสร้างธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมกับการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน จากการเปิดตัวโครงการในระยะแรกในปี 2557 ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายคือเจ้าของร้านค้าปลีกหญิง จนถึงขณะนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ แล้วกว่า 10,000 คนทั่วประเทศ” พรวุฒิ สารสิน ประธานกรรมการ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด กล่าว

ด้านกลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง เข้าร่วมโครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลาซึ่งเป็นไปตามพันธกิจที่ตั้งไว้ ของกลุ่มบริษัท เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชาวไร่อ้อยและได้ดำเนินโครงการส่งเสริมเกษตรยั่งยืน ให้ความรู้การบำรุงดินด้วยหลักวิชาการเพื่อเพิ่มอินทรีย์และปรับปรุงคุณภาพ ในดิน การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเพิ่มน้ำต้นทุน ไปจนกระทั่งการส่งเสริมการลดการเผาอ้อยในฤดูเก็บเกี่ยว ตลอดจนมีการให้ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการปลูกอ้อยและการทำอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายมาอย่างต่อเนื่อง

“ปีนี้บริษัทฯ ได้คัดเลือกเกษตรกรสตรีกลุ่มเป้าหมายรวม 600 คน ที่มีศักยภาพในการต่อยอดองค์ความรู้ให้เครือข่ายเกษตรกร เข้าร่วมโครงการฯ และมีเจ้าหน้าที่บริษัทฯ 30 คน เข้ารับการอบรมเพื่อทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงกับกลุ่มเกษตรกรให้คำแนะนำและ ติดตามผลตลอดโครงการฯ โดยคาดว่าหลังจากนี้ 1 ปี เกษตรกรสตรีที่เข้าร่วมโครงการจะมีผลการทดสอบระดับความรู้เรื่องการทำเกษตร อย่างยั่งยืน เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20”  ณัฐพล อัษฎาธร กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง กล่าวเสริม

ในเชิงวิชาการและภาครัฐบาล โครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลา ได้ร่วมกับ สถาบันคีนันแห่งเอเชีย และ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม เป็น 2 พันธมิตรสำคัญในการผลักดันการเติบโตอย่างเป็นระบบ สถาบันคีนันแห่งเอเชียเป็นองค์กรซึ่งทำงาน ด้านให้องค์ความรู้และสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจและสังคมมายาวนาน

“เราเล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ และเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับโครงการฯ โดยเริ่มจากการสำรวจความต้องการของเกษตรกรสตรีชาวไร่อ้อยกลุ่มเป้าหมาย และนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาหลักสูตรการบริหารจัดการการเงิน ที่ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้น ซึ่งเบื้องต้นได้เริ่มทำการอบรมไปแล้วกว่า 200 คน  และตลอดการดำเนินโครงการฯ จะมีการติดตามและประเมินผลเกษตรกรที่เข้ารับการอบรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงโครงการให้สอดคล้องกับความต้องการหรือปัจจัยต่างๆ ที่อาจเปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ คาดว่า ภายหลังเข้ารับการอบรม เกษตรกรสตรีจะมีผลการทดสอบระดับความรู้เรื่องการบริหารจัดการการเงิน เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 และมีระดับความตระหนักถึงความสำคัญในการจัดการการเงินเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 30” ปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานอำนวยการและรองประธานกรรมการ สถาบันคีนันแห่งเอเซีย กล่าว

สอดคล้องกับ สมศักดิ์ จันทรรวงทอง เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม ที่กล่าวถึงบทสำคัญของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายต่อการพัฒนาประเทศและ เศรษฐกิจไทย ที่มีการสร้างงานให้เกษตรกรกว่า 600,000 คน และสร้างรายได้ให้ประเทศจากการบริโภคในประเทศและส่งออกถึงปีละ 150,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.6 % ของจีดีพี โดยไทยส่งออกน้ำตาลเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากบราซิล และอันดับ 1 ในเอเชีย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ช่วยให้เกษตรกรปรับตัวต่อสภาวะแวดล้อมโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้โครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลา เป็นส่วนใน โครงการ 5by20 พันธกิจระดับโลกของโคคา-โคลา เพิ่มศักยภาพด้านการดำเนินธุรกิจให้กับผู้หญิงในห่วงโซ่คุณค่าของโคคา-โคลา จำนวน 5 ล้านคนภายในปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) ผู้หญิงทั่วโลกล้วนมีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจและห่วงโซ่คุณค่าของโคคา-โคลา โดยโครงการนี้เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้เรียนรู้ทักษะในการดำเนินธุรกิจ การวางแผนด้านการเงิน และมีโอกาสทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมอาชีพหรือผู้ให้คำปรึกษา รวมถึงมอบความมั่นใจในการทำธุรกิจอย่างประสบความสำเร็จแก่พวกเขา

โคคา-โคลา เดินหน้า โครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลา เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจเกษตรกรสตรีชาวไร่อ้อย

รวยที่สุดแห่งรัฐ Iowa
ประชากร: 3.1 ล้านคน
Gross State Product (GSP) ในปี 2014: 1.68 แสนล้านเหรียญ (เติบโต 0.4%)
GSP ต่อหัว: 53,982 เหรียญ (สูงเป็นอันดับที่ 21 ของปรเทศสหรัฐอเมริกา)
คนที่รวยที่สุด: Harry Stine 3.2 พันล้านเหรียญ (อยู่อันดับที่ 211 ในทำเนียบ Forbes 400)

จีนกำลังเป็นตลาดที่ใหญ่มหึมาสำหรับสินค้าของ Harry Stine เพราะ ถึงแม้จีนจะเป็นแหล่งผลิตข้าวโพดรายใหญ่อันดับสองของโลก แต่ด้วยจำนวนประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน ทำให้ข้าวโพดยังคงเป็นที่ต้องการอีกมาก ซึ่งนั่นทำให้ Stine มีโอกาสสั่งสมความมั่งคั่งได้จากการขายข้าวโพดและเมล็ดถั่วเหลืองผ่านกิจการ Stine Seed Co., ของเขาซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Adel ในรัฐ Iowa เขา เริ่มขายเมล็ดข้าวโพดที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมไปที่จีนแผ่นดินใหญ่ตั้งแต่ เดือนเมษายน 2014 ซึ่งเป็นก้าวล่าสุดของเขาเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายการเพิ่มผลผลิตข้าวโพดของ โลกใบนี้ให้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

เมล็ดข้าวโพดของ Stine นั้นแข็งแรงมาก เพราะมีการตัดแต่งพันธุกรรมให้สามารถเจริญเติบโตได้ในพื้นที่ที่มีการปลูก ข้าวโพดอย่างหนาแน่น เพื่อให้ได้ผลผลิตต่อเอเคอร์ที่มากขึ้น โดยเขาขายเมล็ดพันธุ์โดยใช้แบรนด์ของตัวเอง และได้รายได้จากอนุญาตให้บริษัทอย่างเช่น Monsanto และ Syngenta ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ตัดแต่งพันธุกรรมของเขาได้ ซึ่งทำให้ยอดขายของบริษัทเขาเพิ่มขึ้นถึงกว่า 1 พันล้านเหรียญและ margin มากกว่า 10%

Stine โตมาในฟาร์มของพ่อของเขาในรัฐ Iowa แม้ว่าเขาจะมีความผิดปกติในเรื่องการอ่านและเป็นเด็กพิเศษในระดับไม่รุนแรง แต่เขากลับเก่งเลขสุดๆ หลังจากที่เขาจบการศึกษาจาก McPherson College รัฐ Kansas ในปี 1963 เขาก็กลับมาที่บ้านเพื่อพัฒนาสายพันธุ์ต่างๆ ของเมล็ดถั่วเหลือง จนกระทั่งในปี 1994 ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศให้ความคุ้มครองข้อมูลทางพันธุกรรมของถั่วเหลือง Stine เป็นรายแรกๆ ที่ไปจดสิทธิบัตรสายพันธุ์เมล็ดถั่วเหลือง ต่อมาในปี 1997 Monsanto ได้ขึ้นทะเบียนเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลืองของ Stine ที่สามารถต้านทานศัตรูพืชได้ ซึ่งทำให้ทั้ง Monsanto และ Stine ทำเงินได้หลายพันล้านเหรียญเลยทีเดียว

แม้จะผ่านไปหลายสิบปีแล้วแต่เขายังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจของเขาต่อไป โดย Stine ได้ขยายกิจการออกไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลก เขาบอกว่า “ผมตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเลย”
<img class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/2016%20march/art-Iowa.png" alt="" />

<hr />

<a href="http://goo.gl/5KbXgP">คลิ๊กบทความเพื่อสร้างแรงบันดาลใจของผู้ใฝ่ความสำเร็จได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ MARCH 2016 ในรูปแบบ E-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/5KbXgP"><img class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/2016%20march/cover-forbes-march2016-re.jpg" alt="" width="324" height="424" /></a>

ชายผู้ร่ำรวยที่สุดแห่งรัฐ Iowa

<h2>เส้นทางธุรกิจกว่าจะมาถึงมือเขานั้นไม่ง่ายดายเลย กิจกาจช่วงแรกเกือบจะล้มอยู่หลายรอย เลวร้ายสุดเกือบจะถูกธนาคารฟ้องล้มละลาย เจ้าหน้าบีบให้ลดทุน ต้องปลดพนักงานออก 1 ใน 4 ทั้งที่บางคนทำงานมาตั้งแต่หนุ่มจนเกือบจะเกษียณ สุดท้ายแล้วทุกคนในองค์กรพร้อมใจกันเสียสละ ลดเงินเดือนลงร้อยละ 25 เพื่อประคับประคองให้จุลไหมไทยผ่านวิกฤตไปได้</h2>
จงสฤษดิ์เล่าว่าบิดาย้ำเสมอ ธุรกิจนี้ไม่ใช่เป็นแค่ของครอบครัวคุ้นวงศ์ แต่เป็นของทุกคนที่ปรารถนาดีต่อสังคม เขาดูแลพนักงารแบบครอบครัวเดียวกัน ครอบคลุมถึงการแบ่งปันผลประโยชน์เหมือนคนในครอบครัว กำไรทุกไตรมาสจะแบ่งให้บริษัท 50 และอีก 50 ให้พนักงาน ที่จะนำไปแบ่งปันกันตามลำดับขั้น เว้นแต่พนักงานผู้ถือจะไม่ได้สิทธิในส่วนนี้

ในปีนี้จุลไหมไทยขยายกำลังการผลิตจากปีละ 170 ตัน มาเป็น 250 ตัน ภายในสามปีข้างหน้า ซึ่งถือว่าเพิ่มอีกเกือบร้อยละ 50  ซึ่งปัญหาสำคัญที่ต้องเจอก็คือปริมาณรังไหมไม่พอ ด้วยเหตุนี้เขาจึงวางแผนจูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกหม่อนเลี้ยงไหมให้มากขึ้น พยายามหาตลาดไหมใหม่ หาวิธีการเลี้ยงแบบใหม่ไม่ต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดเหมือนแต่ก่อน ปัจจุบันหากจะลงทุนปลูกหม่อนเลี้ยงไหมจะใช้เงินแรกเริ่มไม่เกิน 150,000 บาท ในที่ดินประมาณ 9 ไร่ จะมีรายได้ตกปีละ 9 หมื่นบาท

“แต่มีเกษตรกรที่สุพรรณบุรีของเราสามารถสร้างรายได้เฉลี่ยปีละ 500,000 บาท”
อย่างไรก็ตามการส่งออกผลิตภัณฑ์ยังไม่มากนัก เพราะแข่งราคากับจีนไม่ไหว เพราะเขาเป็นผู้ผลิตไหมรายใหญ่ของโลกถึงร้อยละ 70 แต่ตอนนี้ผลผลิตจากจีนเริ่มออกสู่ตลาดลดลง แต่ความต้องการของตลาดยังคงเดิม จึงเป็นโอกาสให้เราขยายตลาดเพิ่ม และขายในราคาที่สูงขึ้น ภายในสามปีข้างหน้า ยอดส่งออกน่าจะเพิ่มจากร้อยละ 10 ไปที่ร้อยละ 20 ได้

นอกจากนี้ตลาดใหม่ที่ดึงดูดใจก็คือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เพราะเป็นภูมิภาคนิยมใช้ไหมแต่ไม่มีการเลี้ยงตัวไหมและผลิตเส้นไหมเอง ล่าสุดจงสฤษดิ์ได้ข้ามไปเปิดสำนักงานที่ลาวและแต่งตั้งตัวแทนจัดหน่ายแล้ว พร้อมทั้งหาพันธมิตรเปิดตลาดในมาเลเซียและอินโดนีเซีย ส่วนตลาดยุโรปนั้นต้องเปิดทางด้วยไหมคุณลักษณะพิเศษที่ต่างจากคู่แข่งอย่างจีน

ตัวเขาแสดงความมุ่งมั่นจะสืบสานธุรกิจของครอบครัว ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานไว้ให้ได้ แม้ว่ารุ่นต่อไปผู้นำของจุลไหมไทยจะไม่ใช่คนในตระกูลคุ้นวงศ์ก็ตาม อาจจะเป็นผู้บริหารมืออาชีพก็ได้ แต่ต้องมาตรฐานของกลุ่มจุลไหมไทย

สรุปและเรียบเรียงจาก เส้นทางจุลไหมไทย (Not) Smooth As Silk, Forbes Thailand ฉบับ MARCH 2014

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events