คุณพ่อจอมจุ้น - Forbes Thailand

คุณพ่อจอมจุ้น

FORBES THAILAND / ADMIN
11 Feb 2017 | 02:19 PM
READ 1405

มีพ่อคนไหนที่จะทำให้ลูกสาวขายขี้หน้าเกิน Cecil Chao? ไม่ว่าพ่อลูกคู่ Cecil และ Gigi จะผ่านเรื่องร้ายดีอะไรมาบ้างคงไม่สำคัญเพราะปัจจุบัน ทั้งคู่คือทีมเวิร์คที่ทำงานเข้าขากันเป็นอย่างดีในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ชื่อว่า Cheuk Nang Holdings

เรามีนัดกับทั้งสองในช่วงบ่ายวันจันทร์ ตอนที่เราไปถึง Cecil Chao ผู้คร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และ Gigi บุตรสาวกำลังจดจ่ออยู่กับแผนสถาปัตยกรรมในสำนักงานใหญ่ของบริษัท ซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 49 ของอาคาร Central Plaza บนเกาะฮ่องกง ด้านหลังห้องทำงานของพวกเขาเผยให้เห็นทัศนียภาพที่งดงามของอ่าว Victoria Harbor ซึ่งเป็นภาพมุมกว้างที่ไม่มีอะไรมาบดบังสายตา Cecil ผู้พ่อดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ส่วน Gigi บุตรสาวดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการของบริษัท Cheuk Nang Holdings ทั้งคู่กำลังวุ่นอยู่กับโครงการก่อสร้างที่พักอาศัยและศูนย์การค้าขนาดใหญ่ในประเทศจีนฮ่องกง มาเก๊า และมาเลเซียจากภาพที่เราเห็น ทั้งคู่ทำงานเข้าขากันเป็นอย่างดี ซึ่งดูจะขัดแย้งกับสิ่งที่เราเคยได้ยินมาเมื่อในอดีต เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อนของคนทั้งสองปรากฏเป็นข่าวพาดหัวดังไปทั่วโลก เมื่อ Cecil ผู้เป็นบิดาประกาศจะให้เงินรางวัลจำนวน 65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แก่ผู้ชายที่สามารถทำให้บุตรสาวของเขายอมแต่งงานด้วย แม้ว่าในเวลานั้นเธอจะแต่งงานอยู่กินกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว มีผู้ชายกว่า 10,000 คนตอบรับข้อเสนอนี้ในทันที สายใยความเป็นพ่อเป็นลูกของคนส่วนใหญ่อาจจะสะบั้นหากต้องเจอแรงกดดันที่ถาโถมรุนแรงแบบนั้น แต่ไม่ใช่กับสมาชิกตระกูล Chao โดยในเดือนตุลาคม ปี 2014 Cecil ระบุให้บุตรสาวคนโตเป็นผู้สืบทอดกิจการบริษัทซึ่ง Gigi เป็นลูกคนเดียวในบรรดาลูกทั้งหมดสามคนที่ประกอบอาชีพสถาปนิกเหมือนตัวเขา Cecil ในวัย 80 ปี ย้อนความหลังถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่าเขาทำแบบนั้นเพราะเชื่อว่าบุตรสาวของตนอาจจะหาคู่ครองที่เหมาะสมได้ยาก แต่หลังจากที่ Gigi ซึ่งอายุประมาณ 37 ปีในเวลานั้นปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างไม่ไยดี เขาก็ยอมรับการตัดสินใจของเธอ “ทำไงได้ล่ะ มันเป็นชีวิตของเขา เราก็ต้องปล่อยให้เขาเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง” Cecil ยังคงกุมบังเหียนการบริหารงานในบริษัทอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเกษียณตัวเองในเร็ววัน ชายผู้ซึ่งประกาศตัวว่าเป็นหนุ่มเจ้าสำราญคนนี้มีแนวคิดแบบคนตะวันออก เขาเป็นคนชอบออกคำสั่ง อหังการ และไม่เชื่อในพระเจ้า เขาไม่เคยแต่งงานกับผู้หญิงคนไหน ลูกทั้งสามคนของเขาเป็นพี่น้องต่างมารดา และเขามักจะอวดอ้างด้วยความภาคภูมิใจว่าเขา “นอน” กับผู้หญิงมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10,000 คน ส่วน Gigi จะมีแนวความคิดแบบคนตะวันตก เธอมีสำเนียงพูดแบบชาวอเมริกัน เนื่องจากย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่รัฐ New Jersey กับแม่และพ่อเลี้ยงตั้งแต่อายุได้เพียง 6 ขวบ แม่ของเธอ คือ Kelly Yao Wei อดีตนักแสดงชาวฮ่องกง เธอนิยามตัวเธอสั้นๆ ว่า “ฉันเป็นคริสเตียนผู้รักเสรีภาพและชื่นชอบเพศเดียวกันฉันเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน” Gigi ซึ่งอาสาพาพวกเราเดินเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ของบริษัทเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าแผ่นป้ายสีฟ้าของโครงการ One Kowloon Peak เฟส 1 โดยบริษัท Cheuk Nang ยอมจ่ายเงินในราคาแพงกว่าปกติเพื่อที่จะแปลงโฉมพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง Tsuen Wan ในเขต New Territories ให้เป็นอาคารที่พักอาศัยขนาดความสูง 19 ชั้น โดยห้องชุดทั้งหมด 49 หลังจะอยู่ติดกับทะเล Cheuk Nang เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ โดยมูลค่าตลาดรวมของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 390 ล้านเหรียญ ซึ่ง Cecil มองว่าราคาหุ้นของบริษัทร่วงลงไปมาก เนื่องจากเขาเชื่อว่ามูลค่าสินทรัพย์ที่แท้จริงของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 1.5 พันล้านเหรียญ Cecil มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทประมาณร้อยละ 71 กำไรสุทธิของบริษัทสำหรับรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2014 อยู่ที่ประมาณ 51 ล้านเหรียญ และลดลงมาอยู่ที่ 31 ล้านเหรียญในปี 2015 เขาคาดการณ์ว่าผลประกอบการของบริษัทในปีนี้จะดีกว่าปีที่ผ่านมา Cecil ซึ่งเริ่มต้นอาชีพจากการเป็นสถาปนิกก่อนจะผันตัวมาทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ยังคงมีบทบาทสำคัญในการร่างแผนพัฒนาโครงการใหม่ๆ ของบริษัท หลังจากบริษัทเน้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงเป็นหลักในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่ในช่วง 2 ปีมานี้ Cecil เริ่มทยอยขายอสังหาริมทรัพย์บางส่วนในฮ่องกง โดยเขาให้เหตุผลว่า “อสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงเริ่มถึงจุดอิ่มตัวแล้ว” เขารู้สึกผิดหวังกับเหตุจลาจลทางการเมืองที่เกิดขึ้น เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงเมื่อปี 2014 ซึ่งทำให้ฮ่องกงเข้าสู่ภาวะเสื่อมถอยอย่างรุนแรงเมื่อเทียบกับประเทศสิงคโปร์ “ธุรกิจก็ยังพอไปได้ และบริษัทก็ยังสามารถทำกำไรงามได้อยู่ แต่ผมมองว่ามันคงไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน” Gigi ได้เล่าให้เราฟังว่าพ่อเคยไล่เธอออกจากบริษัทในปี 2004 เพราะไม่พอใจที่เธอทุ่มเทเวลาให้กับธุรกิจส่วนตัวมากเกินไป และเธอยอมกลับมาทำงานที่ Cheuk Nang อีกครั้งในปี 2011 เมื่อได้รับการขอร้องจากพ่อ “ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพ่อเป็นอะไรที่ผันแปรได้ตลอด” พ่อมักจะกดดันว่าฉันต้องทำงานให้หนักและทุ่มเทเวลาให้มากกว่านี้ “สไตล์การบริหารงานของพ่อเป็นแบบคนสมัยเก่า ซึ่งเหมาะกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ฉันยอมรับว่าการทำงานหนักทำให้ธุรกิจของเราอยู่รอดทั้งในยามที่เศรษฐกิจดีและไม่ดี แต่วิธีแบบนั้นก็มีข้อเสียตรงที่ขาดนวัตกรรม ซึ่งเป็นงานที่ท้าทายในมุมมองของฝ่ายบริหาร ฉันต้องทำการบ้านอย่างหนักในการบริหารคน ฉันเรียนจบมาทางด้านประชาสัมพันธ์ มันเป็นงานที่ฉันถนัด” เธอกล่าว ปัจจุบัน Cecil พุ่งเป้าการเติบโตไปที่ประเทศจีน ซึ่งมีมูลค่าร้อยละ 70 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท ขณะที่โครงการในมาเก๊าและมาเลเซียยังต้องรอการอนุมัติจากรัฐบาล Cecil บอกว่า “เรามองเห็นเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่จะไหลเข้าบริษัทในอีก 3 ปีข้างหน้า” เมื่อโครงการต่างๆ เสร็จสมบูรณ์ เขาคาดการณ์ว่ารายได้ของบริษัทน่าจะพุ่งแตะระดับ 1 พันล้านเหรียญอย่างแน่นอน Cecil ตั้งใจส่ง Gigi ไปที่ประเทศจีนสัปดาห์ละ 2 วันเพื่อตรวจดูความคืบหน้าโครงการก่อสร้างต่างๆ แม้ว่าเขาจะรู้ข่าวสารความเป็นไปของที่นั่นผ่าน “เพื่อนสาว” ของเขา ซึ่งประจำอยู่ที่ไซต์งานก่อสร้างประมาณ 5-10 คน Cecil บอกว่า “สาวๆ ที่ทั้งสวยและฉลาดพวกนี้จะคอยป้อนข้อมูลข่าวสารให้กับผมตลอด” เมื่อถูกถามว่าสาวสวยกลุ่มนี้ได้รับเงินเดือนประจำจากเขาหรือไม่ Cecil ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนั้นอย่างนุ่มนวล ในความคิดของ Gigi และเพื่อนร่วมงานของเธอ เครือข่าย “เพื่อนสาว” ที่ขัดกับขนบประเพณีแบบนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนในยุคแรกๆ ไม่ยอมรับ แต่การทำธุรกิจในประเทศจีนเป็นเรื่องที่ท้าทาย ทั้งในเรื่องของกฎระเบียบและอุปสรรคมากมายที่เราไม่อาจนิ่งนอนใจ แต่ขั้นตอนต่างๆ สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่นผ่านการใช้ประโยชน์จากเครือข่าย “เพื่อนสาว” ตลอดจนเครือญาติและผู้คนที่พวกเธอมีสายสัมพันธ์อันดี “เมื่อลองถอดหมวกความคิดแบบชาวตะวันตกออก ฉันยอมรับว่าวิธีการที่พ่อทำมันเจ๋งมาก” Gigi พูดถึงพ่ออย่างชื่นชม “พ่อมักจะได้ข้อมูลเด็ดจากสาวๆ เหล่านี้เสมอแทบจะไม่ต่างจากวิธีการของเจมส์ บอนด์เลย” Cecil เล่าประวัติครอบครัวให้เราฟังแบบรวบรัดว่า ทั้งพ่อและแม่ของเขาเรียนกฎหมายมาด้วยกัน ทั้งคู่แต่งงานกันในช่วงต้นทศวรรษ 1920 และต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงดูลูกๆ ทั้ง 5 คน เนื่องจากครอบครัวไม่ได้มีเงินทองมากนัก ฐานะที่บ้านเริ่มดีขึ้นตอนที่พ่อได้งานประจำที่บริษัท Philip Morris ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายยาสูบในช่วงหลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 บริษัทดังกล่าวตกลงรับพ่อเข้าทำงานในตำแหน่ง “ผู้เจรจาการค้า” ต่อมาในปี 1948 เมื่อสงครามกลางเมืองในประเทศจีนส่อเค้าว่าจะรุนแรงขึ้น Chao Tsong Yea พ่อของเขาจึงตัดสินใจขายทรัพย์สินทั้งหมดที่มีและไปซื้อเรือลำหนึ่งเพื่ออพยพสมาชิกในครอบครัวมาอยู่ที่ฮ่องกง หลังจากนั้นพ่อของเขาได้เปิดบริษัท Wah Kwong Maritime Transport ขึ้นเพื่อให้บริการขนส่งสินค้า ซึ่งบริษัทดังกล่าวยังคงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจขนส่งสินค้าจวบจนปัจจุบัน บริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งแรกของ Cecil ได้เงินทุนสนับสนุนจากพ่อของเขา เราเดินลงจากบันไดทางเดินมาที่ห้องโถงบริเวณชั้น 3 ซึ่งมีงานศิลปะจีนจำนวนมากตั้งเรียงรายอยู่ Cecil เล่าให้เราฟังถึงแผนสืบทอดกิจการของเขาว่า “ผมถ่ายทอดประสบการณ์ให้เขาทุกวัน รวมแล้วปีหนึ่งก็ตกประมาณ 10% แต่เอาจริงๆ ผมยังไม่รู้ว่าจะส่งไม้ต่อให้ลูกบริหารกิจการเมื่อไหร่ มันอยู่ที่ Gigi ว่าเธอทำตัวยังไง และเธอพร้อมจะสู้งานหนักแค่ไหน” Cecil พูดปิดท้ายว่า “คนจีนมักจะไม่วางมือทางธุรกิจแบบเต็มตัวถ้าผมไม่ได้ทำงาน ผมคงหมดสนุก ถ้าให้ผมเกษียณ ผมคงมีชีวิตอยู่เพื่อรอความตาย แล้วมันจะไปสนุกอะไร”
คลิ๊กเพื่ออ่านฉบับเต็ม "คุณพ่อจอมจุ้น" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2559