<h2>บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้งจำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ได้จัดงาน Exclusive Interview อัปเดตความคืบหน้าของธุรกิจ โดยทีมงาน Forbes Thailand ได้รับเกียรติให้เป็น 1 ในสื่อที่ได้ร่วมทำการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ ถึงแนวทางการวางกลยุทธ์การตลาดและแผนในการขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคตทั้งระยะสั้นและระยะยาว </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้งจำกัด (มหาชน) บอกว่า ล่าสุดทางบริษัทได้ทุ่มงบการตลาดราว 50 ล้านบาท จัดงานเปิดตัวพรีเซนเตอร์ใหม่ คือ "ชมพู่ อารยา และ น้องเกล" หรือ เถ้าแก่เกล พร้อมจัดทำแคมเปญกระตุ้นยอดขายเพิ่มได้ 40% ในกลุ่มสินค้าสาหร่าย อบ ย่าง โรยหน้า ตลอดครึ่งปีหลังต่อเนื่องไปถึงปีหน้าเพื่อขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่ม Family ครอบครัว ครอบคลุมทุก segment มากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp; &nbsp; "ปัจจุบันตลาดขนมขบเคี้ยวของไทยมีมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท กลุ่มสาหร่ายรับประทานเล่นมีสัดส่วนประมาณ 10% หรือคิดเป็นมูลค่าราว 4,000 ล้านบาท ซึ่งแบรนด์เถ้าแก่น้อยครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดถึง 70% ในปีนี้ทางบริษัทจึงคาดการณ์ว่ายอดขายในประเทศจะยังเติบโตเพิ่มขึ้นในระดับเลข 2 หลัก ประมาณ 15% ขณะที่ตลาดส่งออกต่างประเทศนั้นอาจจะยังชะลอตัวลดลงเท่ากับปีก่อน ส่วนยอดขายโดยภาพรวมก็น่าทรงตัวอยู่ที่ 8,000 ล้านบาทไม่ต่างจากปีก่อนเช่นกัน ส่งผลให้เรื่องของกำไรนั้นปรับลดลงตามไปด้วยจากภาวะต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งตลอดการดำเนินธุรกิจ "เถ้าแก่น้อย" ที่ผ่านมา...เรายังไม่เคยขาดทุน เพราะมีแต่กำไรที่ปรับตัวลดลงบ้างจากปัจจัยภายนอก"&nbsp; ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/09/DW2yRtTkzzFGFxf9ey7W.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="8" data-file-name="DW2yRtTkzzFGFxf9ey7W.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ ซีอีโอ เถ้าแก่น้อย ยังเล่าให้ฟังอีกด้วยว่า&nbsp;​ปี 2024 ที่ผ่านมา ธุรกิจต้องเหนื่อยมาก โดยมีผลกระทบจากปัจจัยหลัก ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลง ส่งผลต่อกำลังซื้อของกลุ่มผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่เน้นส่งออกเป็นหลัก ได้แก่ จีน ที่ต้องระมัดระวังการใช้จ่ายและเดินทางมาเที่ยวไทยน้อยลง, ต้นทุนวัตถุดิบหลักอย่าง สาหร่ายจากเกาหลีใต้มีราคาแพงมากที่สุดในรอบ 40 ปี โดยเป็นผลจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่กระทบต่อกำลังการผลิตเกาหลีใต้ จีน และญี่ปุ่น มีจำนวนการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด&nbsp;ต่อเนื่องไปถึงนโยบายภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 19% ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนมีผลต่อยอดขาย รายได้ กำไรของบริษัทในปี 2025 และแผนธุรกิจในอนาคตทั้งสิ้น&nbsp; &nbsp; &nbsp;"เรามีสัดส่วนรายได้ราว 40% ในประเทศไทย และอีก 60% คือตลาดต่างประเทศ ซึ่งประเทศที่เราส่งออกได้มากที่สุด คือ จีน อินโดนีเซีย สหรัฐฯ มาเลเซีย และ 4 ประเทศนี้ยังครองสัดส่วนรายได้ในตลาดต่างประเทศมากถึง 70% แต่ด้วยภาวะต้นทุนของสาหร่ายดิบทีี่เพิ่มสูงขึ้นคิดเป็นราคาต้นทุนการผลิตมากถึง 40% เราจึงมีแผนปรับเปลี่ยน distributor ผู้จัดจำหน่ายเป็นรายใหม่ๆ พร้อมขยายช่องทางขายตรงไปยังห้าง Modern Trade ขนาดใหญ่ และร้านจำหน่ายขนมขบเคี้ยวรายใหญ่ของแต่ละประเทศ เพื่อกระจายสินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้นกว่าเดิม" <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/09/QoJDyqShvSx9LNcENtK3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="5" data-file-name="QoJDyqShvSx9LNcENtK3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ทางบริษัทยังมองหาช่องทางสร้างรายได้ใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งการจับมือร่วมทุนกับพันธมิตรอย่าง เมอเจอร์&nbsp;ซีนีเพล็กซ์&nbsp;ก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ บริษัท ทีเคเอ็น แอนด์ เมเจอร์ ป๊อปคอร์น จำกัด&nbsp;ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ทำการผลิตป๊อปคอร์นแบบซอง พร้อมทาน จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ&nbsp;เพื่อต่อยอดธุรกิจป๊อปคอร์นในโรงหนังขยายสู่ตลาดขนมขบเคี้ยวให้กว้างขึ้น&nbsp; &nbsp; การเข้าถือหุ้นใน CHAO หรือบริษัท เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน)&nbsp;โดยมีีแผนจะพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ร่วมกัน ในกลุ่มข้าว/แครกเกอร์ ซึ่งเจ้าสัวมีความเชี่ยวชาญในการผลิต&nbsp; &nbsp; การเข้าถือหุ้นบริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง (PM)” ผู้ผลิตปลาเส้นทาโร มูลค่า 148 ล้านบาท&nbsp;ในสัดส่วน 12.45 ล้านหุ้น (2.2% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และการร่วมทุนกับแบรนด์ “หนึ่ง นม นัว” เพื่อขยายตลาดไปยังเครื่องดื่มขนมและเบอเกอรี่มากขึ้น โดยล่าสุดได้ขยายสาขาไปยังห้างเมกา บางนา ซึ่งในอนาคตทางบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโปรดักส์ให้เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Product) เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/09/nypJGvJ1j69dostpnfW4.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="6" data-file-name="nypJGvJ1j69dostpnfW4.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/09/68i4pUsUZdJouSBSJAEd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="7" data-file-name="68i4pUsUZdJouSBSJAEd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม นอกจากการเปิดตัวพรีเซนเตอร์ใหม่ 'เถ้าแก่เกล' ในครั้งนี้แล้ว ซีอีโอ เถ้าแก่น้อย ยังแย้มบอกอีกว่า ช่วงปลายปีจะมีการเปิดตัว พรีเซนเตอร์คนใหม่ ในระดับ Global Brand ด้วยเช่นกัน รวมถึงมีแผนที่จะเปิดแบรนด์สินค้าใหม่ให้โดนใจผู้บริโภคอีกด้วย ภาพ : เถ้าแก่น้อย&nbsp;​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bay-globalmarket-july-2025" alt="กรุงศรีมอง 'การเมือง' ไม่กระทบเงินบาทมากนัก แต่ครึ่งหลังปี 68 บาทยิ่งผันผวนสูงขึ้น!"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/thai-people-are-raising-more-cats" alt="คนไทยเลี้ยงแมวมากขึ้น! เลี้ยงหมาลดลง ภาพรวมตลาดสัตว์เลี้ยงเปลี่ยนทิศทางสู่สุขภาพ ความยั่งยืน และอายุยืน">คนไทยเลี้ยงแมวมากขึ้น! เลี้ยงหมาลดลง ภาพรวมตลาดสัตว์เลี้ยงเปลี่ยนทิศทางสู่สุขภาพ ความยั่งยืน และอายุยืน</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​ ​

'เถ้าแก่น้อย' ทุ่มงบ 50 ล้าน เปิดตัวพรีเซนเตอร์ใหม่ 'เถ้าแก่เกล' พร้อมจัดแคมเปญกระตุ้นยอดขายเจาะกลุ่มครอบครัวเพิ่ม 40%

<h2>บางกอกแอร์เวย์ส อวดผลงานครึ่งแรกปี 68 รายได้ 13,530 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,092 ล้านบาท ให้บริการผู้โดยสาร 2.2 ล้านคน </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,735.1 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงาน 895.0 ล้านบาท ให้บริการผู้โดยสารจำนวน 0.9 ล้านคน ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราขนส่งผู้โดยสารอยู่ที่ร้อยละ 69.6 และมีผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 405.7 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทฯ ให้บริการผู้โดยสาร 2.2 ล้านคน มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,238.6 ล้านบาท และมีผลกำไรสุทธิสำหรับช่วงครึ่งปีแรก 2,091.8 ล้านบาท โดยมีกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ 2,076.6 ล้านบาท และมีผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.99 บาท&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 2 ของปี บริษัทฯ ได้รับรางวัลสกายแทร็กซ์ (Skytrax World Airline Awards) จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ สายการบินระดับภูมิภาคที่ดีที่สุดในโลก (World’s Best Regional Airline) และสายการบินระดับภูมิภาคที่ดีที่สุดในเอเชีย (Best Regional Airline in Asia) ประจำปี 2025 เป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน แสดงถึงความมุ่งมั่นในการมอบการบริการที่ประทับใจและความเป็นเลิศที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมการบินโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ บริษัทฯ และ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent: LOI) ความร่วมมือในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuels : SAF) โดยผู้ผลิตภายในประเทศเป็นครั้งแรกของประเทศไทย สำหรับใช้ปฏิบัติการบินในเที่ยวบินของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ตอกย้ำเป้าหมายการเติบโตที่ยั่งยืน ภาพ :&nbsp;บางกอกแอร์เวย์ส เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/thai-airways-first-day-of-trading-at-10-50-baht-after-successful-rehabilitation" alt="'การบินไทย' กลับเข้าตลาดหุ้นวันแรกด้วยราคาเปิด 10.50 บาท คาดหากทำกำไรสุทธิเกิน 25% สิ้นปี 68 พร้อมจ่ายปันผล">'การบินไทย' กลับเข้าตลาดหุ้นวันแรกด้วยราคาเปิด 10.50 บาท คาดหากทำกำไรสุทธิเกิน 25% สิ้นปี 68 พร้อมจ่ายปันผล</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

บางกอกแอร์เวย์ส โชว์ครึ่งแรกปี 68 รายได้ 13,530 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,092 ล้านบาท ให้บริการผู้โดยสาร 2.2 ล้านคน

<h2>LA GLACE เครื่องสำอางแบรนด์ไทยครองใจ Gen Z เตรียมเมคอัพปรับลุคให้ฉ่ำว้าว หวังเข้าตลาดหุ้นปี 72 โดยปี 68 นี้ ตั้งเป้ายอดขายแตะ 1,000 ล้าน หลังปี 66 ธุรกิจโตก้าวกระโดดจากยอดขาย 40 ล้าน พุ่งพรวดเป็น 400 ล้าน เล็งขยายฐานไปตลาดต่างประเทศด้วยการปักหมุดฮ่องกง หวังรายได้ 2,000 ล้าน จากยอดขายในไทยและการเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นจีนในปี 71 </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอมลินทร์ ธีรธนากิตติพงษ์ (ไอติม) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร&nbsp;และ ทิวาทัพพ์ ธรารักษ์อนันต์ (เฟรนฟราย) ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท ไอดีล แอนด์ มาเวลลัส เท็น จำกัด คู่รักวัยรุ่น ผู้ก่อตั้งธุรกิจเครื่องสำอางแบรนด์ไทย &nbsp;LA GLACE &nbsp;(ลา-กลาส) &nbsp;ที่นิยมมากในกลุ่มนักเรียน-นักศึกษาวัยรุ่น Gen Z เผยถึงการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาว่า ทั้งคู่ได้ร่วมกันก่อตั้งแบรนด์เครื่องสำอางค์ LA GLACE ตั้งแต่อายุ 19-20 ปี ในช่วงที่เป็นนักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/06/HkPdyYKBHroBGdDN23wC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="HkPdyYKBHroBGdDN23wC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันธุรกิจเติบโตก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 โดยมีผลิตภัณฑ์ที่เป็น Product hero ครองใจกลุ่มวัยรุ่น Gen Z หลากหลายผลิตภัณฑ์ ยกตัวอย่างเช่น&nbsp; LA GLACE DAILY TONER PADS สินค้าใหม่ที่เพิ่งจะเปิดตัวในช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา แต่มีกระแสตอบรับดีเกินคาด จากการ Live แนะนำขายสินค้าเพียงแค่ 4 ชั่วโมงก็สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 31 ล้านบาท, ถัดมาคือ บลัชดำ สินค้ายอดนิยมสำหรับแต่งเติมพวงแก้มให้มีสีสันก็ยังขายดีอย่างต่อเนื่องรวมถึงคอนซีลเลอร์ ซึ่งทั้ง 3 ตัวนี้ ช่วยสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจเป็นสัดส่วนสูงมากถึง 70%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แบรนด์ LA GLACE ณ ปัจจุบันทางบริษัทมีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์ มากกว่า 80 SKU ประกอบไปด้วยกลุ่ม Make up, Skincare และ Mask sheet โดยเหตุผลหลักที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จมาได้อย่างต่อเนื่อง ก็คือ การมุ่งพัฒนาคุณภาพให้ที่ดีที่สุด มีเอกลักษณ์สร้างความแตกต่าง และจำหน่ายในราคาที่จับต้องได้-เข้าถึงง่าย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราเริ่มธุรกิจจากการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์โดยใช้ตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์แนะนำ รีวิวสินค้า จาการทำคอนเทนต์ในรูปแบบต่างๆ นับตั้งแต่การ Live ใน TIKTOK และ IG หลังจากนั้นได้ขยายตลาดออนไลน์ไปในทุกช่องทางเพื่อให้ครอบคลุมและเข้าถึงกลุ่มลูกค้า Gen Z อีกทั้งแบรนด์ La Glace &nbsp;มีผู้ติดตามรวมทุกช่องทางออนไลน์ถึงมากถึง 1,500,000 followers และมีฐาน Affiliate (นายหน้าขายสินค้าในออนไลน์) อีกกว่า 140,000 คน” เอมลินทร์ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ธุรกิจยังขยายไปยังตลาดออฟไลน์จากการวางขายในร้านค้าปลีกและ Beauty Store ชั้นนำ &nbsp;เช่น watsons, Beautrium, EVEANDBOY, Konvy รวมทั้งใน 7-11 ด้วยเช่นกัน ทั้งหมดนี้จึงส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากข้อมูลตัวเลขในแต่ละปีที่ผ่านมาปี 2561 รายได้ 6.64 แสนบาท กำไรสุทธิ 1.45 แสนบาท&nbsp;ปี 2562 รายได้ 6.39 ล้านบาท &nbsp;กำไรสุทธิ 5.12 แสนบาทปี 2563 รายได้ 16.90 ล้านบาท &nbsp;กำไรสุทธิ 3.19 ล้านบาทปี 2564 รายได้ 13.21 ล้านบาท &nbsp;กำไรสุทธิ1.1 ล้านบาท &nbsp;ปี 2565 รายได้ 39.9 ล้าน &nbsp;กำไรสุทธิ 1.65 ล้านบาท&nbsp;ปี 2566 รายได้ 401.2 ล้านบาท &nbsp;กำไรสุทธิ 108.1 ล้านบาท&nbsp;ปี 2567 รายได้ 420 ล้านบาท &nbsp;กำไรสุทธิ 37.7 ล้านบาท &nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/06/uRDzyyQeck42jvR7kYoz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="uRDzyyQeck42jvR7kYoz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ธุรกิจมีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2566 มากถึง 1,000% ป็นผลมาจากยอดขายของสินค้าที่เป็น Product hero ที่เปิดตัวในปีดังกล่าว ก็คือ ‘บลัชดำ’ หรือ BLACK MAGIC LIP &amp; CHEEK PH BLUSH ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสามารถทำยอดขายได้มากกว่า 1.5 ล้านชิ้น ขณะที่ LA GLACE &nbsp;MINI AIRY SKIN CONCEALER คอนซีลเลอร์ที่ช่วยปกปิดริ้วรอยแบบซองก็สามารถทำยอดขายได้มากกว่า 1.5 ล้านชิ้นเช่นกัน ซึ่งในส่วนของกำไรในปี 2567 ที่ลดลงนั้น เป็นผลมาจากการนำเงินไปลงทุนต่อเนื่องในด้านต่างๆ อาทิ ฝ่าย operation การผลิต, ระบบข้อมูล Data และการขยายหน้าร้านให้เพิ่มขึ้น เป็นต้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/06/pXefXjSYAH8d4RpX2YG4.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="pXefXjSYAH8d4RpX2YG4.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับเป้าหมายของปี 2568 นี้ ทางผู้ก่อตั้งแบรนด์ยังบอกด้วยว่า ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท โดยเธอเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำยอดขาย LA GLACE DAILY TONER PADS ได้มากถึง 600-700 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์นี้ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุด ของแผ่นผ้าสำลีที่อุ้มน้ำบำรุงผิวหน้าได้มากถึง 20 เท่าของน้ำหนัก ที่ทางแบรนด์ถือลิขสิทธิ์จากเกาหลีใต้ แต่เพียงผู้เดียวในไทย และเมื่อรวมกับยอดขายของ ‘บลัชดำ’ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มียอดขายโดยรวมมากกว่าปีละ 300-400ล้านบาท ก็จะทำให้มั่นใจได้ว่ารายได้ปีนี้จะเป็นไปตามเป้าอย่างแน่นอน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"เราถือเป็น Trendsetter ของวงการ Make Up ไทย ผ่านการใช้ &nbsp;Make Up และการดูแลตัวเองตั้งแต่ขั้นตอนแรก ด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพ ที่ให้ผลลัพธ์ที่จริงใจและมีประสิทธิภาพ แบรนด์เราช่วยตอบโจทย์การแต่งหน้าทุกลุคของลูกค้าและสินค้าทุกชิ้นของ LA GLACE ต้อง support การแต่งหน้าของคนแต่งหน้าได้จริง นอกจากนี้ &nbsp;LA GLACE ยังเป็นแบรนด์เอเชียรายเดียว ที่อิงสไตล์การแต่งหน้าแบบ Underground Beauty ความสวยแบบไม่มีกรอบ นอกจากนี้ เรายังมีแบรนด์คอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่ง ทำให้สามารถเติบโตไปกับเทรนด์การแต่งหน้าได้อย่างยั่งยืน" เอมลินทร์กล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/06/rAs8S5bCEcxSEDrMuh9S.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="rAs8S5bCEcxSEDrMuh9S.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ทิวาทัพพ์ &nbsp;(เฟรนฟราย) ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดและผู้ร่วมก่อตั้ง ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยกล่าวว่า บริษัทมีแผนจะขยายตลาดไปยังต่างประเทศภายในปี 2571 โดยจุดหมายแรกที่ทางแบรนด์เลือกปักหมุด ก็คือ ฮ่องกง เพราะถือเป็น Gateway ประตูสู่ลูกค้า Gen Z ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ พร้อมตั้งเป้ายอดขายทั้งในและต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ตอนนี้เรากำลังปรับลุคแต่งตัวให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ถือเป็นการเตรียมพร้อมก่อนจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุน ไม่ว่าจะเป็นการวางระบบด้านการเงินและบัญชีต่างๆ ซึ่งคาดว่าแผนนี้จะเกิดขึ้นภายในปี 2572 ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ทั้งในแง่ต้นทุน ภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ รวมถึงสามารถดึงคนเก่งๆ เข้ามาสร้างความแข็งแกร่งให้แบรนด์มีศักยภาพเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศเพื่อขยายพอร์ตของ LA GLACE” ทิวาทัพพ์ กล่าวปิดท้าย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/06/EVz1ThoTH7xt7DBa443R.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="EVz1ThoTH7xt7DBa443R.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="4"></figure></div>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/06/XAGii1ZM6Urkf6czaKMr.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="XAGii1ZM6Urkf6czaKMr.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="5"></figure></div> ภาพ : LA GLACE&nbsp; เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/taokaenoi-mepoonn-immuneup-powder-with-probiotics" alt="เถ้าแก่น้อยแตกไลน์ธุรกิจสุขภาพ! เปิดตัวอาหารเสริม Mepoonn หลังซุ่มศึกษาวิจัยกว่า 2 ปี">เถ้าแก่น้อยแตกไลน์ธุรกิจสุขภาพ! เปิดตัวอาหารเสริม Mepoonn หลังซุ่มศึกษาวิจัยกว่า 2 ปี</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>
<div style="display:none;"><a href="https://xox77.net/" rel="dofollow">xox77</a></div>
<div style="display:none;"><a href="https://xox77.net" rel="dofollow">xox77</a></div>
<div style="display:none;"><a href="https://xox77.com/" rel="dofollow">xox77</a></div>
<div style="display:none;"><a href="https://xox77.com" rel="dofollow">xox77</a></div>
<div style="display:none;"><a href="https://penggerakdaily.com/" rel="dofollow">wd808</a></div>
<div style="display:none;"><a href="https://penggerakdaily.com" rel="dofollow">wd808</a></div>
<div style="display:none;"><a href="https://thebestbedlinenintheworld.com/" rel="dofollow">wd808</a></div>
<div style="display:none;"><a href="https://thebestbedlinenintheworld.com" rel="dofollow">wd808</a></div>

LA GLACE กางแผนบุกฮ่องกงปี 71 หวังรายได้ 2,000 ล้าน พร้อมเมคอัพปรับลุคให้ฉ่ำว้าว! เตรียมเข้าตลาดหุ้นปีถัดไป

<h2>ตลท. เปิดเผยผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ใน SET งวด 9 เดือน ปี 2567 แม้จะได้รับแรงสนับสนุนจากธุรกิจท่องเที่ยว แต่กำไรสุทธิลดลง 5.4%YoY ผลจากธุรกิจที่เกี่ยวกับน้ำมันและปิโตรเคมีภัณฑ์จากราคาน้ำมันในด้านกำไรสุทธิที่ลดลง กว่า 32.3%YoY</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท.&nbsp;เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวนกว่า 810 บริษัท คิดเป็น 98.8% จากทั้งหมด 820 บริษัท* นำส่งผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2567 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 617 บริษัท คิดเป็น 76.2% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด *รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 30 กันยายน 2567 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และงบการเงินไม่ตรงรอบปีปฎิทิน &nbsp; &nbsp; ขณะที่ ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2567 พบว่า บจ. ใน SET มียอดขาย 13,174,607 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายการขายเพิ่มขึ้น 8.8%YoY&nbsp;และค่าใช้จ่ายการบริหารเพิ่มขึ้น 10.0%YoY ส่งผลให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 1,206,922 ล้านบาท&nbsp;ลดลง 2.1%YoY&nbsp;และกำไรสุทธิ 686,492 ล้านบาท ลดลง 5.4%YoY สาเหตุหลักเพราะธุรกิจที่เกี่ยวกับน้ำมันและปิโตรเคมีภัณฑ์จากราคาน้ำมันที่กำไรสุทธิลดลง กว่า 32.3%YoY (กำไรจากผลการดำเนินงานลดลง 19.8%)&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ หากพิจารณาในกลุ่มธุรกิจทั่วไป (ไม่รวมหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์) บจ. จะมียอดขาย กำไรจากการดำเนินงานหลัก และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11.0% 13.2% และ 8.4% ตามลำดับ สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 30 กันยายน 2567 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.54 เท่า ลดลงจาก 1.60 เท่า<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/3BREPN6dG22LMT7XMDPi.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="3BREPN6dG22LMT7XMDPi.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,193" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การท่องเที่ยวที่ดีขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ส่งผลบวกให้ บจ. ไทยที่ทำธุรกิจด้านการบริการและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวมีผลประกอบการดีขึ้น เช่น หมวดอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค โรงแรม การบิน พื้นที่เช่า ค้าปลีก โรงพยาบาล และโทรคมนาคม อีกทั้งธุรกิจการเงิน ยังเติบโตได้ดีจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันและส่วนต่างค่าการกลั่นปรับลดลงในไตรมาส 3 ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและปิโตรเคมีได้รับผลกระทบ และส่งผลให้ผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรก แม้รายได้ยังเติบโต แต่มีกำไรสุทธิลดลง” นายอัสสเดชกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) งวด 9 เดือนแรกปี 2567 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังคงเติบโต โดยมียอดขายรวม 155,843 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9%YoY ขณะที่ บจ. ควบคุมต้นทุนการผลิต และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดี ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 11,364 ล้านบาท&nbsp;เพิ่มขึ้น 31.0%YoY&nbsp;และกำไรสุทธิ 6,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.2%YoY ภาพ: SET เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/maguro-group-prepares-to-launch-fifth-brand-coucou" alt="MAGURO แรงต่อไม่หยุด เปิดตัว CouCou แบรนด์ที่ 5 ส่งท้ายปี 67 เตรียม Soft Opening 25 ธันวาคมนี้"></a><a href="https://forbesthailand.com/csr-sustainability/lamphun-partnered-gsk-to-open-suksala-a-community-health-center-for-lung-screening" alt="อยู่ลำพูนแล้วต้อง “สุขก๋าย สบายใจ๋” ลำพูนจับมือ GSK เปิด ‘สุขศาลา’ ศูนย์สุขภาพชุมชนตรวจปอด รับมือ PM 2.5">อยู่ลำพูนแล้วต้อง “สุขก๋าย สบายใจ๋” ลำพูนจับมือ GSK เปิด ‘สุขศาลา’ ศูนย์สุขภาพชุมชนตรวจปอด รับมือ PM 2.5</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ตลท. เผยบริษัทจดทะเบียนใน SET ช่วง 9 เดือนแรก ปี 67 มีกำไรสุทธิลดลง 5.4%YoY ฝั่งธุรกิจน้ำมันร่วงแรง

<h2>AWC โชว์ผลประกอบการตลอด 9 เดือน ปี 2567 สร้างรายได้รวมอยู่ที่ 15,122 ล้านบาท ทำกำไรสุทธิ 3,991 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มธุรกิจโรงแรมเติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประชุมสัมมนา (MICE) และโรงแรมในกรุงเทพฯ เห็นได้จากตัวเลขของกำไรจากการดำเนินงาน (Hotel EBITDA) ในไตรมาส 3 ที่ 983 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 42% </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC&nbsp;เผยถึงผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2567 เติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกว่า ยังคงมีความแข็งแกร่งแม้อยู่นอกฤดูกาลท่องเที่ยว มีรายได้รวมตลอด 9 เดือนตามงบการเงินอยู่ที่ 15,122 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,991 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการดำเนินงานอันยอดเยี่ยมของกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่เติบโตได้ดีในทุกเซ็กเมนต์และสามารถทำกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 3 ที่ 983 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 42&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยโรงแรมกลุ่มประชุมสัมมนา (MICE) และโรงแรมในกรุงเทพฯ มีกลยุทธ์ผลักดันรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ในช่วง 9 เดือนแรกถึง 4,072 บาทต่อห้อง และในไตรมาส 3 เติบโตร้อยละ 16 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า รวมถึงมีค่า RGI Index ของโรงแรมในพอร์ตโฟลิโอสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดอยู่ที่ 105 โดยมีโรงแรมที่มีค่า RGI โดดเด่น อาทิ โรงแรม คอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ มีค่า RGI เท่ากับ 195 โรงแรม แบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ มีค่า RGI เท่ากับ 174 และโรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ ที่มีค่า RGI เท่ากับ 149&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ รายได้อาหารและเครื่องดื่มของธุรกิจโรงแรมและการบริการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์การบูรณาการจุดแข็งทางธุรกิจของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและกลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียลเข้าด้วยกันเพื่อเสริมสร้างมูลค่าร่วม (Synergy Value) และกลุ่มธุรกิจคอมเมอเชียลยังคงรักษาการเติบโตได้ดีจากการปรับกลยุทธ์การตลาดของศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานสู่การเป็น AWC’s Lifestyle Destination ให้รองรับเทรนด์และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยบริษัทเดินหน้าเพิ่มมูลค่าและยกระดับคุณภาพทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง มีทรัพย์สินดำเนินงาน 148,934 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 79 จากปี 2562 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้วยกลยุทธ์ผลักดันผลตอบแทน (Yield) ทรัพย์สินดำเนินงานแข็งแกร่งถึงร้อยละ 7.7&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/jPwCkA7gBwkkdh6ZdKVL.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="jPwCkA7gBwkkdh6ZdKVL.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ เครดิตภาพ: AWC&nbsp; เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/mtl-naya-residence-by-livwell-nov-2024" alt="เมืองไทยประกันชีวิต เข้าถือหุ้นธุรกิจอสังหาฯ ปั้นโครงการที่พักผู้สูงอายุ “นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล”">เมืองไทยประกันชีวิต เข้าถือหุ้นธุรกิจอสังหาฯ ปั้นโครงการที่พักผู้สูงอายุ “นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล”</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

AWC โชว์ผลงานตลอด 9 เดือน ปี 67 กวาดรายได้รวม 1.5 หมื่นล้าน ธุรกิจโรงแรมแข็งแกร่งเฉพาะ Q3 กำไรพุ่ง 42%

<h2>การบินไทย เผย เศรษฐกิจพลิกฟื้น เฉพาะไตรมาส 1 ปี 2566 ยอดรายได้พุ่ง 4.1 หมื่นล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 271% เป็นผลให้มีกำไรสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกเริ่มกลับมาเดินทางตามปกติมากขึ้น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่า วันนี้ (12 พ.ค.) การบินไทยได้นำส่งงบการเงินของบริษัทฯ และบริษัทย่อย สำหรับงวดไตรมาส 1 ของปี 2566 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค.2566 โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน 13,034 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 16,201 ล้านบาท (511.6%) โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 41,507 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 30,326 ล้านบาท (271.2%)&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ สาเหตุหลักเกิดจากรายได้จากการขนส่งผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 30,502 ล้านบาท (681.5%) เนื่องจากในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ให้บริการเที่ยวบินขนส่งผู้ไดยสารในตารางการบินฤดูหนาว ปี 2565 - 2566 รองรับการเดินทางของผู้ไดยสารสู่ 34 เส้นทางบินทั่วโลก ทั้งยุโรป ออสเตรเลีย และเอเชีย พร้อมเพิ่มความถี่เที่ยวบิน ในเส้นทางบินยอดนิยม โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นและประเทศเกาหลีใต้ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา บริษัทฯ เริ่มกลับมาเปิดเส้นทางบินสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน ประกอบกับมีรายได้จากการบริการอื่นๆ เพิ่มขึ้น 621 ล้านบาท (46.4%) จากเที่ยวบินลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 28,473 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 14,125 ล้านบาท (98.4%)&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/UFEznLkTjjcxN1dTNF9Y.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="UFEznLkTjjcxN1dTNF9Y.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ต้นทุนทางการเงิน (ซึ่งเป็นการรับรู้ต้นทุนทางการเงินตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9: TFRS 9) จำนวน 3,549 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 1,357 ล้านบาท (61.9%) บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนใหญ่เกิดจากกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ กำไรจากการขายสินทรัพย์ และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 มีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว-สุทธิ เป็นรายได้รวม 2,987 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 945 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 12,523 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 15,766 ล้านบาท โดยเป็นกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 12,514 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 5.73 บาท&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/nPH3w8oSZ6db5EZR1feh.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="nPH3w8oSZ6db5EZR1feh.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะที่ปีก่อนขาดทุนต่อหุ้น 1.49 บาท โดยมี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบิน รวมค่าเช่าเครื่องบินที่คำนวณจากการใช้เครื่องบินที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hour) เป็นกำไรจำนวน 14,054 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15,431 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวมจำนวน 208,445 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ 31 ธันวาคม 2565 จำนวน 10,267 ล้านบาท (5.2%) หนี้สินรวมมีจำนวน 266,948 ล้านบาท ลดลง จาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 จำนวน 2,254 ล้านบาท (0.8%) ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และบริษัทย่อยติดลบจำนวน 58,503 ล้านบาท ติดลบลดลงจากวันที่ 31 ธันวาคม 2565 จำนวน 12,521 ล้านบาท อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/ginzanishikawa-%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5-%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2" alt="Ginza Nishikawa ส่งโชกุปังดังไกลจากกินซ่าสู่อเมริกา">Ginza Nishikawa ส่งโชกุปังดังไกลจากกินซ่าสู่อเมริกา</a> <hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

 "การบินไทย" รายได้พุ่งไตรมาส 1 ปี 66 ทำกำไรสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท

<h2>จีดีเอช ทุ่มงบประมาณ 200 ล้านบาท หวังดึงดูดใจคนดูทั้งในไทยและต่างประเทศ คาดรายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 510 ล้านบาท และหากได้รับกระแสดีในตลาดโลกอาจส่งผลให้รายได้แตะ 1,000 ล้านบาท</h2><h2> </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยนิยมดูหนังในโรง ก็กลายเป็นมีตัวเลือกมากมายผ่านช่องทางการรับชมที่หลากหลายมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งปี 2566 ถือเป็นโจทย์ยากสำหรับการทำหนังเพื่อดึงดูดใจคนดู ซึ่งทางจีดีเอชเองก็พร้อมปรับตัวผสมผสานการทำงานให้ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มคนดูที่เป็นฐานเดิมและกลุ่มใหม่ๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยในปีนี้ จีดีเอช พร้อมทุ่มงบราว 200 ล้านบาท สำหรับการผลิตคอนเท้นต์พรีเมียมเพิ่มการร่วมทุน เพื่อผลักดันหนังไทยไปตลาดโลก ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 510 ล้านบาท และหากกระแสตอบรับดีสำหรับหนังบางเรื่อง โดยเฉพาะในตลาดอเมริกาและยุโรปก็อาจจะเห็นรายได้แตะถึง 1,000 ล้านบาทได้ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/6Fg58estoeseRK5zTA8h.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="6Fg58estoeseRK5zTA8h.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับแผนดำเนินงานปี 2566 จะมีหนังเข้าฉาย 4 เรื่อง ได้แก่&nbsp;1. "เธอกับฉันกับฉัน" ซึ่งกระแสตอบรับดีมากทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยในไทยทำรายได้แล้ว 60 ล้านบาท&nbsp;2. หนังผีเขย่าขวัญ "บ้านเช่า..บูชายัญ" ร่วมกับ เอ็นเอท สตูดิโอ พาร์ทเนอร์ที่จะมาช่วยเรื่องการจัดจำหน่ายหนังไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกาและยุโรป เตรียมฉายในโรง 6 เมษายนนี้ 3. หนังรักวัยรุ่นเรื่อง “เพื่อน (ไม่) สนิท” ร่วมทุนกับ Houseton Film ผลงานจากผู้กำกับหน้าใหม่ และโปรดิวเซอร์จากภาพยนตร์ ฉลาดเกมส์โกง ฉายในโรงช่วงเดือนพฤศจิกายน&nbsp;4. "PROJECT D" (WorkingTitle) หนังเกี่ยวกับ LGBTQ+ นำแสดงโดย พีพี กฤษฏ์ อำนวยเดชกร และอิงฟ้า วราหะ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ในช่วงกลางปี จะมีโปรเจกต์ซีรีส์ร่วมกับ Netfix 1 เรื่อง คือ "DELETE" ดาร์กถึงใจชาวเน็ต จากนั้นในเดือนตุลาคมจะเป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 20 ปี "แฟนฉัน" โดยนำหนังกลับมาฉายใหม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และจะใช้งบอีก 10 ล้านบาท ในการจัดงาน "GDH FUN FEST" ในช่วงปลายปี อีกทั้งในปี 2567 จะมีการเปิดตัวโปรเจกต์หนัง 'THE CHINESE FAMILY' (Working Title) ที่นำแสดงโดย บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับปี 2565 ที่ผ่านมา จีดีเอชมีรายได้อยู่ที่ 504.9 ล้านบาท โต 95% จากหนัง 3 เรื่องที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ได้แก่ บุพเพสันนิวาส 2, ฉลาดเกมส์โกง และ น้อง.พี่.ที่รัก โดย บุพเพสันนิวาส 2 ทำรายได้ทั่วประเทศกว่า 392.73 ล้านบาท และขึ้นแท่นหนังไทยทำเงินสูงสุดตลอดกาลที่ประเทศเวียดนาม ด้วยรายได้กว่า 3.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/ciycWLtNKY6Mv5dQ94qz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ciycWLtNKY6Mv5dQ94qz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม คาดว่าภาพรวมตลาดภาพยนตร์ในไทยจะพลิกฟื้นกลับมาที่ 3,000 ล้านบาท โดยแยกเป็นหนังไทย 700 ล้านบาท โดยมีมูลค่าใกล้เคียงหรือเท่ากันก่อนเกิดสถานการณ์โควิด เพราะมีรายชื่อหนังไทยเตรียมเข้าฉายรวมกว่า 40 เรื่อง ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2565 ภาพรวมตลาดภาพยนตร์มีมูลค่า 2,128 ล้านบาท แบ่งเป็น ต่างประเทศ 1,700 ล้านบาท และไทย 428 ล้านบาท และมีหนังไทยเข้าฉายกว่า 40 เรื่อง อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/toyota-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2-43-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%96-camry-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99" alt="Toyota ประกาศปิดตำนานกว่า 43 ปี ยุติขายรถ Camry ในตลาดญี่ปุ่น">Toyota ประกาศปิดตำนานกว่า 43 ปี ยุติขายรถ Camry ในตลาดญี่ปุ่น</a>​<hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

จีดีเอช ทุ่ม 200 ล้านบาท ดันหนังไทยสู่ตลาดโลกหวังรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท

<h2>เอเชียแปซิฟิกมักจะรู้สึกว่าจีนเป็นผู้ครองอำนาจ และถ้าพูดถึงลิสต์ประจำปีของเราซึ่งรวบรวมรายชื่อบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่ดีที่สุดตั้งแต่ในญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ไปจนถึงอินเดีย เรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องจริง เพราะจีนครองพื้นที่ในรายชื่อได้มากที่สุดอีกครั้ง</h2>
โดยมีบริษัทจากจีนแผ่นดินใหญ่เข้าลิสต์มา 30 จาก 50 บริษัท เพิ่มขึ้นจาก 28 บริษัทในปีที่แล้ว เมื่อจีนครองลิสต์ก็ทำให้ประเทศอื่นถูกเบียดตกไป ลิสต์ในปีนี้ประกอบด้วยบริษัทจาก 7 ประเทศเท่านั้น ซึ่งลดลงจาก 12 ประเทศในปี 2016 โดยบริษัทไต้หวันไม่ติดโผเลยเป็นครั้งแรกตั้งแต่เราเริ่มทำลิสต์ Fab 50 เมื่อปี 2005  มาติดตามบริษัทหน้าใหม่ที่ตบเท้าเข้าในการจัดอันดับ 50 บริษัทยอดเยื่ยมแห่งเอเชียประจำปี 2018

&nbsp;

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-1608" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/anta-sport.jpg" alt="" width="600" height="400" />

ANTA SPORTS PRODUCTS
จีน
ผู้บริหารสูงสุด: Ding Shi-Zhong
อุตสาหกรรม: ชุดกีฬา
ยอดขาย: 2.5 พันล้านเหรียญ
มูลค่าหุ้น: 1.47 หมื่นล้านเหรียญ

บริษัทจาก Fujian เป็นบริษัทผู้ผลิตเสื้อผ้ากีฬาของจีนแห่งแรกที่สามารถทำรายได้แตะระดับหมื่นล้านหยวนต่อปี จากที่เริ่มต้นเป็นเพียงผู้ผลิตรองเท้าในปี 1991 ขณะนี้บริษัทมีร้านค้ามากถึง 11,316 แห่งทั่วประเทศ และทำรายได้จากสินค้ารองเท้าและเสื้อผ้า บริษัทออกแบบชุดกีฬาสำาหรับนักกีฬาทีมชาติจีนในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ประเทศเกาหลีใต้ในปีนี้ และจะได้เป็นพาร์ทเนอร์อย่างเป็นทางการ สำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2022 ที่ Beijing รายชื่อนักกีฬาที่ให้การรับรองสินค้ามีตั้งแต่ Manny Pacquiao นักชกชาวฟิลิปปินส์ Kevin Garnett อดีตนักกีฬา NBA ค่าตัวสูงสุดและ Jelena Janković อดีตนักเทนนิสหญิงมือหนึ่งของโลก

&nbsp;

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-1609 size-large" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/tab-slider-01c-1024x400.jpg" alt="" width="640" height="250" />
CHINA AOYUAN PROPERTY GROUP
จีน
ผู้บริหารสูงสุด: Guo Ziwen, Guo Zining
อุตสาหกรรม: พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ยอดขาย: 2.8 พันล้านเหรียญ
มูลค่าหุ้น: 2 พันล้านเหรียญ

บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แห่งนี้มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมือง Guangzhou ดำเนินธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยสำาหรับลูกค้าตลาดบน และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ Guo Ziwen เริ่มต้นธุรกิจเมื่อปี 1996 เพื่อจับตลาดฮ่องกง ต่อมาเขาย้ายบริษัทไปประเทศจีน และหันไปพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านการกีฬา ขณะนี้ บริษัทดำเนินธุรกิจใน 80 เมือง ทั้งในจีน ออสเตรเลีย และแคนาดา Guo และน้องชายของเขา Guo Zining ถือหุ้นร้อยละ 54.1

&nbsp;

&nbsp;

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-1610 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/0_0_480_0_70_finance-asia_content_20151115070035_Dali-Foods-2015.jpg" alt="" width="480" height="303" />
DALI FOODS GROUP
จีน
ผู้บริหารสูงสุด: Xu Shihui
อุตสาหกรรม: อาหารและเครื่องดื่ม
ยอดขาย: 2.9 พันล้านเหรียญ
มูลค่าหุ้น: 9.8 พันล้านเหรียญ

ก่อตั้งเมื่อปี 1989 และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2015 บริษัทจาก Fujian แห่งนี้ผลิตและจำาหน่ายขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มจากฐานการผลิต 30 แห่งพายกรอบตรา Daliyuan บิสกิต Haochidian และมันฝรั่งทอดกรอบ Copico เป็นผลิตภัณฑ์ที่โด่งดังที่สุด 3 อย่างของบริษัท และช่วยให้ Dali Foods Group สามารถเจาะตลาดที่เต็มไปด้วยสินค้านำเข้า ปีที่แล้วบริษัทได้ขยายการผลิตไปสู่อาหารสุขภาพและออร์แกนิกส์ ทั้งเปิดตัวแบรนด์นมถั่วเหลือง Dou Ben Dou (“ถั่วเหลืองเอง”) Xu Shihui ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท ที่ขณะนี้กลายเป็นมหาเศรษฐี ถือหุ้นร้อยละ 85 ร่วมกับภรรยาและลูกสาว บริษัทของเขาแทบจะไม่มีปัญหาหนี้สิน

&nbsp;

&nbsp;

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-1611 size-full" title="LONGI GREEN ENERGY TECHNOLOGY" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/4d4395589160e09d4012f4ec9c2cea9d.jpeg" alt="" width="780" height="490" />
LONGI GREEN ENERGY TECHNOLOGY
จีน
ผู้บริหารสูงสุด: Li Zhenguo
อุตสาหกรรม: เซมิคอนดักเตอร์
ยอดขาย: 2.4 พันล้านเหรียญ
มูลค่าหุ้น: 5.3 พันล้านเหรียญ

บริษัทจาก Xi’an แห่งนี้ผลิตเซลล์และโมดูลแผงพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเปิดดำเนินการเมื่อปี 2000 และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2012 บริษัทมีพนักงาน 17,700 คน ขยายธุรกิจไปใน 4 ทวีป โดยปีที่ผ่านมาทำผลกำไรสุทธิเติบโตร้อยละ 126

Li Zhenguo ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Li Xiyan ภรรยาของเขา และ Li Chun’an ซึ่งเป็นเพื่อนนักศึกษาจากมหาวิทยาลัย Lanzhou ถือหุ้นทั้งหมดร้อยละ 31.3 เมื่อเดือนกรกฎาคม บริษัทได้ลงนามในสัญญาจำหน่ายโมดูลแผงพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับสหรัฐอเมริกามูลค่า 600 ล้านเหรียญ แม้ว่าเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ จะเริ่มเก็บภาษีร้อยละ 30 สำหรับแผงรับพลังงานแสงอาทิตย์ที่ส่งออกจากจีนไปยังสหรัฐฯ

&nbsp;

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-1613 size-large" title="RONGSHENG PETROCHEMICAL" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/1521615751-1024x373.jpg" alt="" width="640" height="233" />
RONGSHENG PETROCHEMICAL
จีน
ผู้บริหารสูงสุด: Li Shuirong
อุตสาหกรรม: สารเคมี
ยอดขาย: 1.04 หมื่นล้านเหรียญ
มูลค่าหุ้น: 1.07 หมื่นล้านเหรียญ

Li Shuirong เปิดโรงงานทอผ้าโพลีเอสเตอร์ในเมือง Hangzhou ในปี 1989 ทุกวันนี้บริษัทมีพนักงาน 7,900 คน ดำเนินธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์จากโพลีเอสเตอร์และเคมีจากถ่านหิน ขณะที่ตัว Li กลายเป็นมหาเศรษฐี เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลได้อนุมัติให้กิจการร่วมค้าของ Rongsheng ที่รัฐให้การสนับสนุนสามารถนำเข้าน้ำมันดิบปริมาณ 5 ล้านตัน อันเป็นการปูทางไปสู่การสร้างโรงกลั่นน้ำมันบนเกาะ Zhoushan ใกล้กับ Shanghai

&nbsp;

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-1614 size-large" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/ir_bg-1024x459.jpg" alt="" width="640" height="287" />
TIANNENG POWER INTERNATIONAL
จีน
ผู้บริหารสูงสุด: Zhang Tianren
อุตสาหกรรม: ผลิตแบตเตอรี่
ยอดขาย: 4 พันล้านเหรียญ
มูลค่าหุ้น: 1.4 พันล้านเหรียญ

ผู้ผลิตแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของจีนเริ่มต้นกิจการเมื่อปี 1986 และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเมื่อปี 2007 ปัจจุบัน บริษัทจากมณฑล Zhejiang แห่งนี้มีพนักงานกว่า 19,000 คน และศูนย์การผลิต 9 แห่ง รายได้ส่วนใหญ่มาจากยอดขายแบตเตอรี่ สาหรับจักรยานและรถยนต์ไฟฟ้า Zhang Tianren ประธานและผู้ก่อตั้งเป็นเจ้าของหุ้นร้อยละ 36.5 ร่วมกับภรรยาของเขา

&nbsp;

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-1616 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/unisplendour_416x416-300x101.jpg" alt="" width="300" height="101" />
UNISPLENDOUR
จีน

ผู้บริหารสูงสุด: Yu Ying-Tao
อุตสาหกรรม: เทคโนโลยีสารสนเทศ
ยอดขาย: 5.8 พันล้านเหรียญ
มูลค่าหุ้น: 1.01 หมื่นล้านเหรียญ

บริษัทก่อตั้งในปี 1999 ที่ Beijing ดำเนินธุรกิจให้บริการข้อมูลสารสนเทศ ประวัติของบริษัทย้อนรอยไปถึง Tsinghua University ใน Beijing และ VictorZhao อดีตประธานบริษัทซึ่งเป็นศิษย์เก่า Zhao มาจากหมู่บ้านในมณฑล Xinjiang และค่อยๆ ไต่เต้าจากการช่วยเหลือเพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยเขียนซอฟต์แวร์และซ่อมเครื่องรับโทรทัศน์ ปีที่แล้วบริษัทมีรายได้สุทธิพุ่งขึ้นร้อยละ 90.1 ซึ่งเป็นผลจากการสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของรัฐบาล

สำหรับบริษัทที่จะเข้ามาเป็น Fab 50 ได้นั้น เราเริ่มคัดจากบริษัทมหาชน 1,744 แห่งที่มีรายได้อย่างน้อย 2 พันล้านเหรียญต่อปี และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาแล้วอย่างน้อย 1 ปี จากนั้นตัดบริษัทที่ขาดทุนหรือมีรายได้ต่ำกว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้วออกไป ต่อมาเราโยนบริษัทซึ่งมีหนี้สินระยะยาวสูงเกินครึ่งหนึ่งของทุนทั้งหมดหรือมีรัฐบาลถือหุ้นเกิน 50% ทิ้งไป เพราะเป้าหมายของเราเน้นเฉพาะบริษัทที่เป็นผู้ประกอบการซึ่งดำเนินกิจการได้ดี บริษัทที่มีบริษัทแม่ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ถือหุ้นมากกว่า 50% ก็โดนคัดออกด้วย

สุดท้าย เราใช้ตัววัดผลด้านการเงินมากกว่า 12 รายการเจาะลึกผู้ท้าชิงที่เหลือ เป้าหมายคือเพื่อให้ได้รายชื่อเกียรติยศสำาหรับบริษัทกลุ่มบลูชิปที่มีผลประกอบการดีเยี่ยม สมเป็นที่สุดขั้นเทพของบรรดาสุดยอดของภูมิภาค

<a style="color: #339966;" href="http://forbesthailand.com/world/%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b9%88-%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b9%80%e0%b8%99%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%9a-50-%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%94%e0%b8%a2%e0%b8%ad%e0%b8%94.html">คลิกอ่านตอนที่ 1</a>
<img class="alignnone wp-image-1625 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/50-สุดยอดบริษัทมหาชนแห่งเอเชีย-2-300x157.jpg" alt="" width="300" height="157" />


<hr />

<a href="http://bit.ly/2OuRAlE">ติดตามการจัดอันดับ FAB 50 "50 สุดยอด บริษัทมหาชนแห่งเอเชีย" ฉบับเต็มได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2561 ได้ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://bit.ly/2OuRAlE"><img class="alignnone wp-image-1596 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/COVER-65-750-228x300.jpg" alt="" width="228" height="300" /></a>

หน้าใหม่ ทำเนียบ 50 สุดยอดบริษัทมหาชนแห่งเอเชีย ตอนที่ 2

บริษัทเหล่านี้ได้รับการจัดเข้าทำเนียบ 50 สุดยอดบริษัทมหาชนแห่งเอเชียเป็นครั้งแรก หลังจากสามารถแซงหน้าคู่แข่งในอุตสาหกรรมที่มีตั้งแต่เกมบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ไปจนถึงรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก

อินเดียครองพื้นที่ในลิสต์ได้มากเป็นอันดับ 2 อีกครั้งรองจากจีน ด้วยจำนวน 7 บริษัท ซึ่งลดลงจากปีที่แล้ว 1 บริษัท บริษัทญี่ปุ่นแทรกเข้ามาได้ 5 บริษัท ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007 โดยมี 3 บริษัทในกลุ่มนี้เป็นบริษัทที่เพิ่งเข้าลิสต์มาใหม่และก่อตั้งเมื่อปี 1997 เท่านั้น ส่วนเวียดนามนั้น ก่อนปี 2016 เวียดนามไม่เคยมีบริษัทเข้าลิสต์ Fab 50 แต่ในคราวนี้มี 3 แห่ง ซึ่งรวมถึงบริษัทน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในปีนี้ด้วย


<img class="alignnone wp-image-1587 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/bloombergquint_2017-01_83d406b9-3a9d-48cf-b061-dcd55eebc843_U3123T.jpg" alt="" width="640" height="461" />
ASHOK LEYLAND
อินเดีย

ผู้บริหารสูงสุด: Dheeraj Hinduja
อุตสาหกรรม: รถบัสและรถบรรทุก
ยอดขาย: 4.6 พันล้านเหรียญ
มูลค่าหุ้น: 5.5 พันล้านเหรียญ

ผู้ผลิตยานพาหนะจากเมือง Chennai แห่งนี้ เป็นผู้ผลิตยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอินเดีย และเป็นผู้ผลิตรถบัสใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ในปีงบประมาณที่ผ่านมา รายได้ของบริษัทเติบโตก้าวกระโดดร้อยละ 34 จากโรงงานผลิต 9 แห่งโดย 7 แห่งอยู่ในอินเดีย 1 แห่งในตะวันออกกลาง และ 1 แห่งในสหราชอาณาจักร บริษัทเป็นธุรกิจหลักของ Hinduja Group มี Dheeraj Hinduja ทายาทรุ่นที่ 3 ดำรงตำแหน่งประธาน บริษัทมีอายุครบ 70 ปีเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ Hindujas เพิ่งเข้าถือหุ้นเมื่อปี 1987

<figure><img class="wp-image-1588 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/0_0_480_0_70_finance-asia_content_D-Mart.jpg" alt="" width="480" height="359" /><figcaption> Photo Credit: www.financeasia.com</figcaption></figure>

Avenue Supermarts
อินเดีย
ผู้บริหารสูงสุด: Ignatius Navil Noronha
อุตสาหกรรม: ค้าปลีก
ยอดขาย: 2.3 พันล้านเหรียญ
มูลค่าหุ้น: 1.41 หมื่นล้านเหรียญ

Avenue Supermarts ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกที่เปิดราคาจำหน่ายในหลากหลายชื่อ D Mart, D Mart Minimax, D Mart Premia, D Homes และกลุ่มสินค้าภายใต้แบรนด์ Dutch Harbour  แน่นอนว่าสินค้าของพวกเขาหลากหลายไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน สินค้าแช่แข็ง ผักผลไม้ กลุ่มบริษัทของเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งๆ ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2000 โดย Radhakishan S. Damani และมีสำนักงานใหญ่ที่เมือง Thane ประเทศอินเดีย

<figure><img class="wp-image-1589 size-large" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/dsc-9181-1024x683.jpg" alt="" width="640" height="427" /><figcaption> Photo Credit: fly-wheel.com</figcaption></figure>

TVs Motor
อินเดีย
ผู้บริหารสูงสุด: Venu Srinivasan
อุตสาหกรรม: ยานยนต์
ยอดขาย: 2.5 พันล้านเหรียญ
มูลค่าหุ้น: 3.8 พันล้านเหรียญ

บริษัทอายุ 39 ปี จาก Chennai นับเป็นผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กรายล่าสุดของอินเดียฐานการผลิต 4 แห่งของบริษัทซึ่งหนึ่งในนั้นคือที่อินโดนีเซียยังผลิตสกูตเตอร์ จักรยานยนต์ และรถสามล้อด้วย ในปีงบประมาณล่าสุด รายได้ของบริษัททะยานขึ้นร้อยละ 36 ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 101 ล้านเหรียญ เติบโตร้อยละ 33 เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา TVs Motor ได้เข้าถือหุ้น Ultraviolette Automotive บริษัทสตาร์ทอัพผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าจาก Bangalore

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-1590 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/open-house.jpg" alt="" width="420" height="282" />

OPEN HOUSE
ญี่ปุ่น
ผู้บริหารสูงสุด: Masaaki Arai
อุตสาหกรรม: นายหน้าอสังหาริมทรัพย์
ยอดขาย: 2.7 พันล้านเหรียญ
มูลค่าหุ้น: 3.1 พันล้านเหรียญ

Masaaki Arai ซึ่งปัจจุบันร่ำรวยระดับมหาเศรษฐีก่อตั้งบริษัทขึ้นใน Tokyo เมื่อปี 1997 นอกจากดำเนินธุรกิจโบรกเกอร์อสังหาริมทรัพย์แล้วบริษัทยังพัฒนาบ้านสำหรับครอบครัวเดี่ยวตามหัวเมืองขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น คำขวัญของบริษัทคือ “มาหาบ้านใน Tokyo กันเถอะ” ปี 2013 บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และได้ขายบ้านไปแล้วกว่า 5,000 หลัง โดยมีลูกค้ากว่า 13,000 คนเป็นผู้อาศัยใน Tokyo และพื้นที่โดยรอบ

<img class="alignnone wp-image-1591 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/logo.png" alt="" width="448" height="90" />

OUTSOURCING INC.
ญี่ปุ่น

ผู้บริหารสูงสุด: Haruhiko Doi
อุตสาหกรรม: บริการจัดหาพนักงาน
ยอดขาย: 2.1 พันล้านเหรียญ
มูลค่าหุ้น: 2 พันล้านเหรียญ

ในปี 1997 Haruhiko Doi เริ่มธุรกิจจัดหาพนักงานที่เขายังดำรงตำแหน่งประธานและผู้บริหารสูงสุดจนถึงทุกวันนี้ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นบริษัทในอุตสาหกรรมการผลิต วิศวกรรมและการบริการ ปัจจุบันมีบริษัทลูกถึง 88 แห่ง ใน 17 ประเทศจาก 4 ทวีป เมื่อเดือนเมษายนบริษัทซื้อหุ้นร้อยละ 56 จาก OTTO Holding ซึ่งจัดหาพนักงานให้กับธุรกิจในเนเธอร์แลนด์และเยอรมนีผ่านเครือข่ายการจัดจ้างในยุโรปตะวันออกปีที่แล้วยอดขายของบริษัทเติบโตร้อยละ 71.4 เป็นผลจากการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามพรมแดนที่ขยายตัว

<figure><img class="wp-image-1592 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/https-_s3-ap-northeast-1.amazonaws.com_psh-ex-ftnikkei-3937bb4_images_8_3_6_0_450638-8-eng-GB_20170722_welcia_drugstore.jpg" alt="" width="630" height="450" /><figcaption> PHOTO CREDIT: https://asia.nikkei.com</figcaption></figure>

WELCIA HOLDINGS
ญี่ปุ่น
ผู้บริหารสูงสุด: Takamitsu Ikeno, Hideharu Mizuno
อุตสาหกรรม: ร้านขายยา
ยอดขาย: 6.2 พันล้านเหรียญ
มูลค่าหุ้น: 4.8 พันล้านเหรียญ

บริษัทค้าปลีกจาก Tokyo แห่งนี้ประกอบกิจการร้านขายยาและเครื่องสำอาง 1,747 แห่งทั่วประเทศ หลังจากก่อตั้งในปี 2008 ธุรกิจหลักของบริษัทคือขายยาที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ซึ่งมีอัตราส่วนกำไรร้อยละ 39.7 ในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีบริการให้คำปรึกษาและดูแลผู้สูงอายุที่บ้านระยะยาว ร้านขายยา Welcia หลายแห่งเปิดให้บริการถึงเที่ยงคืนหรือตลอด 24 ชั่วโมง


<img class="alignnone wp-image-1593 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/NETMABLE.jpg" alt="" width="528" height="353" />
NETMARBLE
เกาหลีใต้
ผู้บริหารสูงสุด: Bang Jun-Hyuk
อุตสาหกรรม: เกมบนโทรศัพท์มือถือ
ยอดขาย: 2.1 พันล้านเหรียญ
มูลค่าหุ้น: 9.2 พันล้านเหรียญ

บริษัทผู้ผลิตเกมบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้รายงานผลกำไรสุทธิปีที่ผ่านมาเกือบ 275 ล้านเหรียญ พุ่งขึ้นร้อยละ 83 เกมแนวแฟนตาซี Lineage 2: Revolution ได้รับความนิยมทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดใกล้เคียงอย่างไต้หวันและญี่ปุ่น เดือนเมษายนบริษัทจาก Seoul ลงทุนเกือบ 190 ล้านเหรียญ กับวง K-Pop ชื่อดัง BTS พร้อมทั้งระบุว่าจะมีการเปิดตัวเกมที่สร้างจากสมาชิกบอยแบนด์ทั้งเจ็ดในปีนี้ เมื่อปี 2000 Bang Jun-Hyuk ก่อตั้งบริษัทที่ขณะนี้มีพนักงานถึง 3,000 คน และดึงดูดเกมเมอร์จาก 155 ประเทศ

<img class="alignnone wp-image-1594 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/Vin-group.jpg" alt="" width="550" height="297" />
VINGROUP JOINT STOCK CO.
เวียดนาม

ผู้บริหารสูงสุด: Pham Nhat Vuong
อุตสาหกรรม: พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ยอดขาย: 3.9 พันล้านเหรียญ
มูลค่าหุ้น: 1.41 หมื่นล้านเหรียญ

กลุ่มเครือบริษัทจาก Hanoi ก่อตั้งโดย Pham Nhat Vuong บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของเวียดนาม และมหาเศรษฐีคนแรกของประเทศ เขาทำเงินมหาศาลก้อนแรกจากการขายธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้กับ Nestlé ในปี 2010 จากนั้นเขาเปิดบริษัท Vincom พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ย่านธุรกิจระดับบนและก่อตั้ง Vinpearl สร้างรีสอร์ตและโรงแรมหรู ทั้งสองบริษัทควบรวมกิจการในนาม Vingroup ในปี 2012 ปีที่แล้ว Vingroup เปิดบริษัท Vinfast ผู้ผลิตรถยนต์ที่ตั้งเป้าผลิตยานยนต์ให้ได้ปีละ 5 แสนคันภายในปี 2025 เมื่อ 2 เดือนก่อน Vingroup ประกาศแผนสร้างศูนย์เทคโนโลยีใน Hanoi เพื่อพัฒนาไปสู่การผลิตปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) รวมทั้งวางแผนจ้างงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยี 1 แสนคนภายใน 10 ปี

สำหรับบริษัทที่จะเข้ามาเป็น Fab 50 ได้นั้น เราเริ่มคัดจากบริษัทมหาชน 1,744 แห่งที่มีรายได้อย่างน้อย 2 พันล้านเหรียญต่อปี และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาแล้วอย่างน้อย 1 ปี จากนั้นตัดบริษัทที่ขาดทุนหรือมีรายได้ต่ำกว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้วออกไป ต่อมาเราโยนบริษัทซึ่งมีหนี้สินระยะยาวสูงเกินครึ่งหนึ่งของทุนทั้งหมดหรือมีรัฐบาลถือหุ้นเกิน 50% ทิ้งไป เพราะเป้าหมายของเราเน้นเฉพาะบริษัทที่เป็นผู้ประกอบการซึ่งดำเนินกิจการได้ดี บริษัทที่มีบริษัทแม่ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ถือหุ้นมากกว่า 50% ก็โดนคัดออกด้วย

สุดท้าย เราใช้ตัววัดผลด้านการเงินมากกว่า 12 รายการเจาะลึกผู้ท้าชิงที่เหลือ เป้าหมายคือเพื่อให้ได้รายชื่อเกียรติยศสำาหรับบริษัทกลุ่มบลูชิปที่มีผลประกอบการดีเยี่ยม สมเป็นที่สุดขั้นเทพของบรรดาสุดยอดของภูมิภาค

<a href="http://forbesthailand.com/world/%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b9%88-%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b9%80%e0%b8%99%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%9a-50-%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%94%e0%b8%a2%e0%b8%ad%e0%b8%94-2.html">คลิ๊กเพื่ออ่าน ตอนที่ 2</a>
<img class="alignnone wp-image-1623 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/50-สุดยอดบริษัทมหาชนแห่งเอเชีย-02-300x157.jpg" alt="" width="300" height="157" />



<hr />

<a href="http://bit.ly/2OuRAlE">ติดตามการจัดอันดับ FAB 50 "50 สุดยอด บริษัทมหาชนแห่งเอเชีย" ฉบับเต็มได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2561 ได้ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://bit.ly/2OuRAlE"><img class="alignnone wp-image-1596 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/COVER-65-750-228x300.jpg" alt="" width="228" height="300" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events