ดร.วาสนา อินทะแสง ซีอีโอ Revomed ปั้นธุรกิจสู่โกลบอล

<h2>​เทรนด์ 'สุขภาพเชิงป้องกันมาแรง' Gen Z มั่นใจในการหาข้อมูลให้ดีก่อนเลือกซื้ออาหารเสริมมากที่สุดถึง 47% ขณะที่กลุ่ม Baby Boomer กลับมีความมั่นใจน้อยที่สุดเพียง 42% ทั้งๆ ที่เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ห่วงใยเรื่องสุขภาพหลังจากอายุมากขึ้นและนิยมรับประทานอาหารเสริมเป็นประจำทุกวัน </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เฮอร์บาไลฟ์ เผยผลการสำรวจจาก Asia Pacific Responsible Supplementation Survey 2025 เรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างมีความรับผิดชอบในเอเชียแปซิฟิก ปี 2568 ที่ชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างแพร่หลายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) แต่ผู้บริโภคจำนวนมากยังขาดความมั่นใจในการตัดสินใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ถูกต้องและเหมาะสม โดยผู้บริโภค 4 ใน 5 คน หรือกว่า 80% ในภูมิภาคนี้ รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นประจำ แต่กลับมีผู้ตอบแบบสำรวจเพียงครึ่งเดียวหรือ 50% เท่านั้นที่แสดงความมั่นใจว่าตนสามารถตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีความรับผิดชอบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การสำรวจนี้จัดทำขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2568 โดยมุ่งศึกษาทัศนคติและพฤติกรรมของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งการสำรวจดังกล่าวได้กำหนดนิยามของการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างมีความรับผิดชอบว่า คือการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับส่วนประกอบ คุณภาพ ปริมาณที่แนะนำ ข้อจำกัดในการบริโภคและโอกาสที่จะเกิดปฏิกิริยากับอาหารเสริมอื่นๆ หรือยารักษาโรค ก่อนที่จะเริ่มรับประทาน โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามรวม 9,000 คน ใน 11 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โทมัส ฮาร์มส์ กรรมการผู้จัดการผู้จัดการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของเฮอร์บาไลฟ์ กล่าวว่า “ยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างมาก ทำให้ผู้บริโภคไม่มั่นใจในการตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดี แต่ก็เป็นเรื่องดีที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับแหล่งข้อมูลและคำแนะนำที่น่าเชื่อถือ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เฮอร์บาไลฟ์ทำงานอย่างต่อเนื่องกับสถาบันต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้ดีขึ้น”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับแหล่งข้อมูลหลักที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ 61% เพื่อนและครอบครัว 41%&nbsp;และการค้นคว้าหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ด้วยตนเอง 30% และเมื่อเปรียบเทียบทัศนคติของผู้บริโภคในกลุ่มอายุที่แตกต่างกัน พบว่า กลุ่มวัยบูมเมอร์ (Boomer) กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามเลือกจะรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเป็นประจำทุกวัน แต่พวกเขากลับเป็นกลุ่มที่มีความกังวลน้อยที่สุดเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์อย่างมีข้อมูล โดยมีเพียง 30% เท่านั้นที่แสดงความกังวลในประเด็นนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ พวกเขายังเป็นกลุ่มที่มีความมั่นใจน้อยที่สุดในการตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ โดยมีเพียง 42% ที่แสดงความมั่นในใจการตัดสินใจของตนเมื่อเทียบกับกลุ่มอายุอื่น ในทางตรงกันข้าม กลุ่ม Gen Z มีความเชื่อมั่นในเรื่องการตัดสินใจอย่างมีข้อมูลมากที่สุด (47%) และเป็นกลุ่มที่มีความมั่นใจในความสามารถเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของตนเองมากที่สุด (58%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจครั้งนี้ยังเผยให้เห็นถึงช่องว่างด้านความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้บริโภคจำนวนมากไม่ทราบถึงผลกระทบจากการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเกินขนาด ตัวอย่างเช่น กรณีของวิตามินซี แคลเซียม และวิตามินดี ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่า 2 ใน 3 ของการสำรวจครั้งนี้ ไม่ทราบถึงผลกระทบจากการบริโภคเกินขนาด ถึงแม้จะมีช่องว่างด้านความรู้แต่ปัจจัยที่ผู้บริโภคคำนึงถึงในการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ยังคงเน้นเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ถึง 49% รองลงมาคือคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ 43% และการได้รับการรับรองคุณภาพ 38% นอกจากนี้ความเชื่อมั่นในแบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็เป็นปัจจัยจูงใจสำคัญ โดย 95% ของผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกยอมรับว่าความเชื่อมั่นในแบรนด์มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการเลือกซื้อ เทรนด์ 'ดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน' แรงผลักดันให้บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนสูงถึง 92% ระบุว่าการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันมีความสำคัญต่อสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดีของและหลายคนได้เริ่มหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพของตน โดยมีพฤติกรรรมต่างๆ เพื่อสุขภาพ ได้แก่ การเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพยิ่งขึ้น 55% การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 54% การออกกำลังกายเพิ่มขึ้น 46%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม แม้จะทำกิจกรรมเพื่อสุขภาพดังกล่าวแต่ก็มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียงไม่ถึงครึ่ง 46% ที่มีความหวังในทางที่ดีว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพของตนได้สำเร็จ สำหรับผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z กว่า 53% และกลุ่มมิลเลนเนียล 50% ต่างแสดงความมั่นใจสูงว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ เมื่อเทียบกับกลุ่ม Gen X ที่มั่นใจเพียง 40% และกลุ่มบูมเมอร์ 39%&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ โทมัส ฮาร์มส์ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า “เมื่อผู้บริโภคหันมาดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเองมากขึ้น สิ่งสำคัญคือพวกเขาควรมีแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ถูกต้อง รวมถึงประโยชน์จริงๆ ที่จะได้ และเมื่อต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีให้เลือกในตลาดมากมาย ควรใช้เวลาศึกษาให้ดีเกี่ยวกับระดับการทดสอบส่วนผสมของแบรนด์นั้นๆ รวมถึงการตรวจสอบการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ และความโปร่งใสในกระบวนการผลิต ไปจนถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบที่ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญเพื่อให้มั่นใจได้ถึงคุณภาพสูง ความสม่ำเสมอ และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/08/JYRyfkJuJq5mr9Ldwv58.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="JYRyfkJuJq5mr9Ldwv58.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> ​ ภาพ :&nbsp;เฮอร์บาไลฟ์ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/yolk-proudly-made-in-thailand" alt="ทาร์ตไข่ YOLK ฉลองยอดขายทะลุ 100 ล้าน จับมือ 4 แบรนด์ไทยชั้นนำ สร้างสรรค์ทาร์ตไข่รสชาติใหม่">ทาร์ตไข่ YOLK ฉลองยอดขายทะลุ 100 ล้าน จับมือ 4 แบรนด์ไทยชั้นนำ สร้างสรรค์ทาร์ตไข่รสชาติใหม่</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เทรนด์ 'สุขภาพเชิงป้องกันมาแรง' Gen Z มั่นใจในการหาข้อมูลให้ดีก่อนเลือกซื้ออาหารเสริมมากสุด 47%

<h2>ท่ามกลางกระแสรักสุขภาพ และความนิยมในโภชนาการเชิงป้องกัน ดันตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในเอเชียแปซิฟิกเติบโตต่อเนื่อง คาดตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเอเชียแปซิฟิกแตะ 1.76 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2577 ขณะที่บริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ผู้จัดงาน ‘Vitafoods Asia 2025’ ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 17-19 กันยายน 2568 ณ ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยคาดว่าปีนี้จะมีผู้สนใจเข้าร่วมงานมากกว่า 13,000 ราย จาก 38 ประเทศทั่วโลก </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ-ภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์&nbsp;เผยว่า อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ในฐานะผู้จัดงาน “ไวต้าฟู้ดส์ เอเชีย 2025” (Vitafoods Asia 2025) งานแสดงสินค้าเทคโนโลยีและนวัตกรรมสารสกัด และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียเปิดเผยว่า ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยแรงผลักดันจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและการป้องกันโรคมากขึ้น โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอ้วน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลจากบริษัทวิจัยเอกชน Market Minds Advisory คาดว่าตลาดเสริมอาหารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่าราว 9.15 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 และคาดว่าจะสูงถึง 1.76 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2577 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 8% ขณะที่ข้อมูลจาก Grand View Research ระบุว่าตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในประเทศไทยปี 2567 สร้างรายได้กว่า 133.6 แสนล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 179.9 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ที่ 5.1% ตั้งแต่ปี 2568 ถึง 2573&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/07/cKT59zh31aUAu7CBvALT.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="cKT59zh31aUAu7CBvALT.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจัยที่ส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมเสริมอาหารมาจาก การที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ควบคุมน้ำหนัก และดูแลสุขภาพองค์รวม ขณะที่ภาครัฐและองค์กรต่างๆ รณรงค์ให้ความรู้เรื่องโภชนาการที่สมดุล การเติบโตของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ความนิยมในเครื่องดื่มประเภทพกพา เช่น โปรตีนเชค เครื่องดื่มโปรไบโอติก ฯลฯ กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ผู้ผลิตเดินหน้าใช้เทคโนโลยีคิดค้นสูตรใหม่ที่ตอบโจทย์สุขภาพเฉพาะด้าน เช่น การชะลอวัย สุขภาพลำไส้ และการควบคุมน้ำหนักพร้อมใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น ขมิ้น ชาเขียว พืชสมุนไพรต่างๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเติบโตของช่องทางออนไลน์ อี-คอมเมิร์ซเป็นช่องทางหลักที่ช่วยขยายการเข้าถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยนำเสนอโปรโมชั่นและคำแนะนำเฉพาะบุคคล ช่วยกระตุ้นการซื้อซ้ำและเพิ่มยอดขายอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาในตลาดค้าขายออนไลน์มากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวเสริมว่า อุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพและธุรกิจเสริมอาหารในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงการเติบโตที่แข็งแกร่ง ด้วยแรงขับเคลื่อนจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เทรนด์สินค้าที่หลากหลาย และการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ งานนี้ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญและมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐาน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ Ms. Jeannie Kwa Senior HCP Marketing Manager, APAC, Representative from Kaneka Corporation กล่าวว่าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เน้นด้านการชะลอวัย (Healthy Ageing) และการยืดอายุขัย (Longevity) กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ผู้บริโภคมีความสนใจในการดูแลสุขภาพเชิงรุกและป้องกันความเสื่อมของร่างกายก่อนวัยอันควรมากขึ้น ทำให้เกิดการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาส่วนผสมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยส่วนผสมสำคัญที่กำลังมาแรง อาทิ สารเพิ่มระดับ NAD+, สารกลุ่ม Senolytics, สารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง (Potent Antioxidants), วิตามินและแร่ธาตุสำคัญ เช่น วิตามินดี แมกนีเซียม โอเมก้า 3 ฯลฯ รวมถึง คอลลาเจน เป็นต้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/07/ZzWHkPZCg41iDv4B4z8M.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ZzWHkPZCg41iDv4B4z8M.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม ภายในงานยังมีการสัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมต่างๆ กว่า 50 หัวข้อ อาทิ โภชนาการเฉพาะบุคคล ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ไมโครไบโอม เทรนด์ส่วนผสมและสารสกัดเพื่อเสริมด้าน Healthy aging การอัปเดตกฎระเบียบการจดทะเบียนผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เป็นต้น โดยหนึ่งในไฮไลต์คือพื้นที่จัดแสดงพิเศษ New Ingredients &amp; New Products Zone นำเสนอผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ส่วนผสม และนวัตกรรมสุขภาพ ที่เพิ่งเปิดตัวจากทั่วทุกมุมโลก และเป็นเวทีที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนของห่วงโซ่อุตสาหกรรมเสริมอาหาร ตั้งแต่วัตถุดิบส่วนผสม การพัฒนา ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปพร้อมจำหน่าย การบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงผู้รับจ้างผลิต (OEM/ ODM) มากกว่า 650 แบรนด์&nbsp; &nbsp; สำหรับงาน ‘Vitafoods Asia 2025’ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-19 กันยายน 2568 ณ ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ คาดว่าปีนี้จะมีผู้เข้ามาร่วมงานมากกว่า 13,000 ราย จาก 38 ประเทศ ทั่วโลก ภาพ :&nbsp;อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/chatramue-x-china-airlines" alt="‘ชาตรามือ’ เตรียมเสิร์ฟ บนสายการบิน China Airlines งานนี้รอลุ้น! จะเป็นเมนูอะไร">‘ชาตรามือ’ เตรียมเสิร์ฟ บนสายการบิน China Airlines งานนี้รอลุ้น! จะเป็นเมนูอะไร</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ตลาดอาหารเสริมโตต่อเนื่อง "อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์" เตรียมจัดงาน "Vitafoods Asia 2025" คาดผู้ร่วมงาน 13,000 ราย จาก 38 ประเทศทั่วโลก

<h2>ปัจจุบันผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกชหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพยิ่งขึ้น ใส่ใจการเลือกอาหาร เครื่องดื่ม ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นๆ ที่ช่วยส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี หนึ่งในนั้นคือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากธรรมชาติ เนื่องจากมีภาพลักษณ์ที่ดูปลอดสารสังเคราะห์ ทำให้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหลายตลาด อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจนี้อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ได้ตั้งใจ อาทิ การซื้อผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานทางการก่อนวางจำหน่าย รวมไปถึงการรับประทานอาหารเสริมโดยขาดความรู้ความเข้าใจ เพราะ “มาจากธรรมชาติ” ไม่ได้แปลว่าปลอดภัยหรือมีประสิทธิภาพเสมอไป</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อเล็กซ์ เตียว ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย พัฒนา และวิทยาศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เฮอร์บาไลฟ์ เห็นถึงความสำคัญของเลือกซื้ออาหารเสริม จึงได้รวบรวมความเชื่อที่ถูกต้องและข้อสังเกต เกี่ยวกับอาหารเสริมจากธรรมชาติ เพื่อให้ผู้บริโภครู้ทันและใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้ “หลักฐานทางวิทยาศาสตร์” สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริมจากธรรมชาติหรือสังเคราะห์ ความปลอดภัยและประสิทธิภาพล้วนขึ้นอยู่กับส่วนประกอบ ปริมาณที่แนะนำ และการใช้ร่วมกับสารอื่นๆ เช่น สมุนไพรที่ใช้เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของอาหารเสริมจากธรรมชาติ แม้จะให้ประโยชน์ แต่บางครั้งอาจเกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์เมื่อใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน&nbsp; &nbsp; “มาจากธรรมชาติ” ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีอันตราย พืชสมุนไพรหลายชนิดอาจเป็นอันตรายได้หากรับประทานไม่ถูกวิธี เช่น รากชะเอม (Licorice root) ที่นิยมใช้ในตำรับยาพื้นบ้านและขึ้นชื่อเรื่องการบรรเทาอาการต่างๆ แต่หากบริโภคในปริมาณมาก โดยเฉพาะในรูปแบบเข้มข้น อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และเกิดความไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกายได้ สิ่งนี้ตอกย้ำว่าการใช้อาหารเสริมจากธรรมชาติก็ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและมีข้อมูลสนับสนุน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในทางกลับกัน อาหารเสริมสังเคราะห์ถูกพัฒนาขึ้นให้เลียนแบบสารธรรมชาติ และผ่านกระบวนการทดสอบอย่างเข้มงวดเพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยและให้ผลตามต้องการ แม้จะมีการถกเถียงกันว่าระหว่างธรรมชาติกับสังเคราะห์แบบใดดีกว่ากัน แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการตีพิมพ์และผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการ ย่อมเป็นแนวทางสำคัญในการประเมินคุณค่าที่แท้จริงของอาหารเสริม ไขข้อน่ารู้ เกี่ยวกับอาหารเสริมจากธรรมชาติ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถ้าต้องการเลือกใช้อาหารเสริมอย่างมีข้อมูล ผู้บริโภคควรเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าคำว่า “ธรรมชาติ” หมายถึงอะไร และไม่ได้หมายถึงอะไรบ้าง ต่อไปนี้คือ 5 ความเชื่อที่พบได้บ่อย พร้อมคำแนะนำในการอ่านฉลากอาหารเสริมอย่างมีวิจารณญาณ ความเชื่อที่ 1: อาหารเสริมจากธรรมชาติมีความปลอดภัยเสมอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลายคนเข้าใจว่าอาหารเสริมจากธรรมชาติต้องปลอดภัยแน่นอน เพราะไม่ใช่ยา แต่ในความเป็นจริง พืชบางชนิดก็มีสารพิษ เช่น สารหนู (Arsenic) และสารตะกั่ว ซึ่งหากบริโภคโดยไม่ทราบปริมาณที่ปลอดภัย อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อไตและตับ ความเชื่อที่ 2: สามารถรับประทานอาหารเสริมจากธรรมชาติได้ไม่จำกัด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บางคนเชื่อว่าสารธรรมชาติจะกินเท่าไรก็ได้โดยไม่เกิดผลข้างเคียง อย่างไรก็ตาม การบริโภคในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดผลกระทบ เช่น วิตามิน A, D, E และ K ซึ่งละลายในไขมัน หากสะสมในร่างกายเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดพิษได้ ความเชื่อที่ 3: อาหารเสริมสามารถทดแทนยาได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค และไม่ควรใช้ทดแทนยาที่แพทย์สั่ง โดยเฉพาะในกรณีของโรคเรื้อรังหรือปัญหาสุขภาพเฉพาะทาง อาหารเสริมควรใช้ “ควบคู่” ไปกับการดูแลสุขภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่ใช้แทน ความเชื่อที่ 4: สามารถทานอาหารเสริมร่วมกับยาได้โดยไม่ต้องระวัง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกข้อมูลสำคัญคือ การทานอาหารเสริมควบคู่กับยาสามารถทำได้โดยไม่ส่งผลอะไร แต่ความจริงคืออาหารเสริมบางชนิด เช่น สารสกัดจากชาเขียว อาจรบกวนยารักษาโรคหัวใจ หรือกระเทียมอัดเม็ด อาจลดประสิทธิภาพของยาละลายลิ่มเลือด ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้อาหารเสริมควบคู่กับยาเสมอ ความเชื่อที่ 5: อาหารเสริมสามารถแทนอาหารได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่มีอาหารเสริมใดสามารถแทนอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการได้อย่างสมบูรณ์ อาหารจากธรรมชาติให้สารอาหาร เส้นใย และองค์ประกอบอื่นๆ ที่ซับซ้อน ซึ่งอาหารเสริมเลียนแบบไม่ได้ แม้อาหารเสริมจะช่วยเสริมสุขภาพ แต่ก็ควรใช้ร่วมกับการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง การใช้อาหารเสริมควรมีหลักคิดทางวิทยาศาสตร์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก่อนเริ่มใช้อาหารเสริมใดๆ ควรพิจารณาให้รอบด้าน อาหารเสริมที่มีคุณภาพควรผ่านการตรวจสอบจากองค์กรอิสระ และได้รับการรับรองว่าได้มาตรฐานด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ความต้องการเฉพาะด้านสุขภาพของแต่ละคนก็เป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจว่าอาหารเสริมชนิดใดเหมาะสม เพราะอาหารเสริมที่เหมาะกับคนหนึ่ง อาจไม่เหมาะกับอีกคน การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าอาหารเสริมที่เลือกใช้ไม่ส่งผลกระทบกับยาหรือโรคประจำตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยตัวเลือกอาหารเสริมมากมายในท้องตลาด สิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่คำว่า “มาจากธรรมชาติ” บนฉลาก แต่คือคุณภาพ ปริมาณที่เหมาะสม และหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ การศึกษาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกใช้อาหารเสริมได้อย่างมีสติ และส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว ภาพ: Herbalife เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/forbes-life/living/ultra-processed-food-can-affect-ncds" alt="เตือนภัยเงียบ! วิกฤตสุขภาพยุคอาหารแปรรูปจัดเต็ม “อิ่ม” แต่ &quot;ขาดสารอาหาร&quot; เสี่ยงโรคเรื้อรังไม่รู้ตัว">เตือนภัยเงียบ! วิกฤตสุขภาพยุคอาหารแปรรูปจัดเต็ม “อิ่ม” แต่ "ขาดสารอาหาร" เสี่ยงโรคเรื้อรังไม่รู้ตัว</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>
<div style="display:none;"><a href="https://www.amorivilla.com/amori-spa/" rel="dofollow">cm8</a></div>
<div style="display:none;"><a href="https://www.amorivilla.com/amori-spa" rel="dofollow">cm8</a></div>

“มาจากธรรมชาติ” ไม่ได้แปลว่าดี ถ้าบริโภคผิดวิธีก็อันตราย! ชวนเจาะลึกเกี่ยวกับอาหารเสริม รับประทานอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ

จากผงชูรสเบอร์หนึ่งไทย ‘อายิโนะโมะโต๊ะ’ กำลังลุยธุรกิจใหม่ ‘อาหารเสริม-แอปดูแลสุขภาพ’

<h2>JSP เผยผู้สูงอายุไทยทุ่มจ่ายอาหารเสริมเฉลี่ย 2,000 บาทต่อครั้ง พบอัตราการซื้อซ้ำใน 1-2 เดือน ชี้สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบดันอาหารเสริมโต 30% พร้อมเปิด 4 ปัจจัย หนุนยอดขายกลุ่มผู้สูงวัยเติบโตโดดเด่น 1.เทรนด์ดูแลสุขภาพเชิงป้องกันหลังทิศทางราคายาพุ่งทุกปี 2.เทรนด์ไม่เอาสารเคมี 3.เทรนด์ครอบครัวคนเดียว และ 4.เทรนด์ไม่อยากแก่ หนุนยอดขายจาก Gen X เติบโต 15 % ในปี 2566 พร้อมคาดปี 2567 เติบโต 30%</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พิษณุ แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานขายและการตลาด บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้สูงอายุในประเทศไทยมีจำนวนกว่า 13.7 ล้านคน คิดเป็น 20% ของจำนวนประชากรไทยทั้งหมด และในปี 2574 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ คือมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประเด็นดังกล่าวส่งผลให้ยอดขายสินค้าในกลุ่มผู้สูงอายุของ JSP เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่ามียอดสั่งซื้อรายละ 2,000 บาทต่อครั้ง และมีอัตราการซื้อซ้ำทุก 1-2 เดือน สินค้าขายดี 5 รายการของสุภาพโอสถ ได้แก่ 1.น้ำมันงาดำรำข้าว 2.4 mix oil 3.สไปมอร์ 4.ฟิช ออยล์ 5.น้ำมันงาขี้ม่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งปัจจุบันรายได้จากกลุ่มสินค้าอาหารเสริมผู้สูงอายุคิดเป็น 25% ของรายได้รวม 579 ล้านบาท เมื่อปี 2566 และในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตเป็นสัดส่วน 30% โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้สินค้าในกลุ่มผู้สูงอายุเพิ่มเป็น 300 ล้านบาท จากรายได้รวม 750 ล้านบาท​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/oSh6wojPFvi6apYxykqM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="oSh6wojPFvi6apYxykqM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,514"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;JSP ประเมินว่าปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของกำลังซื้อจากกลุ่มผู้สูงวัยมาจาก 4 ปัจจัยหนุนได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.เทรนด์ดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน มีการประเมินว่าตัวเลขตลาดรวมสุขภาพเชิงป้องกันจะแตะ 5.5 แสนล้านบาทภายในปี 2568 และคาดว่ามูลค่าตลาดเชิงสุขภาพเชิงป้องกันในกลุ่มผู้สูงอายุ จะมีสัดส่วนเป็น 22% ของตลาดรวม หรือคิดเป็นมูลค่า 1.2 แสนล้านบาทในปี 2568&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจัยหลักเป็นผลมาจากจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นคนอายุยืนขึ้น อีกทั้งทิศทางตลาดอุตสาหกรรมยาทั่วโลกมีแนวโน้มจะปรับราคายาขึ้นไปอย่างต่ำ 20% ภายในปีนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตยาพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนเทรนด์การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันก่อนป่วยให้ได้รับความสนใจมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.เทรนด์ไม่บริโภคและใช้ผลิตภัณฑ์จากสารเคมี สังคมปัจจุบันเริ่มตระหนักมากขึ้นถึงอันตรายของสารเคมีที่มีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม มองหาทางเลือกที่เป็นธรรมชาติและยั่งยืนมากขึ้นจากความกังวลด้านสุขภาพ ซึ่งสารเคมีหลายชนิดเชื่อมโยงกับปัญหาด้านสุขภาพที่ร้ายแรง เช่น มะเร็ง โรคทางระบบประสาท และปัญหาการเจริญพันธุ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทำให้ผู้คนจำนวนมากมองหาทางเลือกที่เป็นธรรมชาติและยั่งยืนมากขึ้น ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ทำจากส่วนผสมจากธรรมชาติและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ตลาดสินค้าออร์แกนิกในประเทศไทยมีมูลค่า 2,800 ล้านบาทในปี 2564 และคาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง 4,000 ล้านบาทภายในปี 2568&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3.เทรนด์ครอบครัวอยู่คนเดียว ครอบครัวไทยยุคใหม่มีครอบครัวขยายจำนวนน้อยลง ขนาดครอบครัวเดี่ยว และครอบครัวคนเดียวเพิ่มมากขึ้น มีผู้สูงอายุอยู่คนเดียวมากขึ้น โดยในปี 2564 มีผู้สูงอายุไทยอายุ 60 ปีขึ้นไป อาศัยอยู่คนเดียว 842,184 คน คิดเป็น10.2% ของผู้สูงอายุทั้งหมด และคาดการณ์ว่าจำนวนผู้สูงอายุไทยที่อยู่คนเดียวจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.8 ล้านคนภายในปี 2574 ส่งผลให้ผู้สูงอายุต้องการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อให้สามารถดูแลพึ่งพาตัวเองได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4.เทรนด์ไม่อยากแก่ ประเทศไทยกำลังโครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงไปเป็นการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประชาชนมีอายุยืนยาวขึ้น ต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและแข็งแรงแม้ในวัยสูงอายุ ส่งผลให้ผู้สูงอายุเริ่มเป็นกลุ่มผู้บริโภคหลัก เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และตระหนักถึงการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและดูดีอยู่เสมอ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/uoG92KbDVbGCLe3zo3A8.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="uoG92KbDVbGCLe3zo3A8.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,480"><figcaption><div>พิษณุ แดงประเสริฐ</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“จาก4 ปัจจัยดังกล่าวยังส่งผลให้ตลาดสุขภาพเชิงป้องกันในกลุ่มคน Gen X เติบโตตามตลาดผู้สูงอายุ เนื่องจากคน Gen X คือกลุ่มที่เตรียมเข้าสู่กลุ่มคนสูงวัย ทำให้ยอดขายในกลุ่มดังกล่าวเติบโตเพิ่มขึ้น 15% ในปี 2566 ที่ผ่านมาและคาดว่าจะเติบโต 30% ในปี 2567” พิษณุ กล่าว เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/thai-book-fair-2024" alt="งานสัปดาห์หนังสือฯ ปิดฉากยิ่งใหญ่ เม็ดเงินสะพัด 400 ล้านบาท นิยายวาย-การ์ตูน แชมป์ขายดีต่อเนื่อง">งานสัปดาห์หนังสือฯ ปิดฉากยิ่งใหญ่ เม็ดเงินสะพัด 400 ล้านบาท นิยายวาย-การ์ตูน แชมป์ขายดีต่อเนื่อง</a>​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

JSP เผยกำลังซื้อสูงวัยโตแรง ยอดใช้จ่ายอาหารเสริม 2,000 บาท/ครั้ง ซื้อซ้ำใน 1-2 เดือน

<h2>อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ฯ ผนึกพันธมิตร ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) จัดประกวด "Vitafoods Asia Nutraceutical Awards" เฟ้นหาสุดยอดไอเดียนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มโอกาสแข่งขันผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมเสริมอาหารไทยเติบโตในตลาดโลก พร้อมหนุนรายย่อยไทยสู่ผู้เล่นตลาด Nutroceutical ระดับนานาชาติ ชี้ในปี 2569 มูลค่าในไทยแตะ 2.6 แสนล้าน </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/jdogqjtD15XjaysJfgo1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="jdogqjtD15XjaysJfgo1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="1568,1046" style="" data-index="0"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน “ไวต้าฟู้ด เอเชีย 2023 (Vitafoods Asia 2023)” งานแสดงสินค้าเทคโนโลยีและนวัตกรรมสารสกัดและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยว่า แนวโน้มของอุตสาหกรรมเสริมอาหารในประเทศไทยขยายตัวต่อเนื่องนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมาจากการที่ผู้บริโภคต้องการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อดูแลสุขภาพและสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอยู่เสมอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมทั้งสัดส่วนประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การบริโภคผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เป็นที่ต้องการมากขึ้นไปด้วย โดยข้อมูลที่น่าสนใจจากการสนับสนุนบริการสุขภาพได้ชี้ให้เห็นว่าตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินในไทย เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ถึง 149.3% และผู้บริโภคมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 1,000 บาท ต่อเดือนเพื่อการดูแลสุขภาพที่ดีให้กับตัวเอง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/7kRfJDsRwp1WsYgtbx5U.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="7kRfJDsRwp1WsYgtbx5U.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="1920,1280" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเฉพาะในตลาดสินค้า Neutraceuticals รวมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่แม้ว่าจะเป็นกลุ่มสินค้าที่ขึ้นอยู่กับความต้องการบริโภคของแต่ละคน ก็ตาม โดย SMP ธุรกิจในอุตสาหรรมการผลิต ระบุในปี 2566 ตลาดดังกล่าว จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.9 แสนล้านบาท เติบโต 7% ซึ่งเป็นมูลค่าเทียบเท่ากับตลาดรวมในปี 2562 หรือช่วงก่อนการะบาดโควิด-19 และในปี 2569 คาดตลาดจะเติบโตอยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากแนวโน้มดังกล่าวนำมาสู่การจัดงาน “ไวต้าฟู้ด เอเชีย 2023” (Vitafoods Asia 2023) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-22 กันยายน 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยเป็นงานที่รวบรวมผู้ประกอบการธุรกิจมากกว่า 8,000 คนจากทั่วโลก แหล่งนวัตกรรมที่ทันสมัย วัตถุดิบคุณภาพ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และบริการต่างๆ จากซัพพลายเออร์กว่า 460 รายที่ร่วมนำสินค้าและนวัตกรรมเข้ามาแสดงภายในงาน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/9r3y82iDgHKiLFyfHPiC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="9r3y82iDgHKiLFyfHPiC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="1920,1280" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เพื่อเสนอโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการรายย่อยไทย ทั้งในกลุ่มผู้ผลิต และ ผู้ทำตลาดมีโอกาสพบปะผู้ขายสินค้าในกลุ่ม Nutraceutical รวมกลุ่มอาหารเสริม ซึ่งเป็นเทรนเด์ผลิตภัณฑ์ที่เติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง ตามความต้องการผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญด้านโภชนาการ และการบริโภคเชิงป้องกันสุขภาพ มากขึ้น เพื่อเตรียมเข้าสู่ สังคมสูงวัย ในอนาคตอันใกล้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ไฮไลท์พิเศษของงานนี้คือการจัดประกวด “Vitafoods Asia Nutraceutical Awards” เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ฯ ร่วมกับ ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ในการค้นหาไอเดียธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งจะเป็นเวทีระดับนานาชาติสำคัญที่ข่วยสนับสนุนและผลักดันอุตสาหกรรมเสริมอาหารตั้งแต่ต้นน้ำ ปลายน้ำ แบบครบวงจร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การประกวดครั้งนี้เปิดกว้างสำหรับทุกคนที่มีแนวคิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจเข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งเป็นความตั้งใจที่ต้องการผลักดันซอฟท์พาวเวอร์ โดยสนับสนุนผู้ประกอบการในไทยให้นำวัตถุดิบจากภายในประเทศ โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตรมาสร้างมูลค่าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ข้าว หากสามารถดึงสารบางอย่างออกมาได้จะช่วยเรื่องชะลอวัย เป็นต้น” รุ้งเพชร กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับงาน ไวต้าฟู้ด เอเชีย 2023 ในปีนี้ มีผู้แสดงสินค้า (exhibitors) แสดงความสนใจเข้าร่วมงาน จากต่างประเทศ เกือบ100 % อาทิ จีน อินเดีย สิงคโปร์ เป็นต้น และมีผู้ผลิตจากไทยหนึ่งราย คือ โบนันซ่า ผู้รับจ้างผลิตสินค้าเสริมอาหารที่มีความเชี่ยวชาญด้านองค์ความรู้การผลิต และในปีนี้ ยังได้เพิ่มขนาดพื้นที่อยู่ที่ 1.5 หมื่นตารางเมตร จากการจัดงานปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 8,000 ตารางเมตร และในปีนี้ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 8000 ราย จากบรรยากาศภาพรวมเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/70840" alt="TG จับมือ MAAI by KTC เปิดตัว “TG MEMBER” ลอยัลตี้ โปรแกรม มัดใจสมาชิกยุคดิจิทัล">TG จับมือ MAAI by KTC เปิดตัว “TG MEMBER” ลอยัลตี้ โปรแกรม มัดใจสมาชิกยุคดิจิทัล</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

อินฟอร์มาฯ จับมือวว. จัดประกวด "Vitafoods Asia Nutraceutical Awards" หนุนไทยสู่ตลาดเสริมอาหารระดับโลก

<h2>การเข้าสู่สังคมสูงวัย ความตระหนักเรื่องสุขภาพ ประกอบกับผลกระทบจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการอาหารเสริมของผู้บริโภคในประเทศไทยพุ่งสูงขึ้น ปัจจุบันพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแบรนด์ที่เป็นผู้เล่นในตลาด</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กว่าสองทศวรรษที่ Kantar ได้ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดในตลาดอาหารเสริมเพื่อสุขภาพและความงาม (health &amp; beauty supplement) ของประเทศไทย ปัจจุบันสินค้าในกลุ่มนี้มีการแบ่งกลุ่มของแบรนด์ รูปแบบ และประเภทต่างๆ ที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเราสามารถมองเห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในด้านผู้บริโภคและมูลค่าตลาด ทำให้เป็นที่สนใจของผู้ประกอบการหน้าใหม่รวมถึงบริษัท OEM ต่างๆ ที่เข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดเอง เนื่องจากใช้ต้นทุนการลงทุนต่ำรวมถึงการออกใบอนุญาตประกอบกิจการที่ง่าย ทำให้ผู้บริโภคในไทยมีทางเลือกที่หลากหลายในการเลือกซื้อสินค้าในตลาดนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น Kantar เปิดรายงาน Kantar: Health is Wealth: Thailand”s Supplement Market in 2023 ซึ่งนำเสนอข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่องในตลาดอาหารเสริมเพื่อสุขภาพและความงามของประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากสิ้นสุดการล็อกดาวน์ผู้คนเริ่มที่จะกลับไปใช้ชีวิตนอกบ้านอย่างเป็นปกติ ซึ่งรวมไปถึงการไปออกกำลังกายและการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ส่งผลให้ความต้องการในแง่ของคุณประโยชน์ที่ได้รับจากสินค้าในกลุ่มอาหารเสริมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากช่วงก่อนการแพร่ระบาด โดยผู้บริโภคเลือกอาหารเสริมที่ให้ประโยชน์ด้านสุขภาพเป็นอันดับหนึ่ง และให้ความสำคัญในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เน้นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (immunity) และการดูแลสุขภาพองค์รวม (general wellbeing) ในขณะที่การดูแลผิวพรรณ (skin) มีความสำคัญรองลงมา ยิ่งไปกว่านั้นผู้บริโภคมีการเลือกซื้ออาหารเสริมที่เน้นในด้านการควบคุมน้ำหนัก (body care) และโปรตีน (protein) ที่สูงขึ้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/pWQMFFJ7EUMiL9JmLCwv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="pWQMFFJ7EUMiL9JmLCwv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> ใครคือผู้บริโภคในตลาดอาหารเสริมเพื่อสุขภาพและความงาม &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูล Household Panel ของ Kantar Worldpanel ในประเทศไทย ทำให้เราเห็นภาพเชิงลึกของแต่ละครัวเรือน เช่น จำนวนสมาชิกในครัวเรือนและรายได้ ไม่น่าแปลกใจที่การสำรวจสำมะโนประชากรในปี 2022 แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดของการย้ายถิ่นฐานของครัวเรือนไปยังชุมชนเมือง และการเปลี่ยนแปลงของประชากรส่วนใหญ่ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรผู้สูงอายุ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากการศึกษาข้อมูลประชากรของผู้บริโภคที่ซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและความงาม มีความน่าสนใจอยู่ที่ มูลค่าตลาด 33% มาจากผู้บริโภคในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยผู้บริโภคในตลาดนี้ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นครัวเรือนที่ไม่มีทารก (โดยสมาชิกครอบครัวที่อายุน้อยที่สุดคือ 13 ปีขึ้นไป) ครอบคลุมในทุกระดับรายได้ของครัวเรือน และผู้ซื้อหลักมักมีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตามยังมีแนวโน้มเติบโตในกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป มีการเติบโตที่สูงถึง 60% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลจาก Kantar ยังชี้ให้เห็นว่าตลาดมีการเติบโตในทุกภูมิภาคของไทยยกเว้นภาคใต้ ซึ่งการซื้อสินค้าประเภทอาหารเสริมลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปี สวนทางกับกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีการจับจ่ายสินค้าประเภทดังกล่าวมากที่สุดและมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้นอีกในอนาคต ในขณะที่การเติบโตของตลาดในภาคเหนือเริ่มชะลอตัวลง เติมเต็มความต้องการผู้บริโภคในตลาดอาหารเสริม &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การวิจัยของ Kantar ยังสามารถแบ่งกลุ่มสินค้าอาหารเสริมตามคุณประโยชน์ได้ 10 ประการตามผลิตภัณฑ์ที่แบรนด์หรือผู้ผลิตเคลมไว้ คุณสมบัติในการเสริมสุขภาพองค์รวมและการสร้างภูมิคุ้มกัน (general wellbeing &amp; immunity) เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งเป็นตัวนำส่วนแบ่งทางการตลาดอาหารเสริมในปัจจุบัน รวมถึงอาหารเสริมโปรตีน (protein) และการควบคุมน้ำหนัก (body care) ก็เติบโตมากขึ้นในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ในขณะที่คุณสมบัติด้านการดูแลผิวและการดูแลดวงตามีสัดส่วนการเลือกซื้อที่ลดลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจัยสำคัญจากพฤติกรรมของผู้บริโภคหลังการล็อกดาวน์สิ้นสุดลง โดยผู้คนกลับไปทำงาน ออกกำลังกาย และทำกิจกรรมนอกบ้าน ส่งผลให้อาหารเสริมโปรตีน (protein) และการควบคุมน้ำหนัก (body care) กลับมารีบาวด์ อาหารเสริมเพื่อผิวพรรณและความงาม (skin &amp; beauty) ซึ่งแม้ว่าจะมีส่วนแบ่งในตลาดที่ลดลง แต่ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากที่สุดเป็นอันดับที่สอง ด้วยความสามารถของผลิตภัณฑ์ที่ใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นซองขนาดเล็ก ราคาไม่แพง และสะดวกในการบริโภค ยังเป็นจุดแข็งสำคัญของอาหารเสริมประเภทนี้ซึ่งยังคงรักษาฐานผู้บริโภค (penetration) ได้ดี​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/jU9Bmhr7TkVqRdVCokvW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="jU9Bmhr7TkVqRdVCokvW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะเดียวกันสุขภาพก็กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนไทยจำนวนมาก ส่งผลให้อาหารเสริมในด้านเสริมสุขภาพทั่วไปและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยังเป็นสิ่งแรกในการพิจารณาอาหารเสริมสำหรับผู้ซื้อหน้าใหม่และผู้ซื้อเดิม ประการสุดท้าย อาหารเสริมที่มีคุณสมบัติในการดูแลสุขภาพของดวงตาซึ่งเคยได้รับความนิยมในช่วงที่มีล็อกดาวน์จากโควิด-19 กลับถูกเลือกซื้อน้อยลงเนื่องจากการที่ผู้คนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อเราพิจารณารูปแบบผลิตภัณฑ์ของอาหารเสริมอย่างละเอียด ทำให้พบว่า ผลิตภัณฑ์รูปแบบผง (powder) กำลังได้รับความนิยมสูงขึ้น โดยเป็นผู้นำในส่วนแบ่งมูลค่าสูงสุด ทั้งยังเป็นรูปแบบที่นิยมใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติด้านการเสริมโปรตีนที่กำลังกลับมาเติบโต และด้านความงามที่มีส่วนแบ่งของตลาดในด้านคุณสมบัติเป็นอันดับที่สอง รูปแบบผงเป็นรูปแบบที่นิยมเนื่องจากสามารถใช้ได้กับอาหารเสริมในทุกคุณสมบัติ สามารถอยู่ในบรรจุภัณฑ์แบบซองสำหรับการบริโภคครั้งเดียว (sachet) ที่สามารถกำหนดกลยุทธ์ด้านราคาให้ผู้บริโภคเข้าถึงง่าย เป็นการช่วยดึงดูดผู้บริโภคหน้าใหม่เข้ามาทดลองตัวสินค้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะเดียวกันรูปแบบเม็ดและแคปซูลถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ง่ายต่อการบริโภค สะดวกในการจัดเก็บและการพกพา ก็ยังมีส่วนแบ่งเป็นลำดับที่สอง ในทางกลับกันอาหารเสริมแบบน้ำไม่ค่อยดีนักในประเทศไทย เนื่องจากมีอายุการเก็บรักษาที่จำกัดและยากต่อการบริโภคขณะอยู่นอกบ้านและมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8-%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99" alt="การเมืองกดดันเศรษฐกิจในประเทศ-หุ้นไทยปรับฐาน">การเมืองกดดันเศรษฐกิจในประเทศ-หุ้นไทยปรับฐาน</a>​ <hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Kantar เผยเทรนด์การสร้างภูมิคุ้มกันผ่านตลาดอาหารเสริม

โอกาสผลิตภัณฑ์สุขภาพของไทยในตลาดโลก

<h2 class="p2">เปลือกมังคุดที่เห็นอยู่เกลื่อนกลาด บวกความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นจุดประกายให้นักวิจัยหนุ่มเบื้องหลัง APCO ศึกษาวิจัยแยกสารที่ออกฤทธิ์ทางยากระทั่งผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางหลากชนิดด้วยฝีมือคนไทย สร้างรายได้ปีละหลายร้อยล้านบาท</h2>
ระหว่างทำงานเป็นอาจารย์และนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในปี 2521 ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ทราบจาก “เขียว พัฒนจรินทร์” ว่าเปลือกมังคุดช่วยสมานแผลได้ ประกอบกับช่วงที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างประเทศพบว่า ในมังคุดมีสารเคมีที่น่าสนใจหลายอย่าง
จึงร่วมกับ ศ.ดร.ภญ. เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร และ รศ.ดร.วิลาวัลย์ มหาบุษราคัม ศึกษาวิจัยว่า เปลือกมังคุดมีสารอะไรที่ทำให้มีฤทธิ์เป็นยา จนสามารถสกัดสารกลุ่ม Xanthones กว่า 40 ชนิด ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย


<figure><img class="wp-image-65417 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/IMG_4777-36-L-RE_.jpg" alt="" width="533" height="800" /><figcaption> ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา</figcaption></figure>

นักวิจัยตั้งชื่อสารชนิดนี้ว่า GM-1 และทดลองทำครีมทาแผลซึ่งได้ผลดี จึงทดลองต่อกระทั่งพบว่า มีประสิทธิภาพ 4 อย่างคือ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ต้านการอักเสบได้ 3 เท่าของแอสไพริน ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินอี และฆ่าเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้ ทว่าหากจะพัฒนาออกมาเป็นยาต้องใช้เวลานานนับ 10 ปี และมีค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงนำมาเป็นส่วนประกอบที่อยู่ในเครื่องสำอางแทน
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) (APCO) พลิกบทบาทจากนักวิจัยมาเป็นนักธุรกิจ โดยเริ่มลงทุนผลิตเครื่องสำอางที่รักษาสิวและประทินผิวจากมังคุดในชื่อแบรนด์ GARCINIA ปรากฏว่าเกือบไม่รอด เพราะเป็นสินค้าที่ “มาก่อนกาล” คนยังไม่คุ้นเคยกับเครื่องสำอางที่มาจากธรรมชาติ
ตัวที่มาช่วยกอบกู้สถานการณ์ทางการเงินคือ ผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนโดยใช้สารสกัดจาก “ส้มแขก” โดยร่วมกับบริษัทสัญชาติอเมริกันผลิตขึ้นในปี 2538 และนำบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ปี 2554 ก่อนย้ายเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2561
<img class="alignnone size-full wp-image-65415" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/BannerEng1.jpg" alt="" width="720" height="268" />
APCO ได้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสารสกัดมังคุดอย่างต่อเนื่อง โดยนำสารสกัด GM-1 มาเสริมฤทธิ์ร่วมกับงาดำ ถั่วเหลือง ฝรั่ง บัวบก ผลคือ ไม่เพียงลดการอักเสบแต่ยังช่วยปรับภูมิคุ้มกัน “ถ้าเม็ดเลือดขาวทำงานน้อยไป ภูมิคุ้มกันไม่มากพอ โอกาสติดเชื้อมีมากขึ้น โอกาสเกิดมะเร็งก็มีมากขึ้น เราจึงพัฒนาสูตรจากสารสกัดเหล่านี้ให้ทำงานกับเม็ดเลือดขาว มีสูตรต่างๆ ที่ปรับภูมิคุ้มกันให้สมดุล เกิดเป็นผลิตภัณฑ์มากมาย”
ต่อมาได้พัฒนาสูตรที่เพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดขาว โดยไปกระตุ้น killer T cell ซึ่งมีหน้าที่จัดการสิ่งแปลกปลอม จากรายงานประจำปี 2564 ระบุว่า บริษัทได้ยื่นขอจดสิทธิบัตร 2 รายการคือ ส่วนประกอบเพื่อควบคุมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน และส่วนผสมพฤกษเคมีและเทคนิคการปรับภูมิสมดุลเพื่อต่อต้านสิ่งแปลกปลอมและการแพ้ภูมิตนเอง โดยหัวข้อหลังอยู่ระหว่างดำเนินการจดสิทธิบัตรในสหรัฐฯ สิงคโปร์ และมาเลเซีย
ปี 2564 บริษัทพัฒนาสูตรใหม่ชื่อ “นวัตกรรมวัฒนชีวา” ด้วยการผสมผสานความรู้วิทยาศาสตร์ของ telomere เข้ากับวิทยาการภูมิคุ้มกันล่าสุดในศตวรรษที่ 21 จนได้สูตรที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความยาวของ telomere ส่งผลให้มีการชะลอวัยและอายุยืนขึ้น
“สิ่งที่เราทำทุกอย่างต้องมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ชัดเจน ใช้วิทยาการล่าสุด เน้นประสิทธิภาพและความปลอดภัย นี่คือสิ่งที่ทำมาตลอดเวลา”
<img class="alignnone size-full wp-image-65416" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/PRODUCT-2_.jpg" alt="" width="707" height="480" />
เป็นเวลากว่า 40 ปีที่ ศ.ดร.พิเชษฐ์ นักวิจัยเคมีอินทรีย์และฤทธิ์ชีวภาพของผลิตภัณฑ์ธรรมชาติได้ศึกษาสารสกัดและฤทธิ์ทางชีวภาพของพืชสมุนไพรกว่า 200 ชนิด และยังคงมุ่งมั่นกับการทำงานวิจัยเรื่องภูมิสมดุลอย่างต่อเนื่อง โดยใช้งบสำหรับวิจัยรวมๆ แล้วประมาณ 50-60 ล้านบาท
การระบาดของโควิดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายลดลง แต่ยังคงมีกำไรสม่ำเสมอ ส่วนตลาดต่างประเทศที่เคยส่งออกก็ขาดจังหวะไป เช่น ปีที่ผ่านมาพันธมิตรจากจีนซื้อเป็นสูตรสำเร็จรูปมูลค่า 20-30 ล้านโดยนำไปตอกเม็ดเอง และคาดว่าปี 2565 จะมีรายได้จากส่วนนี้หลักร้อยล้านบาท แต่เนื่องจากจีนล็อกดาวน์ประเทศทำให้ชะลอลงไป
บริษัทจึงใช้เวลาช่วงนี้พัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมรองรับสถานการณ์หลังโควิด ซึ่งมีสัญญาณว่ากิจการจะดีกว่าปีก่อน เพิ่มช่องทางการตลาดในประเทศ โดยเพิ่มสัดส่วนการจัดจำหน่ายผ่าน BIM Healt Center ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรงให้มากขึ้น ซึ่งสูตรที่ได้รับการตอบรับดีในปัจจุบันคือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งและ HIV
รวมทั้งตั้งบริษัทใหม่อีก 2 แห่งเพื่อรุกตลาดด้านภูมิคุ้มกันบำบัด ประกอบด้วย บริษัท KILLER T CELL กลุ่มเป้าหมายคือ ลูกค้าหรือสถานดูแลสุขภาพที่ใช้นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดหรือแพทย์ทางเลือก และบริษัท KILLER T CELL FOR PETS ดำาเนินธุรกิจนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น แมวและสุนัขที่ติดเชื้อรา แบคทีเรีย เอดส์ และไวรัส มีการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในประเทศแล้ว และคาดว่าปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าจะวางจำหน่ายที่ไต้หวันและสหรัฐฯ
เรื่อง: สินีพร มฤคพิทักษ์  ภาพ: APCO
อ่านเพิ่มเติม:
<ul id="crumbs">
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/america/rachel-drori-%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%81%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%87-daily-harvest.html">Rachel Drori จากอดีตผู้บริหารการตลาดหญิงแกร่งสู่ผู้ก่อตั้ง Daily Harvest มูลค่า 1.1 พันล้านเหรียญฯ</a></li>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/20-%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%94%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%97.html">20 มหาเศรษฐีสุดมั่งคั่งจากมรดกตกทอด</a></li>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/people/fabulous-40s-and-50s/%e0%b8%a8%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%94%e0%b8%b2-%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b9%81%e0%b8%aa%e0%b8%87%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%a1-%e0%b8%88%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%97%e0%b8%b1%e0%b8%9e%e0%b9%80%e0%b8%95.html">ศักดา ศรีแสงนาม จัดทัพเตรียมรับ 100 ปี Chin Huay</a></li>
</ul>

<hr />

<a href="https://bit.ly/3x7rNE6">คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2565 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<a href="https://bit.ly/3x7rNE6"><img class="alignnone wp-image-65278" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/FB109-EBOOK-RES150-1-780x1024.jpg" alt="" width="300" height="394" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events