<h2>ธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลวางรากฐานในไทยมานานหลายสิบปี จนแตกแขนงออกมาทั้งศูนย์การค้า ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ หนึ่งในนั้นคือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท หรือ CPNREIT ที่เรียกว่าเก็บกิน ‘ค่าเช่า’ ที่เกิดจากห้างเซ็นทรัลและอสังหาฯ หลายแห่งทั่วไทย</h2> ตั้งเป้าหมายสินทรัพย์โต 1.8 แสนล้านภายใน 8 ปี &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;CPNREIT คือกองทรัสต์ที่แปลงสภาพมาจากกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPNRF) โดยรับโอนทรัพย์สินต่างๆ เมื่อปลายปี 2560 เรียกว่าเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ให้ CPNREIT จะสามารถบริหารจัดการได้อย่างยืดหยุ่นขึ้น (เช่น ขยายลงทุนในต่างประเทศ, กู้เงินได้มากขึ้น และยังพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้อีกด้วย) ทั้งนี้ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ที่ถือหุ้นราว 40% ใน CPNREIT&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถ้าเล่าให้เห็นภาพ คือเมื่อ CPN พัฒนาอสังหาฯ หรือสร้างศูนย์การค้าขึ้นมา (ปัจจุบันมีมากกว่า 30 แห่ง และอสังหาฯ อื่นๆ ) อาจขายสัญญาเช่าระยะยาวบางส่วนให้ทาง CPNREIT ซึ่งจะบริหารสิทธิการเช่าและจัดเก็บค่าเช่าจากร้านค้าต่างๆ ขึ้นมาเป็นรายได้ของ CPNREIT บางส่วนจะแบ่งไปลงทุนต่อเช่น การรีโนเวทศูนย์การค้า หรือซื้อสินทรัพย์ใหม่ๆ เข้ามาบริหาร​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/FXndBktYVtH9hw73HEwX.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="FXndBktYVtH9hw73HEwX.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,407" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp; &nbsp;&nbsp;ปัจจุบันกองทรัสต์ CPNREIT มีมูลค่าสินทรัพย์ฯ 92,101 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) อยู่ที่ 42,366 ล้านบาท โดยในพอร์ต CPNREIT มีการลงทุนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ระยะยาว ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) ศูนย์การค้า 7 แห่ง&nbsp;ได้แก่ เซ็นทรัล พระราม 2, เซ็นทรัล พระราม 3, เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต, เซ็นทรัล พัทยา, เซ็นทรัล ลำปาง, และเซ็นทรัล มารีนา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) อาคารสำนักงาน 4 แห่ง&nbsp;ได้แก่ ปิ่นเกล้า ทาวเวอร์ เอ, ปิ่นเกล้า ทาวเวอร์ บี, เดอะไนน์ ทาวเวอร์,และยูนิลีเวอร์ เฮ้าส์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) โรงแรม 1 แห่ง ได้แก่&nbsp;โรงแรมฮิลตัน พัทยา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุดกองทรัสต์ CPNREIT ยังตั้งเป้าหมายจะเพิ่มสินทรัพย์ในพอร์ตให้ไปถึง 180,000 ล้านบาท หรือเติบโต 2 เท่าภายใน 8 ปีข้างหน้า​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 702px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/55FTkD2kUszcok8UHsTu.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="702px,468px" data-align="center" data-file-name="55FTkD2kUszcok8UHsTu.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="702px,468px" style="width: 702px; height: 468px;" data-index="1"></figure></div> เปิดแผนงานเตรียมลงทุน 20,000 ล้านใน 2-3 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์” กรรมการ บริษัท ซีพีเอ็น รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์ CPNREIT เล่าถึงแผนธุรกิจให้ฟังว่า จากแนวโน้มธุรกิจค้าปลีกและบริการในปี 2568 ที่จะอยู่ราว 4.4 ล้านล้านบาท เติบโต 3-5% เพราะมีปัจจัยหนุนจากกภาครัฐ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวและสินค้าแฟชั่นเติบโตขึ้น จึงมองว่าธุรกิจค้าปลีกและบริการจะปรับตัวดีขึ้นด้วย โดยยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามองคือ นโยบายภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ และต้องติดตามสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวของไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ การเติบโตของ CPNREIT ยังมองว่าจะมาจาก 2 ส่วนหลัก ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. Organic growth จากสินทรัพย์เดิมที่มีอยู่จะเติบโตราว 3-4% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. การทำ Asset Management หรือ Renovation เช่น เซ็นทรัล พระราม 2, เซ็นทรัล พระราม 3, เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต ฯลฯ ที่จะทยอยรีโนเวทเสร็จสิ้นและสามารถเพิ่มรายได้ในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น CPNREIT จึงวางแผนลงทุนในทรัพย์สินที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยยังให้น้ำหนักในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกเป็นหลัก แต่อาจมีส่วนใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม เช่น Mixed-Use ที่อาจมีความร่วมมือในการพัฒนาบริการในพื้นที่ (เช่น โรงแรม) เพื่อให้เกิดกระแสเงินสดเข้ามาตลอด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังเตรียมพูดคุยกับ CPN เพื่อขยายการลงทุนในภาคใต้และตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะปัจจุบันยังไม่มี 2 ภูมิภาคนี้ในพอร์ต และมีแผนการลงทุนในศูนย์การค้าใหม่เพิ่มเติมทุก ๆ 2 ปีเบื้องต้นประมาณการเงินลงทุนไว้ราว 20,000 ล้านบาท​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/FBzk3frv2CrtHbBiajtm.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="FBzk3frv2CrtHbBiajtm.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่เป้าหมายระยะกลางในช่วง 4 ปีข้างหน้า (ปี 2568-2571) CPNREIT ตั้งเป้าที่จะเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินประเภทศูนย์การค้าประมาณ 40,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) เพิ่มขึ้นราว 20,000-30,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่กว่า 42,000 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนภายใน 8 ปีข้างหน้า เพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ในพอร์ตไปสู่ระดับ 180,000 ล้านบาท หรือเติบโต 2 เท่าจากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 92,101 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุดท้ายนี้ ในมุมมองนักลงทุน นภารัตน์ เล่าว่า ในเดือน พ.ค. นี้จะไป Road Show ที่สิงคโปร์เพื่อเข้าถึงนักลงทุนสถาบัน กลุ่มประกันภัย โดยทุกวันนี้ CPNREIT มีสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ 5% จากเดิมที่สูงสุดกว่า 10% และที่ผ่านมา CPNREIT มีอัตราผลตอบแทน (Yield) ที่ 9% ถือว่าน่าสนใจ และด้วยราคาที่ไม่สูงมาก จึงมองว่ายังเป็นโอกาสให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในช่วงภาวะดอกเบี้ยขาลง ภาพ : CPNREIT&nbsp; เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/property/cloud-11-construction-is-now-80-percent-complete" alt="Cloud 11 โปรเจ็กต์จาก MQDC ขยายมูลค่าโครงการสู่ 43,000 ล้าน ก่อสร้างคืบหน้า 80% แล้ว เตรียมเปิดให้บริการ Q4 ปีนี้">Cloud 11 โปรเจ็กต์จาก MQDC ขยายมูลค่าโครงการสู่ 43,000 ล้าน ก่อสร้างคืบหน้า 80% แล้ว เตรียมเปิดให้บริการ Q4 ปีนี้</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

รู้จัก CPNREIT กองทรัสต์ที่ลงทุนเพื่อเก็บ ‘ค่าเช่า’ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล

‘เซ็นทรัลชิดลม’ ปรับโฉมใหญ่ด้วยงบ 4,000 ล้าน สู่ห้างลักชัวรี ดึงทราฟฟิกคนซื้อของหรู ตั้งเป้าปีหน้ายอดขายโต 30%

<h2>ในแผนธุรกิจ 5 ปีของ ‘เซ็นทรัลพัฒนา’ ที่ครอบคลุมตั้งแต่ปี 2566-2570 เซ็นทรัลพัฒนานั้นตั้งงบประมาณไว้ 135,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในโครงการกว่า 200 โครงการ โดยจะเป็นการเปิดโครงการใหม่ที่ครอบคลุมทั้งศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงานและโรงแรม ทั่วประเทศไทยและอาเซียน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งปี 2566 ที่ผ่านมา เราต่างได้เห็นการเปิดโครงการใหม่จากเซ็นทรัลในหลายภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น การเปิดโรงแรมใหม่ควบคู่ไปกับห้างเดิมที่มีอยู่, การเปิดเซ็นทรัล อุบลราชธานี ที่มีครบทั้งศูนย์การค้า โรงแรม และศูนย์ประชุม และทิ้งท้ายช่วงปลายปีด้วยการเปิด ‘เซ็นทรัล เวสต์วิลล์’ ที่เข้าปลุกการค้าในย่านราชพฤกษ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนในปีนี้ เซ็นทรัลพัฒนายังคงมีโครงการใหม่ทยอยเปิดอย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือ ‘เซ็นทรัล นครสวรรค์’ ที่เตรียมเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 1/2567 และ ‘เซ็นทรัล นครปฐม’ ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 นี้เช่นกัน โดยทั้งสองโครงการจะมาในรูปแบบมิกซ์ยูสที่ไม่ได้มีเพียงห้างสรรพสินค้า แต่จะพร้อมสรรพทั้งโรงแรม ไปจนถึงที่อยู่อาศัย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถามว่าทำไมเซ็นทรัลพัฒนาถึงเลือกลงทุนในนครสวรรค์และนครปฐม?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มองไปที่ทำเลของ จ.นครสวรรค์ นั้นถือเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคเหนือตอนล่าง เป็นประตูสู่ภาคเหนือ พื้นที่ยังตั้งอยู่ในแผนเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐ เช่น รถไฟความเร็วสูงสายเหนือ, รถไฟทางคู่สายนครสวรรค์-แม่สอด และส่วนต่อขยายของทางรถไฟสายเหนือ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่น่าสนใจกว่าคือนครสวรรค์เป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยกลุ่มครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนกำลังซื้อสูง หลากหลายช่วงวัย มีไลฟ์สไตล์คนเมือง กล่าวคือ นครสวรรค์มี GPP (ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัว) กว่า 120,000 บาทต่อปี ซึ่งเทียบเท่าขอนแก่น มีรายได้ครัวเรือนมากกว่า 21,000 บาทต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าเชียงราย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ทำเลนครสวรรค์ยังครอบคลุม Catchment Area กว่า 1,000,000 คน ซึ่งรวมประชากรในนครสวรรค์ และจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ กำแพงเพชร, อุทัยธานี, ชัยนาท, ลพบุรี และพิจิตร และถ้ามองในแง่ของการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ นครสวรรค์ยังเป็นจังหวัดที่อสังหาฯ ที่อยู่อาศัยเติบโต 6% ใน 5 ปี ราคาเฉลี่ยประมาณ 2.5 ล้านบาท​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/gQPo86JE3hVVh3dsYLnh.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="gQPo86JE3hVVh3dsYLnh.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="900,506"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ ‘เซ็นทรัล นครสวรรค์’ เป็นโครงการมิกซ์ยูสใจกลางเมือง มีมูลค่าโครงการรวม 5,800 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดิน 42 ไร่ ประกอบด้วยศูนย์การค้าซึ่งมีพื้นที่ 76,000 ตร.ม., โรงแรม 200 ห้อง, คอนโดมิเนียม และ Urban Park ขนาดใหญ่ 2 ไร่ พร้อมจับมือพันธมิตรอย่าง รพ.สินแพทย์ ในการใช้ทางเข้าร่วมกันอีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วน จ.นครปฐม นั้นเป็นดั่งประตูสู่ภาคตะวันตก ที่สามารถเชื่อมไปยังจังหวัดใกล้เคียงอย่างกาญจนบุรีและราชบุรีได้ ครอบคลุมประชากรกว่า 1,000,000 คน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ นครปฐมยังมียุทธศาสตร์จังหวัดในการเป็น Smart City และ Eco Industrial Town หรือเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ที่สร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม สิ่งแวดล้อม และสังคมชุมชน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในแง่ของการท่องเที่ยว นครปฐมยังเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และธรรมชาติ มีเสน่ห์ของเมืองเก่า มีแลนด์มาร์คสำคัญอย่างพระปฐมเจดีย์ มีนักท่องเที่ยวมาเยือนกว่า 4 ล้านคนต่อปี เป็นชาวไทย 97%, ต่างชาติ 3%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ในแง่ของเศรษฐกิจ นครปฐมยังติดอันดับ 10 จังหวัดที่มี GPP (ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัว) สูงที่กว่า 375,000 บาท และเป็นจังหวัดที่รายได้ครัวเรือนสูง คือ อยู่ที่ประมาณ 34,000 บาทต่อเดือน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/5WBqgDmdCNUHmD6jJm5G.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="5WBqgDmdCNUHmD6jJm5G.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="900,506"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยทำเลของเซ็นทรัล นครปฐม นั้นตั้งอยู่ใจกลางเมือง นอกจากจับกลุ่มคนในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง ก็ยังตอบโจทย์คนทำงานและกลุ่มนักเรียนนักศึกษากว่า 200,000 คนที่เป็นอีกหนึ่งกลุ่มประชากรหลักของจังหวัดนี้ด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับโครงการ ‘เซ็นทรัล นครปฐม’ เป็นอีกโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส มูลค่าโครงการ 8,200 ล้านบาท บนที่ดินเกือบ 100 ไร่ ประกอบด้วย ศูนย์การค้าพื้นที่ 69,000 ตร.ม., โรงแรมขนาด 200 ห้อง, คอนโดมิเนียม, หมู่บ้านจัดสรรและ Urban Park ขนาดใหญ่ 4 ไร่ ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/Xw4dv2seCofPz8RvTeSh.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Xw4dv2seCofPz8RvTeSh.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="720,900"></figure></div> ​

ส่อง 2 ห้างใหม่จาก ‘เซ็นทรัล’ เตรียมเปิดในปี 2567 นี้

<h2>บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน รุกขยายธุรกิจผ่านความร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัล ประกาศความร่วมมือทางธุรกิจครั้งสำคัญกับบริษัทในกลุ่มเซ็นทรัล เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ยกระดับสิทธิประโยชน์บัตรเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายได้ตรงใจยิ่งขึ้น มอบคะแนนเดอะวันสูงสุด 3 เท่า สำหรับสมาชิกบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน เมื่อช้อปที่ร้านค้าชั้นนำที่ร่วมรายการกว่า 500 แบรนด์ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ&nbsp;</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจ ผ่านการนำนวัตกรรมการชำระเงินมาใช้ยกระดับบริการ, การพัฒนาความร่วมมือด้านข้อมูลกับพันธมิตร, การเสริมสร้างระบบนิเวศดิจิทัล และการต่อยอดความร่วมมือระหว่างกรุงศรีกรุ๊ปกับเครือเซ็นทรัล เพื่อสร้างความเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้า พร้อมกระตุ้นยอดใช้จ่ายผ่านบัตรต่อเนื่อง คาดยอดใช้จ่ายผ่านบัตรภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศเติบโตกว่า 30% ภายในสิ้นปี 2566 <div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/k8x1xFnTmYRuRBZSfK8t.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="k8x1xFnTmYRuRBZSfK8t.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="1920,1280"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อธิศ รุจิรวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้ให้บริการบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน เปิดเผยว่า “บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน มุ่งมั่นจะเป็นบัตรเครดิตที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้จ่าย ควบคู่กับการขยายธุรกิจผ่านความร่วมมือกับ กลุ่มเซ็นทรัล พันธมิตรของเราอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ชี้ให้เห็นว่าการใช้จ่ายในหมวดร้านค้าไลฟ์สไตล์ต่างๆ ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเติบโตเป็นอย่างดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยในครึ่งปีแรกของปี 2566 มียอดการใช้จ่ายเติบโต 26% เทียบกับปีก่อน แสดงให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคและโอกาสทางการตลาด บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน จึงต่อยอดความร่วมมือกับเซ็นทรัลพัฒนาและคู่ค้า เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์บัตรให้ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้ตรงใจลูกค้ายิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ GEN MZ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมอบคะแนนเดอะวัน พิเศษสูงสุด 3 เท่า&nbsp;สำหรับสมาชิกบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ทุกหน้าบัตร เมื่อใช้จ่ายตามเงื่อนไขที่ร้านค้าที่ร่วมรายการในศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศครอบคลุมกว่า 500 แบรนด์ชั้นนำในหลากหลายหมวดทั้งอาหารและเครื่องดื่ม, แฟชั่น, เครื่องสำอาง, สินค้าไอที, จิวเวลรี, นาฬิกา, แว่นตา ไปจนถึงสถาบันการศึกษาและคลินิกความงาม เพื่อมอบดีลสุดพิเศษที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน ครอบครัว ฯลฯ เพื่อขยายฐานลูกค้าและกระตุ้นยอดใช้จ่ายผ่านบัตรอย่างต่อเนื่อง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นอกเหนือจากความร่วมมือกับเซ็นทรัลพัฒนาในการยกระดับสิทธิประโยชน์เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ในปีนี้ บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ยังจะเร่งสร้างธุรกิจให้เติบโตควบคู่กับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลยุทธ์หลัก ได้แก่ การนำนวัตกรรมการชำระเงินมาใช้เพื่อยกระดับบริการเพื่อลูกค้า อาทิ QR Payment, การพัฒนาความร่วมมือด้านข้อมูลกับพันธมิตร เพื่อสร้างความเข้าใจความต้องการของลูกค้าให้ดียิ่งขี้น, การเสริมสร้างระบบนิเวศดิจิทัล เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าและขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เช่น เพิ่มช่องทางการสมัครบัตรโดยเชื่อมต่อกับโมบายแอปพลิเคชันในเครือกรุงศรีและกลุ่มเซ็นทรัล, การต่อยอดความร่วมมือระหว่างกรุงศรีกรุ๊ปกับกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ธุรกิจของบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน เติบโตเป็นอย่างดี ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2566 มียอดใช้จ่ายผ่านบัตร 52,000 ล้านบาท (+ 19%) ยอดบัตรเครดิตใหม่ 52,000 ใบ (+35%) โดยบริษัทคาดว่าความร่วมมือทางธุรกิจกับเซ็นทรัลพัฒนาในครั้งนี้จะช่วยสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจเป็นอย่างดี และตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ 6,000 ล้านบาท เติบโตกว่า 30% ภายในสิ้นปี 2566” ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/eE2oE41762rYLdkGer4J.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="eE2oE41762rYLdkGer4J.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="1920,1280"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ Advisor, CRM บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “เซ็นทรัลพัฒนา ใช้จุดแข็งที่สำคัญ คือ การเป็น The Ecosystem for All ที่แข็งแกร่ง โดยมี Expertise ที่เป็นหัวใจสำคัญ คือ การพัฒนา “ศูนย์การค้าชั้นนำ” ทั่วประเทศไทย ซึ่งโมเดล Ecosystem ของเรายึดหลักการ Synergy ทั้งกับภายในธุรกิจของเซ็นทรัลพัฒนาที่มีทั้งศูนย์การค้า, โรงแรม และอาคารสำนักงาน ร่วมมือกับ BUs ต่างๆ ใน Central Group และในวันนี้ ที่เรากำลังสร้าง The Future of CRM ให้กับประเทศ ด้วยการผนึกกำลังกับ The 1 พร้อมดึงพันธมิตรอย่างบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ซึ่งเป็นการเชื่อม 2 Benefits สร้างความแข็งแกร่งให้กับ B2B2C ด้วย 2 โมเดลสำคัญ คือ &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;1.	โปรแกรม The 1 Biz : ปัจจุบันข้อมูล Big Data ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำธุรกิจ เราจึงได้นำ The 1 Biz-Business intelligence ซึ่งเป็น Loyalty program ที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศไทย มาช่วย Empower ร้านค้า ด้วย Quick Win ทางลัดชนะใจลูกค้า ต่อยอดธุรกิจให้กับคู่ค้า ทำให้เข้าถึงระบบ Loyalty ของ The 1 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยฐานสมาชิกมากที่สุดในประเทศไทยถึง 20 ล้านคน และร้านค้าใน Ecosystem กว่า 3,000 แบรนด์ นอกจากนี้ ยังมีระบบ MarTech ทำให้เห็น และ Personalize ความต้องการของลูกค้าแบบ Head-to-toe View ดังนั้น The 1 Biz จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วย Scale-up Business Ecosystem ให้กับร้านค้าที่เข้าร่วม The 1 Biz อย่างมหาศาล ส่งผลให้ร้านค้าเกิดการเติบโต ขยายฐานลูกค้า Loyalty และดึงกลุ่มใหม่ รวมถึงกระตุ้นยอดขายด้วยโปรโมชันและ Privilege ต่างๆ&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 2.	การมอบ Privilege Phenomenon ซึ่งจะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของวงการศูนย์การค้าที่มอบสิทธิประโยชน์เหนือระดับตลอด Journey การช้อป ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ทุกไลฟ์สไตล์ ทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างตรงจุดให้กับลูกค้า โดยตั้งแต่ 15 ส.ค.- 31 ธ.ค. 2566 ลูกค้าสามารถช้อปสะสมคะแนน The 1 สูงสุด 3 เท่า ได้ที่ร้านค้าที่ร่วมรายการในศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศกว่า 500 แบรนด์ชั้นนำ อาทิ Starbucks, Adidas, Pomelo, Mango, Hoka, Pandora, Innisfree, iStudio by Copperwired, Jaymart, Spaghetti Factory รายละเอียดเพิ่มเติม Email : The1BIZAcquisition@centralpattana.co.th”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน เป็นบัตรเครดิตจากความร่วมมือระหว่างกรุงศรี กรุ๊ป และกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อมอบประสบการณ์การใช้จ่ายแบบเหนือระดับ ด้วยสิทธิประโยชน์ในหลากหลายกลุ่มธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัล พร้อมมอบคะแนนสะสมจากการใช้จ่ายของบัตรเป็นคะแนนสะสม The 1 สูงสุด 4 เท่า พร้อมส่วนลดสูงสุด 10% เมื่อใช้จ่ายตามเงื่อนไขที่ร้านค้าในเครือเซ็นทรัลที่ร่วมรายการ อาทิ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, เซ็นทรัล แอป, มูจิ, ซูเปอร์สปอร์ต, บีทูเอส, ท็อปส์, ท็อปส์ ออนไลน์, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, มัทสึคิโยะ, เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป, เซ็นทรัล เรสเตอรองส์ กรุ๊ป, เพาเวอร์บาย, ไทวัสดุ, โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา Go! Hotel ฯลฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ตั้งแต่ 15 สิงหาคม-31 ธันวาคม 2566 รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากร้านค้าที่ร่วมรายการในศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศกว่า 500 แบรนด์ โดยมอบคะแนน The 1 สูงสุด 3 เท่า (โดยไม่จำกัดยอดใช้จ่ายและเงื่อนไขการรับคะแนนขึ้นกับแต่ละร้านค้า) ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ อาหารเครื่องดื่ม, เครื่องสำอางและสินค้าทั่วไป, ร้านค้าไอที, เครื่องประดับและแว่นตา, คลินิกความงาม, สถาบันการศึกษา ฯลฯ ผู้ที่สนใจสามารถสมัครบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน UCHOOSE (ร้านค้าที่ร่วมรายการอาจมีการเปลี่ยนแปลง ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.centralthe1card.com) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/70902" alt="AWC เผยผลประกอบการ Q2 กำไร 1,116 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจเติบโตก้าวกระโดด">AWC เผยผลประกอบการ Q2 กำไร 1,116 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจเติบโตก้าวกระโดด</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน จับมือ กลุ่มเซ็นทรัล รุกขยายธุรกิจ ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ศูนย์การค้าเติบโต 30%

<h2>กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกและบริการทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ เปิดตัว The 1 Ads ผู้นำด้าน Retail media ของกลุ่มเซ็นทรัลที่มีจำนวนสื่อครอบคลุมมากที่สุดทั่วประเทศไทย โชว์วิสัยทัศน์ Central Group Synergy ผนึกศักยภาพกลุ่มเซ็นทรัล เจาะกลุ่มนักช้อปตัวจริงอย่างตรงกลุ่มเป้าหมาย ผ่านสื่อออนไลน์และสื่อใกล้จุดขายรวมกว่า 3,200 จุดจากกว่า 66 สาขาใน 38 จังหวัด&nbsp;</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เน้นสร้างการรับรู้ในวงกว้างและนำสู่การซื้อจริงได้อย่างครบวงจรเป็นครั้งแรกในวงการสื่อนอกบ้านของไทย พร้อมกลยุทธ์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างเจาะจง (Precise Targeting) ดันประสิทธิภาพการใช้สื่ออย่างตรงกลุ่มลูกค้าและวัดผลได้จริง ด้วยศักยภาพ Data &amp; Insights จาก The 1 ผู้เชี่ยวชาญด้าน Data-Driven Marketing ที่ครอบคลุมที่สุดในไทย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จิรัฏฐ์ วงศ์พิศาล, Head of The 1 Ads - Central Group กล่าวถึง The 1 Ads ไว้ว่า “ภายใต้วิสัยทัศน์ Central Group Synergy เราเปิดตัว The 1 Ads ในฐานะ One-Stop Shop for Better Omni Experience ที่ได้รวบรวม Retail Media ทั้งหมดของกลุ่มเซ็นทรัล ทั้งออนไลน์และออฟไลน์มาไว้ที่เดียว ทั้งนี้เพื่อแบรนด์สินค้าและบริการต่างๆ สามารถวางแผนการสื่อสารกับลูกค้าด้วย Omnichannel Strategy เท่าทันกับโลกในปัจจุบันได้อย่างแท้จริง ซึ่งแน่นอนว่า Retail media ซึ่งเป็นสื่อ ณ จุดขาย (Point of Purchase) เรียกได้ว่าเป็นสื่อนอกบ้าน (OOH) ที่ไม่เพียงสร้างการรับรู้และเน้นย้ำให้ผู้บริโภคสามารถจดจำแบรนด์ได้ แต่ยังมีประสิทธิภาพสูงสุดในการเข้าถึงผู้บริโภคในขั้นตอนสุดท้ายก่อนการตัดสินใจซื้อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยปัจจุบัน Retail Media ของกลุ่มเซ็นทรัลมีศักยภาพที่จะเข้าถึงลูกค้าที่มาซื้อสินค้าและบริการภายในห้างรวมกว่า 60 ล้านรายต่อเดือน นอกจากนี้เรายังได้ The 1 มาสนับสนุนในส่วนของเทคโนโลยีด้าน Data &amp; Insights ซึ่งช่วยให้แบรนด์สามารถเลือกใช้สื่อได้อย่างตรงจุด วัดผลได้ และมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ด้วยศักยภาพดังกล่าว กลุ่มเซ็นทรัลจึงวางเป้าว่า The 1 Ads จะมีรายได้จาก Retail Media มากถึง 1.6 พันล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 7% ของมูลค่าสื่อนอกบ้าน (OOH)”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กวิน ตั้งอุทัยศักดิ์, Managing Director - The 1 กล่าวว่า “ปัจจุบัน หนึ่งในกลยุทธ์ที่จะช่วยให้การทำการตลาดมีประสิทธิภาพสูงสุดคือ Precise Targeting หรือการเลือกกลุ่มเป้าหมายและเข้าถึงอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับการวางกลยุทธ์สื่อนอกบ้าน ทาง The 1 จึงยินดีอย่างยิ่งที่ได้เสริมทัพให้ The 1 Ads สามารถมอบประสบการณ์ใหม่ที่ตรงใจยิ่งกว่าให้กับลูกค้า โดยผสานการใช้ Data &amp; Insights เข้ากับ Retail Media ในองค์รวม ทั้งออฟไลน์และออนไลน์​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/GpXDvSF7abwDwqBfL54a.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="GpXDvSF7abwDwqBfL54a.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="1958,1104"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย The 1 มีฐานข้อมูลที่ครอบคลุมข้อมูลการซื้อจริงในทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมด้วยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้าน Data &amp; Insights เชื่อว่าความได้เปรียบดังกล่าว เมื่อผสานเข้ากับเครือข่ายสื่อ Retail Media ภายในกลุ่มเซ็นทรัลที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศ The 1 Ads จะเป็นอีกหนึ่งอาวุธทางการตลาดสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ และมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเคยอย่างแน่นอน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สถิติจาก สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย ชี้ว่าสื่อนอกบ้าน (OOH Media) ยังคงเป็นสื่อหลักอันดับที่ 3 ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้เป็นจำนวนมาก รอฆงจากสื่อโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ ตามลำดับ และยังมีแนวโน้มเติบโตมากที่สุดจากสื่อทุกประเภทที่ 15%-20% ในปี 2566 ขณะที่สื่อออนไลน์เติบโตอย่างร้อนแรงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แม้จุดเด่นของสื่อนอกบ้านโดยปกติจะเป็นเรื่องของการสร้าง Brand Awareness ในวงกว้าง ทว่ายังมีสื่อนอกบ้านประเภทหนึ่งที่สามารถทลายกำแพงไปสู่การซื้อจริง (Conversion) ได้คือ Retail Media&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยหนึ่งในผู้นำธุรกิจนี้ในไทยคือ The 1 Ads ศูนย์รวม Retail Media ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลพัฒนา ศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ มอลล์ เซ็นทรัลเอ็มบาสซี เพาเวอร์บาย ฯลฯรวมถึงสื่อออนไลน์ในกลุ่มเซ็นทรัลอีกด้วย ปัจจุบัน The 1 Ads มีสื่อกว่า 3,200 จุด ซึ่งเป็นสื่อ ณ จุดขายที่มีศักยภาพในการสื่อสารไปยังลูกค้ากว่า 60 ล้านรายต่อเดือน ภายใต้วิสัยทัศน์ Central Group Synergy The 1 Ads ดำเนินการในฐานะผู้นำด้าน Retail Media ของกลุ่มเซ็นทรัลที่มีจำนวนสื่อครอบคลุมมากที่สุดทั่วประเทศ โดยมี 3 จุดเด่น ดังนี้ &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;- Customization by the Power of Data ภายใต้กลยุทธ์ Precise Targeting The 1 Ads ได้ผนึกองค์ความรู้ด้าน Data &amp; Insights อันทรงพลังของ The 1 ซึ่งอาศัยข้อมูลที่เกิดจากการซื้อจริง (Transaction) มาประยุกต์ใช้เข้ากับการวางแผน Retail Media เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยช่วยให้นักการตลาดสามารถรับรู้ถึงพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการ และสื่อสารได้อย่างถูกที่ ถูกเวลา และถูกกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น นำไปสู่ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROAS) ที่สูงขึ้น อย่างที่สื่อนอกบ้านอื่นๆ ไม่เคยทำได้มาก่อน นอกจากนี้ ยังวางแผนที่จะนำเทคโนโลยีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น AI Camera และ Programmatic Digital OOH มาใช้เพื่อให้สามารถสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงใจยิ่งขึ้นในอนาคต&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;- One-Stop Shop for Better Omni Experience : The 1 Ads เข้ามารับหน้าที่เป็นศูนย์รวมสื่อทั้งหมดของกลุ่มเซ็นทรัลที่จะช่วยให้นักการตลาดหรือมีเดียเอเจนซีสามารถพิจารณาเลือกใช้สื่อได้อย่างครอบคลุมยิ่งกว่าเคย เพื่อสร้าง Customer Journey ที่เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อภายใต้แนวคิด Omni Experience ทั้งในโลกออฟไลน์และออนไลน์ โดย Retail Media ในกลุ่มเซ็นทรัลทั้งหมดประกอบไปด้วยสื่อประเภท Digital Screen, Static Media ไปจนถึง Event Space และยังมีสื่อออนไลน์ อาทิ The 1 APP ที่จะช่วยสื่อสารไปยังลูกค้าได้อย่างครบวงจร &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;- Point-of-Purchase Advertising จุดเด่นสำคัญของ The 1 Ads คือปริมาณและความครอบคลุมของสื่อ Retail Media ซึ่งเป็นสื่อ ณ จุดขาย ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคที่พร้อมใช้จ่ายได้ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนการตัดสินใจซื้อ โดยการลงโฆษณาในสื่อ Retail Media นอกจากจะช่วยเน้นย้ำให้ผู้บริโภคสามารถจดจำแบรนด์ได้แล้ว ยังสามารถกระตุ้นให้เกิดการซื้อหรือ Conversion ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยแบรนด์อาจผสานการใช้โปรโมชั่นหรือกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ ณ จุดขาย เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/FMjw4WD45WqUJrzFmUWV.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="FMjw4WD45WqUJrzFmUWV.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="1368,912"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วย 3 จุดเด่นข้างต้น The 1 Ads จึงสามารถนำเสนอบริการการวางแผนสื่อ Retail media ด้วยพลังของ Data &amp; Insights ได้อย่างไร้รอยต่อครอบคลุมตลอด Customer Journey ตั้งแต่การหาข้อมูลสินค้าทางออนไลน์ การสร้างการรับรู้และจดจำที่มีต่อแบรนด์ระหว่างช้อปปิ้งในศูนย์การค้า ไปจนถึงการ Re-targeting ไปยังลูกค้าเมื่อออกจากศูนย์การค้าไปแล้ว จึงช่วยให้แบรนด์สามารถนำเสนอสื่อที่มอบประสบการณ์ตรงใจพร้อมเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าให้กับผู้บริโภคได้อย่างครบวงจร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/70891" alt="กลุ่มบริษัทจีเอเบิล จับมือ มังกี้เทค ผนึกความเชี่ยวชาญยกระดับอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ">กลุ่มบริษัทจีเอเบิล จับมือ มังกี้เทค ผนึกความเชี่ยวชาญยกระดับอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ</a>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>&nbsp;&nbsp;​

กลุ่มเซ็นทรัล เปิดตัว The 1 Ads เจาะกลุ่มนักช้อปตัวจริงอย่างตรงกลุ่มเป้าหมาย

<h2>หลังจากเข้าซื้อกิจการห้างดังในอังกฤษ ตระกูลจิราธิวัฒน์ ก็ไม่มีท่าทีว่าจะอยู่นิ่ง พวกเขาเร่งเครื่องเดินหน้าคว้าโอกาสทางธุรกิจอย่างเต็มแรง แม้จะต้องเผชิญอุปสรรคจากสถานการณ์โรคระบาดก็ตาม</h2>
แม้สถานการณ์โรคระบาดจะส่งผลให้ภาคธุรกิจค้าปลีกทั่วโลกต้องสั่นสะเทือน แต่ ตระกูลจิราธิวัฒน์ ตระกูลผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มเซ็นทรัล กลับสู้ไม่ถอย เดินหน้าคว้าโอกาสทางธุรกิจอย่างไม่หยุดหย่อน
โดยเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ตระกูลจิราธิวัฒน์ ได้ทำการเข้าซื้อธุรกิจที่อาจเป็นการซื้อครั้งใหญ่ที่สุดของพวกเขาเลยก็ว่าได้ โดยตระกูลผู้ติดทำเนียบ <a href="https://forbesthailand.com/news/other/10-%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0.html">10 อันดับมหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2565</a> ตระกูลนี้ได้ควักเงินราว 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าซื้อห้างสรรพสินค้าสัญชาติอังกฤษ Selfridges ร่วมกับรีเทลเลอร์จากออสเตรีย Signa Holdings


<figure><img class="wp-image-65892 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/Selfridges_co.jpg" alt="" width="720" height="405" /><figcaption> ห้าง Selfridges ที่ Oxford Street</figcaption></figure>
การเข้าซื้อธุรกิจดังกล่าวทำให้ทางกลุ่มได้ครอบครองตึกห้างสรรพสินค้าสุดไอคอนนิค อายุกว่าร้อยปี ณ Oxford Street ถนนชื่อดังแห่งกรุง London รวมถึงห้าง Selfridges อีก 17 สาขาได้สำเร็จ โดยปัจจุบันทางกลุ่มเซ็นทรัล และ Signa Holdings ร่วมกันเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าลักชัวรีทั่วยุโรปอยู่จำนวนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ทศ จิราธิวัฒน์ หลานชายของผู้ก่อตั้งห้างสรรพสินค้าชื่อดังผู้กุมบังเหียนธุรกิจเซ็นทรัลไม่หยุดแค่เพียงเท่านี้ โดยทางกลุ่มได้สำรองกองทุนมูลค่า 6.6 พันล้านเหรียญ ไว้เพื่อใช้สำหรับลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้าเพื่อขยายธุรกิจรีเทลกับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศและทั่วภูมิภาค แต่ถึงแม้จะคิดการใหญ่ ทรัพย์สินสุทธิของ ตระกูลจิราธิวัฒน์ กลับร่วงลงถึงร้อยละ 9 ลงมาอยู่ที่ 1.06 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
<img class="alignnone size-full wp-image-65889" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/centralwOrld.jpg" alt="" width="720" height="233" />
บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธุรกิจค้าปลีกของทางตระกูลซึ่งมีรายได้ถึงร้อยละ 72 จากในประเทศ ก็มีแผนทุ่มทุน 1 แสนล้านบาท (2.8 พันล้านเหรียญ) ในช่วง 4 ปีข้างหน้าเพื่อขยายปีกธุรกิจรีเทลของทางบริษัท โดยเป้าหมายสูงสุดของพวกเขาคือ การเพิ่มรายได้กับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดให้ได้ 2.5 เท่า และเพิ่ม EBITDA (กำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายทางดอกเบี้ยภาษี  ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย) 3.5 เท่าภายในปี 2569
เมื่อปี 2021 ปีที่สองที่เราต้องจมอยู่กับสถานการณ์โรคระบาดส่งผลให้รายได้อยู่กับที่ ส่วนกำไรสุทธิก็ลดลง แต่เหมือนธุรกิจของพวกเขากำลังจะฟื้นคืนชีพ โดยในไตรมาสแรกของปี 2565 ทางบริษัทได้รายงานว่า รายได้แบบ YoY ของทางบริษัทพุ่งขึ้นร้อยละ 15 แตะ 5.63 หมื่นล้านบาท ในขณะที่กำไรสุทธิพุ่งขึ้นถึงร้อยละ 190 เป็น 1.3 พันล้านบาท ทั้งนี้ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของทางบริษัท ณ ปัจจุบันอยู่ที่ราว 2.07 แสนล้านบาท
<img class="alignnone size-full wp-image-65891" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/Escent.jpg" alt="" width="720" height="480" />
ในขณะเดียวกัน ทางบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ของทางกลุ่ม อย่าง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ก็มีแผนการลงทุนมูลค่า 1.2 แสนล้านบาทเตรียมไว้สำหรับปี 2569 เป็นที่เรียบร้อย ทั้งนี้ หนึ่งในโปรเจ็กต์ในอนาคตของทางบริษัทคือ การสร้างโครงการ mixed-used ที่มีทั้งศูนย์การค้า ที่พักอาศัย โรงแรม และสำนักงานในกว่า 30 จังหวัดในประเทศไทย
นอกจากนี้ ทางเซ็นทรัลพัฒนาก็ได้หมายตาโอกาสทางธุรกิจที่เวียดนามและมาเลเซียไว้อีกด้วย ส่งผลให้หุ้นของบริษัทไต่ขึ้นมาร้อยละ 6 นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แม้ว่าทั้งรายได้และกำไรสุทธิจะลดลงในไตรมาสแรกก็ตาม
แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ After Bagging Iconic British Retailer Selfridges For $4.5 Billion, Central Group’s Chirathivat Family Is Hungry For More เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/asia/กัลกุล-ดํารงปิยวุฒิ์-gunkul.html">กัลกุล ดํารงปิยวุฒิ์ กลับสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีไทยอีกครั้ง</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a style="color: #003300;" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

ตระกูลจิราธิวัฒน์ เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างเต็มแรง

<h2>Forbes.com เผยการจัดอันดับ 50 อภิมหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2564 โดย 10 อันดับของอภิมหาเศรษฐีไทยประจำปีนี้ มีรายชื่อดังต่อไปนี้</h2>
10 อันดับ อภิมหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2564

<img class="alignnone size-full wp-image-47900" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/01-ครอบครัวเจียรวนนท์.jpg" alt="" width="400" height="400" />

อันดับ 1
พี่น้องเจียรวนนท์

การเปลี่ยนแปลงอันดับ: อันดับคงที่
แหล่งที่มาทรัพย์สิน: อาหาร
มูลค่าทรัพย์สิน: 9.48 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น)

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-47901" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/02-เฉลิม-อยู่วิทยา.jpg" alt="" width="400" height="400" />

อันดับ 2 
เฉลิม อยู่วิทยา และครอบครัว

การเปลี่ยนแปลงอันดับ: อันดับคงที่
แหล่งที่มาทรัพย์สิน: เครื่องดื่ม
มูลค่าทรัพย์สิน: 7.69 แสนล้านบาท

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-47902" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/03-เจริญ-สิริวัฒนภักดี.jpg" alt="" width="400" height="400" />

อันดับ 3 
เจริญ สิริวัฒนภักดี

การเปลี่ยนแปลงอันดับ: อันดับคงที่
แหล่งที่มาทรัพย์สิน: เครื่องดื่มและอสังหาริมทรัพย์
มูลค่าทรัพย์สิน: 3.98 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น)

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-47903" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/04-ตระกูลจิราธิวัฒน์.jpg" alt="" width="400" height="400" />

อันดับ 4 
ตระกูลจิราธิวัฒน์

การเปลี่ยนแปลงอันดับ: อันดับคงที่
แหล่งที่มาทรัพย์สิน: ค้าปลีก
มูลค่าทรัพย์สิน: 3.64 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น)

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-47914" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/สารัชต์-รัตนวะดี.jpg" alt="" width="400" height="400" />

อันดับ 5 
สารัชถ์ รัตนาวะดี

การเปลี่ยนแปลงอันดับ: อันดับคงที่
แหล่งที่มาทรัพย์สิน: พลังงาน
มูลค่าทรัพย์สิน: 2.79 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น)

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-47906" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/8.ตระกูลโอสถานุเคราะห์-โอสถสภา.jpg" alt="" width="400" height="400" />

อันดับ 6 
ตระกูลโอสถานุเคราะห์

การเปลี่ยนแปลงอันดับ: ขึ้นจากอันดับ 8
แหล่งที่มาทรัพย์สิน: เครื่องดื่ม
มูลค่าทรัพย์สิน: 1.09 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น)

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-47913" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/สมโภชน์-อาหุนัย.jpg" alt="" width="400" height="400" />

อันดับ 7 
สมโภชน์ อาหุนัย และครอบครัว

การเปลี่ยนแปลงอันดับ: ขึ้นจากอันดับ 18
แหล่งที่มาทรัพย์สิน: พลังงาน
มูลค่าทรัพย์สิน: 1.03 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น)

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-47909" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/ปราเสริฐ-ปราสาททองโอสถ.jpg" alt="" width="400" height="400" />

อันดับ 8
นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ

การเปลี่ยนแปลงอันดับ: ขึ้นจากอันดับ 11
แหล่งที่มาทรัพย์สิน: การแพทย์
มูลค่าทรัพย์สิน: 1.02 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น)

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-47905" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/7.ประจักษ์-ตั้งคารวคุณ-01-ทีโอเอ-เพ้นท์-ประเทศไทย.jpg" alt="" width="400" height="400" />

อันดับ 9
ประจักษ์ ตั้งคารวคุณ และครอบครัว
การเปลี่ยนแปลงอันดับ: ลงจากอันดับ 7
แหล่งที่มาทรัพย์สิน: สีทาอาคาร
มูลค่าทรัพย์สิน: 1 แสนล้านบาท (ทรงตัว)

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-47908" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/10.ชูชาติ-เพ็ชรอำไพ-และ-ดาวนภา-เพชรอำไพ-เมืองไทย-แคปปิตอล-01.jpg" alt="" width="400" height="400" />

อันดับ 10
ชูชาติ เพ็ชรอำไพ และ ดาวนภา เพชรอำไพ

การเปลี่ยนแปลงอันดับ: อันดับคงที่
แหล่งที่มาทรัพย์สิน: การเงิน
มูลค่าทรัพย์สิน: 9.42 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น)

หมายเหตุ: คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนวันที่ 18 มิถุนายน 2564 ที่ 1 เหรียญสหรัฐฯ : 31.40 บาท
&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-48014" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/Thai-richest-01-001.jpg" alt="" width="600" height="625" />

หมายเหตุ: อภิมหาเศรษฐี อันดับที่ 2, 7 และ 9 มีการอัปเดตข้อมูลโดยเพิ่ม “และครอบครัว” ซึ่งเป็นไปตามการนำเสนอข้อมูลจาก Forbes.com

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

10 อันดับ อภิมหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2564

<h2>กรุงศรี กรุ๊ป จับมือ กลุ่มเซ็นทรัล ประกาศความร่วมมือทางธุรกิจครั้งสำคัญ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ล่าสุด บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และ บัตรเซ็นทรัล เดอะวัน เฟิร์สช้อยส์  รับคะแนนสะสม The One Card เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร ทุกร้านค้าในเครือบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด</h2>
"กรุงศรี กรุ๊ป เชื่อมั่นในการสร้างธุรกิจของเราให้เติบโตเคียงคู่ไปกับพันธมิตร ในโอกาสที่บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด มอบความไว้วางใจต่อสัญญาให้กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เป็นพันธมิตรผู้ให้บริการทางการเงินรายหลักของบริษัทฯ เราจึงได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์บัตร Co-brand ใหม่ล่าสุด" โนริอากิ โกโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ โนริอากิ โกโตะ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า กรุงศรี กรุ๊ป ในฐานะที่เป็นสมาชิกของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป หรือ MUFG กลุ่มสถาบันการเงินชั้นนำระดับโลก ยังมีแผนจะใช้เครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่งในระดับสากล รวมถึงเครือข่ายที่กว้างขวางของเราในฐานะผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำในประเทศไทย สนับสนุนความร่วมมือทางธุรกิจของเรากับบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นทั้งในประเทศและในระดับโลก

ด้าน ปริญญ์  จิราธิวัฒน์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวเพิ่มเติมถึงความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างกรุงศรี กรุ๊ป และบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า

“กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำด้านการประกอบธุรกิจของประเทศไทย ครอบคลุมทั้งกลุ่มธุรกิจค้าปลีก, กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์, กลุ่มธุรกิจค้าส่ง, กลุ่มธุรกิจโรงแรม และกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร  ตลอดระยะเวลา 70 ปี ของการดำเนินธุรกิจ กลุ่มเซ็นทรัล มีความมุ่งมั่นในการเลือกสรรผลิตภัณฑ์คุณภาพ และพัฒนาการบริการที่ประทับใจ เพื่อมอบให้กับลูกค้าของเราตลอดมา"

"โดยการดำเนินการที่สำคัญ คือ การสร้างสรรค์ระบบรอยัลตี้ โปรแกรมอย่าง The 1 Card ที่เกิดขึ้นมากว่า 10 ปี และได้รับการพัฒนาสู่การเป็น Data Center ที่แข็งแกร่งที่สุดของกลุ่มเซ็นทรัล เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถเข้าใจลูกค้าของเราได้มากยิ่งขึ้น”

“บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน” ยังเป็นการร่วมมือครั้งสำคัญของทุกกลุ่มธุรกิจในเครือ เพื่อร่วมส่งมอบความพิเศษสูงสุดให้กับลูกค้าที่ซื้อสินค้าในกลุ่มเซ็นทรัลไม่ว่าจะเป็นคะแนน The 1 Card สูงสุด 4 เท่า ส่วนลดและเอกสิทธิ์เฉพาะบัตรอีกมากมาย

พร้อมกันนั้น ยังจะเป็นบัตรเครดิตใบแรกที่สามารถสะสมคะแนน The 1 Card ได้ทุกที่ ไม่ใช่เฉพาะในเครือกลุ่มเซ็นทรัลเท่านั้น รวมถึงสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย ผ่าน “บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน” ที่มีให้เลือกถึง 4 รูปแบบ เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันได้อย่างลงตัว

ฐากร ปิยะพันธ์ ประธานกรรมการ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ อธิบายเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของผลิตภัณฑ์บัตร Co-brand ใหม่ล่าสุด จากความร่วมมือของกรุงศรี และบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ว่า “แนวคิดหลักของบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และบัตรเซ็นทรัล เดอะวัน เฟิร์สช้อยส์ คือ ถอดรหัสทุกไลฟ์สไตล์ กล่าวคือ สมาชิกบัตรจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้จ่ายในชีวิตและหลากหลายกว่าเดิม จากการผสานศักยภาพของทั้งกรุงศรี กรุ๊ป และ กลุ่มเซ็นทรัล รวมถึงพันธมิตรของเรา

โดยตั้งเป้าจะเจาะกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นและเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้วยสิทธิประโยชน์ สุดพิเศษของทั้งสองผลิตภัณฑ์ ประกอบกับความเชี่ยวชาญอันยาวนานในธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลของ  กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า จะสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าของเราได้อย่างแน่นอน”

<img style="width: 640px; height: 426px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0828c7d27ec5143f9c600571bd5f6ba2.jpg" alt="" />

กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยบัตร Co-brand ใหม่ บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะ วัน และบัตรเซ็นทรัล เดอะ วัน เฟิร์สช้อยส์

เรียงเรียงใหม่จาก "2020 ฤามอลล์จะท่วมเมือง" เรื่อง: พิชญ์สินี จิตรพลีชีพ ภาพ:&nbsp; Bangkok Post 
 
จากนี้จนถึงปี 2020 หรือ พ.ศ. 2563 เม็ดเงินอย่างน้อย 3 แสนล้านบาทจะถูกทุ่มลงไปในธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ ทั้งโครงการค้าปลีกอเนกประสงค์ขนาดนับแสนตารางเมตร ไปจนถึงมอลล์ชุมชน และร้านสะดวกซื้อตามหัวมุมถนน ทั้งจากผู้เล่นเดิม และผู้เล่นหน้าใหม่ที่เห็นความเย้ายวนของรายได้ ต่างดาหน้าเข้ามาสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจที่มีมูลค่ารวมกว่า 2 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้เป็นอันดับสองของประเทศ และสร้างงานภาคบริการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยจำนวนผู้เกี่ยวข้องถึง 6.2 ล้านคน คำถามคือ จะมีลูกค้าเพียงพอต่อจำนวนห้างร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่ผุดขึ้นมากมาย 
 
ในวงการค้าปลีกสมัยใหม่ เซ็นทรัลกรุ๊ปถือเป็นผู้เปิดประวัติศาสตร์หน้าแรกให้กับธุรกิจค้าปลีกทันสมัย หรือ ห้างสรรพสินค้า นับตั้งแต่การเปิดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแห่งแรกขึ้นในย่านวังบูรพาเมื่อปี 2500 และการตามมาด้วยห้างสรรพสินค้า อาทิ ไทยไดมารู เดอะมอลล์ เมอร์รี่คิงส์ คาเธ่ย์ นิวเวิลด์ เวลโก้ เมโทร เป็นต้น พัฒนาการของการเปิดธุรกิจค้าปลีกทันสมัยของประเทศไทยเติบโตและท้าทายไปทุกกลุ่มตลาดทั้งการเปิดตัวกลุ่มร้านสะดวกซื้อ, ธุรกิจค้าปลีกประเภท Cash &amp; Carry, ธุรกิจค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ต หรือ ดิสเคาน์สโตร์ 
 
ภาวะวิกฤตต้มยำกุ้งปี 40 ทำให้ทุนต่างชาติเข้ามาร่วมทุนและซื้อกิจการจากผู้ประกอบการค้าปลีกที่ประสบปัญหาทางด้านการเงินจากสภาวะการณ์ที่ค่าเงินอ่อนตัวลงอย่างมาก ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจค้าปลีกในทุกภาคส่วนของการตลาด ทั้งการเข้ามาของทุนยักษ์ใหญ่ค้าปลีกจากต่างประเทศ การล้มหายของค้าปลีกไทย โชว์ห่วย รวมไปถึงห้างสรรพสินค้า &nbsp; 
 
ในปัจจุบันจากการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานของกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีเส้นทางการเดินรถไฟฟ้าที่เชื่อมเส้นทางต่างๆ เข้าด้วยกัน ยิ่งทำให้ธุรกิจค้าทันสมัยกำหนดกลุ่มเป้าหมายและทิศทางของทางการตลาดได้มากยิ่งขึ้น ในสมรภูมิ ร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store) ที่มี 7-eleven เป็นเจ้าของตลาดโดยปัจจุบันมีสาขากว่า 8,000 สาขาทั่วประเทศ กลับมาแข่งขันมากยิ่งขึ้นเมื่อทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่นเข้ามาเป็นพันธมิตรธุรกิจกับทุนไทยที่พร้อมจะลุยในสมรภูมิ ไม่ว่าจะเป็น Lawson 108, FamilyMart, MaxValu, Foodland ที่ตั้งเป้าการขยายสาขา โดยมีการคาดการณ์ว่าใน 5-10 ปี ประเทศไทยจะมีร้านสะดวกซื้อถึง 30,000 สาขา เลยทีเดียว 
 
สำหรับทิศทางการลงทุนของศูนย์การค้าต่างๆ อย่าง 3 กลุ่มหลัก กลุ่มเซ็นทรัล, สยามพิวรรธน์ และ เดอะมอลล์ ได้ปรับตัวเองเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีก Luxury และ Super Luxury อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างเมืองไทยเป็น Shopping Destination ของภูมิภาคพร้อมกับการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 
 
นอกจากร้านค้าสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า และไฮเปอร์มาร์เก็ตแล้ว ธุรกิจค้าปลีกไทยได้พัฒนาและเปิดตัวค้าปลีกรูปแบบใหม่ๆ เพิ่มขึ้น อาทิ ร้านค้าเฉพาะทาง หรือเรียกว่า สเปเชียลตี้สโตร์ ช็อปปิ้งคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ คอมมูนิตี้มอลล์ จนถึงซูเปอร์สโตร์ และไม่เพียงแต่นักธุรกิจเก่าในวงการค้าปลีกเท่านั้น ผู้ประกอบการจากวงการอื่นๆ อาทิ อสังหาริมทรัพย์ เฟอร์นิเจอร์ แฟชั่นเสื้อผ้า ก็โดดเข้าร่วมสังฆกรรมในธุรกิจค้าปลีกด้วย 
 
แล้วห้างจะท่วมไทยไหม? เมื่อการพัฒนาธุรกิจค้าปลีกเกิดความหลากหลายเพื่อจับกลุ่มเป้าหมายของตนให้อยู่หมัด การบริหารจัดการตุ้นทุนที่ดีและเครือข่ายสินค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะชี้วัดการอยู่รอดบนเส้นทางธุรกิจค้าปลีก และก่อให้อีกโฉมหน้าใหม่ของวงการค้าปลีกในปี 2020 ที่จะมาถึง
<hr />

	<a href="http://goo.gl/Zon5uK">คลิ๊กอ่าน "2020 ฤามอลล์จะท่วมเมือง" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ MARCH 2015</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events