บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้งจำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ได้จัดงาน Exclusive Interview อัปเดตความคืบหน้าของธุรกิจ โดยทีมงาน Forbes Thailand ได้รับเกียรติให้เป็น 1 ในสื่อที่ได้ร่วมทำการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ ถึงแนวทางการวางกลยุทธ์การตลาดและแผนในการขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคตทั้งระยะสั้นและระยะยาว
อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้งจำกัด (มหาชน) บอกว่า ล่าสุดทางบริษัทได้ทุ่มงบการตลาดราว 50 ล้านบาท จัดงานเปิดตัวพรีเซนเตอร์ใหม่ คือ "ชมพู่ อารยา และ น้องเกล" หรือ เถ้าแก่เกล พร้อมจัดทำแคมเปญกระตุ้นยอดขายเพิ่มได้ 40% ในกลุ่มสินค้าสาหร่าย อบ ย่าง โรยหน้า ตลอดครึ่งปีหลังต่อเนื่องไปถึงปีหน้าเพื่อขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่ม Family ครอบครัว ครอบคลุมทุก segment มากยิ่งขึ้น
"ปัจจุบันตลาดขนมขบเคี้ยวของไทยมีมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท กลุ่มสาหร่ายรับประทานเล่นมีสัดส่วนประมาณ 10% หรือคิดเป็นมูลค่าราว 4,000 ล้านบาท ซึ่งแบรนด์เถ้าแก่น้อยครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดถึง 70% ในปีนี้ทางบริษัทจึงคาดการณ์ว่ายอดขายในประเทศจะยังเติบโตเพิ่มขึ้นในระดับเลข 2 หลัก ประมาณ 15% ขณะที่ตลาดส่งออกต่างประเทศนั้นอาจจะยังชะลอตัวลดลงเท่ากับปีก่อน ส่วนยอดขายโดยภาพรวมก็น่าทรงตัวอยู่ที่ 8,000 ล้านบาทไม่ต่างจากปีก่อนเช่นกัน ส่งผลให้เรื่องของกำไรนั้นปรับลดลงตามไปด้วยจากภาวะต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งตลอดการดำเนินธุรกิจ "เถ้าแก่น้อย" ที่ผ่านมา...เรายังไม่เคยขาดทุน เพราะมีแต่กำไรที่ปรับตัวลดลงบ้างจากปัจจัยภายนอก"

ทั้งนี้ ซีอีโอ เถ้าแก่น้อย ยังเล่าให้ฟังอีกด้วยว่า ปี 2024 ที่ผ่านมา ธุรกิจต้องเหนื่อยมาก โดยมีผลกระทบจากปัจจัยหลัก ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลง ส่งผลต่อกำลังซื้อของกลุ่มผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่เน้นส่งออกเป็นหลัก ได้แก่ จีน ที่ต้องระมัดระวังการใช้จ่ายและเดินทางมาเที่ยวไทยน้อยลง, ต้นทุนวัตถุดิบหลักอย่าง สาหร่ายจากเกาหลีใต้มีราคาแพงมากที่สุดในรอบ 40 ปี โดยเป็นผลจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่กระทบต่อกำลังการผลิตเกาหลีใต้ จีน และญี่ปุ่น มีจำนวนการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ต่อเนื่องไปถึงนโยบายภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 19% ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนมีผลต่อยอดขาย รายได้ กำไรของบริษัทในปี 2025 และแผนธุรกิจในอนาคตทั้งสิ้น
"เรามีสัดส่วนรายได้ราว 40% ในประเทศไทย และอีก 60% คือตลาดต่างประเทศ ซึ่งประเทศที่เราส่งออกได้มากที่สุด คือ จีน อินโดนีเซีย สหรัฐฯ มาเลเซีย และ 4 ประเทศนี้ยังครองสัดส่วนรายได้ในตลาดต่างประเทศมากถึง 70% แต่ด้วยภาวะต้นทุนของสาหร่ายดิบทีี่เพิ่มสูงขึ้นคิดเป็นราคาต้นทุนการผลิตมากถึง 40% เราจึงมีแผนปรับเปลี่ยน distributor ผู้จัดจำหน่ายเป็นรายใหม่ๆ พร้อมขยายช่องทางขายตรงไปยังห้าง Modern Trade ขนาดใหญ่ และร้านจำหน่ายขนมขบเคี้ยวรายใหญ่ของแต่ละประเทศ เพื่อกระจายสินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้นกว่าเดิม"

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ทางบริษัทยังมองหาช่องทางสร้างรายได้ใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งการจับมือร่วมทุนกับพันธมิตรอย่าง เมอเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ บริษัท ทีเคเอ็น แอนด์ เมเจอร์ ป๊อปคอร์น จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ทำการผลิตป๊อปคอร์นแบบซอง พร้อมทาน จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ เพื่อต่อยอดธุรกิจป๊อปคอร์นในโรงหนังขยายสู่ตลาดขนมขบเคี้ยวให้กว้างขึ้น
การเข้าถือหุ้นใน CHAO หรือบริษัท เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) โดยมีีแผนจะพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ร่วมกัน ในกลุ่มข้าว/แครกเกอร์ ซึ่งเจ้าสัวมีความเชี่ยวชาญในการผลิต
การเข้าถือหุ้นบริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง (PM)” ผู้ผลิตปลาเส้นทาโร มูลค่า 148 ล้านบาท ในสัดส่วน 12.45 ล้านหุ้น (2.2% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด)
และการร่วมทุนกับแบรนด์ “หนึ่ง นม นัว” เพื่อขยายตลาดไปยังเครื่องดื่มขนมและเบอเกอรี่มากขึ้น โดยล่าสุดได้ขยายสาขาไปยังห้างเมกา บางนา ซึ่งในอนาคตทางบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโปรดักส์ให้เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Product) เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน


อย่างไรก็ตาม นอกจากการเปิดตัวพรีเซนเตอร์ใหม่ 'เถ้าแก่เกล' ในครั้งนี้แล้ว ซีอีโอ เถ้าแก่น้อย ยังแย้มบอกอีกว่า ช่วงปลายปีจะมีการเปิดตัว พรีเซนเตอร์คนใหม่ ในระดับ Global Brand ด้วยเช่นกัน รวมถึงมีแผนที่จะเปิดแบรนด์สินค้าใหม่ให้โดนใจผู้บริโภคอีกด้วย
ภาพ : เถ้าแก่น้อย
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : คนไทยเลี้ยงแมวมากขึ้น! เลี้ยงหมาลดลง ภาพรวมตลาดสัตว์เลี้ยงเปลี่ยนทิศทางสู่สุขภาพ ความยั่งยืน และอายุยืน
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine