เส้นทางจุลไหมไทย (Not) Smooth As Silk
เส้นทางธุรกิจกว่าจะมาถึงมือเขานั้นไม่ง่ายดายเลย กิจกาจช่วงแรกเกือบจะล้มอยู่หลายรอย เลวร้ายสุดเกือบจะถูกธนาคารฟ้องล้มละลาย เจ้าหน้าบีบให้ลดทุน ต้องปลดพนักงานออก 1 ใน 4 ทั้งที่บางคนทำงานมาตั้งแต่หนุ่มจนเกือบจะเกษียณ สุดท้ายแล้วทุกคนในองค์กรพร้อมใจกันเสียสละ ลดเงินเดือนลงร้อยละ 25 เพื่อประคับประคองให้จุลไหมไทยผ่านวิกฤตไปได้
จงสฤษดิ์เล่าว่าบิดาย้ำเสมอ ธุรกิจนี้ไม่ใช่เป็นแค่ของครอบครัวคุ้นวงศ์ แต่เป็นของทุกคนที่ปรารถนาดีต่อสังคม เขาดูแลพนักงารแบบครอบครัวเดียวกัน ครอบคลุมถึงการแบ่งปันผลประโยชน์เหมือนคนในครอบครัว กำไรทุกไตรมาสจะแบ่งให้บริษัท 50 และอีก 50 ให้พนักงาน ที่จะนำไปแบ่งปันกันตามลำดับขั้น เว้นแต่พนักงานผู้ถือจะไม่ได้สิทธิในส่วนนี้
ในปีนี้จุลไหมไทยขยายกำลังการผลิตจากปีละ 170 ตัน มาเป็น 250 ตัน ภายในสามปีข้างหน้า ซึ่งถือว่าเพิ่มอีกเกือบร้อยละ 50 ซึ่งปัญหาสำคัญที่ต้องเจอก็คือปริมาณรังไหมไม่พอ ด้วยเหตุนี้เขาจึงวางแผนจูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกหม่อนเลี้ยงไหมให้มากขึ้น พยายามหาตลาดไหมใหม่ หาวิธีการเลี้ยงแบบใหม่ไม่ต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดเหมือนแต่ก่อน ปัจจุบันหากจะลงทุนปลูกหม่อนเลี้ยงไหมจะใช้เงินแรกเริ่มไม่เกิน 150,000 บาท ในที่ดินประมาณ 9 ไร่ จะมีรายได้ตกปีละ 9 หมื่นบาท
“แต่มีเกษตรกรที่สุพรรณบุรีของเราสามารถสร้างรายได้เฉลี่ยปีละ 500,000 บาท”
อย่างไรก็ตามการส่งออกผลิตภัณฑ์ยังไม่มากนัก เพราะแข่งราคากับจีนไม่ไหว เพราะเขาเป็นผู้ผลิตไหมรายใหญ่ของโลกถึงร้อยละ 70 แต่ตอนนี้ผลผลิตจากจีนเริ่มออกสู่ตลาดลดลง แต่ความต้องการของตลาดยังคงเดิม จึงเป็นโอกาสให้เราขยายตลาดเพิ่ม และขายในราคาที่สูงขึ้น ภายในสามปีข้างหน้า ยอดส่งออกน่าจะเพิ่มจากร้อยละ 10 ไปที่ร้อยละ 20 ได้
นอกจากนี้ตลาดใหม่ที่ดึงดูดใจก็คือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เพราะเป็นภูมิภาคนิยมใช้ไหมแต่ไม่มีการเลี้ยงตัวไหมและผลิตเส้นไหมเอง ล่าสุดจงสฤษดิ์ได้ข้ามไปเปิดสำนักงานที่ลาวและแต่งตั้งตัวแทนจัดหน่ายแล้ว พร้อมทั้งหาพันธมิตรเปิดตลาดในมาเลเซียและอินโดนีเซีย ส่วนตลาดยุโรปนั้นต้องเปิดทางด้วยไหมคุณลักษณะพิเศษที่ต่างจากคู่แข่งอย่างจีน
ตัวเขาแสดงความมุ่งมั่นจะสืบสานธุรกิจของครอบครัว ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานไว้ให้ได้ แม้ว่ารุ่นต่อไปผู้นำของจุลไหมไทยจะไม่ใช่คนในตระกูลคุ้นวงศ์ก็ตาม อาจจะเป็นผู้บริหารมืออาชีพก็ได้ แต่ต้องมาตรฐานของกลุ่มจุลไหมไทย
สรุปและเรียบเรียงจาก เส้นทางจุลไหมไทย (Not) Smooth As Silk, Forbes Thailand ฉบับ MARCH 2014