<h2>เมอร์เซเดส-เบนซ์ พลิกโฉมธุรกิจสู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เปิดตัวโมเดลธุรกิจ “Retail of the Future” อย่างเป็นทางการ โดยตัวแทนดีลเลอร์จะขายในรถราคาเดียวกันทุกแพลตฟอร์มทั่วไทย พร้อมให้บริการลูกค้าสามารถเลือกรถยนต์ทุกรุ่นที่ต้องการผ่านระบบคลังสินค้าส่วนกลางที่เชื่อมต่อกันได้ทั่วประเทศ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มร.&nbsp;มาร์ทิน&nbsp;ชเวงค์&nbsp;ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่&nbsp;บริษัท&nbsp;เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)&nbsp;จำกัด&nbsp;​กล่าวว่า "การเปิดตัวโมเดลธุรกิจ “Retail of the Future” ถือเป็นกลยุทธ์ค้าปลีกรูปแบบใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่มุ่งมั่นตอบสนองความต้องการของลูกค้า และรองรับเทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยการกำหนดนโยบาย “One Price” ราคาเดียวกันทั่วประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าว ถือเป็นประโยชน์แก่ลูกค้าโดยตรง ที่ทางบริษัทเน้นเรื่องความโปร่งใสด้านราคาและข้อเสนอที่เท่าเทียมกันในทุกแพลตฟอร์ม รวมไปถึงการที่ลูกค้าสามารถเลือกรถยนต์ทุกรุ่นที่ต้องการผ่านระบบคลังสินค้าส่วนกลางที่เชื่อมต่อกันทั่วประเทศ อีกทั้งยังช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับแบรนด์ ในการเข้าถึงลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/afF6CRBJiTpx5g2e2UBY.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="afF6CRBJiTpx5g2e2UBY.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"><figcaption><div>&nbsp;มร.&nbsp;มาร์ทิน&nbsp;ชเวงค์ ซีอีโอ บริษัท&nbsp;เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)&nbsp;จำกัด</div></figcaption></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"การปรับระบบการขายรูปแบบใหม่นี้ จะช่วยแก้ปัญหา pain point ให้แก่กลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องของการประหยัดเวลาในการตระเวนเช็คราคารถของแต่ละดีลเลอร์ว่าที่ไหนให้ราคาดีมากที่สุด หรือดีลเลอร์ไหนมีรถรุ่นไหน สีอะไร อยู่ในสต็อก ตรงกับความต้องการหรือไม่ โดยหลังจากนี้ กลุ่มลูกค้าจะสามารถเลือกซื้อรถทุกรุ่นจากดีลเลอร์ทั่วประเทศได้ในราคาเดียวกัน อีกทั้งยังสามารถเลือกสั่งจองรถรุ่นตามที่ต้องการได้จากระบบคลังสินค้ากลางที่เชื่อมต่อกันทั่วประเทศ ซึ่งในส่วนของดีลเลอร์เองก็ไม่ต้องกังวลในการสต็อกของที่มีอยู่ในคลังอีกต่อไป และยังสามารถมาโฟกัสในเรื่องบริการหลังการขายในรูปแบบต่างๆ ให้ได้ดียิ่งขึ้น" มร. มาร์ทิน กล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/RcHLLzxSTLHRvhA1SZj4.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="RcHLLzxSTLHRvhA1SZj4.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"><figcaption><div style="text-align: center;">ตัวแทนดีลเลอร์ผู้จำหน่ายฯ และผู้บริหาร</div></figcaption></figure></div>&nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม ตัวโมเดลธุรกิจ “Retail of the Future” นี้ ช่วยสร้างความสำเร็จมาแล้วใน 10 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศเยอรมนี และมาเลเซีย ถือเป็น 2 ประเทศล่าสุดที่นำโมเดลดังกล่าวไปใช้ในปี 2023 ที่ผ่านมา จึงถือเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าแนวทางดังกล่าวจะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับทั้งฝั่งตัวแทนดีลเลอร์ผู้จำหน่ายฯ และลูกค้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทุกคน <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/arqM9aWD4PKzcMdnyy5g.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="arqM9aWD4PKzcMdnyy5g.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"><figcaption><div style="text-align: center;">บรรยากาศภายในงาน : ตัวแทนดีลเลอร์ทั่วประเทศผ่านไลฟ์สด</div></figcaption></figure></div>&nbsp; &nbsp; สำหรับการเป็นเจ้าของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์หลังจากปรับเปลี่ยนโมเดลระบบการขายเป็นรูปแบบใหม่ มี 5 ขั้นตอน สรุปได้ง่ายๆ ดังนี้ Step 1 “เข้าใกล้รถที่ใช่”: ลูกค้าทุกคนสามารถเริ่มต้นด้วยการค้นหารถรุ่นที่ชอบ ติดต่อที่ปรึกษาการขาย และลงทะเบียนทดลองขับได้ที่โชว์รูมทั่วประเทศ หรือผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์Step 2 “เข้าถึงสต็อกกลาง”: ด้วยระบบคลังสินค้าส่วนกลางที่จัดการโดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ จะทำให้ตัวแทนจำหน่ายฯ และลูกค้าทุกคนเข้าถึงรถยนต์ทุกรุ่นเหมือนกันทั่วประเทศ ทำให้ลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่าไม่ว่าจะซื้อรถที่ไหนก็ได้รถรุ่นที่ต้องการStep 3 “เข้าถึงราคาและข้อเสนอสุดพิเศษ”: รับข้อเสนอและราคาที่ดีที่สุดและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ โดยเริ่มจากการประเมินราคาและเลือกข้อเสนอที่ต้องการ รับใบเสนอราคา เลือกรับข้อเสนอทางการเงินและช่องทางการวางเงินจองStep 4 “เข้าสู่การจองรถ”: ยืนยันการซื้อรถผ่านเอกสารข้อตกลงการซื้อรถยนต์ รับใบจองพร้อมเลือกวันและวิธีการรับรถ หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการจัดเตรียมรถยนต์และติดต่อเพื่อยืนยันวันนัดหมายStep 5 “เข้ามาเป็นเจ้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์”: ตรวจเช็กรถยนต์โดยผู้เชี่ยวชาญ วางเงินดาวน์และรับใบกำกับภาษี เซ็นรับรถพร้อมรับประสบการณ์สุดพิเศษจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในขั้นตอนการส่งมอบ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/RDZYP58Le5S7zWmFKm3q.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="RDZYP58Le5S7zWmFKm3q.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="3"><figcaption style="margin-top: 0px;"><div style="text-align: center;">5 ขั้นตอนเป็นเจ้าของ&nbsp;เมอร์เซเดส-เบนซ์</div></figcaption></figure></div>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/kia-sales-thailand" alt="เปิดกลยุทธ์ “เกีย เซลส์ (ประเทศไทย)” กับเป้าหมายมาร์เก็ตแชร์ 5% เปิดโชว์รูมครบ 100 สาขาในปี 2028">เปิดกลยุทธ์ “เกีย เซลส์ (ประเทศไทย)” กับเป้าหมายมาร์เก็ตแชร์ 5% เปิดโชว์รูมครบ 100 สาขาในปี 2028</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เขย่าวงการยานยนต์ให้ดีลเลอร์ขายรถราคาเดียวกันทั่วประเทศ

<h2>ยอดนำเข้ารถต่างประเทศของเกาหลีใต้ในปี 2022 ทุบสถิติสูงสุดเกือบ 300,000 คัน ถือเป็นตัวเลขการนำเข้ารถยุโรปมากสุดอันดับ 8 ของโลก โดยแบรนด์ “Mercedes-Benz” มียอดขายมากสุดครองแชมป์ 7 ปีซ้อน สะท้อนค่านิยมคนในประเทศเรื่องความสำเร็จ ภาพลักษณ์ และความหรูหรา </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สมาคมผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายรถยนต์เกาหลี Korea Automobile Importers and Distributors Association ระบุว่า ยอดขายของแบรนด์รถยนต์นำเข้าในปี 2565 มีจำนวน 283,435 คัน เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับยอดขายของปีก่อนหน้า ซึ่งหากรวมกับยอดขายรถ Tesla จำนวน 14,571 คัน (เป็นจำนวนที่สมาคมฯ ไม่ได้นับรวม) จำนวนรถยนต์นำเข้าทั้งหมดของเกาหลีใต้จะอยู่ 298,006 คัน เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากระยะ 10 ปีที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ 70% ของรถที่นำเข้าทั้งหมด เป็นแบรนด์รถยนต์ที่ผลิตในเยอรมนี ซึ่งอันดับที่ 1 ยังคงเป็น&nbsp;Mercedes-Benz&nbsp;ที่ครองยอดขายอันดับ 1 ติดต่อกันมาอย่างต่อเนื่องถึง 7&nbsp;ซ้อน โดยมียอดขาย 80,976 คัน เพิ่มขึ้น 6.3% จากปี 2564 ,&nbsp;อันดับสองเป็นของ&nbsp;BMW&nbsp;มียอดขายเพิ่มขึ้น 19.6% อยู่ที่ 78,545 คัน ขณะที่ Audi ทำยอดขายไปได้ 21,402 คัน และ Volkswagen ขายไปได้ทั้งสิ้น 15,791 คัน&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/uCyrLN51Uggw6GEmfTnd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="uCyrLN51Uggw6GEmfTnd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งยุโรป หรือ ACEA (The European Automobile Manufacturers Association) ระบุว่าในปี 2022 เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่นำเข้ายานยนต์จากสหภาพยุโรปมากที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก โดยนำเข้ารถยนต์เพิ่มขึ้นจากปี 2021 ถึง 24.9% คิดเป็น 3% ของยอดส่งออกทั้งโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คิม พิล-ซู &nbsp;ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมยานยนต์แห่งมหาวิทยาลัยแดลิม กล่าวว่า “คนเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ “ภาพลักษณ์ภายนอก” ไปจนถึง “รถยนต์” ที่เลือกใช้ จนมีคำศัพท์ใหม่ว่า ฮาชากัม (hachagam) ซึ่งเป็นความรู้สึกเมื่อคุณก้าวออกมาจากรถหรูแล้วมีคนมองมาด้วยความอิจฉา โดยเป็นการเล่นคำมาจาก ซึงชากัม (seungchagam) ซึ่งหมายถึงระดับความสะดวกสบายที่คุณรู้สึกได้ขณะขับรถ&nbsp;นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนเกาหลีจึงเลือกใช้แบรนด์รถยนต์นำเข้ามากกว่ารถยนต์ของเกาหลีใต้&nbsp;เพราะต้องการได้รับความสนใจจากผู้อื่น”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม แม้รถยุโรปจะเติบโตมากขึ้นในเกาหลีใต้&nbsp; แต่ถ้ามองไปที่ “ความพึงพอใจ” ในเรื่องของแบรนด์จากการสำรวจของหนังสือพิมพ์ Korea Economic Daily ที่สอบถามผู้ขับขี่ 1,100 คนในรถยนต์นำเข้าที่ขายดีที่สุด 15 อันดับของเกาหลีใต้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 พบว่า ชาวเกาหลีใต้ยกให้ “Lexus” แบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมียมของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง&nbsp;Toyota Corp.&nbsp;เป็นแบรนด์ที่มีบริการหลังการขายที่ดีที่สุดในบรรดารถยนต์นำเข้าในเกาหลีใต้ ด้วยคะแนน 73.61% คะแนนเต็ม 100 รับคะแนนสูงสุดในด้านความพึงพอใจของผู้บริโภค สำหรับการระบุปัญหาที่แม่นยำและบริการซ่อมแซมที่รวดเร็ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ Lexus สามารถขึ้นมาอันดับ 1 ในการสำรวจดังกล่าว หลังจากการสำรวจคราวที่แล้วรั้งอันดับ 2 ส่วนอันดับที่ 2 ในการสำรวจครั้งนี้ตกเป็นของ Volvo จากสวีเดน ด้วยคะแนน 75.3% และตามมาด้วย Porsche แบรนด์รถสปอร์ตสัญชาติเยอรมัน 74.4%&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/Mqg4DmdN6NDnLtnni5j1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Mqg4DmdN6NDnLtnni5j1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจในครั้งนี้สวนทางกับค่านิยมของคนเกาหลีที่นิยมรถยนต์จากเยอรมนี โดย Mercedes-Benz หล่นไปอยู่อันดับที่ 5 ด้วยคะแนน 73.6 ตกจากอันดับ 3 ในการสำรวจครั้งที่ผ่านมา ส่วน Audi ตกลงไป 2 อันดับมาอยู่อันดับที่ 12 ด้าน BMW อยู่อันดับที่ 13 ขณะที่ Volkswagen และ Peugeot อยู่ครองอันดับที่ 14 ร่วมกันซึ่งเป็นอันดับที่ต่ำที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อี ฮยอง-แจ ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยกุกมิน (Kookmin University) และหัวหน้าคณะกรรมการประเมินกล่าวว่า&nbsp;การที่แบรนด์ที่ขาดศูนย์บริการและช่างซ่อมบำรุงในเกาหลีสร้างผลกระทบต่อความพึงพอใจของผู้บริโภค ทั้งนี้&nbsp;เมื่อถามคนเกาหลีใต้ว่าต้องการ “รถยนต์ไฟฟ้า” หรือ EV แบรนด์ใดมากที่สุด พบว่าอันดับ 1 เป็นของ Tesla ที่ 18.3% ตามมาด้วย Mercedes-Benz ที่ 17.3% นอกจากนี้ ยังพบว่าราวครึ่งหนึ่งของผู้ที่เป็นเจ้าของรถแบรนด์ต่างประเทศในเกาหลีใต้ตั้งใจจะซื้อ EV ภายใน 5 ปีข้างหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับยอดขายของแบรนด์รถยนต์จากต่างประเทศในปีนี้ ศาสตราจารย์พิล-ซู กล่าวเพิ่มเติมว่า อาจจะทำยอดขายไม่ได้มากเท่ากับปีที่แล้ว เนื่องจากปีนี้ไม่มีอานิสงส์ของความต้องการรถยนต์ที่เอ่อล้นในยุคโควิด-19 มาช่วยเหมือนปีก่อน อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้ การกู้เงินเพื่อซื้อรถแพงขึ้นและยากมากขึ้น ซึ่งจะมีเพียงผู้ผลิตรถยนต์ระดับท็อปเท่านั้นที่สามารถเติบโตได้แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/other/property/marketing/news/sc-%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87-cobe-%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%AF-new-brand-%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%87-%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%B5-%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%8F%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C" alt="SC ส่ง “COBE” คอนโดฯ New Brand เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ดึง “พีพี-กฤษฏ์” เป็นพรีเซนเตอร์">SC ส่ง “COBE” คอนโดฯ New Brand เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ดึง “พีพี-กฤษฏ์” เป็นพรีเซนเตอร์</a>​ <hr class="__se__solid"><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“เกาหลีใต้” นำเข้ารถยุโรปอันดับ 8 ของโลกปี 2022 “Mercedes-Benz” ครองแชมป์ 7 ปีซ้อน สะท้อนภาพลักษณ์ความหรูหรา 

<h2>รถยนต์ Mercedes-Benz รุ่น SLR Stirling Moss ปี 2010 ที่สุดแห่งของสะสมหายากที่เหล่าคนรักรถและหลงใหลในซูเปอร์คาร์ต่างจับตาเตรียมเปิดให้มีการประมูลผ่าน Sothebys วันที่ 31 มกราคมนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ที่หลงใหลในเรื่องของความเร็วและอยู่ในแวดวงการรถซูเปอร์คาร์ก็คงจะรู้ดีว่าเครื่องยนต์ที่มีพลังแรงและดีไซน์แบบใดที่จะทำให้คุณมีความสนใจจนถึงขั้นเอ่ยวาจาออกมาได้ว่า “ฉันไม่เคยเห็นอะไรที่ควรค่าแก่การสะสมเช่นนี้มาก่อน” หลังจากนั้นก็จะมีคนอื่นๆ ที่สนใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าในแบบเช่นเดียวกันจนคุณเองยังรู้สึกตื่นตะลึงจนหัวใจเต้นระรัว งั้นเรามาเริ่มเจรจากันเลยดีกว่า "ตกลงว่ารถคันนี้ราคาเท่าไร"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รถหรูแบรนด์ดัง อย่าง Mercedes-Benz รุ่น SLR Stirling Moss ปี 2010 คันนี้คือหนึ่งในเจ็ดสิบห้าคันทั่วโลกที่เหล่านักสะสมไม่ควรพลาดและยังถือเป็นหนึ่งใน Ultra rare ที่สุดแห่งความหายากซึ่งจะมีการเปิดให้ประมูลผ่านบริษัท Sothebys ในวันที่ 31 มกราคมนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สิ่งแรกที่คุณควรรู้ก่อนที่จะมีการเปิดประมูล คือ รถยนต์รุ่น SLR หรือ Sport Light-Racing ที่มีน้ำหนักเบาแบบ 2 ที่นั่ง เวอร์ชั่นนี้มีการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2009 ในงาน American International Auto Show ณ เมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา และยังถือเป็นหนึ่งในยานพาหนะที่มีความสมบูรณ์แบบเป็นอย่างมากโดยปราศจากความสงสัย <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/01/hNNBa4JjLfCjD2bzCW2e.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="hNNBa4JjLfCjD2bzCW2e.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รถคันดังกล่าวถูกผลิตขึ้นโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่า “จะเป็นพาหนะที่พุ่งทะยานไปด้วยความเร็วสูงสุดและยังสร้างความสนุกเร้าใจไปตลอดเส้นทางขับขี่นับตั้งแต่มีการผลิตรถยนต์เปิดประทุนรุ่น CLK และ GTR เป็นต้นมา" และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองแห่งชัยชนะของรถ Mercedes-Benz รุ่น 300 SLR Uhlenhaut Coupe ที่มีความเร็วประดุจบินได้ด้วยกำลังแรงสูงสุดถึง 302 แรงม้า อีกทั้งยังทำลายสถิติด้วยการคว้าแชมป์ Mille Miglia และแชมป์ Grand Prix ในปี 1955 จากฝีมือการขับขี่ของนักแข่งรถ Formula One ชื่อดังชาวอังกฤษ อย่าง Stirling Moss และผู้ช่วยของเขา Denis Jekinson &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการก็ได้กระแสตอบรับที่ดีในทันที ยกตัวอย่าง เช่น นิตยสารรถยนต์ที่ได้ทดสอบสมรรถนะของเครื่องยนต์รุ่นดังกล่าวในปี 2009 และยังเปรียบเทียบให้เห็นถึงประสบการณ์การความเร็วจากการเหยียบคันเร่งว่า “เสมือนยืนอยู่บนปลายปีกของเครื่องบินโบอิ้ง 747 ซึ่งถือเป็นเครื่องบินโดยสารที่มีความเร็วสูงและใหญ่ที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกทั้งยังสามารถทำความเร็วได้ 0-100 ไมล์ต่อชั่วโมงที่ 3.5 วินาที และความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 219 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งผู้ที่สามารถขับขี่ด้วยความเร็วสูงประหนึ่งเครื่องบินเหาะขนาดนี้ได้จะต้องมีกล้ามเนื้อคอที่แข็งแรงด้วย <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/01/6FW2HfpBVadnQbi4bjZV.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="6FW2HfpBVadnQbi4bjZV.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ประสิทธิภาพของความเร็วดังกล่าวมาจากเครื่องยนต์ AMG V-8 ซูเปอร์ชาร์จ 641 bhp ขนาด 5.5 ลิตร แบบเดียวกับที่ขับเคลื่อนรถรุ่น SLR 722 Edition นอกจากนี้ รถยังมีขนาดน้ำหนักเบาขึ้นถึง 440 ปอนด์ เป็นผลจากการลดสิ่งอำนวยความสะดวกภายในตัวรถที่ไม่จำเป็นทิ้งไปซึ่งรวมถึงกระจกรถและหลังคารถ รวมถึงการบุกเบิกนำสไตล์ Speedster เข้ามาใช้และนำคาร์บอนไฟเบอร์มาเป็นส่วนประกอบของโครงรถด้านนอกและด้านล่างตามหลักการของ aerodynamic เพื่อการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดได้อย่างสมบูรณ์แบบและเพิ่มประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับกว่าถึงสิบเท่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รถยนต์ SLR Stirling Moss คันนี้ได้รับการจดทะเบียนครั้งแรกในประเทศเยอรมนี ปี 2010 หลังจากนั้นได้ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีเสมือนใหม่โดยเจ้าของเพียงรายเดียวซึ่งมีใช้งานน้อยมากเพราะมีระยะทางขับขี่เพียงแค่ 93 ไมล์เท่านั้น โทนสีของตัวรถคือ สีเงินเมทาลิกทั้งคันตามแบบฉบับรุ่น 300 SLR ที่ทำลายสถิติจนโด่งดังในปี 1955 ขณะที่ภายในตัวรถตกแต่งด้วยหนังแท้สีแดงและดำให้ความโฉบเฉี่ยวทันสมัย <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/01/KYvtPRJeZPwDawjcHjz9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="KYvtPRJeZPwDawjcHjz9.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp; &nbsp; ซูเปอร์คาร์แบรนด์ดังต่างได้รับแรงบันดาลใจจาก SLR Stirling Moss หลายราย โดยหันมาผลิตรถยนต์สไตล์ "Speedster" ตามแบบต้นฉบับ Mercedes-Benz ยกตัวอย่าง เช่น McLaren Elva, Ferrari SP1 และ SP2 และ Aston Martin V12 Speedster&nbsp; &nbsp;&nbsp;บริษัทผู้เปิดประมูล Sothebys คาดการณ์ว่ารถหรูสมรรถนะเยี่ยมที่ผ่านการใช้งานมาน้อยมากและสภาพยังดูเสมือนใหม่ควรค่าแก่การสะสมเช่นนี้จะสามารถสร้างรายได้จากการประมูลอยู่ที่ 3.26 - 4.35 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แปลและเรียบเรียงจากบทความ Ultra-Rare 2010 Mercedes-Benz SLR Stirling Moss Up For Auction เผยแพร่บน forbes.comอ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/tesla-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81-3-6-%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%8D-%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95-tesla-giga-nevada" alt="Tesla เทเงินอีก 3.6 พันล้านเหรียญ ยกระดับการผลิต Tesla Giga Nevada">Tesla เทเงินอีก 3.6 พันล้านเหรียญ ยกระดับการผลิต Tesla Giga Nevada</a>​ <hr class="__se__solid">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine?mibextid=LQQJ4d" alt="Forbes Thailand Magazine">Forbes Thailand Magazine</a>​

Rare Item "SLR Stirling Moss" ปี 2010 เปิดประมูล 31 มกราคมนี้

<h2>เมอร์เซเดส-เบนซ์ เผยเบื้องหลังการทำตลาดรถยนต์สมรรถนะสูง "เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี” ในไทย เผยสิ้นปี 61 ที่ผ่านมาโต 300% หลังปั้นแบรนด์เกือบ 2 ปี</h2>
Roland Folger ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงยอดขายที่เติบโตกว่า 300% หลังจากเปิดตัวแบรนด์อย่างเป็นทางการเมื่อปลายปี 2560 ส่วนสำคัญคือการใช้กลยุทธ์ “Customer Centric” (คัสตอมเมอร์ เซ็นทริค) เน้นให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครอบคลุมมากที่สุด และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี

นับย้อนไปเมื่อปลายปี 2560 หลัง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ดึง เอเอ็มจี มาทำตลาดตอบโจทย์กลุ่มคนรักรถยนต์สมรรถนะสูง ปัจจุบันได้เปิดตัวเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีไปแล้ว 19 รุ่น ครอบคลุมรถในหลากหลายเซกเมนต์และราคา และมีจำหน่ายในไทยเป็นจำนวน 17 รุ่น

แม้ไม่สามารถเปิดเผยจำนวนยอดขายในประเทศไทยได้ แต่ตัวเลขจำนวน 120,000 คัน จากทั่วโลกที่ Roland ได้สะท้อนถึงการเติบโตของเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี โดยมียอดขายอันดับหนึ่งจากสหรัฐฯ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และกลุ่มประเทศจากยุโรป ตามลำดับ พร้อมเผยว่า ญี่ปุ่น เป็นตลาดที่น่าสนใจและมีการเติบโตในกลุ่มคนที่ต้องการครอบครองรถยนต์สมรรถนะที่ต้องจับตามอง

<figure><img class="wp-image-15070 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/Roland-Folger-benz-Thailand.jpg" alt="" width="800" height="480" /><figcaption> Roland Folger ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>

ความจริงจังของการพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูงนั้นถือว่าอยู่ในสายเลือดในทุกค่ายรถจากประเทศเยอรมันนี อย่างการแข่งขัน Deutsche Tourenwagen Masters หรือ DTM ทัวนาเม้นท์การแข่งรถสูตรที่มีค่ายรถยนต์อาทิ AUDI, BMW และ เมอร์เซเดส-เบนซ์ แม้ต้นปีที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะประกาศถอนตัวจากการแข่งขัน DTM เพื่อมาเดินหน้าพัฒนารถแข่งฟอร์มูล่าวันไฟฟ้าก็ตาม

ปรัชญาหลักในการผลิตเครื่องยนต์ที่ Roland เล่าให้ฟังที่ว่า “One man, One Engine” คือการประกอบและปรับจูนรถยนต์ด้วยช่างฝีมือเพียงคนเดียว โดยจะมีลายเซ็นต์ของช่างที่ฝาครอบเครื่องเพื่อเป็นการรับรองคุณภาพ ซึ่งในรถที่ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี จัดจำหน่ายจะมีเพียงรุ่น Mercedes-benz AMG GT 63 เพียงรุ่นเดียวที่ประกอบและปรับจูนตามปรัชญาดังกล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-15088" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/handcrafted-mercedes-benz-engine.jpg" alt="" width="715" height="358" />

แม้จะมีเพียงรถยนต์รุ่นเดียวที่สร้างแบบ “One man, One Engine” และวางจำหน่าย แต่รถทุกรุ่นที่ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ผลิตเป็นรถยังคงเชื่อมั่นได้ว่ามีสรรถนะการขับขี่ที่ดีและคงจิตวิญญาณนักแข่งไว้ภายในซึ่งรถยนต์แทบทุกคลาสและเป็นการวางแผนล่วงหน้ายาวนานถึง 7 ปี “เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี”ทั้ง 19 รุ่น เป็นทั้งรถนำเข้าและจดประกอบในไทย ซึ่งปี 2561 เป็นครั้งแรกที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทยสามารถประกอบเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในรุ่น C 43 4MATIC Coupe และปัจจุบันประกอบได้แล้วถึง 5 รุ่น

“การประกอบรถยนต์เองในประเทศทำสามารถแข่งขันด้านราคาและเพิ่มความหลากหลาย ผู้บริโภคในเมืองอย่างกรุงเทพฯ บางรายไม่ได้ต้องการสมรรถนะหรือเครื่องยนต์ที่แรงม้าสูงเพื่อสอดคล้องกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เราก็มีเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีในรุ่นที่เล็กลงมาเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น และเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีทำให้อายุผู้บริโภคของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เด็กลงอีกราว 5 ปี”

<img class="alignnone wp-image-15052 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/MBTh_Mercedes-AMG-portfolio-update-01.jpg" alt="รุ่น &quot;เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี” ในไทย" width="800" height="450" />

นอกจากนี้จุดแข็งสำคัญคือตัวแทนการขายและการบริการ Roland กล่าวว่า ตัวแทนการขายทั้ง 14 ราย ในปัจจุบันครอบคลุมการขายและบริการตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้ ซึ่งหากเกิดปัญหาระหว่างเส้นทางทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าจะมีฝ่ายบริการเข้าไปอำนวยความสะดวก โดยดีลเลอร์ทุกรายต้องผ่านการฝึกอบรมเพื่อให้เข้าใจรถยนต์อย่างแท้จริง เพราะปัจจุบันกลุ่มลูกค้าที่เดินเข้าโชว์รูมล้วนทำการบ้านมาอย่างดีเพิ่มประกอบการตัดสินใจซื้อ

Roland กล่าวทิ้งท้ายถึงความสำเร็จของยอดขายก้าวกระโดดกว่า 300% มาจากแนวคิดของ Ola Källenius ประธานคณะกรรมการบริหาร Daimler AG และ หัวหน้ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากรถแข่งสู่รถยนต์บนท้องถนนโดยมีแบรนด์มอร์เซเดส-เอเอ็มจีเป็นจุดขายที่สามารถนำจิตวิญญาณ “one man one engine” สู่เครื่องยนต์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ให้ผู้รักรถยนต์สมรรถนะสูงไทยได้ขับขี่ได้

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เผยความสำเร็จ “เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี”

<h2>เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) เปิดตัวรถยนต์ The E 350 e 3 รุ่นล่าสุดภายใต้แบรนด์ “EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz” ภายหลังการเปิดตัว S Class C Class และ GLA เมื่อต้นปี 2559 ผ่านมา คาดสัดส่วนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไตรมาสสองเติบโตที่ 40%</h2>
ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เมอร์เซเดส-เบนซ์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านยนตรกรรมไฟฟ้าที่ครบครันมากที่สุดอีกครั้งด้วยการนำเสนอรถยนต์รุ่นล่าสุดภายใต้แบรนด์ EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz อย่าง The E 350 e ยนตรกรรมเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดที่มาเติมเต็มพอร์ทโฟลิโอของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในกลุ่ม Contemporary Luxury Sedanให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น หลังจากที่ได้เปิดตัว The S 500 e และ The C 350 e ให้คนไทยได้สัมผัสเมื่อต้นปี 2559 ที่ผ่านมา”

ภายใต้แบรนด์ EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz ของรุ่น The E 350 e อีก 3 รุ่น ทำให้ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจาก เมอร์เซเดส-เบนซ์ เพิ่มเป็น 12 รุ่น หลังจากที่ได้เปิดตัว 9 รุ่น อย่าง C 350 e Avantgarde, C 350 e Exclusive, C 350 e AMG Dynamic, C 350 e Estate, S 500 e Executive, S 500 e Exclusive, S 500 e AMG Dynamic, GLE 500 e 4MATIC Exclusive และ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic เมื่อต้นปี 2559

ทั้งนี้ยอดขายในปี 2559 เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำนวน 4,414 คัน ทั้งนี้สำหรับยอดขายเฉพาะเดือนเมษายนที่ผ่านมา หากเปรียบเทียบกับปี 2559 มีตัวเลขการเติบโตถึง 75% ที่จำนวน 1,236 คัน โดยยอดขายที่มาจากสัดส่วน 65-70% จากตัวแทนจัดจำหน่ายกรุงเทพฯ ปริมณฑล โดยภายไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ฯ คาดยอดขายการเติบโตของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดอยู่ที่ราว 40%

ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ เปิดเผยเพิ่มเติมถึงแบรนด์ EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ดูแลด้านนวัตกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ทางด้านนวัตกรรมพลังงานไฟฟ้ารวมถึงระบบการเชื่อมโยงต่างๆ ผ่านมัลติมีเดียผ่านหน้าจอแสดงผล

ด้านสถานีชาร์ตพลังงานไฟฟ้า ฟรังค์ กล่าวเพิ่มเติมไว้ว่า ปัจจุบัน EQ Station ให้บริการ 3 จุด ได้แก่ ห้างเซ็นทรัลเวิร์ด, สยามพารากอน, พาราไดซ์ พาร์ค และด้วยความร่วมมือกับ 32 ตัวแทนจำหน่ายของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ติดตั้งจุด EQ Station มากกว่า 100 สาขาทั่วประเทศ

ทั้งนี้ Mercedes-Benz E 350 e นอกจากเครื่องยนต์ที่เป็นส่วนผสมระหว่างพลังานเชื้อเพลิงพื้นฐานและพลังงานไฟฟ้าแล้ว The E 350 e มาพร้อมกับระบบ “Mercedes-Benz Intelligent Drive” เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด อาทิ รวมถึงระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า และระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาที่นำได้ตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในรถยนต์รุ่นนี้อีกด้วย โดยราคาเริ่มต้นที่ The E 350 e Avantgarde ราคา 3,490,000 บาท, The E 350 e Exclusive ราคา 3,790,000 บาท และ The E 350 e AMG Dynamic ราคา 4,090,000 บาท

<img style="width: 680px; height: 383px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/841cf4e9e4f20f47083836b08c0692fe.png" alt="" />

<img style="width: 680px; height: 383px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2bff146f98a61924e21cc37ae044396e.png" alt="" />

<img style="width: 680px; height: 383px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e508053d10666450e8baace95179123d.png" alt="" />

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/b70cfe204c6dafaa974aa7a7e933278e.png" alt="" />

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัวรถยนต์ The E 350 e ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นล่า สุดภายใต้แบรนด์ EQ

<h2>ในขณะที่ยักษ์ใหญ่ในแวดวงยานยนต์แทบทุกค่ายต่างก็มุ่งพัฒนายานยนต์ไร้คนขับ (self-driving car) แต่ไม่ใช่ Mazda เพราะ CEO อย่าง Masamichi Kogai เชื่อว่ายังมีคนอีกมากมายในโลกนี้ที่ชื่นชอบการได้นั่งหลังพวงมาลัยและเพลิดเพลินไปกับการขับรถ</h2>
Mercedes-Benz, Cadillac, Volvo รวมถึง Google, Tesla และลือกระทั่งว่า Apple ด้วย ต่างก็แข่งขันกันเพื่อที่จะปลิดความสนุกในการขับรถไปจากบรรดาผู้ใช้รถในปัจจุบัน โดยค่ายรถส่วนใหญ่บอกว่าภายในห้าปีจะผลิตรถที่มีการพัฒนาระบบอัตโนมัติขั้นสูงที่สามารถจะเคลื่อนที่ได้เองทั้งในการจราจรแบบที่ต้องวิ่งๆ หยุดๆ และบนถนนหลวงโดยไม่ต้องอาศัยคนขับ เมื่อไม่นานมานี้ ค่าย Volvo เพิ่งจะเปิดตัว Time Machine ห้องโดยสารแห่งอนาคตซึ่งจะมีจอแบนขนาด 25 นิ้วเคลื่อนออกมาแทนที่พวงมาลัยซึ่งจะหดเข้าไป ในขณะที่เบาะคนขับเอนราบลงไป ส่วน Google ก็กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนายานยนต์ไร้คนขับที่ไม่มีแม้แต่พวงมาลัยหรือคันเร่ง

นี่คืออนาคตที่กำลังจะมาถึง ซึ่ง Elon Musk CEO ของ Tesla ทำนายว่าในอนาคต “รถคันไหนก็ตามที่ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองจะมีมูลค่าติดลบ”

แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะมีมุมมองเหมือนกับ Musk “มันไม่ใช่แค่การเดินทางจากจุด A ไปยังจุด B”Masamichi Kogai CEO ของ Mazda บอก เขาอาจจะเป็นผู้นำของค่ายรถแถวหน้าเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้กำลังพัฒนายานยนต์ไร้คนขับ “พันธกิจของเราคือการสร้างความพึงพอใจในการขับรถ”โดยเขาบอกอีกว่า “สำหรับผมแล้ว การขับรถก็เหมือนกับการอยู่บ้านนั่นแหละ...ทันทีที่ผมเข้ามาอยู่ในรถ ไม่มีใครจากโลกภายนอกจะมารบกวนผมได้ ผมอาจจะขับไปที่ทะเลสาบ หรือขึ้นภูเขา ผมไม่รู้หรอกว่าผมจะไปไหนจนกว่าผมจะไปถึงที่นั่นแล้ว”

Kogai มี road map ที่ชัดเจนสำหรับอนาคตของค่าย Mazda ซึ่งในอดีตต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อตามคู่แข่งอย่าง Toyota และ Nissan ให้ทัน จนถึงขั้นเกือบล้มละลาย และต้องประสบภาวะขาดทุนถึงหลายพันล้านเหรียญในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 ต่อจากนั้น Ford Motor ซึ่งถือหุ้น Mazda ในสัดส่วนไม่มากนักมาตั้งแต่ปี 1979 ก็ได้กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดโดยมีหุ้น 33% และกุมอำนาจบริหารกิจการ แต่เมื่อเกิดวิกฤตการเงินโลกขึ้นในปี 2008 Ford ก็ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน Mazda ลงเหลือ 14% และเมื่อถึงปี 2010 ก็ตัดขายส่วนที่เหลือทั้งหมดออกไป เมื่อถูก Ford ขายทิ้งในขณะที่ผลประกอบการยังขาดทุนอย่างหนัก Mazda จึงเคว้งคว้าง และขาดทุนต่อไปอีกเกือบ 3 พันล้านเหรียญในช่วงปี 2009-2012

<figure><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%20march/Art-Mazda.jpg" alt="" width="720" height="475" /><figcaption> Masamichi Kogai ถ่ายภาพคู่กับ Takashi Yamanouchi ประธาน Mazda Moter</figcaption></figure>

Mazda ถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องปรับกระบวนคิดในทุกด้านของธุรกิจ ตั้งแต่วิธีการออกแบบรถ และกระบวนการทางวิศวกรรม เรื่อยไปจนถึงวิธีการประกอบรถยนต์ ในช่วงนั้น Kogai รับหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายผลิต และต่อมาก็ก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง CEO ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา โดยเขาได้ทำการยกเครื่องระบบการผลิตทั้งหมดของ Mazdaใหม่ ปิดสายการผลิตที่ Michigan และเปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่ซึ่งมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าที่เม็กซิโก และร่วมลงทุนตั้งโรงงานขึ้นในรัสเซีย และเวียดนาม แต่การลดต้นทุนเพียงอย่างเดียวยังไม่สามารถแก้ปัญหาของ Mazda ได้

แทนที่จะออกแบบรถทีละคัน แล้วให้ทีมงานฝ่ายผลิตหาวิธีว่าจะผลิตรถออกมาอย่างไร Mazda หันมาใช้วิธีระดมความคิดของทีมงานจากทุกแผนก ทั้งนักออกแบบ วิศวกร ซัพพลายเออร์ พนักงานจัดซื้อ และผู้ชำนาญด้านการผลิต แล้วมาออกแบบสายการผลิตสำหรับอนาคตอีก 5-10 ปีข้างหน้าด้วยกัน

ปัญหาที่ยากเย็นที่สุดที่ทีมงานต้องร่วมกันขบคิดคือ ทำอย่างไรถึงจะสามารถผลิตรถ Mazda ที่ขับสนุกและยังเป็นไปตามมาตรฐานการประหยัดน้ำมันที่เข้มงวดขึ้นกว่าเดิม โดยปราศจากงบสำหรับการวิจัยและพัฒนารถไฮบริดหรือรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า

Mazda ได้เปลี่ยนจุดอ่อนนี้มาเป็นจุดแข็ง ด้วยการเปลี่ยนมุมคิดแบบเดิมๆ ด้วยการตั้งทฤษฎีว่า บริษัทสามารถที่จะบรรลุเป้าหมายได้ด้วยการใช้เครื่องเบนซิน แม้ว่าจะต้องมีการปรับแบบกันอย่างยกใหญ่ก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ทีมงานของ Mazda จึงทำการพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่หมด ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพการจุดระเบิดสูงจนถึงระดับที่ไม่มีผู้ผลิตรถยนต์รายใดกล้าทดลอง เนื่องจากกลัวว่าจะทำให้เครื่องน็อค แต่เนื่องจาก Mazda เริ่มกระบวนการออกแบบใหม่ทั้งหมด ดังนั้นจึงสามารถชดเชยด้วยการออกแบบระบบการปล่อยไอเสีย แชสซี และตัวถังใหม่ทั้งหมด ซึ่งทำให้ได้เครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพตามต้องการ โดยประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น 15% เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์รุ่นก่อน และก็มีการนำไปใส่ไว้ในรถรุ่นใหม่ๆ

ในการออกแบบและผลิตเครื่องยนต์ตัวใหม่นี้ Mazda ได้ออกหุ้นใหม่และกู้เงินรวม 2.7 พันล้านเหรียญในปี 2012 ซึ่งถือเป็นเดิมพันครั้งใหญ่สำหรับบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่งในการที่จะพยายามแข่งขันกับคู่แข่งที่ใหญ่กว่าในตลาดโลก
แต่ก็ปรากฏว่าวิธีนี้ได้ผล เพราะมันทำให้ Mazda สามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้ในช่วงสามปีที่ผ่านมา

หลังจากที่ประสบปัญหาหนักหลังจากที่ถูก Ford ขายทิ้ง ในปีงบประมาณที่สิ้นสุด 31 มีนาคม 2015 Mazda มีกำไรสุทธิ 1.3 พันล้านเหรียญ และมีรายได้ 2.5 หมื่นล้านเหรียญ โดยที่ยอดขายรถเพิ่มขึ้น 12% จากปี 2012

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%20march/Ar--Mazda.jpg" alt="" />

นอกจากนี้ เมื่อปี 2011 Mazda หยุดผลิตรถรุ่น RX-8 ซึ่งขายไม่ดี ก็มีคนออกมาส่งเสียงคัดค้านกันมาก แต่ Kogai ก็ทำให้สาวกของรถสปอร์ต Mazda เริ่มใจชื้นขึ้นอีกครั้ง โดยในงานมอเตอร์โชว์ที่โตเกียวเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เขาได้เปิดตัว RX-Vision ซึ่งเป็นแนวคิดการผลิตรถสปอร์ตที่ทำให้แฟนๆ รถ Mazda ถึงกับน้ำลายหก ซึ่งเมื่อถูกถามว่า Mazda จะสร้างรถที่ว่านี้ออกมาจริงๆ หรือเปล่า Kogai ก็ยิ้มและตอบแบบเขินๆ ว่า “เครื่องยนต์แบบเดียวที่ผมคิดว่าจะใส่ในรถคันนั้นได้ก็คือเครื่อง rotary เท่านั้น”เชื่อได้เลยว่าถ้า Mazda ผลิตออกมาขายจริงล่ะก็ คงมีแฟนๆ ต่อคิวรอซื้อกันเพียบ

&nbsp;

เรื่อง: Joann Muller เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา

<hr />

<a href="http://goo.gl/5KbXgP">คลิ๊กอ่าน "หวนคืนสู่อดีตเพื่ออนาคต" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ MARCH 2016 ได้ในรูปแบบ E-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/5KbXgP"><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%20march/cover-forbes-march2016-re.jpg" alt="" width="331" height="433" /></a>

หวนคืนสู่อดีตเพื่ออนาคต

<h2>แม้ย่างเข้าหน้าฝน อุณหภูมิในตลาดรถยนต์นั่งระดับหรูของไทยยังร้อนแรง เพราะค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง ทั้ง Mercedes Benz และ BMW  ต่าง “จัดหนัก” ทั้งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้งปรับราคาจำหน่ายแบบปะทะกันแบบรุ่นต่อรุ่น อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ในปีนี้ถือว่าเป็นปีทองของผู้บริโภคที่มีรสนิยมเลิศหรู</h2>
ล่าสุด ค่ายใบพัดฟ้าขาวเปิดตัว BMW Series 5 ไมเนอร์เชนจ์ แถมจัดชุดแต่ง M-Sport กระโดดลงมาสู่สมรภูมิรถยนต์นั่งพรีเมียมขนาดกลางอย่างเต็มตัว ขนเรียงหน้ามาครบทุกรุ่นตั้งแต่ 520i ,520d ,528 Luxury, 525d M Sport และ BMW ActiveHybrid 5 M Sport โดยมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 3.349 ล้านบาท ในรุ่น 520i ไปจนถึง 5.559 ล้านบาท ในรุ่น ActiveHybrid 5 M Sport เป็นราคาที่ลดลงมาจากรุ่นก่อนสูงสุด 2 แสนบาท  ด้วยเหตุผลว่าได้ปรับลดออปชั่น "ที่ไม่จำเป็น" ออกไป แต่หากมองกันลึกๆ การลดราคาของ BMW ก็เพื่อที่จะแข่งกับ Mercedes Benz E-Class ที่ปรับหน้าตาใหม่หมดจดไปเมื่อช่วงต้นปี

Forbes Thailand ได้รับเทียบเชิญเพื่อทดลองขับรถยนต์ BMW Series 5 ใหม่ ในเส้นทางกรุงเทพ-อุดรธานี พร้อมไปเปิดโชว์รูมหรู และศูนย์บริการใหม่มูลค่ากว่า 70 ล้านบาทที่จังหวัดอุดรธานี โดยบริษัท ณัฐ บาวาเรียน มอเตอร์ จำกัด

&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events