จ๊อบส์ ดีบี เผยช่วงโควิดมนุษย์เงินเดือนถูกเลิกจ้าง 3.5 ล้านคน การทำงานไม่มีความสุขเพิ่มขึ้น 3 เท่า

<h2 class="p1">BP ประกาศปลดพนักงาน 10,000 ตำแหน่ง หลังดีมานด์น้ำมันทั่วโลกตกต่ำจนทำให้ราคาน้ำมันร่วงลงอย่างหนัก และความต้องการมุ่งหน้าไปที่พลังงานหมุนเวียน</h2>
ซีอีโอ Bernard Looney แจ้งกับพนักงาน BP เมื่อวันจันทร์ผ่านมาว่า บริษัทจะลดจำนวนพนักงานทั่วโลกลง 15% ภายในปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะกระทบกับตำแหน่งงานในสำนักงาน
ทั้งนี้ ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจน้ำมันรายนี้กล่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า บริษัทจะปรับรูปแบบธุรกิจใหม่เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ภายในปี 2050 หรือเร็วกว่านั้น
Looney ยังกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ การระบาดของไวรัสโคโรน่าซึ่งเป็นสาเหตุให้ราคาน้ำมันตกต่ำอย่างหนักเนื่องจากผู้คนไม่สามารถเดินทางได้ ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทต้องเร่งลดค่าใช้จ่ายลง
โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ Brent ซึ่งเป็นมาตรฐานราคาน้ำมันระดับโลก ลดต่ำลงจนถึงจุดต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยลดลงมาต่ำกว่า 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ก่อนจะฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งราคาซื้อขายครั้งล่าสุดนั้นสูงกว่า 42 เหรียญต่อบาร์เรล แต่ก็ยังเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาซื้อขายในช่วงต้นปี


<ul>
 	<li>คลิกอ่าน <a href="https://forbesthailand.com/news/global/%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%84%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b4%e0%b8%9a%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%a7%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%95.html">‘ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าติดลบ’ คืออะไร และมีความหมายอย่างไรต่อผู้บริโภค</a></li>
</ul>
“ราคาน้ำมันนั้นลดลงต่ำกว่าระดับที่เราจะสามารถทำกำไรได้” Looney ผู้ที่นั่งตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทมาตั้งแต่ต้นปี ระบุในอีเมลที่ส่งถึงพนักงาน “ค่าใช้จ่ายของเราสูงมาก มากกว่ารายได้ที่เราหาได้”
บริษัทน้ำมันรายนี้ยังประกาศด้วยว่าบริษัทจะไม่มีการปรับขึ้นเงินเดือนให้กับผู้นำระดับสูงไปจนถึงเดือนมีนาคม 2021 นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้สูงที่ไม่จ่ายโบนัสในปีนี้
&nbsp;
<h2 class="p1">ถึงเวลายกเครื่องใหม่</h2>
บริษัทน้ำมันรายนี้ได้ประกาศแผนที่จะปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ในเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายใหม่ที่รับกับสถานการณ์สภาพอากาศโลก
โดยก่อนที่โรคโควิด-19 จะระบาด มีการคาดการณ์ว่าดีมานด์น้ำมันน่าจะไปสู่ระดับสูงสุดในปี 2040 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้าจะทำให้ผู้คนหันไปใช้แหล่งพลังงานทางเลือก สร้างแรงกดดันให้กับอุตสาหกรรมที่ต้องลดการพึ่งพิงการผลิตเชื้อเพลิงจากฟอสซิล
“แต่โควิด-19 ทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่แหล่งพลังงานสะอาดนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น” Looney ระบุ ทั้งนี้ International Energy Agency คาดการณ์ว่าความต้องการใช้น้ำมันปี 2020 จะลดลงกว่า 8.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน
“สำหรับผมแล้ว ภาพทางเศรษฐกิจที่กว้างขึ้น และสถานะการเงินของเรา เป็นสิ่งยืนยันถึงความจำเป็นที่จะต้องพลิกโฉมบริษัท” ซีอีโอ Looney กล่าว และว่า “ในขณะที่สภาพแวดล้อมภายนอกขับเคลื่อนเราให้ไปได้เร็วขึ้น และช่วงนี้อาจไปได้ไกลกว่าที่เราตั้งใจไว้ แต่อย่างไรก็ตาม ทิศทางการเดินทางของเรายังคงเหมือนเดิม”
ยักษ์ใหญ่แห่งธุรกิจน้ำมันรายนี้ ได้ให้คำมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการดำเนินงานทั่วโลก รวมถึงมีเป้าหมายปล่อยก๊าซที่เป็นผลมาจากกระบวนการผลิตน้ำมันและก๊าซให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 รวมถึงยังมีเป้าหมายที่จะลดความเข้มของคาร์บอนในผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายลงครึ่งหนึ่งด้วย
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://edition.cnn.com/2020/06/08/business/bp-job-cuts/index.html">BP to cut 10,000 jobs because of oil price crash</a>

BP จ่อปลดพนักงาน 10,000 ตำแหน่ง หลังวิกฤตไวรัสทำราคาน้ำมันร่วงหนัก

<h2 class="p1">Boeing ระบุว่า บริษัทกำลังเตรียมปลดพนักงานมากกว่า 12,000 คน ภายในไม่กี่สัปดาห์นี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มปลดล็อตแรกแล้ว 6,770 คนในสัปดาห์นี้ (เป็นพนักงานในสหรัฐ 5,520 คน)</h2>
การปลดพนักงานล็อตแรกของผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้าง เนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรน่าทำให้จำนวนเที่ยวบินลดลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลกระทบกับบริษัท
สำหรับการปลดพนักงานจำนวน 12,000 คนนั้น จะเป็นพนักงานในรัฐ Washington ถึง 9,800 คน
ทั้งนี้ Boeing ประกาศเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่าบริษัทมีแผนจะลดจำนวนพนักงานทั่วโลกลง 10% หรือประมาณ 16,000 ตำแหน่ง การปลดพนักงานล็อตแรกนี้จึงเป็นสิ่งที่หลายคนคาดอยู่แล้วว่าจะเกิดขึ้น
Boeing ยังเผยอีกว่า บริษัทมีแผน “ปลดพนักงานอีกหลายพันคน” ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ไม่ได้บอกว่าจะเป็นพนักงานในประเทศใด
Dave Calhoun ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Boeing ระบุในอีเมลที่ส่งถึงพนักงานว่า “ผลกระทบที่ร้ายแรงจากการระบาดของโรคโควิด-19 ต่ออุตสาหกรรมการบิน หมายถึงการลดจำนวนเครื่องบินเชิงพาณิชย์ลงอย่างมาก และกว่าลูกค้าจะต้องการบริการจากเราก็คงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2-3 ปีจากนี้ ซึ่งนั่นหมายถึง ตำแหน่งงานในสายงานของเรารวมถึงในออฟฟิศจะน้อยลง... ผมหวังว่ามันจะมีวิธีอื่น”

<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/emirates-%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b9%87%e0%b8%9a%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81-%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a1%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%94%e0%b8%9e%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81.html">Emirates เจ็บหนัก! เตรียมปลดพนักงาน 30,000 ตำแหน่ง</a></li>
</ul>
โดย Boeing กำลังพยายามลดค่าใช้จ่ายเนื่องจากความต้องการเครื่องบินได้ลดลงอย่างมากในช่วงที่มีการระบาด ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบริษัทที่เป็นเจ้าของเครื่องบิน 737 Max ที่เกิดอุบัติเหตุตก 2 ลำเมื่อปี 2018 และ 2019
กระทั่งในเดือนเมษายนปีนี้ ลูกค้าของ Boeing ได้ยกเลิกออร์เดอร์เครื่องบิน 737 ไปมากกว่า 100 ออร์เดอร์ และบริษัทระบุว่าไม่ได้รับการสั่งจองเครื่องบินใหม่เข้ามาด้วย ถือเป็นการเริ่มต้นปีที่เลวร้ายที่สุดของบริษัทนับตั้งแต่ปี 1962
Boeing ยังระบุเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า บริษัทได้กลับมาดำเนินการผลิตเครื่องบิน 737 Max ที่โรงงานผลิตใน Washington ใน “อัตราที่ต่ำ” และตั้งข้อสังเกตว่าสายการบินบางแห่งส่งสัญญาณของการฟื้นตัวแล้ว
“แต่ท้ายที่สุด สัญญาณการฟื้นตัวนั้นไม่ได้หมายความว่าปัญหาสุขภาพของโลกและวิกฤตเศรษฐกิจจะจบลง” Calhoun กล่าว และว่า “อุตสาหกรรมของเราจะกลับมาได้แน่ แต่จะต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อกลับไปอยู่ในจุดเดียวกับเมื่อ 2 เดือนก่อนหน้านี้”
ผู้ผลิตเครื่องบินรายนี้คาดการณ์ว่า บริษัทจะสามารถกลับมาส่งมอบเครื่อง 737 Max ได้ในไตรมาส 3 นี้ หลังจากกฎระเบียบต่างๆ เริ่มอนุมัติ ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มการส่งมอบเครื่องบินเป็น 31 ลำต่อเดือนในปี 2021
อย่างไรก็ตาม วิกฤตของ Boeing ที่เริ่มตั้งแต่การระงับการผลิตเครื่องบิน 737 มาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา นั้นคาดว่าจะกระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะซัพพลายเออร์อย่าง General Electric และ Spirit AeroSystems Holdings ก็ได้ประกาศลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ด้วย โดย General Electric ระบุในเดือนนี้ว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนจะลดจำนวนพนักงานในหน่วยธุรกิจการบินลง 25% หรือสูงถึง 13,000 ตำแหน่ง ด้าน Spirit AeroSystems Holdings ประกาศว่าจะปลดพนักงาน 1,450 ตำแหน่งใน Kansas
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.reuters.com/article/us-boeing-jobs/boeing-cutting-more-than-12000-u-s-jobs-with-thousands-more-planned-idUSKBN2332EP">Boeing cutting more than 12,000 U.S. jobs, thousands more planned</a></li>
 	<li><a href="http://bbc.com/news/business-52827377">Boeing job cuts start to hit nearly 13,000 workers</a></li>
</ul>

Boeing เตรียมปลดพนักงานกว่า 12,000 คน

<h2 class="p1">Uber ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดธุรกิจบริการเรียกรถ ดูเหมือนจะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ในพื้นที่ภูมิภาคเอเชีย</h2>
โดยผู้ให้บริการเรียกรถรายนี้ระบุว่า บริษัทจะปลดพนักงาน 600 คนในอินเดีย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 25% ของพนักงานทั้งหมดในประเทศนี้
ทั้งนี้ พนักงานที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ ได้แก่ พนักงานที่ทำงานในส่วนของการสนับสนุนผู้ขับขี่ รวมถึงส่วนอื่นๆ
Pradeep Parameswaran ประธาน Uber แห่งอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวขอโทษที่ต้องมีการปลดพนักงานในครั้งนี้ และระบุว่านี่เป็นวันที่ช่างน่าเศร้าสำหรับบริษัท
เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า การปลดพนักงานครั้งนี้ บริษัทจะจ่ายเงินชดเชย 10 สัปดาห์และประกันสุขภาพ 6 เดือน ให้พนักงานที่ได้รับผลกระทบ
สำหรับการลดจำนวนพนักงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการประกาศปลดพนักงานครั้งล่าสุดของ Uber เมื่อสัปดาห์ก่อนที่ประกาศว่าจะปลดพนักงานเพิ่ม 3,000 คน และปิดสำนักงานใน 40 ประเทศทั่วโลก จากที่ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม บริษัทประกาศว่าเตรียมปลดพนักงาน 3,700 คน
นั่นหมายถึง สตาร์ทอัพบริการเรียกรถรายนี้กำลังปลดพนักงานทั้งสิ้น 6,700 คน หลังจากต้องเผชิญกับแรงกดดันจากการระบาดของไวรัสโคโรน่าที่กระทบต่อธุรกิจหลักของบริษัท ซึ่งส่งผลให้ผลการดำเนินงานของเดือนเมษายนลดลง 80% และไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทขาดทุนไปถึง 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
“ผลกระทบของ COVID-19 และสถานการณ์ที่ยังคาดเดาไม่ได้ว่าเราจะฟื้นตัวได้เมื่อไหร่ ทำให้เราไม่มีทางเลือกและต้องลดจำนวนแรงงานลง โดยพนักงานประจำราว 600 คนในตำแหน่งสนับสนุนผู้ขับขี่ รวมถึงตำแหน่งอื่นๆ จะเป็นส่วนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งการปลดพนักงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของประกาศปลดพนักงานทั่วโลกที่บริษัทประกาศไปก่อนหน้านี้” Pradeep Parameswaran กล่าว
ในอินเดีย Uber ได้กลับมาให้บริการอีกครั้งในราว 50 เมืองตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศยังอยู่ในช่วงล็อกดาวน์ ทำให้การฟื้นตัวของธุรกิจนั้นเป็นไปได้ยาก
โดยอินเดียถือเป็นตลาดสำคัญของ Uber ในเอเชีย หลังก่อนหน้านี้ได้ขายธุรกิจเรียกรถในเอเชียให้กับคู่แข่งอย่าง DiDi จากประเทศจีน และ Grab จากประเทศสิงคโปร์ แต่ยังให้บริการอยู่ในบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น, ฮ่องกง และไต้หวัน
ส่วนคู่แข่งในอินเดียของ Uber ก็คือ Ola ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่งประกาศปลดพนักงาน 1,400 คน โดยอ้างว่าการระบาดครั้งนี้ “ทำลายเศรษฐกิจและสังคมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน”
ช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมา Uber ได้พยายามสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในอินเดีย โดยระบุในการนำเสนอซึ่งกล่าวกับนักลงทุนว่า บริษัทเป็นผู้ให้บริการเรียกรถเป็นอันดับ 1 ของประเทศ โดยมีมาร์เก็ตแชร์มากกว่า 50%
ทั้งนี้ Uber และ Ola ต่างได้รับการสนับสนุนโดยนักลงทุนด้านเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง SoftBank
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/global/%e0%b9%82%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%94-19-%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%88%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b8%88%e0%b8%88%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b9%88.html">โควิด-19 อาจเป็นแค่ปัจจัยเร่งให้ Hertz เป็นอีกบริษัทที่ประกาศล้มละลาย</a>

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://edition.cnn.com/2020/05/26/tech/uber-india-job-cuts-intl-hnk/index.html">Uber lays off 600 people in India as the coronavirus pandemic hurts business</a></li>
 	<li><a href="https://www.businessinsider.in/business/startups/news/uber-lays-off-600-employees-in-india-as-coronavirus-pandemic-leaves-its-cabs-empty/articleshow/75994447.cms">Uber lays off 600 employees in India as coronavirus pandemic leaves its cabs empty</a></li>
</ul>

Uber เดินหน้าแผนปลดคน เตรียมเลย์ออฟพนักงานในอินเดีย 600 ตำแหน่ง

<h2 class="p1">Emirates Group กำลังพิจารณาปลดพนักงานราว 30,000 ตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นบาดแผลที่เจ็บลึกที่สุดในอุตสาหกรรมการบินโลก ที่เป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการต้องหยุดบินเพราะการระบาดของไวรัสโคโรนา</h2>
การปลดพนักงานของผู้ให้บริการขนส่งทางอากาศรายนี้ เป็นการลดจำนวนพนักงานได้มากถึง 30% จากเดือนมีนาคมที่ Emirates มีพนักงานอยู่ 105,000 คน ซึ่งเป็นการลดต้นทุนและปรับการดำเนินงาน เพื่อรับมือกับแนวโน้มการเดินทางที่คาดว่าจะชะลอตัวไปอีกหลายปี
โดยสายการบินแห่งนี้มีจัดหาเงินทุนใหม่ด้วยการระดมทุน 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในไตรมาส 1 ขณะเดียวกันก็กำลังมองหาความช่วยเหลือจากดูไบด้วย
สายการบินรายนี้ยังตัดสินใจเร่งการปลดระวางเครื่องบินรุ่น A380 ซึ่งเป็นเครื่องบินไอพ่นสองชั้นขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 500 คน ให้เร็วขึ้นด้วย
เอมิเรตส์ ซึ่งเป็นสายการบินผู้ให้บริการเครื่องบินกลุ่ม Airbus SE รายใหญ่ที่สุด ระบุว่า บริษัทกำลังทบทวนระดับ “การลดต้นทุน และการจัดหาทรัพยากรใหม่” พร้อมๆ กับการเตรียมตัวเพื่อให้บริการหลังจากต้องหยุดบินมาเป็นเวลาเกือบ 2 เดือน
“เราไม่มีการแจ้งต่อสาธารณะถึงความซ้ำซ้อนจำนวนมากของสายการบิน” บริษัทระบุในอีเมล์แถลงการณ์ “การรักษาเงินสด, ปกป้องธุรกิจ และรักษาแรงงานทักษะให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คือเป้าหมายของเราในตอนนี้”

<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/global/%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%9a%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%81%e0%b8%ab%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b9%82%e0%b8%84%e0%b8%a5%e0%b8%ad%e0%b8%a1.html">สายการบินแห่งชาติโคลอมเบีย “Avianca” ยื่นล้มละลาย พร้อมขอพิทักษ์ทรัพย์</a></li>
</ul>
&nbsp;
<h2 class="p1">ธุรกิจการบิน สูญเสียยอดขาย</h2>
ข้อมูลจากสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association) ระบุว่า ด้วยจำนวนเที่ยวบินทั่วโลกที่ลดลงกว่า 70% ทำให้อุตสาหกรรมการบินต้องสูญเสียรายได้จากการขายตั๋วในปีนี้กว่า 3.14 แสนล้านเหรียญ
สำหรับ Emirates ได้หยุดเที่ยวบินส่วนใหญ่ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา แม้ว่าในบางประเทศจะเริ่มคลายมาตรการท่องเที่ยวแล้ว แต่สายการบินแห่งนี้ก็ยังหยุดให้บริการต่อไปจนถึงวันที่ 21 พฤษภาคม
ประธาน Tim Clark กล่าวกับสื่อในกรุง Abu Dhabi ในเดือนนี้ว่า เขาคาดการณ์ว่าดีมานด์การเดินทางด้วยเครื่องบินจะ “เบาบาง” ไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปี เขายังเรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าเป็น black swan ของอุตสาหกรรม หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ทั้งยังสร้างผลกระทบอย่างรุนแรง
ทั้งนี้ รัฐบาลดูไบระบุเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่าจะสนับสนุนด้านการเงินแก่สายการบินรายนี้ ซึ่งหมายถึงมาตรการเสริมสภาพคล่องตั้งแต่มีการระบาดของไวรัส และยังรวมถึงการลดเงินเดือนชั่วคราว, หยุดเที่ยวบินส่วนใหญ่ และชะลอการส่งมอบเครื่องบินซูเปอร์จัมโบ้ A380
&nbsp;
<h2 class="p1">บาดแผลของ Airbus</h2>
การปลดระวางเครื่องบิน A380 บางส่วน อาจเป็นการเร่งให้บทบาทการเป็นผู้นำเครื่องบินโดยสารเชิงพาณิชย์ของ Airbus นั้นจบเร็วขึ้น หลัง Airbus ถูกบังคับให้ยุติโครงการตั้งแต่ปีก่อนหลังจากการตกลงกับสายการบินเอมิเรตส์ล้มเหลว แม้ว่าจะยังมีเครื่องบินที่ต้องส่งมอบอีกมากกว่า 8 ลำก็ตาม


[caption id="attachment_29937" align="alignnone" width="720"]<img class="size-full wp-image-29937" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/05/A380-emirates.jpg" alt="" width="720" height="480" /> เครื่องบิน A380 ของสายการบินเอมิเรตส์ (ภาพจาก AFP)[/caption]
สายการบินแห่งรัฐรายนี้ ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่สุดของ A380 ได้ปรับลดแผนการระยะยาวลง ทั้งยังสั่งเครื่องบินลำเล็กลง แต่ปรับเพิ่มความร่วมมือกับผู้ให้บริการในภูมิภาคอย่าง Flydubai ซึ่งเป็นสายการบินของรัฐด้วยเช่นกัน
แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวว่า สำหรับในช่วงที่ต้องฟื้นตัว สายการบินเอมิเรตส์วางแผนที่จะพึ่งพาเครื่องบินขนาดเล็กกว่าสัญชาติสหรัฐฯ อย่าง Boeing 777 แทน โดยมีอยู่ในฝูงบินทั้งสิ้น 155 ลำ ขณะที่มีเครื่องบิน A380 อยู่ 115 ลำ
ขณะที่ผลการดำเนินงานของเอมิเรตส์นั้น ในงบปีที่ผ่านมาซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น 21% แต่การระบาดของไวรัสโคโรนาได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4
โดยกำไรในเดือนมีนาคมอยู่ราว 1.5 พันล้านดีแรห์ม หรือราว 408 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก นอกจากนี้ บริษัทยังสูญเสียรายได้ในเดือนที่ผ่านมามากกว่า 3.4 พันล้านดีแรห์ม
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-05-17/emirates-said-to-consider-30-000-job-cuts-retire-a380s-faster?sref=StzN0HjU&amp;utm_campaign=socialflow-organic&amp;utm_medium=social&amp;utm_content=businessweek&amp;utm_source=facebook&amp;cmpid=socialflow-facebook-btechnology&amp;fbclid=IwAR06am1WcVd7xuHE1GXE2UOfpNanm-9RFhrdrY5r-Kdz-kHOPenZUKEl4wg">Emirates Considers Cutting 30,000 Jobs, Retire A380s Faster</a></li>
 	<li><a href="https://www.reuters.com/article/us-health-coronavirus-emirates-group/emirates-group-planning-to-cut-about-30000-jobs-amid-virus-outbreak-bloomberg-news-idUSKBN22T0J6">Emirates plans to cut about 30,000 jobs amid virus outbreak: Bloomberg News</a></li>
</ul>

Emirates เจ็บหนัก! เตรียมปลดพนักงาน 30,000 ตำแหน่ง

<h2 class="p1">HP เตรียม ปลดพนักงาน ลงถึง 13-16% ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่บนเป้าหมายในการลดต้นทุนและเพิ่มการเติบโตของยอดขาย ท่ามกลางการเปลี่ยนผู้นำสูงสุดครั้งแรกของบริษัทในรอบ 4 ปี</h2>
ยักษ์ใหญ่ในตลาดผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายนี้ระบุว่า บริษัทเตรียม ปลดพนักงาน 7,000-9,000 ตำแหน่งผ่านการให้ออกและเกษียณอายุก่อนกำหนด (early retirement) โดยสมัครใจ ซึ่งการลดจำนวนพนักงานครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทลดต้นทุนลงไปได้ถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2022 ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา HP มีพนักงาน 55,000 คน ซึ่งเป็นครั้งล่าสุดที่มีการเปิดเผยตัวเลขดังกล่าว
HP ยังประกาศว่า บริษัทคาดว่าผลกำไร (ไม่รวมต้นทุนการปรับโครงสร้างและรายการอื่นๆ) จะอยู่ที่ประมาณ 2.22-2.32 เหรียญต่อหุ้น ขณะที่นักวิเคราะห์หลายรายประมาณการว่ากำไรน่าจะอยู่ที่ 2.23 เหรียญต่อหุ้น โดยหุ้นของ HP ลดลงมากกว่า 5% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ
บริษัทจาก California รายนี้ได้ปล่อยการคาดการณ์ต่างๆ ออกมาท่ามกลางสถานการณ์ของบริษัทที่กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ Dion Weisier ซีอีโอที่บริหารบริษัทนี้มาตั้งแต่ปี 2015 รวมถึงยังดูแลบริษัท Hewlett Packard Enterprise กำลังจะลงจากตำแหน่งในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้เนื่องจากเหตุผลด้านสุขภาพของครอบครัว โดยซีอีโอคนใหม่ ได้แก่ Enrique Lores ผู้บริหารระดับสูงที่ทำงานใน HP มายาวนาน
ขณะเดียวกัน HP ยังต้องเผชิญกับยอดขายที่ลดลงของธุรกิจหมวดการพิมพ์ที่เป็นแหล่งกำไรหลักของบริษัท จนเมื่อเร็วๆ นี้นักวิเคราะห์หลายรายจาก Sanford C. Bernstein ขนานนามว่าเป็นภาวะที่ “น้ำแข็งกำลังหลอมละลาย” นอกจากนี้ Gordon Haskett นักวิเคราะห์ ยังระบุว่า นักลงทุนแบบ activist investor อาจกำลังสร้างสัดส่วนการถือหุ้นที่อาจทำให้บริษัทได้แรงกดดันเพิ่มขึ้น
“เราเห็นตัวเรากำลังเริ่มบทใหม่ และเราจะประกาศความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนนั้น” Lores กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg “เราได้ทุ่มเวลามากมายในการสร้างแผนนี้ เรายอมรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในตลาด ซึ่งจะช่วยให้เราวางโพสิชั่นของบริษัทสำหรับอนาคตได้”


[caption id="attachment_22185" align="alignnone" width="610"]<img class="size-full wp-image-22185" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/hp-enrique-lores.jpg" alt="" width="610" height="407" /> Enrique Lores[/caption]
สำหรับการปรับโครงสร้างด้วยการ ปลดพนักงาน ครั้งนี้ HP จะมีค่าใช้จ่ายราว 1 พันล้านเหรียญ โดยแบ่งเป็น 100 ล้านเหรียญสำหรับไตรมาส 4 ปีนี้, 500 ล้านเหรียญสำหรับปี 2020 ส่วนที่เหลือจะใช้ในปี 2021 และ 2022
โดยบอร์ดของ HP ได้หนุนแผนซื้อหุ้นคืนของบริษัท 5 พันล้านเหรียญ นอกจากนี้ HP กล่าวว่าบริษัทวางแผนจะเพิ่มเงินปันผลรายไตรมาสเป็น 10% ด้วย อย่างไรก็ตาม หุ้นของบริษัทได้ลดลง 10% ในปีนี้ โดยปิดที่ 18.40 เหรียญในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ
บริษัทยังมั่นใจอีกว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างน้อย 3 พันล้านเหรียญภายในปี 2020 และมอบผลตอบแทนที่ 75% หรือมากกว่าให้กับนักลงทุนได้
ยักษ์ใหญ่ธุรกิจคอมพิวเตอร์รายนี้ยังกล่าวอีกว่า บริษัทจะสร้างการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจเครื่องพิมพ์โดยมุ่งเน้นการให้บริการที่หลากหลายมากขึ้น โดยเตรียมขึ้นราคาปรินเตอร์ที่สามารถใช้ตลับหมึกอย่างอื่นที่ไม่ใช่ของ HP ซึ่งจะส่งผลให้อุปกรณ์กลุ่มนี้ทำกำไรได้มากขึ้น
โดยปัจจุบัน ปรินเตอร์ที่ขายได้นั้นหลายรุ่นเป็นรุ่นที่มีราคาถูก ทำให้ยูนิตที่ทำกำไรมาจากหมึกเติมนั่นเอง โดย HP มีแผนเตรียมเปิดตัวปรินเตอร์ราคาถูกแต่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ได้แต่หมึกของ HP เท่านั้น
นอกจากนี้ HP ยังเตรียมเริ่มขายอุปกรณ์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีการพิมพ์อิงค์เจ็ตที่เรียกว่า microfluidics ซึ่งจะตอบโจทย์กับอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์, เครื่องสำอาง และอื่นๆ
“เรายังมีความมั่นใจในอนาคตของบริษัทเราอยู่จริงๆ” Lores กล่าวทิ้งท้าย
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/it/uber-%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%94%e0%b8%9e%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99.html">Uber ปลดพนักงาน 400 คนทั่วโลกฝ่ายการตลาด หวังลดต้นทุน</a></li>
</ul>
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://www.bloomberg.com/news/articles/2019-10-03/hp-inc-to-cut-as-much-as-16-of-workforce-amid-print-unit-woes">HP to Cut as Much as 16% of Workforce Amid Print Unit Woes</a>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

HP ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ประกาศ ปลดพนักงาน 7,000-9,000 คน

<h2 class="p1">Ford ประกาศ ลดพนักงาน 7,000 คนทั่วโลก หรือคิดเป็นราว 10% ซึ่ง Ford ระบุว่านี่เป็นหนึ่งในมาตรการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งจะช่วยประหยัดเงินได้ปีละ 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ</h2>
ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกจากสหรัฐฯ ระบุว่า Ford ประกาศ ลดพนักงาน โดยเริ่มแจ้งถึงมาตรการดังกล่าวให้พนักงานทราบ และกระบวนการปลดคนจะเสร็จสมบูรณ์ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ โดยในจำนวนนี้เป็นการปลดคนราว 2,400 ตำแหน่งในอเมริกาเหนือ และประมาณ 1,500 ตำแหน่งเป็นการปลดโดยสมัครใจ
Jim Hackett ซีอีโอ Ford ระบุในประกาศที่แจ้งกับพนักงานว่า นอกเหนือจากความต้องการลดต้นทุน ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นความพยายามเพื่อลดระบบราชการภายในบริษัท และปรับให้โครงสร้างการบริหารงานเป็นแบบราบยิ่งขึ้น
การปรับลดพนักงานของ Ford ในครั้งนี้คล้ายกับการ ลดพนักงาน ของ General Motors ที่ประกาศเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา โดย General Motors นั้นหั่นพนักงานออฟฟิศและพนักงานสัญญาจ้างออกไป 8,000 คน และประกาศปิดโรงงาน 5 แห่งในอเมริกาเหนืออีกด้วย

<ul>
 	<li>คลิกอ่าน <a href="https://forbesthailand.com/news/motoring/gm-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D.html">GM ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ปลดพนักงาน 15% ปิดโรงงาน 8 แห่ง มุ่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า-รถยนต์ไร้คนขับ</a></li>
</ul>
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา Ford ปลดพนักงานมาแล้วหลายครั้ง รวมถึงการปิดโรงงาน 1 แห่งในยุโรปเมื่อเดือนมกราคม และประกาศปิดโรงงาน 3 แห่งในรัสเซียเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยคาดว่าจะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการลดพนักงานหลายพันตำแหน่งทั่วโลก
ทั้งนี้ Ford กำลังเผชิญกับความท้าทายระดับโลก หลังไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน ยอดขายในประเทศหรือในอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นตลาดที่แข็งแกร่งที่สุดของบริษัทนั้นทำรายได้และมีกำไรเพิ่มขึ้น แต่ยอดขายและกำไรในตลาดต่างประเทศอย่างอเมริกาใต้ เอเชีย และยุโรป กลับไม่เป็นในทิศทางเดียวกัน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดการปรับโครงสร้างของบริษัท
<img class="alignnone wp-image-3996 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/ford.jpg" alt="Ford ลดพนักงาน" width="900" height="480" />
แรงกดดันอย่างหนักที่ Ford ต้องเผชิญนั้นมาจากเรื่องผลกำไรที่ลดลง ขณะที่ต้นทุนบางอย่างกลับเพิ่มขึ้น เช่น เหล็กและอะลูมิเนียม ที่เพิ่มขึ้นราวปีละ 1 พันล้านเหรียญ หลังจากมีการเก็บภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าเหล่านี้ และแม้ว่าวัตถุดิบส่วนใหญ่จะมาจากในประเทศ แต่ผู้บริหารของ Ford ก็ระบุว่า ความพยายามในการปรับโครงสร้างบริษัทนั้นไม่ได้เป็นเพียงมาตรการระยะสั้นเพื่อแก้ไขปัญหาต้นทุน แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาว

<ul>
 	<li>คลิกอ่าน <a href="https://forbesthailand.com/news/motoring/no-deal-brexit-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89-ford-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2.html">No-deal Brexit อาจทำให้ Ford มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 1 พันล้านเหรียญ</a></li>
</ul>
Ford ถือเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่รายหนึ่งของโลกที่มีมูลค่าราว 4.1 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่าผู้ผลิตรถยนต์ที่ไม่ค่อยมีกำไรอย่าง Tesla เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และน้อยกว่า Uber ราว 40% หลัง Uber เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อไม่นานมานี้
นอกจากนี้ Ford ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันมากมายในการเตรียมตัวสำหรับอนาคต หลังผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ต่างพากันซื้อเทคโนโลยีใหม่ และวางแผนเข้าสู่โลกแห่งรถยนต์ไร้คนขับอย่างเต็มตัว รวมไปถึงบริษัทเทคโนโลยีหลายรายที่ก้าวเข้ามาเป็นคู่แข่งในตลาดรถยนต์ด้วย เช่น Tesla และ Waymo ของบริษัท Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google
Michelle Krebs นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Cox Automotive ระบุว่า นอกจาก Ford และ General Motors แล้ว เชื่อว่าผู้ผลิตรถยนต์ทุกรายก็กำลังมองหาแนวทางที่จะทำแบบนี้เหมือนกัน สิ่งที่น่าหนักใจคือนอกจากพวกเขาต้องหาทางประคองธุรกิจในปัจจุบันให้ได้ และพวกเขายังต้องหาเงินไว้สำหรับธุรกิจในอนาคตด้วย ซึ่งปัญหาคือไม่มีใครรู้ว่าธุรกิจในอนาคตนั้นต้องใช้เงินเท่าไร
Krebs กล่าวอีกว่า ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายยังต้องเตรียมตัวรับมือกับยอดขายที่ลดลง รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวด้วย โดยยอดขายไตรมาสแรกของ Ford ทั่วโลกลดลง 14% ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มรถซีดานดั้งเดิมจากสหรัฐฯ ที่ลดลงไปมาก
ขณะที่ Ford เองก็เหมือนผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ที่มุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไร้คนขับ โดย Ford กำลังมองหาพันธมิตรใหม่ในการปรับโครงสร้างของธุรกิจ ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้ร่วมมือกับ Volkswagen ในการพัฒนาโปรดักต์ใหม่ๆ และยังประกาศลงทุน 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในบริษัท Rivian ซึ่งวางแผนเปิดตัวรถบรรทุกขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าในปีหน้า
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://edition.cnn.com/2019/05/20/business/ford-layoffs/index.html">Ford will cut 7,000 white-collar jobs</a></li>
</ul>

ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่! Ford ประกาศ "ลดพนักงาน" 7,000 คนทั่วโลก

<h2>General Motors ย้ำเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า บริษัทจะไม่เปลี่ยนการตัดสินใจปิดโรงงานในเมือง Lordstown รัฐ Ohio แม้ว่า Donald Trump จะส่งข้อความกดดันผ่าน Twitter โดยบริษัทให้เหตุผลถึงการปิดโรงงานว่าเกิดจากปัญหารถยนต์ Chevy รุ่น Cruze ที่ผลิตในโรงงานดังกล่าวมียอดขายตกต่ำในสหรัฐฯ</h2>
แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://www.forbes.com/sites/davidkiley5/2019/03/18/gm-shuns-trump-tweets-about-ohio-plant-closure/#2c3c317293cd">GM Tries To Fend Off Trump Tweets About Ohio Plant Closure</a> โดย David Kiley คอลัมนิสต์ด้านยานยนต์ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน Forbes.com

ประธานาธิบดี Donald Trump ทวีตข้อความบน Twitter ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นเคย โดย Trump โจมตีทั้ง GM, อดีตวุฒิสมาชิก John McCain, พรรคเดโมแครต, ที่ปรึกษาพิเศษ Robert Mueller ไปจนถึงสื่อมวลชนอื่นๆ ยกเว้น Fox News

ในกรณีของ General Motors (GM) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทวีตข้อความถึง Mary Barra ซีอีโอ GM ว่าขอให้เธอ “ลงมือทำอะไรสักอย่างโดยด่วน” เพื่อกลับมาเปิดโรงงานรถยนต์ในเมือง Lordstown รัฐ Ohio หน่วยผลิตที่หยุดการทำงานไปเมื่อประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนเพื่อรอการเจรจาสัญญาใหม่ระหว่าง สหภาพแรงงานยานยนต์ (United Auto Workers : UAW) กับบริษัท

“ผมไม่พอใจเลยที่โรงงานปิดตัวในขณะที่สิ่งอื่นๆ ทุกอย่างในประเทศของเรากำลังเติบโต!!!” Trump ทวีตผ่านบัญชีของตนเอง
<blockquote class="twitter-tweet" data-lang="en">
Just spoke to Mary Barra, CEO of General Motors about the Lordstown Ohio plant. I am not happy that it is closed when everything else in our Country is BOOMING. I asked her to sell it or do something quickly. She blamed the UAW Union — I don’t care, I just want it open!
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) <a href="https://twitter.com/realDonaldTrump/status/1107408129619382277?ref_src=twsrc%5Etfw">March 17, 2019</a></blockquote>
<script async src="https://platform.twitter.com/widgets.js" charset="utf-8"></script>

GM ประกาศก่อนหน้านี้ว่า บริษัทได้หยุดการผลิตรถยนต์ Chevy Cruze แล้ว ซึ่งเป็นโมเดลรถรุ่นเดียวที่ผลิตอยู่ในเมือง Lordstown เนื่องจากความนิยมในรถครอสโอเวอร์และเอสยูวีเพิ่มสูงขึ้นในสหรัฐฯ หลังจากราคาน้ำมันค่อนข้างเสถียรอยู่ระหว่าง 2.5-3.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อแกลลอนในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ดีมานด์ต่อรถยนต์รุ่น Cruze ซึ่งเป็นรถรุ่นซีดานขนาดเล็กประหยัดน้ำมันจึงลดลงอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์นี้เกิดขึ้นกับรถซีดานขนาดเล็กอื่นๆ ด้วย เช่น Ford ที่หยุดผลิตรถรุ่น Focus คู่แข่งของ Cruze แล้ว
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/gm-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D.html">GM ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ปลดพนักงาน 15% ปิดโรงงาน 8 แห่ง มุ่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า-รถยนต์ไร้คนขับ</a></li>
</ul>
ทั้ง GM, Ford และ Chrysler ย้ายฐานการผลิตส่วนใหญ่ของรถรุ่นเล็กออกนอกสหรัฐอเมริกาหลายปีมาแล้ว เพื่อลดต้นทุนแรงงานและต้นทุนจ่ายค่าประกันสุขภาพพนักงาน ส่วนใหญ่บริษัทเหล่านี้เลือกย้ายฐานไปที่เม็กซิโกและอีกหลายประเทศที่มีประกันสุขภาพโดยรัฐ

ผู้ผลิตยานยนต์ส่วนใหญ่ขาดทุนหรือไม่ได้กำไรจากการผลิตรถรุ่นเล็กในสหรัฐฯ ทำให้พวกเขาย้ายฐานผลิตเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดทุน เฉพาะ GM ที่เป็นข้อยกเว้น บริษัทนี้ทำข้อตกลงกับ UAW เมื่อทศวรรษก่อนเพื่อคงฐานผลิตรถรุ่น Cruze ในรัฐ Ohio ไว้ โดย UAW ยอมอ่อนข้อเงื่อนไขต่างๆ ให้กับ GM เพื่อให้ยังคงมีฐานผลิตรถรุ่นเล็กภายในสหรัฐฯ

[caption id="attachment_5795" align="alignnone" width="800"]<img class="wp-image-5795 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/GM-Chevy-Cruze-e1553142866593.jpg" alt="" width="800" height="400" /> รถ Chevy Cruze ซีดานขนาดเล็กประหยัดน้ำมันที่มียอดขายลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ GM ตัดสินใจปิดโรงงานผลิตใน Ohio[/caption]

สำหรับฐานผลิตใน Lordstown นั้นมีการผลิตมานานกว่า 50 ปี ซึ่ง GM ประเมินว่าจะมีการปลดคนงานกลุ่มจ้างงานรายชั่วโมงราว 1,700 คนในโรงงานดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม GM กับ UAW จะมีการเจรจาสัญญาฉบับใหม่ในปีนี้ แต่ขณะนี้ UAW อยู่ระหว่างฟ้องร้องบริษัท GM โดยยกข้อกำหนดในสัญญาฉบับปัจจุบันว่า GM ไม่สามารถหยุดการปฏิบัติงานในฐานผลิตได้ ซึ่งสัญญาฉบับดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายนนี้

&nbsp;
<h2>แรงงานยานยนต์ ฐานเสียงสำคัญของ Trump</h2>
ฟาก Trump นั้นหาเสียงกับกลุ่มผู้ใช้แรงงานมาตั้งแต่เริ่มประกาศลงสมัครเป็นประธานาธิบดีในปี 2015 ตลอดการหาเสียงของเขา Trump จะจี้ประเด็นเรื่องโรงงานผลิตที่ย้ายฐานออกไปนอกประเทศโดยเฉพาะที่เม็กซิโกและจีนอยู่เสมอ

เมื่อขึ้นเป็นประธานาธิบดี Trump ได้เริ่มตั้งกำแพงภาษีเพื่อบังคับให้โรงงานผลิตในสหรัฐฯ ใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศเพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมเหล็กซึ่งนโยบายนี้ส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มบริษัทยานยนต์ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าภาษีนำเข้าเหล็กทำให้ต้นทุนบริษัทเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปีต่อบริษัท และโจมตีว่ากำแพงภาษีนี้มีส่วนทำให้บริษัทต้องลดจำนวนแรงงาน

หนึ่งในข้อความ Twitter ที่ Trump ทวีตออกไป ตัวอย่างเช่น “เพราะเศรษฐกิจนั้นดีมาก General Motors ต้องเปิดโรงงานผลิตที่ Lordstown, Ohio โดยเร็ว!!! อาจจะเป็นในรูปแบบอื่นหรือมีเจ้าของใหม่ก็ได้ Toyota กำลังลงทุนมูลค่า 1.35 หมื่นล้านเหรียญในสหรัฐฯ เจ้าอื่นก็เหมือนกัน GM ต้องดำเนินการโดยด่วน!!! เวลาเป็นสิ่งสำคัญ!”

[caption id="attachment_5796" align="alignnone" width="768"]<img class="size-full wp-image-5796" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/063_1128941496.jpg" alt="" width="768" height="512" /> เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2019 พนักงานโรงงานรถยนต์ในเมือง Lordstown ประท้วงเรียกร้องให้ GM เปิดโรงงานในสหรัฐฯ ต่อไป (PHOTO CREDIT: Jeff Swensen/Getty Images/AFP)[/caption]

ฝ่าย GM ออกแถลงการณ์ในห้วงเวลาที่คาดเดาได้ว่าเป็นการตอบโต้ Trump ดังนี้ “เพื่อให้กระจ่างชัด ภายใต้เงื่อนไขข้อตกลงระหว่าง UAW กับ GM อนาคตของโรงงานผลิตที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้นี้จะคลี่คลายและตกลงกันระหว่าง GM กับ UAW เรายังคงเปิดกว้างในการพูดคุยกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ได้รับผลกระทบทุกฝ่าย แต่จุดมุ่งเน้นหลักของเรายังคงอยู่ที่พนักงานของบริษัท และได้ให้ข้อเสนอตำแหน่งงานในฐานผลิตอื่นของเราที่กำลังสร้างโอกาสการเติบโต"

"ขณะนี้เราได้โยกย้ายพนักงานกว่า 1,000 คนจากฐานผลิตที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ไปยังฐานผลิตอื่นๆ ของ GM แล้ว และเรามีโอกาสในการทำงานเปิดให้กับพนักงานทุกคนที่ได้รับผลกระทบ”

รัฐ Ohio นั้นมีความสำคัญทางการเมืองอย่างมากต่อการเลือกตั้งปี 2020 ที่กำลังจะมาถึง ไม่เพียงแต่รัฐนี้จะถูกพิจารณาว่าเป็นรัฐ swing vote ที่ชี้ชะตาการเลือกตั้งในปี 2016 ซึ่ง Trump ได้กำชัยชนะ แต่ยังเป็นรัฐที่มีอดีตผู้ว่าการรัฐและสมาชิกพรรครีพับลิกันอย่าง John Kasich ซึ่งมักจะวิพากษ์วิจารณ์ Trump อยู่บ่อยครั้งและ ‘เสียงดัง’ พอที่จะเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงกับประธานาธิบดี Trump ในศึกการเลือกตั้งขั้นต้น (primary vote) เพื่อหาตัวแทนพรรคในการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งหน้า

มองอีกมุมหนึ่ง Lordstown นับเป็นฐานผลิตที่ล้าหลัง โดยมีการผลิตที่มุ่งเน้นรถรุ่นเดียวมานานหลายปี การที่ GM จะย้ายฐานผลิตรถประเภทครอสโอเวอร์หรือเอสยูวีมาที่ Lordstown นั้นไม่ได้อยู่เหนือความเป็นไปได้ แต่ GM อาจเลือกที่จะปิดโรงงานไปก่อนเพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้กับตนเองเมื่อต้องทำการเจรจาข้อตกลงฉบับใหม่กับสหภาพแรงงานฯ ในปีนี้

&nbsp;

GM โต้กลับ หลัง Trump ทวีตเดือดเหตุบริษัทปิดโรงงานใน Ohio

<h2>General Motors (GM) ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ประกาศปรับโครงสร้างบริษัท ปลดพนักงานลงกว่า 15% หรือมากกว่า 1.4 หมื่นตำเเหน่ง หวังลดค่าใช้จ่ายได้ 6 พันล้านเหรียญ พร้อมปรับตัวรับการเปลี่ยนเเปลงตลาด มุ่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเเละรถยนต์ไร้คนขับ</h2>
ความเคลื่อนไหวที่สะเทือนวงการยานยนต์ครั้งนี้ ยังรวมไปถึงการที่ GM สั่งระงับการผลิตในโรงงาน 5 แห่งในทวีปอเมริกาเหนือ เเละจะปิดโรงงานผลิตรถนอกทวีปอเมริกาเหนืออีก 3 แห่งภายในสิ้นปี 2019

โดย GM จะปิดโรงงานผลิตแบตเตอรีและชุดเกียร์ ทั้งใน Baltimore, Maryland เเละ Michigan เช่นเดียวกับโรงงานอีก 2 แห่งนอกอเมริกาเหนือ ซึ่งไม่ได้ระบุว่าเป็นที่ใด หลังจากเคยแถลงยุติปฏิบัติการที่โรงงานในเมือง Kansan ประเทศเกาหลีใต้ไปก่อนหน้านี้

จากนั้นภายในปีหน้าจะสั่งปิดโรงงานประกอบรถยนต์ 3 แห่งในอเมริกาเหนือ ได้เเก่โรงงาน Oshawa ในรัฐ Ontario ประเทศแคนาดา, โรงงานในเมือง Detroit ของรัฐ Michigan เเละโรงงานใน Lordstown  ในเมือง Warren รัฐ Ohio ของสหรัฐอเมริกา

อีกทั้งยังสั่งยุติการผลิตรถยนต์หลายรุ่นในอเมริกา ได้แก่ Chevrolet Cruze, Cadillac CT6 และ Buick LaCrosse ด้วย โดยบริษัทได้เริ่มเสนอแผนการลาออกโดยสมัครใจให้กับพนักงาน 1.8 หมื่นคนในอเมริกาเหนือตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

นับว่าเป็นการปรับตัวของบริษัทที่ต้องการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนเเปลงไปเเละยอดขายที่ลดลง เนื่องจากผู้ซื้อไม่สนใจที่จะซื้อรถยนต์ขนาดเล็ก ขณะที่รถกระบะและรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) กลับได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง โดยคิดเป็นสัดส่วนถึงเกือบ 70% ของการซื้อรถในอเมริกาเหนือทั้งหมด

[caption id="attachment_2070" align="alignnone" width="768"]<img class="size-full wp-image-2070" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/bd4d77136e050073871f42a8a6b61f1e7db305da.jpg" alt="" width="768" height="492" /> AFP / JEFF KOWALSKY[/caption]

นอกจากนี้ GM ยังต้องเเบกรับกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น จากมาตรการภาษีนำเข้าเหล็กเเละอลูมิเนียม ซึ่งทำให้ต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้นประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 เเละอาจพุ่งถึง 1 พันล้านเหรียญในปีหน้า หากประธานาธิบดีทรัมป์ ยังคงเดินหน้ามาตรการภาษีนำเข้ายานยนต์เเละชิ้นส่วนต่อไป

ดังนั้น GM จึงมีความตั้งใจจะหันไปลงทุนด้านยานยนต์แห่งอนาคต อย่างรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ไร้คนขับ พร้อมพัฒนาแบตเตอรี่รุ่นใหม่

ทั้งนี้ การปฏิรูปองค์กรของ GM เรียกเสียงวิจารณ์จากสหภาพแรงงานสหรัฐฯที่เป็นตัวแทนของแรงงานทั่วประเทศ โดยระบุว่าบริษัทกำลังจะย้ายฐานการผลิตในต่างแดนแทน เนื่องจากค่าแรงของแรงงานในอเมริกานั้นค่อนข้างสูง
<ul>
 	<li><a href="http://www.forbesthailand.com/news-detail.php?did=2862">General Motors ประกาศแผนลดต้นทุน จ้างออกพนักงาน 1.8 หมื่นตำเเหน่ง</a></li>
</ul>
โดยแผนการปรับโครงสร้างองค์กรดังกล่าว สร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับประธานาธิบดี Donald Trump แห่งสหรัฐฯ โดยเฉพาะการระงับการผลิตในโรงงานที่รัฐ Ohio  ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานเสียงของเขาในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อ 2 ปีก่อน โดยผู้นำสหรัฐฯได้ให้สัมภาษณ์กับ <a href="https://www.wsj.com/articles/gm-says-it-will-cut-15-of-salaried-workforce-in-north-america-1543246232">wall street journal</a> ว่า GM ควรยุติการผลิตรถยนต์ในจีน และมาเปิดโรงงานใหม่ใน Ohio เพื่อทดแทนกับโรงงานที่บริษัทมีแผนจะยุติการผลิต

รายงานข่าวระบุว่า โรงงานทั้ง 5 แห่งในอเมริกาเหนือของ GM มีการจ้างพนักงานเกือบ 7 พันคน โดยในจำนวนนั้น 3 พันคนเป็นพนักงานของโรงงานใน Ontario

“ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ คือการเดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่ความคล่องตัวขั้นสูง ความยืดหยุ่นและผลกำไร สำหรับการลงทุนในอนาคต เรามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอยู่เเถวหน้าในตลาดเเละยึดถือความพึงพอใจของลูกค้า เพื่อความสำเร็จในระยะยาวของบริษัท ” Mary Barra  ซีอีโอของ General Motors ระบุในเเถลงการณ์

ทั้งนี้ ในการปรับลดพนักงานนั้น ราว 25% จะเป็นการปรับลดพนักงานในระดับบริหารเพื่อให้การตัดสินใจมีความยุ่งยากน้อยลง เเละคาดว่าแผนการปฏิรูปองค์กรดังกล่าวจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ถึง 6 พันล้านเหรียญภายในสิ้นปี 2020

ขณะที่หลังจากบริษัทมีประกาศจากเป็นทางการ พนักงานประจำโรงงานในรัฐ Ontario ของเเคนาดา ได้ผละงานเพื่อประท้วงการปิดโรงงาน เมื่อวันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ด้านนายกรัฐมนตรี Justin Trudeau ของเเคนาดา เเสดงความผิดหวังต่อกรณีนี้ พร้อมเผยว่า พนักงานของ GM เป็นส่วนหนึ่งในหัวใจและจิตวิญญาณของ Oshawa มาหลายชั่วอายุคน และเราจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยเหลือครอบครัวของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากข่าวนี้ ให้พวกเขากลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง

https://twitter.com/JustinTrudeau/status/1067082236686753792?ref_src=twsrc%5Etfw%7Ctwcamp%5Etweetembed%7Ctwterm%5E1067082236686753792&amp;ref_url=https%3A%2F%2Fwww.cnn.com%2F2018%2F11%2F26%2Fbusiness%2Fgm-oshawa-plant%2Findex.html

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.afp.com/en/news/15/general-motors-shuttering-plants-cutting-15-workforce-doc-1b48ip2">General Motors shuttering plants, cutting 15% of workforce</a></li>
 	<li><a href="https://edition.cnn.com/2018/11/26/business/gm-oshawa-plant/index.html">GM is reinventing itself. It's cutting 15% of its salaried workers and shutting 5 plants in North America</a></li>
</ul>

GM ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ปลดพนักงาน 15% ปิดโรงงาน 8 แห่ง มุ่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า-รถยนต์ไร้คนขับ

รูปแบบการรับสื่อกีฬาบนโทรทัศน์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลลัพธ์คือ ESPN (Entertainment and Sports Programming Network) หนึ่งในสื่อด้านกีฬายักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของโลกจำเป็นต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจ โดย ESPN มีการปลดพนักงานไปแล้วหนึ่งครั้งเมื่อเดือนตุลาคมปี 2015 ครั้งนั้นบริษัทเลย์ออฟพนักงานไปกว่า 300 คน แต่การปลดพนักงานในรอบแรกส่วนใหญ่แล้วเป็นการปลดคนทำงานเบื้องหลัง ซึ่งทำให้ไม่ส่งผลมากนักต่อประสบการณ์รับชมของผู้บริโภค

แต่ในช่วงเช้าของวันที่ 26 เมษายน 2017 ช่องเคเบิลทีวี ESPN ซึ่งมีพนักงานทั่วโลกกว่า 8,000 คน มีการปลดพนักงานเป็นครั้งที่สอง จากการรายงานของสำนักข่าว USA Today คาดว่ามีการปลดไปแล้วประมาณ 100 คนและครั้งนี้เป็นการเลย์ออฟคนทำงานเบื้องหน้าซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้ชม

ก่อนหน้าที่ ESPN จะแจ้งปลดอย่างเป็นทางการ Forbes รายงานว่า การปลดพนักงานครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องคาดไม่ถึงแต่อย่างใด เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ESPN กำลังต่อสู้กับต้นทุนลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาที่ทะยานสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล NFL (National Football League) หรือบาสเก็ตบอล NBA (National Basketball Association) ในขณะที่จำนวนสมาชิกกลับลดลงเรื่อยๆ ปัจจัยทั้งสองเมื่อรวมกันแล้วส่งผลให้รายได้ของ ESPN ดำดิ่งลงในช่วงที่ผ่านมา

[caption id="" align="alignnone" width="680"]<img style="width: 680px; height: 383px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ebc903ccea7fbcf431524ac5a9be7895.png" alt="" width="680" height="383" /> ตัวอย่างรายการ NFL Live OT ในสถานีเคเบิลทีวี ESPN[/caption]

ESPN มีจำนวนสมาชิกสูงสุดที่ 100.1 ล้านรายเมื่อปี 2011 แต่หลังจากนั้นจำนวนสมาชิกกลับลดลงต่อเนื่องโดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา ไตรมาสที่แล้ว ESPN รายงานว่าจำนวนสมาชิกของช่องลดเหลือเพียง 88 ล้านราย และมีรายได้จากค่าสมาชิกเฉลี่ย 7.21 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อคนต่อเดือน

รายได้ที่ลดลงของเคเบิลทีวีแห่งนี้ส่งผลให้รายได้โดยรวมของ Disney บริษัทแม่ ESPN ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญเช่นกัน แม้ว่าช่อง ESPN จะมีการปรับค่าสมาชิกขึ้นมาถึง 120% ตั้งแต่ปี 2007 (เฉลี่ย 12% ต่อปี) ซึ่งในขณะนั้นช่องคิดค่าสมาชิกเพียง 3.26 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือน

ด้านสถานการณ์ภายในบริษัท ก่อนหน้านี้ มีการรายงานจาก Richard Deitsch ผู้สื่อข่าวนิตยสารกีฬา Sports Illustrated ว่าภายในบริษัทมีความปั่นป่วนโกลาหลอย่างมาก เนื่องจากพิธีกรและคนทำงานเบื้องหน้าของช่อง ESPN หลายรายพยายามที่จะเจรจาต่อรองกับสถานี โดยเจรจาขอลดอัตราเงินเดือนเพื่อทำงานในบริษัทต่อไป หรือขอให้ ESPN ชดเชยด้วยหุ้นของบริษัทแลกเปลี่ยนกับการยินยอมลาออกเพื่อแสวงหาโอกาสใหม่

ในขณะที่พนักงานบางรายของ ESPN และนักกีฬา ได้ทวีตข้อความใน Twitter เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ เช่น Paul Kuharsky ผู้สื่อข่าวของ ESPN ประจำทีมอเมริกันฟุตบอล Tennessee Titans ทวีตตั้งแต่วันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา โดยยืนยันข่าวว่าจะมีการเลย์ออฟพนักงาน และการทำงานกับช่องตลอด 9 ปีของเขากำลังจะสิ้นสุดในเดือนกรกฎาคมนี้

หรือนักกีฬาศิลปะการต่อสู้แบบผสม Jim Miller กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า ESPN เป็นสถานที่แห่งความภาคภูมิใจ ความสำเร็จ และแหล่งรายได้มหาศาลสำหรับหลายต่อหลายคน แต่สัปดาห์แห่งการเลย์ออฟนี้จะกลายเป็นสัปดาห์ที่ยากลำบากที่สุดสำหรับทุกคน

[caption id="" align="alignnone" width="680"]<img style="width: 680px; height: 408px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4d7d0f54cfddabdef772e6c99468e653.png" alt="" width="680" height="408" /> Jim Miller ​นักกีฬาศิลปะการต่อสู้แบบผสม (MMA) เขาเป็นผู้แต่งหนังสือ These Guys Have All The Fun ซึ่งรวบรวมเรื่องราวของช่อง ESPN ไว้อย่างครอบคลุม วางจำหน่ายเมื่อปี 2011 (Photo Credit: mmajunkie.com)[/caption]

เมื่อ ESPN มาถึงจุดที่ต้องเลย์ออฟพนักงานจำนวนมากเช่นนี้ ต้นเหตุสำคัญที่ถูกกล่าวถึงย่อมหนีไม่พ้นการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุครับชมสื่อกีฬาผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้ชมที่ต้องการเลือกรายการแบบเฉพาะบุคคลมากขึ้น เมื่อพวกเขาสามารถเลือกรายการที่จะรับชมด้วยตนเองได้ ต่างจากช่องโทรทัศน์สมัครสมาชิกที่มีรายการจำนวนมากซึ่งอาจมีรายการที่ไม่ได้ตรงกับความชื่นชอบ ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนช่องทาง

ซ้ำร้าย การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของพฤติกรรมผู้บริโภคนั้นเกิดขึ้นทันทีหลังจากงานประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬามูลค่าสูงเพิ่งจบลงไป ซึ่ง ESPN เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการประมูลได้รับสิทธิถ่ายทอดสด NBA คู่กับช่องกีฬา TNT โดยมูลค่าการประมูลครั้งนี้รวมกันของทั้งสองช่องสูงถึง 2,660 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ในช่วงฤดูกาลปี 2024-25

แม้ ESPN จะถือเป็นธุรกิจเกี่ยวกับกีฬาที่มีมูลค่าแบรนด์สูงเป็นอันดับ 2 (รองจาก Nike) จากการจัดอันดับของ Forbes ในปี 2016 แต่เมื่อ ESPN คว้าสัญญาระยะยาวมูลค่าสูงดังกล่าว รวมกับการสูญเสียรายได้อย่างกะทันหัน ESPN จึงต้องขยับตัวเปลี่ยนกลยุทธ์และมองหาหนทางประหยัดต้นทุน

และการประกาศเลย์ออฟพนักงานครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะบริษัทดิจิทัลอย่าง Twitter และ Amazon ได้รับลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดรายการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล NFL ไปเรียบร้อยแล้ว รวมถึงกิจกรรมอีเวนท์ต่างๆ มีการถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่องทางที่ผู้บริโภคใช้รับชมการถ่ายทอดสดกีฬาจึงเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และ ESPN ที่เป็นเหมือนผู้เฝ้าประตูสูงวัยจึงต้องปรับตัวอย่างฉับพลันเท่านั้นจึงจะรับมือได้ทันการณ์

&nbsp;
เรียบเรียงจาก ESPN’s Layoffs Reportedly Will Begin This Week And Could Be Larger Than Expected โดย Simon Ogus และขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก USA Today

เคเบิลทีวี ESPN ระส่ำ! ปลดพนักงานรวด 100 คน ประหยัดต้นทุนสู้โลกดิจิทัล

<h2>บริษัทผู้พัฒนากล้องประเภท action camera อย่าง GoPro อาจมีความหวังที่สดใสเมื่อปี 2017 มาถึง แต่ทว่าสถานการณ์ยังคงดำดิ่งอย่างต่อเนื่องจากปี 2016</h2>
เมื่อวันพุธที่ 15 มีนาคม 2017 GoPro ประกาศว่าบริษัทเตรียมยื่นซองขาวให้พนักงาน 270 ตำแหน่ง ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากที่บริษัทประกาศไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อนว่าจะมีการจ้างออกทั้งหมด 200 ตำแหน่ง อดีตพนักงาน GoPro รายหนึ่งกล่าวว่า พนักงานส่วนหนึ่งในแผนกสัญญาณดาวเทียม (satellite) ได้รับแจ้งการสิ้นสุดการทำงานแล้วเมื่อวันอังคารสัปดาห์ก่อน ขณะที่พนักงานบางส่วนในสำนักงานใหญ่ที่ San Mateo มลรัฐ California ได้รับแจ้งในวันพุธที่ผ่านมา

การปลดพนักงานรอบล่าสุดสะเทือนไปถึงทุกแผนก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ การตลาด และทีมเซลส์ แหล่งข่าวหลายรายกล่าวตรงกันว่าทีมพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับตัดต่อวิดีโอบนเดสก์ทอปซึ่งมีสำนักงานใน Carlsbad รัฐ California ถูกปลดไปตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ขณะที่ทีมสื่อของ GoPro ซึ่งมีทั้งหมด 30 คนจะถูกปลดออกครึ่งหนึ่ง

ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2016 ที่ GoPro แถลงข่าวการเลย์ออฟพนักงาน Fabrice Barbier รองประธานอาวุโสฝ่าย consumer devices ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการพัฒนาสินค้ากล้องถ่ายรูปและโดรนรุ่น Karma ที่มีปัญหาถูกเรียกคืนสินค้า เป็นบุคลากรรายแรกๆ ที่ถูกปลดออก และบริษัทแถลงในครั้งนั้นว่าผู้บริหารระดับรองประธานประมาณ 1 ใน 3 จะถูกเลย์ออฟ

ซึ่งขณะนี้ผู้บริหารหลายรายถูกลบออกจากหน้าเว็บไซต์ขององค์กรเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาด รองประธานอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ รองประธานฝ่ายพัฒนาองค์กร และรองประธานฝ่ายบันเทิง

[caption id="" align="alignnone" width="680"]<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/01229813fe2021b294055442ced05e8a.png" alt="" width="680" height="449" /> โดรนรุ่น Karma ของ GoPro (ขอบคุณภาพจาก fortune.com)[/caption]

&nbsp;
<h2>จับกระแสเลย์ออฟเพิ่มอีกระลอก</h2>
การตัดลดค่าใช้จ่ายหมายถึงบางแผนกของบริษัทจะต้องถูกปิดตัวลง มีความเป็นไปได้ว่าทีมพัฒนาแอพพลิเคชั่นตัดต่อวิดีโอบนสมาร์ตโฟนชื่อ Replay และ Splice ซึ่ง GoPro ได้มาจากการควบรวมกิจการมูลค่า 105 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีสำนักงานอยู่ในเมือง Austin รัฐ Texus กับ Paris ประเทศฝรั่งเศส จะถูกเลย์ออฟ

“การตัดค่าใช้จ่ายเป็นแผนปฏิบัติงานสำหรับทุกสาขาทั่วโลก บางตำแหน่งในตลาดยุโรปอยู่ระหว่างหารือการเลย์ออฟและจะเปิดเผยในภายหลัง” Jeff Brown โฆษกของ GoPro กล่าว อย่างไรก็ตาม Brown ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดว่าทีมงานชุดใดที่จะได้รับผลกระทบจากการปลดพนักงานรอบต่อไป

แหล่งข่าวอีกรายหนึ่งกล่าวว่า ถึงแม้ GoPro ได้ทำการปลดพนักงานแผนกพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (Virtual Reality) และแผนกเทคโนโลยีเผยแพร่ภาพสดสำหรับมืออาชีพ (professional broadcasters) ไปแล้วบางส่วน แต่คาดว่าต่อจากนี้จะมีการปลดอย่างต่อเนื่องเพื่อ “ปิดแผนก” ลงทั้งหมด

&nbsp;
<h2>เหตุป่วนหนัก: เรียกคืนสินค้า-ขยายธุรกิจเกินตัว</h2>
ครั้งหนึ่ง GoPro เป็นสตาร์ทอัพมาแรงในฐานะบริษัทผู้นำในการผลิตกล้อง action camera สู่ตลาด ส่งให้ Nick Woodman ซีอีโอ GoPro ติดโผการจัดอันดับ The Forbes 400 อภิมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในสหรัฐฯ 400 คนแรกเมื่อปี 2013

แต่หลังการเปิดขายหุ้น IPO เมื่อเดือนมิถุนายน 2014 GoPro กลับดำดิ่งในสถานการณ์ที่ยากลำบาก จากการเรียกคืนสินค้าที่มีปัญหาคือ โดรนรุ่น Karma ที่ชิ้นส่วนหลุดออกระหว่างใช้งานบนอากาศ และบริษัทยังไม่สามารถพัฒนาสินค้าใหม่หรือธุรกิจใหม่ที่เป็นที่นิยมได้อีก ซ้ำร้ายเมื่อไตรมาส 4 ปีก่อน บริษัทยังสูญเสียรายได้ไปกว่า 116 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากการผลิตกล้องรุ่น Hero5 ล่าช้า ทำให้หุ้นของบริษัทตกฮวบ 40% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และ Woodman หลุดโผ The Forbes 400 ไปในปี 2016

[caption id="" align="alignnone" width="680"]<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d16b225392c94fdef74d2e54862157e9.png" alt="" width="680" height="581" /> Nick Woodman ซีอีโอ GoPro[/caption]

หลังการประกาศปลดพนักงานในเดือนพฤศจิกายนปีก่อน ซีอีโอ Nick Woodman แสดงความเสียใจต่อหน้าสาธารณะและยอมรับความผิดพลาดที่บริษัทพยายามรุกคืบเข้าไปในธุรกิจบันเทิง (entertainment) และเน้นย้ำว่าจุดมุ่งหมายใหม่ของบริษัทจะกลับมาเป็นธุรกิจหลักนั่นคือการพัฒนา action camera

“เรารู้สึกผิดพลาดที่พยายามจะก้าวไปไกลกว่าที่ควร บริษัทได้ตัดสินใจแล้วว่าจะหันกลับมามุ่งความสนใจกับการเป็นองค์กรที่ทำธุรกิจไม่มากประเภทแต่ทำได้อย่างยอดเยี่ยม มากกว่าจะพัฒนาสินค้าหลายอย่างโดยมีข้อจำกัด” Woodman กล่าวบนเวที Consumer Electronics Show เมื่อเดือนมกราคมปีนี้

&nbsp;
เรียบเรียงจาก Troubled GoPro Deepens Layoffs, Eliminating Positions In Media And Virtual Reality Divisions โดย Ryan Mac

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events