จีดีเอช ทุ่มงบประมาณ 200 ล้านบาท หวังดึงดูดใจคนดูทั้งในไทยและต่างประเทศ คาดรายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 510 ล้านบาท และหากได้รับกระแสดีในตลาดโลกอาจส่งผลให้รายได้แตะ 1,000 ล้านบาท
จินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยนิยมดูหนังในโรง ก็กลายเป็นมีตัวเลือกมากมายผ่านช่องทางการรับชมที่หลากหลายมากขึ้น
ซึ่งปี 2566 ถือเป็นโจทย์ยากสำหรับการทำหนังเพื่อดึงดูดใจคนดู ซึ่งทางจีดีเอชเองก็พร้อมปรับตัวผสมผสานการทำงานให้ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มคนดูที่เป็นฐานเดิมและกลุ่มใหม่ๆ
โดยในปีนี้ จีดีเอช พร้อมทุ่มงบราว 200 ล้านบาท สำหรับการผลิตคอนเท้นต์พรีเมียมเพิ่มการร่วมทุน เพื่อผลักดันหนังไทยไปตลาดโลก ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 510 ล้านบาท และหากกระแสตอบรับดีสำหรับหนังบางเรื่อง โดยเฉพาะในตลาดอเมริกาและยุโรปก็อาจจะเห็นรายได้แตะถึง 1,000 ล้านบาทได้
สำหรับแผนดำเนินงานปี 2566 จะมีหนังเข้าฉาย 4 เรื่อง ได้แก่
1. "เธอกับฉันกับฉัน" ซึ่งกระแสตอบรับดีมากทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยในไทยทำรายได้แล้ว 60 ล้านบาท
2. หนังผีเขย่าขวัญ "บ้านเช่า..บูชายัญ" ร่วมกับ เอ็นเอท สตูดิโอ พาร์ทเนอร์ที่จะมาช่วยเรื่องการจัดจำหน่ายหนังไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกาและยุโรป เตรียมฉายในโรง 6 เมษายนนี้
3. หนังรักวัยรุ่นเรื่อง “เพื่อน (ไม่) สนิท” ร่วมทุนกับ Houseton Film ผลงานจากผู้กำกับหน้าใหม่ และโปรดิวเซอร์จากภาพยนตร์ ฉลาดเกมส์โกง ฉายในโรงช่วงเดือนพฤศจิกายน
4. "PROJECT D" (WorkingTitle) หนังเกี่ยวกับ LGBTQ+ นำแสดงโดย พีพี กฤษฏ์ อำนวยเดชกร และอิงฟ้า วราหะ
นอกจากนี้ในช่วงกลางปี จะมีโปรเจกต์ซีรีส์ร่วมกับ Netfix 1 เรื่อง คือ "DELETE" ดาร์กถึงใจชาวเน็ต จากนั้นในเดือนตุลาคมจะเป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 20 ปี "แฟนฉัน" โดยนำหนังกลับมาฉายใหม่
และจะใช้งบอีก 10 ล้านบาท ในการจัดงาน "GDH FUN FEST" ในช่วงปลายปี อีกทั้งในปี 2567 จะมีการเปิดตัวโปรเจกต์หนัง 'THE CHINESE FAMILY' (Working Title) ที่นำแสดงโดย บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล
สำหรับปี 2565 ที่ผ่านมา จีดีเอชมีรายได้อยู่ที่ 504.9 ล้านบาท โต 95% จากหนัง 3 เรื่องที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ได้แก่ บุพเพสันนิวาส 2, ฉลาดเกมส์โกง และ น้อง.พี่.ที่รัก โดย บุพเพสันนิวาส 2 ทำรายได้ทั่วประเทศกว่า 392.73 ล้านบาท และขึ้นแท่นหนังไทยทำเงินสูงสุดตลอดกาลที่ประเทศเวียดนาม ด้วยรายได้กว่า 3.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม คาดว่าภาพรวมตลาดภาพยนตร์ในไทยจะพลิกฟื้นกลับมาที่ 3,000 ล้านบาท โดยแยกเป็นหนังไทย 700 ล้านบาท โดยมีมูลค่าใกล้เคียงหรือเท่ากันก่อนเกิดสถานการณ์โควิด เพราะมีรายชื่อหนังไทยเตรียมเข้าฉายรวมกว่า 40 เรื่อง ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2565 ภาพรวมตลาดภาพยนตร์มีมูลค่า 2,128 ล้านบาท แบ่งเป็น ต่างประเทศ 1,700 ล้านบาท และไทย 428 ล้านบาท และมีหนังไทยเข้าฉายกว่า 40 เรื่อง
อ่านเพิ่มเติม: Toyota ประกาศปิดตำนานกว่า 43 ปี ยุติขายรถ Camry ในตลาดญี่ปุ่น
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine