<h2>สายการบินเวียตเจ็ท (เวียดนาม) MOU กับ Airbus ซื้อเครื่องบินลำตัวกว้าง A330neo จำนวน 20 ลำ พร้อมเลือกใช้เครื่องยนต์ Trent 7000 ของโรลส์-รอยซ์ขับเคลื่อน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สายการบินเวียตเจ็ท (เวียดนาม) บรรลุข้อตกลงสำคัญกับพันธมิตรชั้นนำในอุตสาหกรรมการบินและเทคโนโลยี ได้แก่ แอร์บัส (Airbus) โรลส์-รอยซ์ (Rolls-Royce) และ Pratt &amp; Whitney (บริษัทหลักในเครือ RTX) และ Safran ณ งาน Singapore Airshow 2024 เพื่อการพัฒนา เพิ่มขีดความสามารถ รวมถึงรองรับฝูงบินและการขยายเครือข่ายการบินเพื่อการเติบโตในอนาคต โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1.เวียตเจ็ทและแอร์บัสประกาศคำสั่งซื้อเครื่องบินลำตัวกว้าง A330neo จำนวน 20 ลำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เวียตเจ็ทลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับแอร์บัสเพื่อสั่งซื้อเครื่องบินลำตัวกว้างรุ่นแอร์บัส A330neo (A330-900) จำนวน 20 ลำ คำสั่งซื้อดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่สำคัญที่สุดในงาน Singapore Airshow 2024 นอกจากนี้ การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นคำสั่งซื้อเครื่องบินลำตัวกว้างที่ใหญ่ที่สุดของเวียตเจ็ท เน้นย้ำความมุ่งมั่นของสายการบินในการขยายเครือข่ายเส้นทางบินและปรับปรุงฝูงบินให้ทันสมัยอยู่เสมอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เวียตเจ็ทจะปฏิบัติการบินด้วยเครื่องบินแอร์บัส A330neo บนเครือข่ายเส้นทางบินระยะไกลและเส้นทางบินภายในภูมิภาคที่มีผู้โดยสารเดินทางจำนวนมาก นอกจากนื้ เครื่องบินดังกล่าวจะเข้ามาเสริมทัพฝูงบินของเวียตเจ็ทแทนที่เครื่องบินแอร์บัส A330-300 เพื่อรองรับการขยายเครือข่ายเส้นทางบินที่เพิ่มขึ้นในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เครื่องบินแอร์บัส A330neo ถูกออกแบบมาพร้อมกับประสิทธิภาพขั้นสูงซึ่งสอดรับกับกลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืนและสนับสนุนแนวคิดการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืน (ESG) ของเวียตเจ็ท ที่ตั้งเป้าลดการปล่อยมลพิษทางอากาศเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2593 ทั้งนี้ สายการบินหลายรายต่างตั้งตารอให้บริการเที่ยวบินระยะไกลด้วยเครื่องบิน A330neo ลำตัวกว้างซึ่งมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพื่อมอบบริการที่เป็นเลิศในราคาที่แข่งขันได้มากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับเครื่องบินแอร์บัส A330neo มีห้องโดยสาร Airspace ที่ได้รับรางวัล การันตีประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายด้วยพื้นที่กว้างยิ่งขึ้นและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและทันสมัย ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Trent 7000 ของโรลส์-รอยซ์​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/ufopjcRaGhNvHjtbhYiK.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ufopjcRaGhNvHjtbhYiK.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="900,539" style="" data-index="0"></figure></div> 2.เวียตเจ็ทเลือกใช้เครื่องยนต์ Trent 7000 ของโรลส์-รอยซ์ขับเคลื่อนเครื่องบินแอร์บัส A330neo จำนวน 20 ลำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เวียตเจ็ทและโรลส์-รอยซ์ประกาศข้อตกลงในการจัดหาเครื่องบินแอร์บัส A330neo ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Trent 7000 จำนวน 20 ลำ เข้าเสริมทัพฝูงบินลำตัวกว้างที่มีอยู่เดิมจำนวน 7 ลำ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องบิน A330ceo&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เครื่องยนต์ Trent 7000 ส่งเสริมความยั่งยืนด้วยการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ดีขึ้น 14% ต่อที่นั่ง พร้อมทั้งลดการปล่อยมลพิษทางอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะส่งผลให้สายการบินสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าหนึ่งแสนตันตลอดอายุการใช้งานของเครื่องบินแต่ละลำ สายการบินจึงสามารถขยายการปฏิบัติงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยการใช้เครื่องยนต์ Trent 7000 ขับเคลื่อนเครื่องบินแอร์บัส A330neo รุ่นใหม่ล่าสุดของเวียตเจ็ท เครื่องยนต์เหล่านี้จะเสริมให้ฝูงบินลำตัวกว้างของเวียตเจ็ทก้าวไปสู่จุดสูงสุดทางเทคโนโลยีใหม่ พร้อมปรับปรุงคุณภาพการบินอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงเพิ่มความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน 3.เวียตเจ็ทเลือกใช้ Pratt &amp; Whitney บริษัทหลักในเครือ RTX เพื่อขับเคลื่อนเครื่องบิน A321neo เพิ่มเติมอีก 19 ลำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เวียตเจ็ทเลือกใช้เครื่องยนต์พัดลมเทอร์โบ (GTF) จากบริษัท Pratt &amp; Whitney ขับเคลื่อนเครื่องบิน A321neo จำนวน 19 ลำ เพื่อการบํารุงรักษาเครื่องยนต์ผ่านข้อตกลงการบริการที่ครอบคลุมของ EngineWise ภายในพิธีลงนาม ณ งาน Singapore Airshow 2024 เน้นย้ำความสัมพันธ์อันดีระหว่างเวียตเจ็ทและ Pratt &amp; Whitney&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เวียตเจ็ทเชื่อมั่นในเทคโนโลยีของ Pratt &amp; Whitney เพื่อประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงและประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมในการขับเคลื่อนเครื่องบินด้วยเครื่องยนต์พัดลมเทอร์โบ (GTF) นอกจากนี้ เวียตเจ็ทมีเป้าหมายในการใช้เครื่องยนพัดลมเทอร์โบกับเครื่องบินจำนวนทั้งหมด 87 ลำ เพื่อรองรับจำนวนฝูงบินที่เพิ่มขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เครื่องยนต์พัดลมเทอร์โบของ Pratt &amp; Whitney จะส่งผลให้ให้เวียตเจ็ทสามารถลดอัตราเชื้อเพลิงสิ้นเปลืองและอัตราการปล่อยมลพิษสู่ปริมาณต่ำที่สุดในภูมิภาค 4.เวียตเจ็ทและ Safran ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัยบนเครื่องบินโบอิ้ง B737 MAX&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เวียตเจ็ท และ Safran AeroSystems ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการจัดหาอุปกรณ์ความปลอดภัยบนเครื่องบินโบอิ้ง B737 MAX ของเวียตเจ็ท เกณฑ์การคัดเลือกประกอบด้วยส่วนประกอบด้านความปลอดภัยที่จำเป็น อาทิ แพชูชีพ อุปกรณ์ช่วยหายใจ หน้ากากออกซิเจนสำหรับลูกเรือ และเสื้อชูชีพ รวมถึงบริการด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยการมุ่งเน้นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและความน่าเชื่อถือ Safran Aerosystems จึงถูกกำหนดให้ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการปฏิบัติงานทั้งหมดของเวียตเจ็ท ข้อเสนอของ Safran Aerosystems ได้รับเลือกเนื่องด้วยนวัตกรรมและความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศในการออกแบบอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ล้ำสมัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยฝูงบินกว่า 105 ลำ และจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เวียตเจ็ทกำลังขยายเครือข่ายเที่ยวบินสู่จุดหมายปลายทางต่างๆ ทั่วเวียดนาม ออสเตรเลีย อินเดีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย ไทย รวมถึงจุดหมายปลายทางข้ามทวีป สายการบินมุ่งมั่นมอบประสบการณ์การการเดินทางที่ดีที่สุดแก่ผู้โดยสารผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรด้านการบินและเทคโนโลยี เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/thai-airways-2023-profit-28-billion-baht" alt="การบินไทย ปี 66 กวาดกำไร 2.8 หมื่นล้าน หลังปรับโครงสร้างหนี้-ขายทรัพย์สิน">การบินไทย ปี 66 กวาดกำไร 2.8 หมื่นล้าน หลังปรับโครงสร้างหนี้-ขายทรัพย์สิน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เวียตเจ็ท’ MOU แอร์บัส สั่งซื้อเครื่องบิน A330neo 20 ลำ เครื่องลำตัวกว้าง เสริมเส้นทางบินระยะไกล

<h2>บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส (BA) ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,625.5 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้น 42.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 และมีกำไรสุทธิ 1,910.4 ล้านบาท เติบโต 582.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 มีจำนวนผู้โดยสารที่ขนส่งรวมทั้งสิ้น 0.97 ล้านคน เพิ่มขึ้น 21.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของจากปี 2565</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากทิศทางภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในไทยที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2565 พร้อมด้วยปัจจัยการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และอุปสงค์การท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยที่ขยายตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยบริษัทฯ ยังคงเน้นการให้บริการเส้นทางบินที่รองรับผู้โดยสารจากต่างประเทศที่เดินทางมาด้วยสายการบินพันธมิตรเป็นหลัก เช่น กรุงเทพ-สมุย กรุงเทพ-ภูเก็ต และกรุงเทพ-เชียงใหม่ ส่งผลให้ช่วงไตรมาสที่ 3/2566 บริษัทฯ มีการขนส่งผู้โดยสารที่จำนวนทั้งสิ้นเกือบ 1 ล้านคน เพิ่มขึ้น 21.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2565 และคิดเป็นสัดส่วน 70.4 % ของจำนวนผู้โดยสารก่อนการแพร่ระบาดโควิด -19&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ ได้ให้บริการผู้โดยสารทั้งสิ้นกว่า 3 ล้านคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พุฒิพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 3,456.6 ล้านบาท เป็นกำไรจาการดำเนินงาน 3,183.6 ล้านบาท ปรับปรุงดีขึ้น 367.2% จากรายได้บัตรโดยสารของธุรกิจสนามบิน และรายได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจสนามบินเป็นหลัก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/mA9Kvv4WGhBKGtKtWRdg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="mA9Kvv4WGhBKGtKtWRdg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> ​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนค่าใช้จ่ายปรับสูงขึ้น 34.3% ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้น คือ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง และค่าซ่อมบำรุงอากาศยาน
 โอกาสทางธุรกิจที่สำคัญจากรายงานการเปลี่ยนแปลงช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้กลับมาให้การบินในส้นทาง กรุงเทพ-มัลดีฟส์ และสมุย-ฮ่องกง และเปิดให้บริการเส้นทางบินใหม่ในเส้นทาง ลำปาง-แม่ฮ่องสอน เดือนสิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และได้เข้าร่วมทำสัญญาความตกลงเที่ยวบินร่วม (Code Share Agreement) กับสายการบินพันธมิตรเพิ่มเติมจำนวน 1 สายการบิน ได้แก่ สายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ ทำให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีสายการบินที่เข้าทำความตกลงเที่ยวบินร่วมรวมทั้งสิ้น 28 สายการบิน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และได้ประกาศข้อตกลงร่วม (Interline Agreement) กับสายการบินแอร์อินเดีย ด้านการขนส่งผู้โดยสาร กระเป๋าสัมภาระ และบัตรโดยสาร ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารในการเดินทางผ่านเที่ยวบินของแอร์อินเดียไปกรุงเทพฯ ฮ่องกง สิงคโปร์ และเชื่อมต่อไปยัง 10 จุดหมายปลายทางยอดนิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านเที่ยวบินของบางกอกแอร์เวย์ส ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง สุโขทัย ตราด เกาะสมุย กระบี่ ลาว (หลวงพระบาง) และกัมพูชา (พนมเปญ เสียมเรียบ) เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.forbesthailand.com/travel/news/thai-airways-9-m-2023-revenue" alt="การบินไทย 9 เดือนปีนี้ กำไรหมื่นล้าน รายได้ 1.15 แสนล้าน">การบินไทย 9 เดือนปีนี้ กำไรหมื่นล้าน รายได้ 1.15 แสนล้าน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“บางกอกแอร์เวย์ส” Q3/66 กำไร 1.9 พันล้าน 9 เดือนแรกผู้โดยสารกว่า 3 ล้านคน

<h2>"การบินไทย" พลิกกำไรแล้ว 9 เดือนแรกปี 2566 กำไรหมื่นล้าน รายได้ทะยาน 1.15 แสนล้านบาท หลังขนส่งผู้โดยสารเพิ่มขึ้น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2566 และงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ โดยงบการเงินรวมสำหรับไตรมาส 3 ปี 2566 ประกอบด้วย งบการเงินเฉพาะกิจการ และงบการเงินของบริษัทย่อย 5 บริษัท ได้แก่ 1) บริษัท ไทย-อะมาดอสเซาท์อีสต์เอเชีย จำกัด 2) บริษัท วิงสแปน เซอร์วิสเซส จำกัด 3) บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด 4) บริษัท ไทยไฟลท์เทรนนิ่ง จำกัด และ 5) บริษัท ทัวร์เอื้องหลวง จำกัด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในไตรมาส 3 ปี 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) จำนวน 37,008 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,148 ล้านบาท (12.6%) กำไรสุทธิ 1,546 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดของรายได้ ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-รายได้จากค่าโดยสารและค่าน้ำหนักส่วนเกิน 30,921 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,458 ล้านบาท (26.4%) สาเหตุหลักเกิดจากปริมาณการขนส่งผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 22.0% คิดเป็นเงินประมาณ 5,300 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะที่มีปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสารเพิ่มขึ้น อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 77.3% สูงกว่าปกติซึ่งเฉลี่ย 77.0%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วย (รวมค่าธรรมเนีมชดเชยค่าน้ำมันและค่าเบี้ยประกันภัย) เพิ่มขึ้น 0.10 บาท (3.5%) หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-รายได้จากการขนส่งสินค้าและไปรษณียภัณฑ์ จำนวน 3,461 ล้านบาท ลดลง 2,966 ล้านบาท (46.1%) เป็นผลจากมีรายได้จากพัสดุภัณฑ์เฉลี่ยต่อหน่วย (รวมค่าธรรมเนียมชดเชยค่าน้ำมันและค่าประกันภัย) เท่ากับ 8.95 บาท ลดลง 8.98 บาท (50.1%) หรือประมาณ 3,400 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมีอัตราส่วนการขนส่งพัสดุภัณฑ์ (Freight Load Factor) เฉลี่ย 52.7% ต่ำกว่าปีก่อนที่เฉลี่ย 59.1% ถึงแม้ว่าจะมีปริมาณการขนส่งพัสดุภัณฑ์ (Revenue Freight TonKilometers : RFTK) เพิ่มขึ้น 7.1% คิดเป็นเงินประมาณ 400 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-รายได้จากกิจการอื่น ประกอบด้วย รายได้จากหน่วยธุรกิจ ได้แก่ การบริการภาคพื้น ครัวการบิน การบริการคลังสินค้า และรายได้จากกิจการสับสนุนอื่นๆ รวมจำนวน 2,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 232 ล้านบาท (12.5%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยหน่วยธุรกิจการบริการภาคพื้นและครัวการบินมีรายได้เพิ่มขึ้นจากจำนวนผู้โดยสารของสายการบินลูกค้าเพิ่มขึ้น ในขณะที่รายได้จากธุรกิจคลังสินค้า และการให้บริการซ่อมบำรุงอากาศยาน มีรายได้ลดลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-รายได้อื่นสูงกว่าปีก่อน 424 ล้านบาท เนื่องจากดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้น จากเงินสดที่เพิ่มขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) จำนวน 29,330 ล้านบาท กำไรสูงกว่าปีก่อน 29,878 ล้านบาท รายได้รวมจำนวน 115,897 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50,330 ล้านบาท (76.8%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สาเหตุหลักเกิดจากรายได้จากการขนส่งเพิ่มขึ้น 48,291 ล้านบาท (80.0%) โดยมีรายได้จากค่าโดยสารและน้ำหนักส่วนเกินเพิ่มขึ้น 129.2% จากปริมาณการขนส่งผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น และรายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วย (รวมค่าธรรมเนียมชดเชยค่าน้ำมันและค่าเบี้ยประกันภัย) สูงกว่าปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะที่รายได้จากค่าระวางขนส่งและไปรษณียภัณฑ์ลดลง 35.5% จากรายได้พัสดุภัณฑ์เฉลี่ยต่อหน่วยลดลง 44.1% ถึงแม้ว่าปริมาณการขนส่งพัสดุภัณฑ์ (RFTK) สูงขึ้น 14.6% ก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้รายได้จากกิจการอื่นเพิ่มขึ้น 24.6% สาเหตุหลักเกิดจากจำนวนเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสารของสายการบินลูกค้าเพิ่มขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ค่าใช้จ่ายรวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจำนวน 86,567 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20,452 ล้านบาท (30.9%) สาเหตุหลักเกิดจากค่าน้ำมันเครื่องบินที่เพิ่มขึ้น 8,227 ล้านบาท (31.6%) เป็นผลมาจากจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีปริมาณการใช้น้ำมันสูงกว่าปีก่อน ในขณะที่ราคาน้ำมันเฉลี่ยต่ำกว่าปีก่อน 21.0%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประกอบกับค่าใช้จ่ายดำเนินงานในส่วนที่ผันแปรตามปริมาณการผลิต/การขนส่งเพิ่มขึ้นตามปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายคงที่เพิ่มขึ้น 22.5% โดยส่วนหนึ่งจากค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้น 19.3% และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น 50.9%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว ส่วนใหญ่เกิดจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เงินตราต่างประเทศ การปรับปรุงค่าเช่าพื้นที่สำนักงานดอนเมือง และผลขาดทุนจากการด้อยค่าซึ่งเป็นไปตาม TFRS 9 ถึงแม้ว่าจะมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ และกำไรจากการขายสินทรัพย์ก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยในงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว-สุทธิ เป็นค่าใช้จ่ายรวม 2,390 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 16,342 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 27,579 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 16,314 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 7.47 บาท สูงกว่าปีก่อน 12.63 บาทต่อหุ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขค่าเช่าเครื่องบิน รวมค่าเช่าเครื่องบินคำนวณจากการใช้งานที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hour) 9 เดือนแรกของปี 2566 มีกำไรจำนวน 31,720 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24,958 ล้านบาท เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/thailand-post-covid-medical-tourism" alt="โอกาสของไทยในการเป็นผู้นำ Medical Tourism ยุคหลังโควิด">โอกาสของไทยในการเป็นผู้นำ Medical Tourism ยุคหลังโควิด</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

การบินไทย 9 เดือนปีนี้ กำไรหมื่นล้าน รายได้ 1.15 แสนล้าน

<h2>สายการบิน Really Cool Airlines พร้อมเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบในเส้นทางบินระหว่างประเทศ โดย พาที สารสิน ด้วยพันธกิจการปฏิวัติอุตสาหกรรมการบิน การท่องเที่ยว และระบบการเดินทางขนส่งครบวงจรผ่านบริการที่มีนวัตกรรมและโดดเด่น พร้อมกำหนดมาตรฐานใหม่ในภาคการบินของภูมิภาค เพื่อเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย </h2> <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/6JTuHq34XbJqh5B4bcgM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="6JTuHq34XbJqh5B4bcgM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พาที สารสิน&nbsp;ซีอีโอและผู้ก่อตั้งสายการบิน Really Cool Airlines ประกาศเปิดตัวสายการบินใหม่ Really Cool Airlines ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการบินและการบริการของประเทศไทย โดยให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลกและความเป็นเลิศในการให้บริการ เพื่อสร้างการเติบโตให้เป็นสายการบินที่ทีมงาน ลูกค้า หุ้นส่วนธุรกิจและคู่ค้ามีความภาคภูมิใจ รวมถึงสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการ ภายใต้สโลแกน We Fly the Future&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เรารู้สึกตื่นเต้นและเตรียมพร้อมที่จะแนะนำ Really Cool Airlines เพื่อมอบประสบการณ์การบินสุดพิเศษให้กับผู้โดยสาร ด้วยทีมของเราที่ทำงานกันอย่างมุ่งมั่น เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับอุตสาหกรรมการบิน เราจึงรู้สึกจดจ่อมากที่จะได้เปิดตัวสิ่งที่เราเตรียมเอาไว้ให้ทุกคนได้สัมผัส ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่สายการบิน Really Cool Airlines วางแผนประกาศรุ่นของเครื่องบิน จุดหมายปลายทาง และเครือข่ายเส้นทางในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเริ่มทำการบินได้ภายในสิ้นปี 2566 และจะมีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางรวมถึงบริการที่จะทำให้ “Really Cool Airlines” แตกต่างจากสายการบินอื่นทั่วโลกในเร็วๆ นี้ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/4fvj4rApRGMxr62bDojH.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4fvj4rApRGMxr62bDojH.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ที่จำนวน 2.14 ล้านคนในเดือนมกราคม 2566 ซึ่งถือว่าลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า แต่ก็ยังมีแรงหนุนจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน หลังจากมีการยกเลิกข้อจำกัดที่ว่าด้วยโรคโควิด-19&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนั้น ททท. ได้วางเป้าหมายในในเชิงบวกว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทย 30 ล้านคนในปี 2566 หรือประมาณ 80% ของจำนวนนักท่องเที่ยว 39 ล้านคนที่บันทึกไว้ในปี 2562 โดยการเปิดสายการบิน Really Cool Airlines ถือว่าสอดคล้องกับทาง ททท. ซึ่งเคยกล่าวถึงความจำเป็นของประเทศไทยที่ควรเพิ่มจำนวนสายการบินและเที่ยวบินให้บริการไปยังสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของไทยมากขึ้น <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/hznEsqZD7YHC9nu67jc8.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="hznEsqZD7YHC9nu67jc8.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เรายินดีที่จะมีสายการบินใหม่ Really Cool Airlines มาเข้าร่วมอยู่ในอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย และเราภูมิใจที่ได้สนับสนุนความมุ่งมั่นของทีมงานในการมอบประสบการณ์การบินที่ประทับใจ และไม่ใช่แค่ช่วยยกระดับประสบการณ์การเดินทางสำหรับผู้โดยสารเท่านั้น แต่ยังมีส่วนทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการของประเทศไทยฟื้นตัวขึ้นอีกด้วย เรารู้สึกยินดีที่จะได้เห็นอนาคตของสายการบิน Really Cool Airlines และตื่นเต้นที่จะได้สัมผัสเที่ยวบินปฐมฤกษ์ของพวกเขา" ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวเสริมขณะเดินทางร่วมเปิดงานอ่านเพิ่มเติม:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/people/cover-story/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%90%E0%B9%8C-%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%8C-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%87-thai-airasia-%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%95" alt="ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประคอง Thai AirAsia ยืนหยัดสู้วิกฤต">ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประคอง Thai AirAsia ยืนหยัดสู้วิกฤต</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เตรียมต้อนรับสายการบินน้องใหม่ Really Cool Airlines

<h2>หลังจากเหตุการณ์นักบินประท้วงหยุดงานและดำเนินการเจรจาต่อรองกันมานาน ล่าสุดสายการบิน Delta Airlines ในสหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติทำสัญญาแรงงานฉบับใหม่ขึ้นเงินเดือนให้พนักงานแล้ว 34% ในกรอบระยะเวลา 4 ปี&nbsp;</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เหล่านักบินของสายการบิน Delta Airlines ต่างเห็นชอบกับการจัดทำสัญญาการจ้างงานฉบับใหม่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ที่มีการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างเพิ่ม 34% ในตลอดระยะเวลา 4 ปี&nbsp;&nbsp; &nbsp; The Airline Pilots Association (ALPA) หรือ สมาคมนักบินสายการบินนานาชาติ ซึ่งถือเป็นสหภาพของนักบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากการรวมตัวกันของ 35 สายการบินในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาได้มีมติการลงคะแนนเสียงอนุมัติให้จัดทำสัญญาฉบับใหม่ ซึ่งรวมถึงการปรับเพิ่มวงเงินสำหรับสิทธิประโยชน์ที่นักบินจะได้รับรวมมูลค่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปจนถึงเดือนธันวาคม ปี 2026&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย 78% ของนักบินสายการบิน Delta จากทั้งหมดที่มี 15,000 คน จะได้รับประโยชน์จากสัญญาฉบับใหม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลการรายงานของ Forbes เกี่ยวกับรายละเอียดในสัญญาฉบับดังกล่าวระบุว่า ทาง Delta จะเริ่มปรับขึ้นเงินเดือนให้แก่นักบินทันทีในปี 2023 นี้ 18% หลังจากนั้นจะปรับเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 5% ในปี 2024 และจะเพิ่มขึ้นอีกปีละ 4% ในปี 2025 และ 2026 ตามลำดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดให้จ่ายเงินเพิ่มเติมหากนักบินของสายการบิน American Airlines และ United Airlines มีอัตราเงินเดือนที่สูงกว่าของ Delta และยังรวมถึงรายละเอียดอื่นๆ ที่จะมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติม อาทิ ปรับระยะเวลาการลาพักร้อนให้เพิ่มขึ้น เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับสาเหตุหลักของสถานการณ์ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นกับสายการบิน Delta ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการขาดแคลนนักบินและการทำงานหนักเกินเวลาโดยไม่มีการปรับเปลี่ยนสิทธิประโยชน์ในสัญญาการทำงานใหม่นานถึง 3 ปี โดยในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของปี 2022 เหล่านักบินของ Delta ยังได้ทำการประท้วงตามสนามบินหลักต่างๆ&nbsp;<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/a8NeaBTAQhdposA1focb.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="a8NeaBTAQhdposA1focb.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกทั้งในเดือนตุลาคมที่ผ่านมากลุ่มสมาชิกของสหภาพสายการบินราว 99% ยังเตรียมพร้อมที่จะประท้วงด้วยการนัดกันหยุดงานอีกด้วย ซึ่งแนวทางการจัดทำสัญญาฉบับใหม่ของ Delta ในครั้งนี้ ยังเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงการยกระดับสิทธิประโยชน์ที่เหล่านักบินพึงจะได้รับท่ามกลางสถานการณ์นักบินขาดแคลนไปทั่วทั้งอุตสาหกรรม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และยังเป็นผลให้นักบินของสายการบิน American Airlines และ United Airlines ที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาปรับขึ้นเงินเดือนคาดหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกันแบบ Delta&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Darren Hartmann ในฐานะประธานสภาบริหารหลักเดลต้า (MEC) และกัปตันของสายการบินกล่าวว่า "สัญญาฉบับนี้ถือเป็นตัวนำร่องให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่ออุตสาหกรรมการบินและยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและความสามัคคีของเหล่านักบิน Delta และถึงแม้การเจรจาจะล่าช้าไป 2 ปีเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 แต่เราก็ไม่เคยมองข้ามเป้าหมายที่สำคัญเพื่อให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในสัญญาข้อตกลง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ แถลงการณ์ของ Delta มีการชี้แจงด้วยว่า พนักงานในส่วนภาคพื้นดินและส่วนอื่นๆ จะเริ่มได้รับการปรับเพิ่มขึ้นเงินเดือนนับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2023 นี้เป็นต้นไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"ผมต้องขอขอบคุณทั้งทีมเจรจาและคณะกรรมการไกล่เกลี่ยแห่งชาติสําหรับความพยายามของพวกเขาในการบรรลุข้อตกลงในครั้งนี้ที่ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมของนักบินของเราที่มีต่อ Delta" John Laughter หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของ Delta กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"นับตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้นในการเจรจาเราตั้งใจที่จะส่งมอบสัญญาให้กับนักบินที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมซึ่งทําให้เราเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ สําหรับอาชีพการบินของสหรัฐอเมริกาและสัญญานี้เป็นภาพสะท้อนของความมุ่งมั่นที่แน่วแน่"<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/mn5nMy3RDPcW1UgWZTMP.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="mn5nMy3RDPcW1UgWZTMP.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​&nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม การเจรจาพร้อมจัดทำสัญญาที่บรรลุข้อตกลงได้สร้างความพึงพอใจให้แก่เหล่านักบินของสายการบิน Delta แต่ทว่าในส่วนของผู้บริโภค Jamie Baker ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์ของ J.P. Morgan บริษัทชั้นนำระดับโลกที่ให้บริการด้านการเงิน ได้แสดงความเห็นผ่านบทความต่อนักลงทุนในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาว่า ราคาค่าแรงที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจะกระทบต่อราคาตั๋วเครื่องบินที่สูงขึ้นตามไปด้วยอย่างแน่นอน และจะส่งผลกระทบให้สายการบินอื่นๆ อาทิ American Airlines, Southwest Airlines และ United Airlines เรียกร้องให้มีการปรับขึ้นเงินเดือนตามไปด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพลังงานเชื้อเพลิงรวมทั้งการจัดทำสัญญาแรงงานฉบับใหม่ย่อมมีผลกระทบต่อผู้บริโภคในรูปแบบของค่าโดยสารที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ทั้งนี้ด้วยภาพรวมเศรษฐกิจที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น 15% ก็น่าจะทำให้มั่นใจได้ว่าตลาดของธุรกิจของสายการบินจะไม่กระทบแต่อย่างใดและยังสามารถบริหารจัดการกับต้นทุนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นได้” Baker กล่าวเพิ่มเติมผ่านบทความ แปลและเรียบเรียงโดย กนกวรรณ มณีแสงสาคร จากบทความ&nbsp;Delta Pilots Ratify Contract With Massive 34% Salary Hike ซึ่งเผยแพร่บน forbes.com อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/world/asia/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-50-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B5%E0%B8%AE%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2023-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87" alt="การจัดอันดับ 50 อันดับมหาเศรษฐีฮ่องกงประจำปี 2023: ความมั่งคั่งขยับลงท่ามกลางความหวัง">การจัดอันดับ 50 อันดับมหาเศรษฐีฮ่องกงประจำปี 2023: ความมั่งคั่งขยับลงท่ามกลางความหวัง</a>​<hr class="__se__solid">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine?mibextid=LQQJ4d" alt="Forbes Thailand Magazine">Forbes Thailand Magazine</a>​

สายการบิน Delta Airlines อนุมัติขึ้นเงินเดือนพนักงาน 34%

JG Summit บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งฟิลิปปินส์ ทะยานฝ่าวิกฤตโควิด-19

<h2>CommonPass หนึ่งในโครงการระหว่าง The World Economic Forum และ The Commons Project Foundation เปิดตัวการใช้งาน QR-CODE ในการตรวจเช็คนักเดินทางถึงสถานะการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าและเป็นตัวช่วยในการนับหนึ่งใหม่การท่องเที่ยวทั่วโลก</h2>
จากจำนวนตัวเลขที่ลดลงของการเดินทางท่องเที่ยวทางเครื่องบินเนื่องจากการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 บรรดาผู้บริหารสายการบินต่างได้พยายามหาทางให้ผู้โดยสารเดินทางอย่างปลอดภัยและให้ความรู้ข้อมูลสนับสนุนให้กับผู้โดยสารสายการบินกลับมาใช้การเดินทางทางอากาศ ธุรกิจสายการบินอย่าง Emirates, Etihad และ United Airlines ต่างมีความพร้อมและเริ่มทดสอบโปรแกรมการบินที่สนามบินต่างๆ และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ CommonPass สายการบินได้เริ่มต้นทดสอบในอาทิตย์นี้เพื่อขยายเส้นทางในทั่วโลก

โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือของ The World Economic Forum และ The Commons Project Foundation องค์กรไม่หวังผลกำไรจากสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงความร่วมมือจากตัวแทน 37 ประเทศใน 6 ทวีป ได้เปิดตัวการยืนยันสถานะแห่งโรคโควิดในรูปแบบดิจิทัล ที่เรียกว่า “CommonPass” และเริ่มต้นทำการทดสอบในหลายประเทศ เพื่อเรียกแสดงสถานะเฉพาะโรคโควิด-19 ของผู้โดยสารแต่ละรายเท่านั้นไม่แสดงข้อมูลสุขภาพในด้านอื่นๆ

<img class="alignnone wp-image-35590" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/CommonPass-02.jpg" alt="CommonPass" width="600" height="362" />

ด้านสายการบิน Cathay Pacific ได้เริ่มดำเนินการทดสอบการใช้งานในเส้นทางการบินระหว่างสนามบินนานาชาติฮ่องกง กับ สนามบินนานาชาติ Changi ประเทศสิงคโปร์ โดยใช้ชุดทดสอบเร่งด่วนจากเทคโนโลยี Prenetics บริษัทด้านไบโอเทคโนโลยีระดับโลกที่ในเอเชียเป็นที่รู้จักในชื่อแบรนด์ CircleDNA

ด้าน สายการบิน United Airlines ถือเป็นสายบินแรกของสหรัฐฯ ในการใช้CommonPass ระหว่างสนามบิน Heathrow และ สนามบินนานาชาติ Newark Liberty รัฐ New Jersey สหรัฐฯ และเตรียมทดสอบเพิ่มเติมในสายการบินอื่นในเส้นทางการบินไปยังทวีปเอเชีย แอฟริกา อเมริกา ยุโรป และ ตะวันออกกลาง

<img class="alignnone wp-image-35588 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/CommonPass.jpg" alt="CommonPass" width="600" height="300" />

“การเดินทางและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศต่างปิดตัวระหว่างช่วงโควิด-19” Diane Sabatino Deputy Executive Director, Office of Field Operations, U.S. Customs and Border Protection หรือ CBP กล่าวและเสริมว่า "CBP ต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาเพื่อสสร้างความมั่นใจในการเดินทางสายการบิน และเรายินดีที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมการบินและพันธมิตร"

สำหรับการใช้งาน CommonPass นักเดินทางสามารถนำผลทดสอบโควิด-19 จากห้องวิจัยที่ได้รับการรับรอง อัพโหลดลงในสมาร์ทโฟน พร้อมกับส่งผลรับรองดังกล่าวและตอบคำถามด้านสุขภาพเพิ่มเติม โดยเป็นคำถามที่จำเป็นสำหรับประเทศปลายทาง โดยCommonPass จะเชื่อมคำตอบของผู้เดินทางกับหน่วยที่ดูแลการเข้าประเทศปลายทางนั้นๆ และสร้าง คิวอาร์ โค้ด เพื่อนำไปใช้สแกนต่อพนักงานของสายการบินและเจ้าหน้าที่สนามบินซึ่ง "คิวอาร์ โค้ด" ดังกล่าวสามารถสแกนเพื่อแสดงสถานะของการติดโรคโควิด-19 และยังสามารถสแกนเพื่อสั่งพิมพ์โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับโทรศัพท์

เรียบเรียงจาก บทความ This COVID-19 Passport Could Help Restart International Travel ซึ่งเผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/travel/%e0%b8%88%e0%b8%b8%e0%b8%ac%e0%b8%b2-%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a2%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%99-%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%a2%e0%b9%88.html">จุฬา-สามย่าน ติดอันดับย่านสุดคูลทั่วโลก</a>

<article id="post-34018" class="post-34018 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-marketing category-news tag-891 tag-11994 tag-11992 tag-1970 tag-11993">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail">
<div>

<hr />

ไม่พลาดบทความด้านกลยุทธ์องค์กรและธุรกิจ ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine </a>
และ <a href="https://twitter.com/Forbes_TH">ทวิตเตอร์ Forbes Thailand</a>

</div>
</div>
</article>&nbsp;

&nbsp;

&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events