ภูเก็ตฮอตต่อเนื่อง ‘บันยัน กรุ๊ป’ ประกาศเปิดโครงการหรูเพิ่ม มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ - Forbes Thailand

ภูเก็ตฮอตต่อเนื่อง ‘บันยัน กรุ๊ป’ ประกาศเปิดโครงการหรูเพิ่ม มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

FORBES THAILAND / ADMIN
06 Nov 2024 | 10:30 AM
READ 910

กลุ่มธุรกิจโรงแรมชั้นนำ บันยัน กรุ๊ป ยังคงมีความเชื่อมั่นและมุมมองเชิงบวกต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ในจังหวัดภูเก็ต ด้วยยอดขายที่อยู่อาศัยประจำปีที่เพิ่มขึ้นถึง 300% จาก 65-70 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีในช่วงก่อนโควิด-19 สู่มูลค่ากว่า 200 ล้านเหรียญต่อปีในปี 2567


    บันยัน กรุ๊ป เรสซิเดนซ์ ประกาศแผนธุรกิจ ลงทุนเพิ่มในอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ที่จังหวัดภูเก็ต มูลค่ากว่า 1 พันล้านเหรียญในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากความต้องการที่อยู่อาศัยคุณภาพเหนือชั้นบนเกาะภูเก็ตที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะจากตลาดต่างประเทศ จึงมีการคาดการณ์ว่าในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า มูลค่าการลงทุนอาจเพิ่มขึ้นถึง 4.5 พันล้านเหรียญหรือมากกว่านั้น

    บันยัน กรุ๊ป นำทัพโดยนักธุรกิจชาวสิงคโปร์ โฮ กวง ปิง หรือเคพี โฮ เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งแบรนด์ธุรกิจบริการชั้นนำระดับโลกอย่างเครือโรงแรมและรีสอร์ทบันยันทรี (Banyan Tree Hotels & Resorts) ที่เพิ่งฉลองครบรอบ 30 ปี โดยโครงการ ลากูน่า ภูเก็ต รีสอร์ทครบวงจรที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 3.5 ตารางกิโลเมตร ปัจจุบันดึงดูดผู้คนกว่า 1 ล้านคนต่อปี ประกอบไปด้วยโรงแรมและรีสอร์ทระดับโลกถึง 8 แห่ง สนามกอล์ฟที่คว้ารางวัล รวมถึงร้านค้า สปา และศูนย์บริการทางการแพทย์ ตลอดจนโรงเรียนอนุบาลนานาชาติตั้งอยู่ภายในโครงการ นอกเหนือจากบ้านพักส่วนตัวอีกกว่า 3,000 หลัง



    ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องของภูเก็ตในฐานะจุดหมายปลายทางสำหรับการใช้ชีวิตและพักผ่อนหย่อนใจ ทำให้ผู้คนหันมาสนใจการมีบ้านพักตากอากาศหรือแม้แต่การตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรบนเกาะแห่งนี้เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้บันยัน กรุ๊ป ได้รับอิทธิพลจากความต้องการในตลาดสำหรับที่พักอาศัยส่วนตัวบนเกาะภูเก็ตที่สูงยิ่งขึ้นเช่นกัน

    บริษัทยังได้ประกาศอีกโครงการที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ลากูน่า ภูเก็ตในช่วงต้นปีที่ผ่านมา นั่นคือโครงการ ลากูน่า เลคแลนด์ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่มากกว่าหนึ่งตารางกิโลเมตร ท่ามกลางสวนพฤกษศาสตร์เขียวชอุ่มและทะเลสาบอันเงียบสงบ ทั้งโครงการเชื่อมต่อกันด้วยเส้นทางเดินระยะทางยาวกว่า 15 กิโลเมตร โดยคาดว่าจะสร้างที่อยู่อาศัยส่วนตัวรวมประมาณ 5,000 หลังด้วยกัน

    เนื่องจากบันยัน กรุ๊ป มองเห็นยอดขายที่พักอาศัยส่วนตัวในภูเก็ตที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง บริษัทจึงได้เปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ถึง 8 แห่งด้วยกันภายใน ลากูน่า ภูเก็ตและ ลากูน่า เลคแลนด์ ในปี 2567 ด้วยมูลค่าการลงทุนรวม 425 ล้านเหรียญ และคาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มด้วยมูลค่ารวมกว่า 1 พันล้านเหรียญภายในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า



    เคพี โฮ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารของบันยัน กรุ๊ป กล่าวว่า “แนวโน้มความต้องการสำหรับที่อยู่อาศัยในภูเก็ตนั้นกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกของเที่ยวบินสู่ภูเก็ต เทรนด์การ work from home ไปจนถึงปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เอื้ออำนวย การมีวิถีชีวิตในเมืองเขตร้อนตลอดทั้งปี และความเพียบพร้อมทางด้านสถานพยาบาลและสถานศึกษา จึงทำให้ภูเก็ตเหมาะแก่การเป็นที่อยู่อาศัยอย่างยิ่ง”

    “อสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูงในภูเก็ตยังคงมีราคาต่ำกว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์อื่นอยู่มาก เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือยุโรป ซึ่งนับเป็นปัจจัยดึงดูดสำคัญเช่นกัน” เคพี โฮ กล่าวเสริม โดยภูเก็ตเป็นเมืองที่มีสภาพอากาศที่น่าดึงดูดเอื้อต่อกิจกรรมกลางแจ้งตลอดทั้งปี มีโรงเรียนนานาชาติและโรงพยาบาลระดับโลกมากมาย บวกกับที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่มีข้อได้เปรียบ ห่างจาก 40% ของประชากรโลกโดยสามารถบินตรงในเวลาเพียง 4-5 ชั่วโมง ทำให้ภูเก็ตเป็นที่น่าดึงดูดและได้รับความนิยม

    บันยัน กรุ๊ป มองว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นและยังมีพื้นที่อีกมากสำหรับการเติบโต ภายในปี 2567 จะมียูนิตที่อยู่อาศัยทั้งหมดประมาณ 3,000 หลังที่สร้างเสร็จภายในโครงการ ลากูน่า ภูเก็ต และอีก 700 หลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ในอนาคตคาดว่าจะมีที่พักรวมทั้งสิ้นอีกกว่า 10,000 หลังสำหรับโครงการ ลากูน่า ภูเก็ต และ ลากูน่า เลคแลนด์ ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งแปลว่าในปัจจุบันโครงการได้สร้างสำเร็จไปแล้วประมาณ 25% จากทั้งหมด



    สจ๊วต เรดดิ้ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ของบันยันกรุ๊ปเรสซิเดนซ์ กล่าวว่า “กลยุทธ์ในปัจจุบันของเราคือการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์คุณภาพสูงเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงขนาด เปรียบเสมือนการซื้อรถยนต์จากแบรนด์หรูอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู หรือ เมอร์เซเดส แม้ว่าคุณจะเลือกซื้อรุ่นขนาดเล็ก แต่คุณก็ยังได้รับการรับประกันในเรื่องของคุณภาพและฝีมือการผลิตในระดับเดียวกับรุ่นท็อป”

    เรดดิ้งอธิบายว่าบริษัทจะตั้งเป้าพัฒนาแบรด์เรสซิเดนซ์ในรูปแบบของอพาร์ทเมนต์และเพนต์เฮาส์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นในทำเลทองริมชายหาดภายในโครงการ ลากูน่า ภูเก็ต ด้วยขนาดถึง 500 หรือ 700 ตารางเมตร

    “เนื่องจากที่ดินริมหาดที่มีอยู่จำกัด โดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งตะวันตกช่วงกลาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการเราและเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง เราจึงมองหาโอกาสในการสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ ผ่านการพัฒนาอาคารชุดพักอาศัยขนาดใหญ่ที่กว้างขวางและครบครัน เช่น สระว่ายน้ำส่วนตัวบนดาดฟ้า rooftop หรือระเบียงส่วนตัว แทนการสร้างบ้านเดี่ยวซึ่งต้องใช้พื้นที่มาก” เรดดิ้ง กล่าวเสริม

    ในขณะเดียวกัน บันยัน กรุ๊ป วางแผนที่จะสร้างคอนโดมิเนียมในลากูน่า เลคแลนด์ และโครงการอื่นๆ ที่มีราคาเริ่มต้นที่ต่ำกว่าและขนาดที่เล็กกว่า แต่ยังคงคุณสมบัติครบถ้วน โดยจะอยู่ห่างออกมาจากชายหาด


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : SCB EIC ประเมินอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ปี 68 โต 2.8% แม้เศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง-จีนชะลอตัว

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine