<h2>ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ยังคงเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อตลาดกลาง-ล่างยังไม่กลับมา หลายบริษัทจึงหันมาเน้นพัฒนาสินค้าระดับกลาง-บนเป็นหลัก</h2> &nbsp; &nbsp;&nbsp;พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค-แกรนด์ แอสเสท ประกาศแผนธุรกิจเชิงรุกในปี 2567 ตั้งเป้ายอดขายเติบโตต่อเนื่อง พร้อมลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน และตั้งเป้าลดหนี้ 1.1 หมื่นล้านบาทภายใน 3 ปี หลังมีรายได้เพิ่มขึ้นจากโครงการร่วมทุน และธุรกิจโรงแรมกลับมาเติบโตได้ตามปกติ&nbsp; &nbsp;&nbsp;วงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF แถลงแผนธุรกิจปี 2567 ว่า บริษัทจะเน้นการพัฒนาเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน และลดภาระหนี้ พัฒนาสินค้ารูปแบบใหม่ และการดำเนินงานเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้กลุ่มบริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2 หมื่นล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 9,750 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 2,540 ล้านบาท โครงการร่วมทุน 4,460 ล้านบาท และโรงแรม 3,250 ล้านบาท​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/sWCA3Yomz9s1D9mTXtZJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="sWCA3Yomz9s1D9mTXtZJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"><figcaption><div>วงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต และ วสันต์ ศรีรัตนพงษ์</div></figcaption></figure></div> ตั้งเป้ารายได้ 1.8 หมื่นล้านบาท&nbsp; &nbsp;&nbsp;ขณะที่รายได้ปีนี้ตั้งไว้ 1.8 หมื่นล้านบาท มาจากโครงการแนวราบ 8,600 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 2,380 ล้านบาท โครงการร่วมทุน 3,770 ล้านบาท และโรงแรม 3,250 ล้านบาท&nbsp; &nbsp;&nbsp;“ปีนี้กลุ่มบริษัทยังมีนโยบายสร้างความมั่นคงด้านการเงิน ให้ความสำคัญกับการลดภาระหนี้มากกว่าการขยายตัว ตั้งเป้าลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของกลุ่มบริษัทให้ลงไปอยู่ที่ระดับ 1 เท่าภายในสิ้นปีนี้” วงศกรณ์ ย้ำว่าปีนี้ทางกลุ่มมีแผนลดภาระหนี้ในส่วนของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 2,000 ล้านบาท และแกรนด์ แอสเสทฯ 5,000 ล้านบาท รวมเป็น 7,000 ล้านบาท จากการขายที่ดินและขายการลงทุนในธุรกิจโรงแรม​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/kMh2oHvLUkimb3KYPj6S.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="kMh2oHvLUkimb3KYPj6S.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1280,518" style="width: 720px; height: auto;" data-index="1"></figure></div> &nbsp; &nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังมีแผนลดภาระหนี้ของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ใน 2 ปีข้างหน้าอีกปีละ 2,000 ล้านบาท จากการขายที่ดินและเงินคืนจากบริษัทร่วมทุน ซึ่งจะทำให้กลุ่มบริษัทสามารถลดภาระหนี้ลงรวม 1.1 หมื่นล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนโครงการร่วมทุน ปัจจุบันมีการร่วมทุนกับ 3 บริษัทชั้นนำจากต่างประเทศ เป็นมูลค่าโครงการรวม 2.8 หมื่นล้านบาท มีรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ตั้งเป้ารายได้จากโครงการร่วมทุนเติบโตอีก 24% ขณะที่ธุรกิจโรงแรมปีที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้เพิ่มจากปีก่อนถึง 54% เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายกลับสู่ภาวะปกติ การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงงานประชุมต่างชาติ&nbsp; &nbsp;&nbsp;โรงแรมทั้ง 5 แห่งของกลุ่มฯ มีอัตราเข้าพักและราคาเฉลี่ยต่อห้องสูงขึ้นชัดเจน สามารถสร้างกำไรจากการบริหารงานได้สูงกว่าปี 2565 อยู่ที่ 152% อีกทั้งมากกว่าปี 2562 ช่วงก่อนสถานการณ์โควิด ถึง 10% ในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 22% กำไรขั้นต้นเติบโต 36% จากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/RWXDkbE9F9vAJ6CQ5KHB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="RWXDkbE9F9vAJ6CQ5KHB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" origin-size="1280,668" style="width: 720px; height: auto;" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วสันต์ ศรีรัตนพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เผยว่า ปีนี้ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค วางเป้าขายอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท โดยมีแผนจะเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 7,700 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 5 โครงการ มูลค่า 6,290 ล้านบาท ทาวน์โฮมและอาคารพาณิชย์ 2 โครงการ มูลค่า 1,410 ล้านบาท เป็นแนวราบทั้งหมด โดยโฟกัสกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน พัฒนาบ้านหรูหลายทำเล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โครงการไฮไลท์ได้แก่ “เพอร์เฟค เพลส ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์” เป็นการกลับมาสานต่อความสำเร็จของแบรนด์เพอร์เฟค เพลส ในโซนกรุงเทพตะวันตก ทำเลที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญและได้รับการตอบรับอย่างดีมากว่า 20 ปี “วาวิล่า” โครงการบ้านเดี่ยว 3 ชั้น จับกลุ่มลักซ์ชัวรี่เพิ่มเติมในทำเลกรุงเทพกรีฑา และยังมีการขยายโครงการในทำเลใหม่ ได้แก่ “โมดิ วิลล่า สถานีคูคต” เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดทำเลใกล้สถานีรถไฟฟ้าที่มีศักยภาพการเติบโตสูง&nbsp; &nbsp;&nbsp;บริษัทยังเน้นการพัฒนารูปแบบสินค้าทั้งบ้านเดี่ยวในโครงการเพอร์เฟค เพลส และ เพอร์เฟค พาร์ค ที่ปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ เพิ่มฟังก์ชั่นและขยายพื้นที่ใช้สอย รวมถึงการกลับมารุกตลาดทาวน์โฮม 3 ชั้นอีกครั้ง ด้วย “เดอะ เมทโทร” ทาวน์โฮมที่ปรับโฉมใหม่ให้สวยงามเรียบง่ายในสไตล์มินิมอลลิสต์​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/4qiedCLv6AZpYm5nPt4f.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4qiedCLv6AZpYm5nPt4f.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1280,720" style="width: 720px; height: auto;" data-index="3"></figure></div> เดินหน้า Go Green&nbsp; &nbsp;&nbsp;นอกจากนี้พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยังเดินหน้าสู่ความยั่งยืนภายใต้แนวคิด “Go Green” ผ่าน 4 แกนหลัก ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. Clean Energy การใช้พลังงานสะอาดทั้งในระดับโครงการและในบ้าน ทั้งการติดตั้งโซลาร์รูฟบนอาคารสโมสร สำนักงานขาย และบ้านในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ และเลค เลเจ้นด์ ติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับบ้านเดี่ยวสร้างใหม่ในโครงการ เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ, เลค เลเจ้นด์ และวาวิล่า และติดตั้งระบบที่รองรับการติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Ready) สำหรับบ้านเดี่ยวโครงการเพอร์เฟค เพลส, เพอร์เฟค พาร์ค และโมดิ วิลล่า&nbsp; &nbsp;&nbsp;2. Water Saving การพัฒนาโครงการที่มีทะเลสาบขนาดใหญ่ให้มีความโดดเด่น ควบคู่ไปกับการดูแลแหล่งน้ำและทะเลสาบภายในโครงการอย่างดี ทั้งการจัดการคุณภาพน้ำและหมุนเวียนน้ำกลับมาใช้ประโยชน์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. Materials &amp; Process การให้ความสำคัญตั้งแต่การออกแบบให้ลดการใช้พลังงาน และเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้บริษัทมีส่วนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และ 4.&nbsp;Good Health &amp; Well-Being ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกวัย โดยปีนี้จะเปิดคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่รูปแบบใหม่ในทำเลกรุงเทพกรีฑา เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัยในโครงการ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/bmw-group-thailand-2024-plan" alt="‘BMW Group’ โชว์ผลงาน รถอีวี 100% ยอดพุ่ง 348% ปีนี้เปิดตัวรถใหม่ 10 รุ่นในสามแบรนด์">‘BMW Group’ โชว์ผลงาน รถอีวี 100% ยอดพุ่ง 348% ปีนี้เปิดตัวรถใหม่ 10 รุ่นในสามแบรนด์</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“กลุ่ม PF” ตั้งเป้าขายปีนี้ 2 หมื่นล้าน เสริมแกร่งการเงิน-ลดหนี้ เติบโตยั่งยืน

<h2>สิงห์ เอสเตท ยื่น filing เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป อายุ 3 ปี ที่อัตราดอกเบี้ย 5.00% ต่อปี โดยคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 8 - 9 และ 12 ก.พ. 2567 พร้อมอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้อยู่ที่ “BBB” ซึ่งเป็นกลุ่ม “ระดับลงทุน” (Investment Grade) ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือองค์กรอยู่ที่ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากการจัดอันดับโดยทริสเรทติ้ง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากประสบความสำเร็จจากการเสนอขายหุ้นกู้ในปี 2566 ที่ผ่านมา โดยปิดการขายรวมมูลค่าเสนอขายทั้งสิ้น 1,700 ล้านบาท ตอกย้ำความมั่นใจและไว้วางใจของผู้ลงทุนต่อการเติบโตของธุรกิจกลุ่ม บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เตรียมพร้อมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ต่อประชาชนทั่วไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ยื่นคำขออนุญาตและแบบแสดงรายการข้อมูลตราสารหนี้ (filing) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยเป็นหุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.00% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน กำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยคาดว่าจะเสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไประหว่างวันที่ 8 - 9 และ 12 ก.พ. 2567 โดยบริษัทฯ ได้แต่งตั้งสถาบันการเงิน 3 แห่ง เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2567 ที่ระดับ “BBB” ซึ่งเป็นกลุ่ม “ระดับลงทุน” (Investment grade) ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือองค์กรอยู่ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทริสเรทติ้ง ระบุว่า อันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวสะท้อนผลการดำเนินงานในธุรกิจโรงแรมของบริษัทที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนแผนการขยายโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ รวมถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งที่มองว่าภาระหนี้สินของบริษัทมีแนวโน้มลดลงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้อันดับความน่าเชื่อถือยังสะท้อนถึงคุณภาพที่ดีของสินทรัพย์โรงแรมของบริษัทตลอดจนแบรนด์ของโครงการที่พักอาศัยที่ได้รับการยอมรับอย่างดี มีผลการดำเนินงานตามแผน และรายได้ประจำจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์อีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบคลุม ธุรกิจโรงแรม ภายใต้การบริหารงานของ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นอย่างชัดเจนในปีที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน SHR เป็นเจ้าของโรงแรมทั้งสิ้นจำนวน 38 แห่ง ห้องพัก 4,552 ห้อง ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญกระจายอยู่ใน&nbsp;3 ภูมิภาค&nbsp;5 ประเทศ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า รวมถึงธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานเช่า รวมทั้งการลงทุนในบริษัทร่วมในธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/9gZT3d4jwPsBeRPAtonc.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="9gZT3d4jwPsBeRPAtonc.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1091,613" style="width: 720px; height: auto;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 นั้น บริษัทมีรายได้รวมจากการขายและการบริการจำนวน 10,072 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ เติบโตโดดเด่นถึง 34% ด้วยแรงส่งสำคัญจากการเปิดตัว 3 โครงการ ภายใต้ 3 แบรนด์ซึ่งรวมถึงโครงการใหญ่ S’RIN ราชพฤกษ์-สาย 1 ที่มีมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาทและพร้อมเริ่มรับรู้รายได้ทันที&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่รายได้จากธุรกิจให้บริการปรับตัวเพิ่มขึ้น 16% ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของธุรกิจโรงแรม และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก รวมถึงการปรับปรุงห้องพักโรงแรมสำคัญในไทยและฟิจิในไตรมาส 4 เพื่อเตรียมต้อนรับผู้เข้าพักในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หนุนให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (ADR) มีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้ายังคงมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จากการทยอยรับรู้รายได้ตามการส่งมอบพื้นที่เช่าของอาคารเอส โอเอซิส (S OASIS) รวมถึงธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ก็ยังมีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่องเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เรามีความมั่นใจที่จะทำตามเป้าหมายในการสร้างรายได้ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และวางรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อมุ่งเป้าสู่การเติบโตระยะยาว พร้อมด้วยปรัชญาการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยพันธสัญญาต่อลูกค้า คู่ค้า ตลอดจนสังคม และการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการรักษาวินัยทางการเงินที่ดี และการเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมที่สุดกับสภาวะตลาดในแต่ละช่วง เพื่อเพิ่มความพร้อมในการสนับสนุนการขยายการเติบโตให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง และคงระดับสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนให้เป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการของบริษัท” ฐิติมากล่าวเสริม &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หมายเหตุ: การจัดสรรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เงื่อนไขการจัดจำหน่ายเป็นไปตามที่กำหนดในร่างหนังสือชี้ชวน​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/origin-new-2-debentures" alt="“ออริจิ้น” เตรียมขายหุ้นกู้ล็อตใหม่ 2 ชุด ชูดอกเบี้ย 4.25-4.85% ต่อปี">“ออริจิ้น” เตรียมขายหุ้นกู้ล็อตใหม่ 2 ชุด ชูดอกเบี้ย 4.25-4.85% ต่อปี</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สิงห์ เอสเตท เตรียมเปิดจองหุ้นกู้ชุดใหม่ อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.00%

ศรศักดิ์ สมวัฒนา ผสานการเงินการตลาดปั้นแบรนด์ "เนอวานา"

<h2 class="p1">ในเดือนสิงหาคม 2018 Daryl Ng ประธานกรรมการ Hong Kong Innovation Foundation ได้พบปะกับ Toby So ผู้ก่อตั้ง Film Players สตาร์ทอัพอายุ 1 ปี ในช่วงมื้อกลางวันระหว่างงานประกาศรางวัลที่มีรัฐบาลฮ่องกงเป็นสปอนเซอร์ แล้วทั้งคู่ก็กลายเป็นหุ้นส่วนกันในอีก 2 เดือนต่อมา</h2>
บริษัทของ So กำลังพัฒนา “ฟิล์มอัจฉริยะ” ซึ่งเป็นแผ่นฟิล์มพร้อมกาวในตัว หนา 0.3 มม. ที่สามารถเปลี่ยนให้แผ่นกระจกกลายเป็นหน้าจอดิจิทัลแบบอินเทอร์แอ็กทีฟได้เมื่อเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ด้วยคำแนะนำจากทีมงานของ Daryl Ng ทาง Film Players ได้เพิ่ม “สวิตช์หรี่ไฟ” ลงไปด้วย เพื่อสะท้อนการมองเห็นแสงที่แตกต่างกัน ซึ่งสร้างเอฟเฟกต์ม่านหน้าต่างแบบปรับเปลี่ยนได้ และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับโรงแรมและเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ของครอบครัว Ng
Ng เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะทายาทวัย 41 ปี ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สิงคโปร์ Far East Organization ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 57 ปีก่อน โดยปู่ผู้ล่วงลับไปแล้วของ Ng และทุกวันนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มพัฒนารายใหญ่ที่สุดของเอเชีย
ในทางปฏิบัติแล้ว Ng ดำรงตำแหน่งซีอีโอของกลุ่ม Sino บริษัทสาขาของ Far East ในฮ่องกง ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการ และผู้เป็นพ่อ Robert Ng นั่งเก้าอี้ประธานกรรมการบริษัท Sino Land บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ในฮ่องกง ยังติดอยู่ในทำเนียบ Best Over A Billion ด้วย


<figure><img class="size-full wp-image-22528" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/daryl03.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Daryl Ng ภาพจาก COURTESY OF SINO LAND</figcaption></figure>
ความมั่งคั่งของครอบครัว Ng ยังคงได้อานิสงส์จากอสังหาริมทรัพย์ไฮเอนด์ราคาสูงของตระกูล ซึ่งยังไม่ได้รับผลกระทบจากความแตกแยกทางการเมืองในฮ่องกงหรือการชะลอตัวของเศรษฐกิจสิงคโปร์ ทรัพย์สินสุทธิโดยรวมของ Ng ขยับขึ้นไปแตะที่ 1.21 หมื่นล้านเหรียญจาก 1.19 หมื่นล้านเหรียญ
หลังอยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มา 16 ปี Ng รุ่นเยาว์ได้เข้าไปสู่คลื่นดิจิทัลที่ซัดสาดมาถึงเจ้าของธุรกิจรุ่นถัดไปของเอเชีย ขณะที่กำลังเร่งเสาะหาความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ เพื่อใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงทำนาย 5G หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีเกิดใหม่อื่นๆ Ng กำลังเปลี่ยนเครือข่ายโรงแรม การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และโครงการลงทุนต่างๆ มากมายที่กระจัดกระจายของครอบครัว ให้กลายเป็นศูนย์กลางบ่มเพาะด้านดิจิทัลขนาดยักษ์ เพื่อสำรวจ (และแสวงหาประโยชน์) ในตลาดสมาร์ทโฮมและสำนักงานอัตโนมัติ
Ng เปิดตัวสถาบันขึ้นเมื่อต้นปีที่แล้ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามดังกล่าว การเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการของสถาบันที่ว่าเมื่อไม่นานนี้ในเขตอุตสาหกรรมเก่าแก่ของฮ่องกง เผยให้เห็นนวัตกรรมกว่าสิบอย่างที่กลุ่ม Sino ของ Ng กำลังพิจารณาเอามาปรับใช้หรือกำลังลงทุนอยู่
ในจำนวนนั้นประกอบด้วย ตัวชาร์จไฟไร้สายที่สามารถถ่ายโอนพลังงานผ่านพื้นผิวที่ไม่ใช่ตัวนำไฟฟ้า โดยไม่จำเป็นต้องเจาะรูในเฟอร์นิเจอร์หรือบนผนัง การวางแผนผังแบบอินเทอร์แอ็กทีฟ 3 มิติสำหรับการออกแบบภายใน และระบบรวมศูนย์สำหรับใช้ตรวจดูคุณภาพอากาศภายในอาคาร ปริมาณการใช้ไฟฟ้า จำนวนผู้เข้ามาในอาคาร และแม้กระทั่งการใช้ห้องน้ำและถังขยะ
นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมที่ธุรกิจของกลุ่ม Sino ที่ได้นำเอามาใช้จริงแล้ว เช่น ระบบไฟลานจอดรถขับเคลื่อนด้วยเอไอ ที่ประหยัดพลังงาน เก็บข้อมูล และส่งการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัยและการซ่อมบำรุง “นี่คือ สถานการณ์ที่ทุกคน วิน-วิน-วิน เป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ผลิต ผู้ขาย และลูกค้า” Ng กล่าว
“ด้วยการจัดหาแพลตฟอร์มทดลองสำหรับสตาร์ทอัพเหล่านี้ โครงการอสังหาริมทรัพย์ของเราได้ประโยชน์จากแนวคิดสดใหม่ของพวกเขา ขณะที่สตาร์ทอัพเองก็ได้ทดลองและบ่มเพาะนวัตกรรมเทคโนโลยีของตัวเอง และยังได้แนะนำให้เพื่อนร่วมงานและลูกค้าของเราไปพบกับความเป็นไปได้และโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ในเวลาต่อไป”-- Shu-Ching Jean Chen
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/asia/10-%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a-%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b9%82%e0%b8%9b.html">10 อันดับ “มหาเศรษฐีสิงคโปร์” ประจำปี 2019</a></li>
</ul>
&nbsp;
(จากภาพปก ซ้าย: Daryl Ng, ขวา: Robert Ng)
ภาพ: Jonathan Wong/South China Morning Post/Getty Image


<hr />

<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/b10a4bd1-2701-4112-b9eb-5353382560ea">คลิกอ่านเรื่องราวของ 50 อันดับเศรษฐีสิงคโปร์ ประจำปี 2019 ได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2562 ได้ในรูปแบบ e-magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-15976" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/COVER-76-SEPTEMBER-.jpg" alt="" width="301" height="395" />

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events