<h2>SJWD ปักหมุดทำเลยุทธศาสตร์การขนส่ง รุกขยาย "คลัสเตอร์โลจิสติกส์บางนา" ย่าน กม.19-23 รับดีมานด์แข็งแกร่ง ดีเดย์พร้อมเปิดบริการคลังสินค้าทั่วไปแห่งใหม่ พื้นที่ 1.8 หมื่น ตร.ม. โชว์ยอดจองพื้นที่เต็ม </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ เห็นถึงศักยภาพทำเลบางนา ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของการให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ที่มีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะย่านบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 19-23 ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่อุตสาหกรรมเหมาะแก่การก่อสร้างโครงการคลังสินค้าและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโลจิสติกส์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ จึงเข้ามาพัฒนาพื้นที่ในโซนดังกล่าวให้เป็น "คลัสเตอร์โลจิสติกส์บางนา" ที่มีทั้งโครงการคลังสินค้าห้องเย็นแบบ Multiple Temperature คลังสินค้าทั่วไป พื้นที่รับฝากและบริหารยานยนต์ และบริการขนส่งสินค้า โดยล่าสุดได้เปิดให้บริการ<a href="https://www.scgjwd.com/th/services/logistic-and-supply-chain/b2b-integrated-logistics/1696928841?utm_source=press+release&amp;utm_medium=press&amp;utm_campaign=Alpha_Dec_2023">คลังสินค้าทั่วไป</a>แห่งใหม่อีก 1 โครงการ ซึ่งพัฒนาภายใต้บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด ที่เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ และบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีพื้นที่ให้เช่า 18,000 ตารางเมตร ปัจจุบันมียอดจองพื้นที่ล่วงหน้าเต็ม 100% คาดว่าจะสร้างรายได้ต่อปีกว่า 50 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“โครงการคลังสินค้าทั่วไปแห่งใหม่จะเป็นฮับการขนส่งและจัดเก็บสินค้าได้หลากหลายรวมทั้งชิ้นส่วนอะไหล่ แก่อุตสาหกรรมยานยนต์และยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV Car) ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย โดยผสานการให้บริการกับธุรกิจในเครือ SJWD ที่มีบริการพิธีการศุลกากร (Customs Clearance) สำหรับสินค้าที่ผ่านเข้า-ออกทางท่าเรือแหลมฉบัง&nbsp; รวมถึงให้บริการแก่อุตสาหกรรมอื่น ๆ โดยเราได้ขยายการลงทุนในย่านบางมาอย่างต่อเนื่องและถือว่าเป็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนชั้นนำในย่านนี้ สามารถให้บริการที่หลากหลายและครบวงจรแก่ลูกค้า” นายชวนินทร์ กล่าว&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/12/AkyAAoMSHesASSAaeD84.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="AkyAAoMSHesASSAaeD84.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SJWD กล่าวต่อว่า หลังจากเปิดดำเนินการโครงการคลังสินค้าทั่วไปแห่งใหม่จะเพิ่มศักยภาพการให้บริการแก่ลูกค้า และส่งผลให้บริษัทฯ มีโครงการที่พัฒนาแล้วในพื้นที่ “คลัสเตอร์โลจิสติกส์บางนา” ย่าน กม.19-23 รวม 8 โครงการ (รวมคลังสินค้าทั่วไปแห่งใหม่) มีพื้นที่ให้บริการรวมทั้งหมดประมาณ 140,000 ตารางเมตร สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าจากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อาหาร, ยานยนต์และชิ้นส่วน, สินค้าอุตสาหกรรม, เฮลท์แคร์ เป็นต้น โดย ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยทุกโครงการถึง 88% คาดว่าจะสร้างรายได้ต่อปีไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ คลัสเตอร์โลจิสติกส์ดังกล่าว ประกอบด้วย 1. คลังสินค้าห้องเย็น 3 โครงการในย่านบางนา กม.22 และ กม.19 จุดเด่นคือเป็นคลังสินค้าห้องเย็นแบบ Multiple Temperature สามารถควบคุมอุณหภูมิได้หลายระดับในพื้นที่อาคารหลังเดียว ตั้งแต่ 20-25 องศาเซลเซียส 0 ถึง -10 องศาเซลเซียส และ -18 ถึง -25 องศาเซลเซียส โดยโครงการย่านบางนา กม.22 เปิดบริการเดือนกรกฎาคม 2566 ใช้ระบบโรโบติกส์ (ASRS) สามารถจัดเก็บและค้นหาสินค้าได้อย่างแม่นยำและลดการใช้พลังงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย 53% และเตรียมขยายขอบเขตการให้บริการแก่สินค้าเฮลท์แคร์ที่ได้รับรองมาตรฐาน GMP และ ISO 13485 เป็นแห่งแรกของบริษัทฯ 2. คลังสินค้าทั่วไป 2 โครงการ ให้บริการจัดเก็บสินค้าประเภทชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ อุตสาหกรรมค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ 3. พื้นที่รับฝากชิ้นส่วนอะไหล่และบริหารยานยนต์ และให้บริการขนส่งสินค้าและกระจายสินค้าแก่ผู้ประกอบการชั้นนำในอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าจากจีนที่กำลังเติบโต และผู้ประกอบการยานยนต์จากยุโรปและญี่ปุ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การพัฒนาคลัสเตอร์โลจิสติกส์บางนา ย่าน กม.19-23 สอดคล้องกับทิศทางของบริษัทฯ หลังรวมกิจการระหว่าง JWD และ SCGL ที่มุ่งเน้นการผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจในเครือเพื่อใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และใช้กลยุทธ์ Cross Sale และ Up Sale&nbsp; นำเสนอบริการอื่น ๆ แก่ลูกค้าเพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น” ชวนินทร์ กล่าวทิ้งท้าย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/12/9NGpr3k4WsPsakz7R9KM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="9NGpr3k4WsPsakz7R9KM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/scb-appoints-tanapot-parksuwan-chief-wholesale-banking-officer" alt="ไทยพาณิชย์แต่งตั้ง &quot;ธนพจน์ ภาคสุวรรณ&quot; เป็นแม่ทัพขับเคลื่อนกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่">ไทยพาณิชย์แต่งตั้ง "ธนพจน์ ภาคสุวรรณ" เป็นแม่ทัพขับเคลื่อนกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

SJWD รุกขยาย "คลัสเตอร์โลจิสติกส์บางนา" ปักหมุดทำเลยุทธศาสตร์รับดีมานด์แข็งแกร่ง

การประชุม COP27 ที่เมือง Sharm El Sheikh เมื่อเร็วๆ นี้ได้ส่งสัญญาณให้เห็นว่า ชีวิตของเรากำลังจะเปลี่ยนแปลงไปจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก โดยเอกสาร Breakthrough Agenda ระบุว่า จะมีโครงการความร่วมมือใหม่ๆ อีก 25 โครงการที่ต้องนำาเสนอความก้าวหน้าตามแผนในการประชุม COP28 เพื่อเร่งการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใน 5 อุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ พลังงานการขนส่งทางถนน เหล็ก ไฮโดรเจน และการเกษตร รวมทั้งในที่ประชุมยังมุ่งหาวิธีการจัดการรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเชิงเพลิงเป็นหลัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่ม First Movers Coalition เพื่อขับเคลื่อนกระบวนการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมได้ร่วมลงทุนเป็นเงินกว่า 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเทคโนโลยีไร้คาร์บอน เพื่อลดปริมาณคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมหนักและภาคการขนส่งทางไกล ซึ่งทั้งสองอุตสาหกรรมปล่อยคาร์บอนกว่า 30% ของการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยเหตุนี้จึงแทบไม่มีข้อสงสัยเลยว่าในโลกใบใหม่ของความเป็นกลางทางคาร์บอน บทบาทของการขนส่งทางรางจะทวีความสำคัญมากขึ้นในการเคลื่อนย้ายผู้คนและสินค้า ดังที่ Henri Poupart Lafarge ซีอีโอบริษัท Alstom ได้ชี้ให้เห็นในพอดแคสต์ของ InnoTrans ว่า รถไฟจะกลายเป็นแกนหลักของระบบขนส่งโลกโดยได้รับการสนับสนุนจากนวัตกรรมโซลูชันที่ครอบคลุมจนถึงการขนส่งขั้นสุดท้าย (last-mile solution) อุดมคติของการเดินทางโดยรถไฟ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้บริหาร Alstom ได้แสดงมุมมองไว้ว่า การขนส่งทางรางจะกลายเป็นประสบการณ์การเดินทางอันน่าพึงพอใจและก่อให้เกิดประสิทธิภาพแก่ตัวผู้โดยสารซึ่งมิใช่แค่การใช้รถไฟเพื่อความจำเป็นเท่านั้น แต่การเดินทางจะกลายเป็นเรื่องสนุก ใช้เวลาอย่างมีประโยชน์และปลอดภัยผู้โดยสารจะสามารถเชื่อมต่อได้อย่างเต็มรูปแบบกับเครือข่ายข้อมูลและความบันเทิงที่ต้องการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) แสดงให้เห็นว่า ประชากรอาเซียนมากกว่าครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในเขตเมือง อีกทั้งมีการคาดการณ์ว่าเมืองใหญ่ในภูมิภาคนี้จะต้องรับมือกับประชากรอีกกว่า 70 ล้านคนภายในปี 2568 ด้วยเหตุนี้การสร้างเมืองให้เกิดความยั่งยืนและครบวงจรจึงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญสูงสุดในภูมิภาคนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลายปีที่ผ่านมาการเติบโตของภาคการขนส่งส่งผลดีต่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบันการขนส่งเป็นภาคอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศ องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) รายงานว่า ในช่วงเวลาหลังจากการแพร่ระบาดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากภาคการขนส่งทั่วโลกทะยานขึ้นเป็นเกือบ 7.7 GtCO2 จาก 7.1 GtCO2 ในปี 2563&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งโลกกำลังตื่นตัวกับภาวะโลกร้อนและตอนนี้เราต้องถือว่ารูปแบบการขนส่งแบบเดิมได้กลายเป็นตัวก่อปัญหาให้การดำเนินชีวิต และยังส่งผลต่อความอยู่รอดของโลกด้วย แต่ด้วยความชาญฉลาดของมนุษย์เรากำลังค้นหาวธิ ีแก้ปัญหาที่อาจเป็นยุคทองของการขนส่งทางรางครั้งใหม่ ช่วงเวลานี้จึงเป็นเวลาอันน่าตื่นเต้นที่จะต้องกลับมาคิดว่าการขนส่งทางรางจะมีบทบาทอย่างไรทั่วเอเชียภายในปี 2573&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้จะมีการพัฒนาการเดินทางทางอากาศและทางทะเลที่ก่อมลพิษน้อยกว่ารวมถึงยานยนต์ไฟฟ้าที่ทันสมัยแต่โซลูชันการขนส่งข้ามพรมแดนที่สามารถเข้าถึงภูมิภาคต่างๆ ได้ก็ยังคงมีความจำเป็นการขนส่งผู้คนจากชานเมืองเข้าสู่ใจกลางเมือง และพาผู้คนหลายล้านคนไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างยั่งยืน แน่นอนว่าวิธีแก้ปัญหาคือรถไฟพลังงานไฟฟ้าซึ่งมีมาเกือบ 100 ปีแล้วและยังคงพัฒนาต่อไปในขณะที่การขนส่งรูปแบบอื่นต่างก่อมลพิษมากขึ้นแต่รถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจะปล่อยมลพิษน้อยลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในรายงานของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) ในปี 2564 เผยให้เห็นว่า จำนวนยานพาหนะที่จดทะเบียน (ต่อประชากร 1,000 คน) ในประเทศต่างๆ เช่น ไทยและมาเลเซียเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าระหว่างปี 2548-2562 และภายในปี 2578 คาดว่าประเทศจีนจะมีรถยนต์ส่วนตัวกว่า 350 ล้านคัน ซึ่งมากกว่าจำนวนรถยนต์ในปี 2551 ถึง 10 เท่า ในรายงานของ UN ESCAP ยังระบุว่า การขนส่งหลายรูปแบบร่วมกัน (intermodality) สามารถเพิ่มความยั่งยืนในการเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งได้ โดยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกิดขึ้นจากการขนส่ง รวมไปถึงปัญหาการจราจรบนท้องถนน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วิสัยทัศน์ของการขนส่งในปี 2573 การขนส่งหลายรูปแบบร่วมกัน (intermodality) จะกลายเป็นรูปแบบการขนส่งหลัก โดยผู้โดยสารจะเดินทางระหว่างเมืองด้วยรถไฟระบบอัตโนมัติ จากนั้นเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน รถรางไฟฟ้า หรือรถประจำทางไร้คนขับโดยไม่ขาดการเชื่อมต่อไวไฟ และจะเปลี่ยนไปใช้จักรยานหรือสกูตเตอร์ สำหรับการเดินทางขั้นสุดท้าย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นับตั้งแต่มีการสร้างเครือข่ายรางรถไฟข้ามทวีปเอเชีย (Trans Asian) ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2552 ในประเทศต่างๆ Global Data ประมาณการว่า ระหว่างปี 2563-2567 เมื่อทุกโครงการประสบความสำเร็จ เครือข่ายระบบรางรถไฟในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีระยะทางเดินรถเพิ่มขึ้นอีก 81,000 กม. โดยเป็นระบบรางของรถไฟโดยสารความเร็วปกติ 43,400 กม. และความเร็วสูง 22,000 กม. สำหรับการเดินทางในเมืองโดยหลายเมืองกำลังเร่งพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน เช่น เครือข่าย MRT ของสิงคโปร์จะมีระยะทางเพิ่มเป็น 2 เท่า จาก 178 กม. เป็น 360 กม. ภายในปี 2573&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในไทยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงข่ายรถไฟที่เชื่อมโยงทุกการเดินทาง ประหยัดเวลาพลังงาน และค่าใช้จ่าย โดยดำเนินการในหลายโครงการ รวมถึงโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง และโครงการก่อสร้างทางรถไฟรางคู่เพิ่มเติม พร้อมทั้งรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งระหว่างสนามบินดอนเมืองสุวรรณภูมิและอู่ตะเภา ที่จะเชื่อมต่อกรุงเทพฯ เข้ากับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกภายใน 1 ชั่วโมง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการเชื่อมโยงทางรถไฟข้ามพรมแดนผ่านแผนการเร่งการเชื่อมต่อระหว่างทางรถไฟจีน-ลาว กับเครือข่ายรถไฟของประเทศไทย สำหรับการลงทุนระบบรางในเมืองการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้สร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนตะวันออกเสร็จแล้วด้วยงบ 6.8 ล้านเหรียญ และยังขยายรถไฟฟ้า สายสีม่วง (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) ด้วยงบ2.4 ล้านเหรียญ เริ่มก่อสร้างในปี 2565 เทคโนโลยีการขนส่งทางรางภายในปี 2573 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้โดยสารและผู้ให้บริการระบบรางในทวีปเอเชียจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์การเดินทาง ระบบวิเคราะห์ข้อมูลอัตโนมัติจะช่วยอำนวยความสะดวกทุกอย่างตั้งแต่การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพไปจนถึงระบบข้อมูลผู้โดยสารที่ขจัดความไม่แน่นอนในการเดินทาง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คาดว่าเครือข่ายรถไฟจะเปลี่ยนเป็นดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบภายในอีก 10 ปี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลให้มีการปรับใช้ระบบอาณัติสัญญาณขั้นสูง ที่สามารถทำให้การขนส่งทางรางเป็นการเดินทางที่ปลอดภัย รวดเร็ว และมีความถี่มากขึ้นอีกทั้งผู้โดยสารยังสามารถเชื่อมต่อกับไวไฟได้ตลอดการเดินทาง ยิ่งไปกว่านั้นยังเห็นการใช้รถไฟไร้คนขับซึ่งปัจจุบันพบได้ในระบบขนส่งมวลชนในเมืองแบบปิด แต่ถ้าในระบบรางสายหลักรถไฟไร้คนขับจะลดการใช้พลังงานลง 20-30% ช่วยเพิ่มอัตราบรรทุก โดยรถไฟอัตโนมัติต้นแบบจะเริ่มใช้งานในปี 2566&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในอีก 10 ปีข้างหน้าการขนส่งทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะต้องพบกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเป็นกฎหมายทางเศรษฐกิจและภัยคุกคามทางสิ่งแวดล้อม​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/YLeTz4Yd5hnmDVoy9Nh1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="YLeTz4Yd5hnmDVoy9Nh1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="200,212" style="" data-index="0"></figure></div>บทความโดย Toby Tiberghien กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก Alstom<hr class="__se__solid">​<a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/1381118a-b359-4419-b6ed-b94da33a06cc/april-2023" alt="คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทสัมภาษณ์และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false" style="width: 50%;"><figure style="width: 100%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/n5kPMZum7UxKYSVaJ4TL.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="n5kPMZum7UxKYSVaJ4TL.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%,auto" data-rotate="" data-percentage="50%,auto" origin-size="350,459" style="width: 100%; height: auto;" data-index="1"></figure></div>

ปี 2573 ยุคทองของ “การขนส่งทางราง”

กิตติ พัวถาวรสกุล พลังแห่งศรัทธา สร้าง NCL

<h2 class="p1">กรมศุลกากร ร่วมมือกับ ไอบีเอ็ม นำเทคโนโลยีบล็อกเชนพัฒนาการขนส่งระหว่างประเทศ ชี้ติดตามสินค้าได้แบบเรียลไทม์ อีก 3 เดือนนำร่องท่าเรือแหลมฉบัง</h2>
ปฐมา จันทรักษ์ รองประธานด้านการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอินโดจีน และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทได้ร่วมมือกับบริษัทขนส่ง เอ.พี.มอลเลอร์-เมอส์ก บริษัทเดินเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก และกรมศุลกากร ในการนำแพลตฟอร์ม “เทรดเลนส์” (TradeLens) ที่พัฒนาขึ้นบนเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในหน่วยงานไทย เพื่อพัฒนาการค้าระหว่างประเทศของไทย
“ที่ผ่านมาในการส่งออกสินค้า ผู้ส่งออกต้องไปติดต่อที่ท่าเรือ จากนั้นท่าเรือจะต้องไปดูว่าสินค้าประเภทนี้ต้องใช้คอนเทนเนอร์ไหน มีการติดตามว่าวันนี้ไปจอดที่ท่าใด เมื่อขึ้นท่ามาแล้วก็มีบางคอนเทนเนอร์ที่สินค้าจะต้องถูกเคลื่อนย้าย เพราะฉะนั้นการเปิดคอนเทนเนอร์เพื่อเอาของออกจะต้องใช้เอกสารและผ่านขั้นตอนมากมายของเจ้าหน้าที่ จากนั้นเมื่อสินค้าขึ้นบก ก็มีประเด็นว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าไปถึงผู้รับอย่างปลอดภัย"
ปฐมา กล่าวว่า ข้อมูลจากเมอส์กระบุว่าในการขนส่งสินค้าแต่ละครั้งต้องใช้เอกสารมากกว่า 200 ชิ้น และมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องกว่า 300 คน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ไอบีเอ็มร่วมมือกับเมอส์กในการนำบล็อกเชนเข้ามาใช้พัฒนาเทรดเลนส์ ซึ่งจะช่วยติดตามสินค้าได้ ลดงานเอกสาร ลดขั้นตอนที่ซับซ้อน และช่วยเสริมให้ระบบขนส่งครบวงจร มีความรวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำ


<figure><img class="wp-image-15575 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/ibm01.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> ปฐมา จันทรักษ์ รองประธานด้านการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอินโดจีน และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย</figcaption></figure>
“เราพัฒนาจนสามารถเริ่มให้บริการเทรดเลนส์ได้ตั้งแต่ปลายปีก่อน ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทเรือระดับท็อป 10 ของโลกมาใช้บริการของเรา ทั้งนี้ ข้อมูลจากรัฐบาลในประเทศที่เข้ามาร่วมมือเซ็นสัญญากับเราต่างระบุว่า เทรดเลนส์เข้ามามีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนธุรกิจ และทำให้ค่าเฉลี่ยจีดีพีทั้งโลกเพิ่มขึ้น 5% เนื่องจากค่าใช้จ่ายในกระบวนการต่างๆ ลดลง นอกจากนี้ยังทำให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าในการขนส่งเพิ่มขึ้น 15%”
ปฐมา ระบุว่า แพลตฟอร์มเทรดเลนส์ทำให้กรมศุลกากรเป็นหน่วยงานราชการอันดับที่สองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รองจากสิงคโปร์) และเป็นอันดับที่สามในเอเชียแปซิฟิกที่ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ซึ่งจะช่วยให้กรมศุลกากรมีเครื่องมือในการติดตามแบบอัตโนมัติและแม่นยำ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจทั้งภายในและระหว่างประเทศ
ชูชัย อุดมโภชน์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบสิทธิประโยชน์ศุลกากร กรมศุลกากร กล่าวว่า แพลตฟอร์มเทรดเลนส์จะทำให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ Near Real-time ระหว่างสมาชิก ซึ่งส่งผลให้เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรสามารถทราบข้อมูลการส่งสินค้าเกือบในทันทีที่ตู้สินค้าออกจากท่าเรือต้นทาง
“80% ของการขนส่งสินค้าถูกส่งมาทางทะเล ซึ่งกรมศุลกากรจะได้รับเอกสารบัญชีราคาสินค้าและใบสั่งซื้อก่อนสินค้ามาถึงเร็วที่สุด 48 ชั่วโมง (ซึ่งเป็นการยื่นเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์) แต่ว่าในละวันมีตู้สินค้าเข้ามาที่ศุลกากรนับหมื่นตู้ การวิเคราะห์และประเมินผลสินค้าเหล่านี้ภายใน 48 ชม. ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อนำแพลตฟอร์มนี้มาใช้จะทำให้เราสามารถทราบข้อมูลได้ก่อนล่วงหน้าแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะทำให้สามารถตรวจปล่อยล่วงหน้าได้”


<figure><img class="size-full wp-image-15576" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/ibm02.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> ชูชัย อุดมโภชน์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบสิทธิประโยชน์ศุลกากร กรมศุลกากร</figcaption></figure>
ทั้งนี้ ปัจจุบันกรมศุลกากรผลักดันให้พิธีการนำเข้าสินค้าเป็น paperless มากขึ้น ซึ่งทำให้ผู้นำเข้าสินค้าไม่ต้องเดินทางไปที่กรมศุลกากร และสามารถชำระภาษีผ่านระบบ e-payment ได้ และหากในอนาคตนำเทรดเลนส์มาใช้ก็จะทำให้สินค้าที่ได้รับ green line (หมายถึงสินค้าผ่านเข้าไปได้เลย) ไม่ต้องรอตรวจ และผู้นำเข้าสามารถรับสินค้าได้เลย
“เมื่อเราได้ข้อมูลที่ครบถ้วนถูกต้อง หากสินค้าไม่เป็นของต้องห้าม ก็จะทำให้สินค้าถูกปล่อยไปได้เลย ผู้นำเข้าไม่ต้องพบเจ้าหน้าที่ ซึ่งทำให้เกิดความโปร่งใส ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ คาดว่าอนาคตเราอาจทำการตรวจปล่อยสินค้านำเข้าเพียงแค่ 10% เท่านั้น”
ชูชัย กล่าวอีกว่า นอกจากนี้การที่ได้รับเอกสารก่อนจะทำให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบได้ว่าผู้นำเข้าสำแดงราคาตรงกับของที่เข้ามาหรือไม่ ซึ่งจะทำให้กรมศุลกากรสามารถเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น
“โดยกรมศุลกากรจะเริ่มนำร่องใช้แพลตฟอร์มนี้ที่ท่าเรือแหลมฉบังในอีก 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับเจ้าหน้าที่ศุลกากร หลังจากนั้นจะประเมินผลเพื่อพิจารณาการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในท่าเรือกรุงเทพต่อไป”
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/people/dine-with-the-boss/%e0%b8%9b%e0%b8%90%e0%b8%a1%e0%b8%b2-%e0%b8%88%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b9%8c-%e0%b9%84%e0%b8%ad%e0%b8%9a%e0%b8%b5%e0%b9%80%e0%b8%ad%e0%b9%87%e0%b8%a1.html">“ปฐมา จันทรักษ์” เดิมพันครั้งใหญ่กับตำนานไอทีโลก “ไอบีเอ็ม”</a></li>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%84%e0%b9%82%e0%b8%99%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%a2%e0%b8%b5%e0%b8%9a%e0%b8%a5%e0%b9%87%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%99-%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad.html">เทคโนโลยีบล็อกเชน เพื่อการยืนยันตัวตนในสินค้าหรูหรา</a></li>
</ul>
&nbsp;

รายงานโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กรมศุลฯ จับมือ ไอบีเอ็ม ดึงบล็อกเชนพัฒนาระบบนำเข้าสินค้าทางเรือ เตรียมนำร่องแหลมฉบัง

<h2 class="p1">แกร็บ ประเทศไทย ครบ 6 ปี เผยบริการส่งอาหารโตพรวดครึ่งปี'62 ยอดสั่ง 4 ล้านออร์เดอร์ เตรียมรุกตลาดต่างจังหวัดเต็มสูบ พร้อมเปิดตัวระบบเพย์เมนต์ไตรมาสนี้</h2>
ธรินท์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า แกร็บให้บริการในประเทศไทยมา 6 ปีแล้ว และได้รับการตอบรับจากชาวไทยเป็นอย่างดี โดยมีการเรียกใช้บริการการเดินทาง การส่งอาหาร และการส่งของรวมกว่า 320 ล้านครั้ง เชื่อมต่อกับผู้คนใน 16 จังหวัด 18 เมืองของไทย นอกจากนี้ยังให้บริการครอบคลุมไปถึงระบบการจองโรงแรมและระบบรีวอร์ด 
“12 เดือนที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่มีหลายๆ อย่างเข้ามาในแกร็บ ทั้งการเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์คือ BNK48 มีการให้บริการแกร็บฟู้ดซึ่งได้รับการตอบรับดีมาก ทำให้ 6 เดือนหลังจากนี้มองว่าแกร็บฟู้ดจะเป็นตัวหลักในธุรกิจของเรา จากตัวเลขแนวโน้มการเติบโตปีก่อนที่มียอดใช้บริการ 3 ล้านออร์เดอร์ ปีนี้เพียงครึ่งปีมียอดใช้บริการ 4 ล้านออร์เดอร์ซึ่งเร็วกว่าเดิมค่อนข้างมาก เนื่องจากการปรับตัวของผู้บริโภค โดยคาดว่าอาจถึง 20 ล้านออเดอร์ในปีนี้ ซึ่งมั่นใจว่ามาร์เก็ตแชร์ของแกร็บฟู้ดในขณะนี้เป็นเบอร์ 1 และมีสัดส่วนเกินครึ่งของตลาด”


<figure><img class="size-full wp-image-10331" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/grab01.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> ยอดการใช้บริการแกร็บในประเทศไทย</figcaption></figure>
ธรินทร์ กล่าวอีกว่า การแข่งขันในตลาดรับส่งอาหารยังคงรุนแรง และการทำสงครามราคาจะยาวนานไปอีก 1 ปี ส่วนทิศทางของเราในปีนี้นอกจากกรุงเทพฯ แล้ว ก็จะทำการตลาดเชิงรุกในต่างจังหวัดมากขึ้น และจะขยายบริการแกร็บฟู้ดไปในจังหวัดอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ ที่ผ่านมาการให้บริการส่งอาหารในเชียงใหม่หรือพัทยาก็ได้รับการตอบรับดี และยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก แต่ต้องอาศัยการพูดคุยทำความเข้าใจกับร้านค้าท้องถิ่นมากขึ้น

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b9%87%e0%b8%9a-%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%a7-bnk48-%e0%b9%81%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%8c%e0%b9%81%e0%b8%ad%e0%b8%a1.html">แกร็บ เปิดตัว BNK48 แบรนด์แอมบาสเดอร์ครั้งแรกในไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้</a></li>
</ul>
&nbsp;
<h2 class="p1">เตรียมให้บริการระบบเพย์เมนต์</h2>
ธรินทร์ ระบุว่า ในครึ่งปีหลังนี้เราจะยังเปิดตัวบริการแกร็บเพย์ วอลเล็ต ซึ่งเป็นการร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย โดยพร้อมให้บริการในระบบนิเวศของแกร็บในไตรมาสนี้ และภายในต้นไตรมาส 4 จะสามารถให้บริการแบบโอเพ่น คือใช้แกร็บเพย์จ่ายเงินกับระบบข้างนอกได้
“เรามองว่าแกร็บเพย์ยังไม่ใช่ธุรกิจที่เจอการแข่งขันหนัก เราไม่ได้แข่งกับใคร แต่ความท้าทายคือทำอย่างไรให้ประชาชนคิดว่าใช้อันนี้แล้วดี อย่างไรก็ตาม ไทยเป็นประเทศที่คนยังไม่มีบัตรเครดิตเยอะมาก เป็นกลุ่มขนาดใหญ่ในสังคม และเรายังมีโอกาสอีกมากในการเข้าถึงตลาดตรงนี้”
&nbsp;
<h2 class="p1">แกร็บคาร์-แกร็บไบค์ รอความชัดเจนรัฐบาล</h2>
ธรินทร์ กล่าวว่า สำหรับบริการเรียกรถอย่างแกร็บไบค์กับแกร็บคาร์ ตอนนี้ถือว่าอิ่มตัวระดับหนึ่งแล้ว ส่วนเรื่องกฎหมายที่ตอนนี้ประเทศไทยเป็นเพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แกร็บยังไม่ถูกกฎหมายนั้น ต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลซึ่งต้องรอให้การจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้นก่อน จากนั้นเราก็พร้อมให้ความร่วมมือในการหาทางออกเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย


<figure><img class="size-full wp-image-10333" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/grab04.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> ธรินท์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย</figcaption></figure>
“บริการของแกร็บวันนี้นอกจากตอบโจทย์ผู้โดยสารทั้งเรื่องความปลอดภัย ราคา การสะสมแต้ม ยังส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวของไทยด้วย โดยที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวกว่า 5 ล้านคนที่ใช้บริการในไทย นอกจากนี้เรายังช่วยเหลือผู้ขับขี่ให้มีรายได้อีกด้วย”
“การอยู่ในสถานการณ์ที่ก้ำกึ่งในเรื่องกฎหมายไม่เชิงกระทบกับแกร็บ แต่มองว่าเป็นโอกาสที่เสียไปสำหรับคนไทยมากกว่า บางคนอาจยังไม่กล้ามาขับเพราะกลัวผิดกฎหมาย ทำให้เขาขาดโอกาสในการหารายได้ในส่วนนี้  เรามองว่าการขับแกร็บทำให้ชีวิตของหลายคนดีขึ้นได้ ถ้ากฎหมายยังล่าช้า กลุ่มคนตรงนี้อาจขาดโอกาสในการหารายได้เพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ตัวเองให้ดีขึ้น”
ธรินทร์ กล่าวอีกว่า ตัวอย่างที่ จ.บุรีรัมย์ ที่ทั้งจังหวัดมีแท็กซี่อยู่เพียง 15 คัน แต่ในช่วงที่มีการแข่งขันกีฬาต่างๆ มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยอะ ถ้าแกร็บไม่นำระบบตรงนี้ลงไป นักท่องเที่ยวก็ไปไหนไม่ได้ ไม่มีเม็ดเงินกระจายลงไปในพื้นที่ ดังนั้น ถ้าเราปลดล็อกไปเรื่อยๆ ประกอบกับในอนาคตประเทศไทยส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองมากขึ้น ถ้ามีระบบแกร็บก็จะทำให้คนในเมืองรองมีโอกาสหารายได้มากขึ้น
ทั้งนี้ หากเรื่องกฎหมายเรียบร้อย คาดว่าปีหน้าอาจให้บริการเรียกรถและส่งอาหารครบทั่วประเทศไทยได้
&nbsp;
<h2 class="p1">จัดเต็มกิจกรรมและโปรโมชั่นฉลอง 6 ปี</h2>
สำหรับโอกาสครบรอบ 6 ปี แกร็บจัดเต็มส่วนลดสำหรับบริการของแกร็บทั้งการเดินทาง สั่งอาหาร และส่งของ สูงสุด 60% นอกจากนี้ยังมีดีลพิเศษจากแกร็บฟู้ดถึง 666 ดีล และของรางวัลอีกหลายรายการ อาทิ ทริปไป-กลับฮ่องกง สมาร์ทโฟน Huawei เป็นต้น รวมมูลค่าของรางวัลกว่า 17 ล้านบาท
&nbsp;

&nbsp;

&nbsp;

รายงานโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

"แกร็บ" เตรียมให้บริการเพย์เมนต์ พร้อมรุกส่งอาหารต่างจังหวัดรับยอดออร์เดอร์พรวด

กัปตันหญิง VL ขยายฝูงเรือไทยบุกอาเซียน

<h2 class="p3">SoftBank ทุ่มทุน 940 ล้านเหรียญสหรัฐฯ​ ใน Nuro บริษัทจาก Silicon Valley 'สตาร์ทอัพรถไร้คนขับเดลิเวอรี่' รูปทรงเครื่องปิ้งขนมปัง โดยการลงทุนครั้งนี้ของ SoftBank นับว่าเป็นหนึ่งในรอบระดมทุนที่มีผู้ลงทุนรายเดียวครั้งใหญ่ที่สุดของวงการเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติเชิงพาณิชย์</h2>
แปลและเรียบเรียงจาก<a href="https://www.forbes.com/sites/alanohnsman/2019/02/11/softbank-gives-nuros-robo-delivery-tech-a-hefty-940-million-boost/?utm_source=newsletter&amp;utm_medium=email&amp;utm_campaign=daily-dozen#5db5061b3cad"> SoftBank Gives Nuro’s Robo-Delivery Tech A Hefty $940 Million Boost</a> โดย Alan Ohnsman กองบรรณาธิการ Forbes
บริษัท Nuro แถลงถึงการลงทุนจาก SoftBank ในรอบนี้ว่า เงินทุนที่ได้จะทำให้บริษัทสามารถขยายการบริการเดลิเวอรี่ด้วยยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ได้มากขึ้น สามารถจับมือกับพันธมิตรเพิ่มเติม เพิ่มจำนวนรถอัตโนมัติ เร่งการพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงเพิ่มขนาดทีมงานได้อย่างมีนัยสำคัญ
Nuro ก่อตั้งโดย Dave Ferguson และ Jiajun “JZ” Zhu อดีตสมาชิกทีมพัฒนาโครงการรถยนต์ไร้คนขับของ Google ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้รับเม็ดเงินลงทุนมูลค่า 92 ล้านเหรียญมาแล้วจากกองทุนอย่าง Greylock Partners และ Gaorong Capital เมื่อรวมกับเงินทุนรอบนี้จึงทำให้สตาร์ทอัพน้องใหม่รายนี้ระดมทุนรวมได้มากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A-waymo-one-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4.html">รถยนต์ไร้คนขับ Waymo One ของ Google เปิดบริการจริงใน Arizona</a></li>
</ul>
“เราใช้เวลา 2 ปีครึ่งที่ผ่านมาในการสร้างทีมงานที่มหัศจรรย์ และได้เปิดบริการเดลิเวอรี่ด้วยรถไร้คนขับ ได้ร่วมงานกับพันธมิตรที่เหลือเชื่อ ทั้งยังได้สร้างเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนาพื้นฐานการใช้ชีวิตประจำวันของคน” Ferguson กล่าวในแถลงการณ์ “การร่วมเป็นพันธมิตรครั้งนี้ให้โอกาสเราในการก้าวไปสู่วิสัยทัศน์ด้านการค้าในชุมชน และการขยายเทคโนโลยีของเราให้กว้างขวางยิ่งขึ้น”


<figure><img class="size-full wp-image-4646" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/960x0-1-1-e1550057473614.jpg" alt="สตาร์ทอัพหุ่นยนต์ขนส่ง" width="800" height="450" /><figcaption> Dave Ferguson และ Jiajun “JZ” Zhu ผู้ร่วมก่อตั้ง Nuro สตาร์ทอัพหุ่นยนต์ขนส่ง (PHOTO CREDIT: Nuro)</figcaption></figure>
รถบรรทุกและโลจิสติกส์นั้นกลายมาเป็นตลาดขนาดใหญ่สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีพาหนะไร้คนขับ เนื่องจากการสร้างระบบยานพาหนะไร้คนขับสำหรับขนส่งคนนั้นมีความท้าทายสูงกว่าที่ผู้สนับสนุนหลายรายคาดไว้
หลังจากที่ช่วงปลายปี 2018 ข่าวเกี่ยวกับการลงทุนขนาดใหญ่ในเทคสตาร์ทอัพด้านรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเริ่มจะแผ่วลงไป ดีลลงทุนใน Nuro ครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการจุดระเบิดความน่าสนใจของวงการอีกครั้ง และเป็นดีลที่เกิดขึ้นมาติดๆ กับข่าวการลงทุนมูลค่า 530 ล้านเหรียญในบริษัท Aurora อีกหนึ่งสตาร์ทอัพพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งก่อตั้งโดย Chris Urmson อดีตเพื่อนร่วมงานของ Ferguson และ Zhu ที่ Google
จุดประสงค์ของ Nuro สตาร์ทอัพรถไร้คนขับเดลิเวอรี่ แห่งนี้ แตกต่างจากบริษัทอย่าง TuSimple, Embark หรือแม้แต่ Waymo ของ Alphabet Inc. ซึ่งเน้นโปรเจ็กต์พัฒนารถขับเคลื่อนอัตโนมัติที่สามารถเดินทางระยะไกลได้ Nuro นั้นมุ่งเน้นการพัฒนารถขับเคลื่อนอัตโนมัติขนาดเล็กกว่ารถปกติครึ่งหนึ่ง เพื่อใช้ในบริการเดลิเวอรี่ต้นทุนต่ำในวงพื้นที่ที่แคบกว่า
https://www.youtube.com/watch?time_continue=118&amp;v=XKXbacNQGI8
บริษัทเริ่มทดสอบบริการ Nuro ไปเมื่อปีก่อน โดยรับบริการจัดส่งสินค้าจากซูเปอร์มาร์เก็ต อาหาร และผลิตภัณฑ์อื่นๆ บริษัทยังได้เป็นพันธมิตรกับ Kroger เพื่อทดลองส่งสินค้าอุปโภคบริโภค และยังเซ็นสัญญาอนุญาตใช้เทคโนโลยีนี้ให้กับ Ike บริษัทรถบรรทุกส่งของ
“ทีมงานระดับโลกของ Nuro สามารถยกระดับเทคโนโลยีพาหนะไร้คนขับจากในห้องวิจัยออกมาสู่ถนนจริงได้สำเร็จ” Michael Ronen พาร์ทเนอร์บริหารของ SoftBank Investment Advisers กล่าว “ในเวลาเพียง 2 ปี Dave และ Jiajun พร้อมกับทีมงานสามารถพัฒนา Nuro ให้เติบโตจากภาพคอนเซปท์กลายเป็นธุรกิจของจริงที่ใช้หุ่นยนต์เชื่อมต่อร้านค้าเข้ากับลูกค้า”

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/toyota-softbank-%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A.html">Toyota จับมือ SoftBank พัฒนารถยนต์ไร้คนขับ เปลี่ยนการขนส่งใหม่เพื่ออนาคต</a></li>
</ul>
ยานยนต์เดลิเวอรี่ขนาดเล็กของ Nuro นั้นใช้อุปกรณ์เซนเซอร์ขั้นสูงแบบเดียวกับ Waymo และ Cruise ในเครือ GM อุปกรณ์นี้ใช้ระบบเลเซอร์ Lidar เพื่อประมวลภาพความละเอียดสูง 3 มิติ รวมถึงกล้องและเรดาร์ขั้นสูง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโมเดลธุรกิจของ Nuro ไม่จำเป็นต้องใช้ศักยภาพในระดับเดียวกับรถยนต์สำหรับวิ่งระยะไกล บริษัทจึงใช้ฮาร์ดแวร์ที่ต้นทุนต่ำกว่าได้ รวมถึงการใช้พาหนะนี้เพื่อส่งของมิใช่ขนส่งคน จึงใช้วัสดุน้อยกว่าในการสร้าง และไม่ต้องใส่อุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น ถุงลมนิรภัย เข็มขัดนิรภัย ฯลฯ

SoftBank เทเม็ดเงิน 940 ล้านเหรียญลงทุนใน Nuro สตาร์ทอัพรถไร้คนขับเดลิเวอรี่

<h2>ลาล่ามูฟ ประเทศไทย เผยมูลค่าการทำธุรกรรมรวมปี 2561 โต 123% เป็นมูลค่า 1.2 พันล้านบาท ตั้งเป้าปี 2562 มูลค่าธุรกรรมรวมราว 2.4 พันล้านบาท ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก พัฒนา API, เน้นการตลาดรถยนต์ขนส่ง และ จับมือพันธมิตรธุรกิจ</h2>
ชานนท์ กล้าหาญ กรรมการผู้จัดการ ลาล่ามูฟ ประเทศไทย ย้อนถึงความสำเร็จตลอด 4 ปีของลาล่ามูฟในประเทศไทย ที่มีอัตราการเติบโตด้วยมูลค่าการทำธุรกรรม ใน 4 ปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดปี 2561 มีการเติบโต 123% จากมูลค่าการทำธุรกรรมรวม 1.2 พันล้านบาท

“ในปี 2561 ถ้านับรวมระยะทางการให้บริการแล้วนั้นเป็นระยะทางถึง 60 ล้านกิโลเมตร หรือการเดินทางไปยังดาวอังคารเลยทีเดียว ซึ่งการเติบโตดังกล่าวล้อกับพฤติกรรมการการสั่งซื้อของผ่านออนไลน์ ซึ่งเป็นไปตามที่ EDTA เคยประกาศข้อมูลสถิติที่ว่า การซื้อสินค้าผ่านอ่านเข้ามาติด 1 ใน 5 พฤติกรรมของคนไทย” ชานนท์ กล้าหาญ กรรมการผู้จัดการ ลาล่ามูฟ ประเทศไทย กล่าว

ในธุรกิจส่งสินค้าแบบ On-Demand Delivery ลาล่ามูฟเป็นที่รู้จักโดยเฉพาะคนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ผ่านการสั่งสินค้าโดย Line Man ซึ่งเราเป็นผู้ทำระบบในการจัดส่งผ่านการเชื่อมต่อ API กับ แอพพลิเคชั่น Line Man ในการสั่งอาหาร นอกจากนี้เรายังเชื่อมต่อ API กับพันธมิตรธุรกิจอีกหลายรายทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่โดยผู้ประกอบการจะรู้จักเราดี

“ลาล่ามูฟเองตั้งเป้าเป็น Logistic Provider เป็นเครื่องมือในการขนส่งสินค้าผ่านเทคโนโลยีที่เรามี ปัจจุบันในกลุ่มธุรกิจขนส่งแบบ On-Demand โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เรากินสัดส่วนที่ราว 70 เปอร์เซ็นต์ โดยมีผู้ให้บริการอาทิ GrabExpress, Skootar, Deliveree เป็นต้น”

ชานนท์กล่าวเสริมด้วยว่าปัจจุบันเรามีพนักงานขับรถราว 8 หมื่นคัน 95 เปอร์เซ็นต์คือผู้ส่งที่ขับมอเตอร์ไซต์ซึ่งราว 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ขับประกอบอาชีพส่งเอกสารเป็นหลักอยู่แล้ว และสัดส่วนที่เหลือเป็นพนักงานขับรถที่เป็นรถยนต์ขนาดใหญ่

จากจำนวนพนักงานขับราว 8 หมื่นรายบวกกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่เรามีทำให้เรามีข้อมูลการส่งสินค้าที่อยากจะแชร์ อาทิ ค้นหาพนักงานส่งสินค้าได้เร็วที่สุดภายใน 6 วินาที ถึงผู้ส่งเร็วสุด 18 นาที ถึงมือผู้รับเร็วที่สุด 20 นาที และรวมระยะเวลาในการให้บริการทั้งหมดเร็วที่สุด 38 นาที เป็นต้น

สำหรับแผนธุรกิจในปี 2562 ชานนท์ ตั้งเป้าหมายหลักไว้ 3 ด้านสำคัญคือการพัฒนา API ร่วมกับผู้ประกอบการต่างๆ ทั้งรายเล็ก รายใหญ่ เพื่อเชื่อมต่อการสั่งสินค้าผ่านเว็บไซต์หรือช่องทางออนไลน์ที่ผู้ประกอบการเหล่านั้น โดยเชื่อกันว่าจะสามารถประหยัดต้นทุนในการจัดการลดลงได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

ส่วนที่สองคือการทำการตลาดในเรื่องการบริการขนส่งผ่านรถยนต์ขนาดใหญ่ที่มากขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ที่รวมเตรียมเข้าพร้อมอาทิ เชียงใหม่ นครราชสีมา อยุธยา ซึ่งอัตราการบริการยิ่งส่งไกลราคายิ่งถูกลง ซึ่งเรามุ่งไปกลุ่มธุรกิจในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ

ส่วนที่สามคือการสร้างพันธมิตรธุรกิจร่วมกับแบรนด์ชั้นนำ อาทิ กลุ่มไมเนอร์ อย่าง coffee Club, การสั่งสินค้าผ่านคะแนนสะสม Samsung Galaxy Gift และล่าสุดการร่วมมือกับ IKEA ที่บางนาในการให้ความสะดวกสบายในการขนส่ง ไม่ต้องรอการจัดส่ง ในราคาใกล้เคียงกัน

สำหรับภาพรวมของลาล่ามูฟในเอเชียนั้นมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศฮ่องกง ชานนท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันเราดำเนินธุรกิจอยู่ใน 10 เมืองหลักใน 8 ประเทศเขตภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งอีกกว่า 100 เมืองในประเทศจีน ซึ่งหากไม่นับรวมกับประเทศจีนแล้วนั้น ลาล่ามูฟประเทศไทยถือเป็นเป็นอันดับทางด้านรายได้และการขนส่ง และเป็นอันดับหนึ่งได้ราว 2 ปีแล้ว โดยประเทศต่อไปที่ลาลามูฟจะเข้าไปดำเนินการคือประเทศอินเดีย

ลาล่ามูฟ ประเทศไทย เผยมูลค่ารวมปี'61 โต 1.2 พันล้านบาท

<h2>คุณจะทำเงินเป็นกอบเป็นกำจากอุปกรณ์ไม้ที่ใช้กันมานับศตวรรษได้ไหม Jeffrey Owen อาจทำได้</h2>
เมื่อ Johnson &amp; Johnson ได้ฟังคำร้องเรียนในปี 2009 เกี่ยวกับกลิ่นเหม็นในยาเม็ดแก้ปวดข้อ Tylenol Arthritis Pain บริษัทจึงสืบย้อนไปตลอดห่วงโซ่อุปทานเพื่อหาสาเหตุซึ่งตัวการคือแท่นพาเลทรองสินค้าการหยุดผลิตและการดึง Tylenol กับ Motrin ออกจากชั้นของร้านค้าคือ 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

พาเลทเพื่อการขนส่งอันต่ำต้อยนี้เป็นอุปกรณ์พบได้ทั่วไปสำหรับการค้าสมัยใหม่แต่มันมีนิสัยชอบก่อปัญหา พาเลทไม้เป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียซึ่งทำให้ผักผลไม้เน่าเสียเมื่อพาเลทแตกหัก โทรทัศน์เป็นตั้งจะร่วงลงไปกองบนพื้น และเมื่อเกิดไฟไหม้ พาเลท ไม้เป็นตั้งก็จะกลายเป็นเชื้อเพลิง

Jeffrey Owen คิดว่าบริษัท Lightning Technologies ของเขา ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่บ้าน Oxford รัฐ Michigan มีคำตอบ นั่นคือพาเลทที่ดูเหมือนจะไม่บุบสลาย น้ำหนักเบาสะอาด และมีคุณสมบัติหน่วงไฟ พร้อมทั้งฝังชิปติดตาม พาเลทของ Lightning ทำจากไม้เคลือบพอลิเมอร์ซึ่งช่วยให้ไม้แข็งแรงทนทานและทำความสะอาดง่าย ชิปจะบันทึกทุกอย่างเกี่ยวกับการเดินทางของพาเลทแบบเรียลไทม์ ทั้งอุณหภูมิ ความชื้นอุบัติเหตุ และแน่นอนว่าบันทึกสถานที่ด้วย

พาเลทไฮเทคนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ดีใจจนอยากตีลังกา “ทุกวันนี้เราไม่มีวิธีวัดว่าสินค้าถูกขนส่งไปในลักษณะใดหรือวิธีควบคุมอุณหภูมิ” Bob Spence รองประธานของ Del Monte Fresh Produce กล่าว “และถ้าเกิดโชคร้ายต้องเรียกคืนสินค้า” เขากล่าวว่าเมื่อมีสมาร์ทพาเลท “เราก็จะสามารถสืบหาที่มาของสินค้าได้อย่างรวดเร็วและรู้ว่าของส่งมาจากไร่ไหน ซึ่งอาจช่วยให้เราไม่ต้องเรียกคืนสินค้าทุกอย่าง” 

“เราจะให้ความสว่างกับเรื่องที่เคยมืดมิด” Rex Lowe กล่าว บริษัท Gard ของเขาซึ่งขายและให้เช่า ตั้งอยู่ในเมือง Irving รัฐ Texas “ผมสืบที่มาที่ไปของมันฝรั่งได้ตลอดทาง ตั้งแต่ขุดขึ้นมาจากดินจนกลายเป็นเฟรนช์ฟรายเข้าปากคุณ”

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/1fb46b0512e789f8b9b88a656be49fde.jpg" alt="" />

Laszlo Horvath อาจารย์จาก Virginia Tech ผู้ศึกษาเรื่องการออกแบบพาเลทมาตั้งแต่ปี 2519 กล่าวว่า สมาร์ทพาเลทจะบอกผู้ส่งสินค้าได้ว่าความเสียหายต่อสินค้าเกิดขึ้นที่ไหนและเมื่อไร ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตทีวีอาจตัดสินใจสั่งให้รถบรรทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งแตกหักง่ายเปลี่ยนเส้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงสะพานที่จะทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนต่อสินค้า

Owen วัย 67 ปี เข้าสู่ธุรกิจพาเลทในปี 2003 หลังจากอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์มาหลายปี เขาเกิดที่เมือง Cynthiana รัฐ Kentucky และคงจะเจริญรอยตามพ่อเข้าสู่กิจการไร่ยาสูบไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะคำเตือนของนายแพทย์ใหญ่แห่งสหรัฐฯ ที่ข้างซองบุหรี่ เขาย้ายไปอยู่เมือง Detroit เป็นตัวแทนจำหน่ายให้ซัพพลายเออร์หลายราย ในที่สุดก็ทำธุรกิจพลาสติกของตนเอง จนกระทั่ง Lowe ซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจพาเลทมาชักชวน Owen ให้เริ่มผลิตพาเลทพลาสติก Owen จึงขายบริษัท Palm Plastics ของเขาไปในราคา 35 ล้านเหรียญเมื่อปี 2009

ในปี 2013 มีสถาบันการเงินมาจ้าง Owen ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเรื่องพาเลทแล้วให้ช่วยประเมินค่าของเทคโนโลยีนวัตกรรมด้านพาเลทของ Oria International ซึ่งเป็นแล็บวิจัยในเมือง Auburn Hills รัฐ Michigan แม้นักลงทุนกลุ่มนั้นจะไม่คว้าโอกาสไว้ แต่ Owen สนใจ เขาจ่ายเงิน 1 ล้านเหรียญเพื่อซื้อสิทธิในสิทธิบัตรของ Oria จากนั้นใช้เวลาอีก 4 ปีเพื่อปรับปรุงวิธีเคลือบผิวด้วยการพ่นสเปรย์โพลียูเรียให้สมบูรณ์ที่สุด (ด้วยความช่วยเหลือจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสารเคมีอย่าง BASF)

แม้ไอเดียการผลิตพาเลทที่แข็งแกร่งขึ้นและมีเทคโนโลยีการติดตามจะไม่ใช่เรื่องใหม่แต่จุดขายของ Lightning คือการรวมนวัตกรรมหลายอย่างเข้าด้วยกันให้เป็นพาเลทที่น้ำหนักเบา ทนทาน สะอาด ซ่อมแซมได้ง่าย และไม่เลื่อนไถล

พาเลทนี้เปลี่ยนจาก ID ชิปแบบไม่มีแหล่งพลังงานในตัวเอง มาใช้ชิปแบบมีแหล่งพลังงานเพื่อให้ส่งและรับข้อมูลจากคลาวด์ได้ทุกที่ทุกเวลากระบวนการผลิตของ Lightning ก็ถือเป็นนวัตกรรมเช่นเดียวกับตัวพาเลท แทนที่จะใช้ไม้เนื้อแข็งแบบทั่วไป พาเลทนี้ใช้ไม้อัดซึ่งทำจากต้นไม้โตเร็วที่ตัดจากไร่ในรัสเซียและอเมริกาใต้ (Owen เล่าว่าในสหรัฐฯไม่มีซัพพลายเออร์)

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/9158f19aa4f89b282a6c30cae801ec17.jpg" alt="" />

กระบวนการนี้สะอาดอย่างน่าประหลาด โรงงานนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามพื้นที่ฝังกลบขยะแต่ไม่มีการขนขยะไปทิ้งที่นั่นแม้แต่ชิ้นเดียว ขี้เลื่อยจะถูกดูดไปขายเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงอัดแท่ง สเปรย์ที่พ่นมากเกินไปจะถูกดักเก็บเข้าถังยักษ์แล้วนำกลับมาใช้ใหม่

Lightning Technologies ได้รับคำสั่งซื้อพาเลทถึง 87 ล้านเหรียญตั้งแต่ก่อนจะมีกระบวนการสำหรับผลิตในจำนวนมาก โดยคำสั่งซื้อส่วนใหญ่มาจากซัพพลายเออร์ของห้าง Costco อีกทั้งผู้ค้าปลีกที่มีชื่อเสียงรายอื่นๆ ก็เข้าคิวรอเช่าพาเลทจาก Lowe ซึ่งกล่าวว่าเขาช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าเช่าได้ 1.50 เหรียญต่อทริปจากค่าเช่าพาเลทไม้ที่คู่แข่งคิดในอัตราปกติ 5-6 เหรียญต่อทริป Lowe กล่าวว่าสำหรับผู้ค้าปลีกที่ใช้พาเลท 100 ล้านแท่นต่อปีก็เท่ากับประหยัดได้ 150 ล้านเหรียญ

“ถ้าประหยัดค่าพาเลทได้ 1 เหรียญ เราก็ลดราคาน้ำดื่มได้ขวดละ 2 หรือ 3 เซนต์” ความท้าทายในตอนนี้มีแค่ต้องผลิตพาเลทให้เร็วพอจนถึงตอนนี้ Owen หาทุนได้ 20 ล้านเหรียญซึ่งรวมถึงเงินของเขาเองที่ไม่เปิดเผยว่าเป็นจำนวนเท่าไร และคาดว่าจะเร่งการผลิตได้ในช่วงฤดูร้อนนี้ ผู้ลงทุนกลุ่มแรกส่วนใหญ่มาจากสวีเดน ซึ่งรวมถึง Lars Wrebo อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการจาก Volvo Cars ซึ่งตอนนี้เป็นประธานของ Lightning และตระกูล Bergengren ซึ่งร่ำรวยจากธุรกิจผลิตรถเข็นล้อเดียว

Owen มีเป้าหมายใหญ่คือเปิดโรงงาน 10 แห่งทั่วโลกภายใน 5 ปีเพื่อสร้างรายได้ 1 พันล้านเหรียญ Lowe ผู้จัดหาพาเลทให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ในธุรกิจค้าปลีกมา 30 ปีกล่าวว่า เป้าหมายนี้ไม่ไกลเกินเอื้อม “โลกทั้งโลกเคลื่อนที่ไปบนพาเลท ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะซื้อของอะไรเข้าบ้าน แต่ของพวกนั้นถูกขนมาบนพาเลท”

&nbsp;

เรื่อง: Joann Muller
เรียบเรียง: ธรรดร โสตถิอำรุง

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events