<h2>ผู้บริหารของ Pinterest ที่สาธารณชนรู้จัก ได้แก่ Ben Silbermann และ Evan Sharp แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าในยุคก่อตั้งนั้นยังมีผู้บริหารอีกคนหนึ่งที่ร่วมฝ่าฟันด้วยกันมานั่นคือ Paul Sciarra เขายังคงถือหุ้น 8% ในบริษัท และเมื่อ Pinterest เข้าเทรดในตลาดหุ้นเมื่อวานนี้ Sciarra จึงทำเงินได้มากกว่า 806 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตั้งแต่เปิดขาย ขณะที่ตัว Sciarra เองหันไปบริหารสตาร์ทอัพแห่งใหม่ซึ่งทำธุรกิจแท็กซี่อากาศยานพลังงานไฟฟ้า</h2>
<strong>Pinterest</strong> แพลตฟอร์มที่เป็นเหมือนกระดานปักหมุดไอเดียสร้างสรรค์ ก่อตั้งในปี 2010 และในที่สุดก็ได้เปิดระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ New York เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2019 บริษัทเปิดไอพีโอในราคาต่ำกว่าคาดที่ 19 เหรียญต่อหุ้น และเข้าตลาดในขณะที่บริษัทยังไม่ทำกำไร

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้ใช้งาน 250 ล้านคนต่อเดือน รวมถึงรายได้จากโฆษณามูลค่า 755 ล้านเหรียญเมื่อปี 2018 ซึ่งเติบโตขึ้นถึง 60% จากปีก่อนหน้า น่าจะเป็นแรงดึงดูดต่อนักลงทุน ทำให้ราคาหุ้น PINS หลังปิดตลาดวันแรกเพิ่มขึ้น 28% เป็น 24.40 เหรียญต่อหุ้น

สำหรับผู้ก่อตั้ง Pinterest ทั้งสามคนยังคงถือหุ้นในบริษัท <strong>Ben Silbermann</strong> ซีอีโอคนปัจจุบัน ถือหุ้น 11.6% (รวมที่ถือโดยครอบครัวของเขาด้วย) คิดเป็นมูลค่า 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ <strong>Evan Sharp</strong> ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ ถือหุ้น 2.6% คิดเป็นมูลค่า 160 ล้านเหรียญ และผู้ร่วมก่อตั้งอีกรายคือ <strong>Paul Sciarra</strong> แม้ไม่ได้นั่งตำแหน่งใดๆ แล้วแต่เขายังคงมีหุ้นอยู่ถึง 8% สร้างความมั่งคั่งให้เขา 806 ล้านเหรียญ (*ทั้งหมดคำนวณจากมูลค่าหุ้น PINS ณ ราคาเปิดขาย 19 เหรียญต่อหุ้น)

&nbsp;
<h2>ความสำเร็จจากแอพฯ ที่ล้มเหลว</h2>
Sciarra เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับ Silbermann ที่ Yale University เมื่อ Silbermann เลือกจะทำตามความฝันที่จะสร้างผลิตภัณฑ์บางอย่างขึ้นมาเองและตัดสินใจลาออกจากงานที่ <strong>Google</strong> เขาชักชวน Sciarra ให้มาร่วมเส้นทางสตาร์ทอัพด้วยกัน แรกเริ่มพวกเขาก่อตั้งบริษัท<strong> Cold Brew Labs</strong> เมื่อปี 2008 เพื่อพัฒนาแอพพลิเคชั่น <strong>Tote</strong> ซึ่งเป็นแอพฯ ช้อปปิ้งสินค้าบนแพลตฟอร์ม iOS

แต่แทนที่ผู้ใช้จะซื้อสินค้าผ่าน Tote พวกเขากลับใช้แอพฯ นี้ในการเก็บบันทึกไอเดียผลิตภัณฑ์ที่ตนสนใจ เหมือนกับการพับมุมหน้าแคตตาล็อกสินค้าเอาไว้ แอพฯ แรกที่กลุ่ม Cold Brew Labs พัฒนาไม่ประสบความสำเร็จแต่ก็นำไปสู่การสร้าง Pinterest และการชักชวนผู้ร่วมก่อตั้งคนที่สามคือ Sharp เข้ามาร่วมงาน

<figure><img class="size-full wp-image-6825" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/1014_ben-bilbermann-evan-sharp_1200x675-e1555666753212.jpg" alt="" width="800" height="450" /><figcaption> Ben Silbermann และ Evan Sharp ผู้ร่วมก่อตั้ง Pinterest (PHOTO CREDIT: Jamel Toppin / Forbes.com)</figcaption></figure>

พวกเขาเล็งเห็นกระแสโซเชียลมีเดียที่ถือกำเนิดในยุคนั้นอย่าง Facebook หรือ Twitter ว่าเป็นกลุ่มชุมชนที่สนทนาผ่านข้อความเป็นหลักและเน้นเชื่อมสัมพันธ์กับกลุ่มเพื่อน <span style="color: #ff0000;">ดังนั้น Pinterest จึงแตกต่างด้วยการเน้นการสื่อสารผ่านรูปภาพ และเป็นการสร้างชุมชนของคนที่สนใจในสิ่งเดียวกันหรือมีกิจกรรมแบบเดียวกันแม้จะไม่ได้รู้จักกันในชีวิตจริง</span>

ยุคก่อตั้งของ Pinterest ค่อนข้างลำบาก เทียบกับสตาร์ทอัพในยุคนั้นที่เติบโตแบบก้าวกระโดดและสร้างเครือข่ายมากมาย แอพฯ ของทั้งสามคนเติบโตอย่างช้าๆ บุคลากรที่ร่วมงานต้องนำคอมพิวเตอร์มาเองและไม่ได้รับสวัสดิการอะไรมาก แม้แต่การระดมทุนก็เป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น

<strong>“เราถูกปฏิเสธจากเวนเจอร์แคปิตอลเกือบทุกแห่งในรอบระดมทุนรอบแรกๆ”</strong> Sciarra เปิดเผย แต่พวกเขาก็เติบโตมาได้จนถึงก่อนเปิดไอพีโอ Pinterest มีการระดมทุนสะสม 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

&nbsp;
<h2>จากสตาร์ทอัพมาเป็นนักลงทุน</h2>
Sciarra ไม่ได้อยู่กับบริษัทจนถึงยุครุ่งโรจน์ เขาเป็นประธานกรรมการและซีอีโอบริษัทตั้งแต่แรกก่อตั้งในปี 2010 ก่อนจะส่งไม้ต่อให้ Silbermann ในเดือนเมษายน 2012 “Ben คือผู้พัฒนาให้บริษัทไปสู่เฟสต่อไปได้ และเขาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม” Sciarra กล่าวในปี 2014 หลังจากที่เขาลาออกจากบริษัทแล้ว

หลังจากลาออก Sciarra หันเหไปเป็นผู้ประกอบการเวนเจอร์แคปิตอล <strong>Andreessen Horowitz</strong> ซึ่งเป็นบริษัทที่เข้ามาลงทุนกับ Pinterest ด้วยเม็ดเงิน 27 ล้านเหรียญเมื่อปี 2011 จากการร่วมงานกับ Andreessen Horowitz นี่เองที่ทำให้ Sciarra ได้พบกับสตาร์ทอัพ <strong>Joby Aviation</strong> บริษัทผู้ผลิตแท็กซี่อากาศยานพลังงานไฟฟ้าซึ่งมุ่งเป้าตอบโจทย์การแก้ปัญหาการจราจรติดขัด

Sciarra และ <strong>Ron Conway</strong> อีกหนึ่งนักลงทุนในรอบระดมทุนแรกๆ ของ Pinterest เข้ามาเป็น angel investor ใน Joby Aviation ตัว Sciarra เองลงทุนตั้งแต่รอบ seed stage เมื่อปี 2016 จนถึงปัจจุบัน Joby ระดมทุนมาถึงรอบ Series B แล้ว และระดมทุนได้รวม 130 ล้านเหรียญ จากสารพัดกองทุน เช่น Capricorn Investment Group, 8VC, JetBlue Technology Ventures, Toyota AI Ventures, Intel Capital

<figure><img class="wp-image-6826 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/X-57-e1555667324976.jpg" alt="" width="800" height="540" /><figcaption> เครื่องบิน X-57 Maxwell ที่ Joby ร่วมพัฒนากับ NASA (PHOTO CREDIT: NASA)</figcaption></figure>

อดีตซีอีโอผู้ผันตัวเป็นนักลงทุนอย่าง Sciarra กำลังมุ่งมั่นกับ Joby เป็นอย่างมากในฐานะประธานกรรมการของบริษัท เขากล่าวถึง Joby ในบล็อกส่วนตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ว่า <strong>ภารกิจของบริษัทคือการประหยัดเวลา 1 ชั่วโมงต่อวันให้กับผู้คน </strong>จากการหลีกเลี่ยงรถติดด้วย “การคลิกเพียงครั้งเดียว” โดยพาหนะของบริษัทจะทำให้ผู้คนเดินทางได้เร็วขึ้น 5 เท่าเทียบกับการขับรถและไม่มีการปล่อยมลพิษออกสู่บรรยากาศ

แม้เขาจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ Sciarra เป็น “ตัวจริง” คนหนึ่งในวงการสตาร์ทอัพแห่งสหรัฐฯ เขาให้คำแนะนำกับเหล่าผู้ก่อตั้งและผู้ประกอบการที่กำลังไล่ล่าฝันว่าอะไรที่จะเป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จ

<span style="color: #ff0000;">“ในขั้นแรกๆ ของการก่อตั้งบริษัทหรือผลิตภัณฑ์ ไม่มีใครรู้จริงๆ หรอกว่าอะไรที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นอย่ารับฟังคำว่า ‘ไม่’ อย่างจริงจังเกินไป แม้แต่คำว่า ‘ไม่’ จากคนที่ฉลาดมากๆ หรือมีชื่อเสียงก็ตาม”</span>

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li>บทสัมภาษณ์ทางอีเมลจาก<a href="https://www.forbes.com/sites/kathleenchaykowski/2019/04/17/meet-pinterests-little-known-third-cofounder-who-has-a-675-million-stake/?utm_source=newsletter&amp;utm_medium=email&amp;utm_campaign=daily-dozen#fb9e5ee8da2f"> Forbes.com</a></li>
 	<li><a href="https://www.washingtonpost.com/business/2019/04/18/pinterest-going-public-share-latest-wave-unicorn-ipos/?noredirect=on&amp;utm_term=.6e5cc9175a2f">Pinterest and Zoom surge in early trading after IPO</a></li>
 	<li><a href="http://startitup.in.th/introducing-pinterest-startup-from-a-guy-who-just-would-not-quit-on-his-dream/">ชายผู้ไม่ยอมแพ้ Bill Silbermann ผู้ให้กำเนิด Pinterest</a></li>
</ul>
&nbsp;

Paul Sciarra ผู้ร่วมก่อตั้งของ Pinterest ที่แทบไม่มีใครรู้จัก

<em>เรื่อง: Brian Solomon เรียบเรียง; พิษณุ พรหมจรรยา</em>
<h2>ย้อนไปเมื่อปี 2004 <strong>Jack Welde</strong> สัญญากับตัวเองไว้ว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโครงการที่ต้องวุ่นวายกับเรื่องการแปลอีกแล้ว ในตอนนั้นเขาเป็น COO ของ <strong>Run Time Technologies</strong> บริษัทซึ่งเพิ่งเสร็จภารกิจจากการดำเนินโครงการของลูกค้าที่ใช้เวลานานเป็นปีในการแปล platform จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาญี่ปุ่น “ตอนแรกเราบอกกับลูกค้าว่าทำได้ไม่มีปัญหา” <strong>Welde</strong> เล่าย้อนไปถึงตอนที่รับงาน “แต่ปรากฏว่าเอาเข้าจริง งานนี้ทำเอาบริษัทเกือบจะไปไม่รอดเลยทีเดียว”</h2>
หลายปีต่อมาเขาไม่เพียงแต่กลับเข้ามาในธุรกิจการแปลเท่านั้น แต่ <strong>Welde</strong> ยังบอกอีกว่าเขาได้สร้าง platform การแปลที่เร็วที่สุดที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศได้ Smartling เป็นบริษัท cloud software ที่ <strong>Welde</strong> ร่วมก่อตั้งและทำหน้าที่บริหาร ได้มีส่วนช่วย <strong>GoPro</strong> ในการเปิดร้านค้าออนไลน์ในหกภาษา ซึ่งเว็บภาษาต่างประเทศเหล่านั้นใช้งานได้จริงภายในเวลาเพียงสามสัปดาห์เท่านั้น

เคล็ดสำคัญอยู่ที่การทำให้กระบวนการที่ซับซ้อนของการแปลเว็บไซต์ และแอพต่างๆ และการสื่อสารผ่านสื่ออื่นๆ อีกนับร้อย ในรูปแบบที่ง่ายขึ้น ธุรกิจการแปลภาษามีมูลค่าสูงถึงปีละ 3.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่ธุรกิจทั้งขนาดเล็กและใหญ่ต่างก็เร่งขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง <strong>Smartling</strong> คือ <strong>Andrey Akselrod</strong> ซึ่งมีตำแหน่งเป็น CTO และเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานของ <strong>Welde</strong> ที่ <strong>Run Time โดย Smartling</strong> เป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ที่ขยับตัวเพื่อจับตลาดในธุรกิจนี้ และปัจจุบันมีลูกค้าถึงกว่า 300 รายแล้ว

หนึ่งในลูกค้าของบริษัทคือ <strong>Pinterest</strong> ซึ่งต้องการที่จะนำเสนอบริการในอีกกว่า 30 ภาษา ถ้าเป็นในอดีต <strong>Pinterest</strong> อาจจะต้องใช้บริการของบริษัทเอเจนซี่ด้านการแปลเจ้าใหญ่สักรายหนึ่ง (ซึ่งคิดค่าบริการแพงมาก) แต่ <strong>Smartling</strong> ได้จัดการปัญหานี้ด้วยการตั้งศูนย์กลางการแปลเพื่อขจัดการสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพซึ่งอิงอยู่กับเอกสารออกไป ระบบจะดึงเนื้อหาต่างๆ ของ <strong>Pinterest</strong> และส่งตรงให้กับผู้แปลที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้วทั่วโลก (Smartling มีพนักงานประจำประมาณ 160 คน และมีการทำสัญญากับนักแปลนับพันคนทั่วโลก) ซึ่งทำให้ผู้แปลได้รับต้นฉบับที่มีบริบทครบถ้วนตามความเหมาะสม และมีระบบการแก้ไขงานที่แทบจะเหมือนการแก้ไขคำแบบสดๆ ออนไลน์เลยทีเดียว

แต่กว่าที่ <strong>Welde</strong> วัย 45 ปีจะมาถึงตรงจุดนี้ได้ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยเหมือนกัน ย้อนไประหว่างเรียนที่มหาวิทยาลัย เขาได้ศึกษาเพิ่มเติมไปกับการศึกษาด้านการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และภาษาศาสตร์ หลังจากที่สำเร็จการศึกษา <strong>Welde</strong> กับเพื่อนร่วมชั้นอีกสองคนได้คิดค้นระบบการบริหารจัดการข้อมูลส่วนตัวซึ่งรวมเอาปฏิทิน contacts และบันทึกต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งพวกเขาขายระบบที่คิดขึ้นมานี้ให้กับ <strong>Apple</strong> ไปในปี 1993 ในราคา 2 ล้านเหรียญ

ในระหว่างที่ <strong>Welde</strong> เข้าประจำการในกองทัพอากาศเป็นเวลา 9 ปี เขาก็กลับมาที่สหรัฐในปี 2001 ซึ่ง <strong>Welde</strong> ใช้เวลาแค่ไม่ถึง 6 เดือนที่ <strong>Run Time</strong> ก็ไต่เต้าขึ้นไปถึงตำแหน่ง chief operating officer ซึ่งเขาต้องเผชิญกับความยุ่งยากของการแปลทางธุรกิจ

แต่หลังจากที่เปลี่ยนงานไปทำที่บริษัทด้านเทคโนโลยีอีกหลายแห่ง <strong>Welde</strong> ก็ติดต่อไปหา <strong>Akselrod</strong> ในปี 2009 เพื่อนัดกินกาแฟพร้อมกับเสนอแนวคิดในการก่อตั้งกิจการใหม่สามอย่าง ซึ่ง <strong>Akselrod</strong> ปฏิเสธสองแนวคิดแรกไป แต่เขารู้สึกตื่นเต้นกับแนวคิดที่ท้าทายเกี่ยวกับธุรกิจด้านการแปล ดังนั้น เมื่อได้เงินลงทุน 50,000 เหรียญ จาก <strong>Welde</strong> และอีก 100,000 เหรียญ จากพันธมิตรทางธุรกิจที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย พวกเขาเริ่มสร้างต้นแบบ ด้วยการทำงานจากที่บ้านและอาศัยเครือข่ายของ <strong>Akselrod</strong> ที่ยูเครน ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของเขา

บริษัทมีรายได้จากค่าธรรมเนียมที่คำนวณตามจำนวนคำที่มีการแปลเป็นภาษาต่างๆ ที่มีการเก็บข้อมูลอยู่ในระบบ ซึ่งรายได้ของบริษัทขยายตัวสองเท่าทุกปี และคาดว่าปีนี้จะมีรายได้ประมาณ 25 ล้านเหรียญ แต่นั่นก็ยังไม่ได้ทำให้บริษัทมีกำไรได้ในทันที

“ยิ่งเราโตเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งใช้เวลานานยิ่งขึ้นกว่าที่กิจการจะมีกำไร” <strong>Adi Dehejia</strong> ซึ่งเป็น CFO คนใหม่บอก แต่นักลงทุนก็ไม่ได้บ่นหรือกังวลอะไร ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีการระดมทุนรอบใหม่อีก 25 ล้านเหรียญจากกลุ่มนักลงทุนที่นำโดย <strong>Iconiq Capital</strong> ซึ่งประเมินมูลค่าของ <strong>Smartling</strong> เอาไว้ที่ 250 ล้านเหรียญ
<div>

ก้าวต่อไปของบริษัท ก็คือการเปิดสำนักงานใน San Francisco, Boston, London, Dublin รวมถึง developer center อีกสองแห่งในยูเครน และสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่ บรอดเวย์ ต่อจากนั้น บริษัทอาจจะหาทางสร้าง in-house marketplace เพื่อเป็นช่องทางให้ลูกค้าและนักแปลสามารถติดต่อกันได้

นอกจากนี้ <strong>Welde</strong> ก็กำลังมองหาลู่ทางที่จะนำเสนอทางเลือกของการให้บริการแบบ self-serve สำหรับบริษัทที่มีขนาดเล็กมากๆ เพื่อให้สามารถเข้าไปจับตลาดล่างได้ เพราะทุกวันนี้ใครๆ ก็อยากขยายธุรกิจออกไปต่างประเทศกันทั้งนั้น

<hr />

<a href="http://goo.gl/APDH22">คลิ๊ก! เพื่ออ่าน <strong>"ใช้ภาษาถิ่นเบิกทางเปิดตลาดต่างแดน"</strong> ได้ที่ <strong>Forbes Thailand</strong> ฉบับ <strong>FEBRUARY 2015</strong></a>

</div>

ใช้ภาษาถิ่นเบิกทางเปิดตลาดต่างแดน

<h2><strong>Facebook มีเรื่องราวการย้อนความหลังเป็นจุดขาย Twitter ถ่ายทอดเหตุการณ์ปัจจุบัน ส่วนPinterest สามารถระบุได้ว่าคุณอาจจะทำหรือซื้ออะไรในอนาคต ด้วยข้อมูลจากการปักหมุดความต้องการและความฝันที่คุณสนใจ เครือข่ายสังคมออนไลน์ทำรูปแบบธุรกิจมูลค่า 5 พันล้านเหรียญไว้ในมือ โดยจะต้องฟันฝ่ายักษ์ใหญ่อย่าง Google</strong></h2>
<div>แม้เพิ่งเปิดบริการมาได้เพียง 5 ปี แต่ Pinterest เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่รู้จักกันดี ที่ผู้ใช้งานสามารถแบ่งปันรูปสูตรอาหาร ทรงผม เครื่องใช้สำหรับเด็ก ไปจนถึงโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ โดยมีสัดส่วนผู้ใช้งานเป็นเพศหญิงถึง 80%</div>
<div></div>
<div>Pinterest ได้รับความนิยมมากกว่า Twitter ซึ่งมีมูลค่าตลาดมากกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญ ประเมินกันว่าคนอเมริกัน</div>
<div>จะใช้บริการ Pinterest ทะลุ 40 ล้านรายในปี 2014  ขึ้นไปทาบ Twitter และ Instagram ในตลาดสหรัฐฯ และในตลาดต่างประเทศก็กำลังไล่กวดอย่างรวดเร็ว โดยได้เปิดสำนักงานใน London Paris Berlin และ Tokyo</div>
<div></div>
<div>จากการสำรวจของบริษัทวิจัยตลาด Semiocast เปิดเผยว่าสัดส่วนผู้ลงทะเบียนใช้งานใหม่เกือบ 50% เกิดนอกสหรัฐฯ และยังมีผู้ใช้งานเพศชายที่ออนไลน์เป็นประจำพุ่งขึ้นเป็น 2 เท่า</div>
<div></div>
<div>ข้อมูลล่าสุด ผู้ใช้ Pinterest ได้สร้างบอร์ดรูปภาพมากกว่า 750 ล้านบอร์ด ซึ่งเกิดจากการปักหมุดมากกว่า 3 หมื่นล้านครั้ง โดยเพิ่มขึ้นใหม่เฉลี่ยวันละ 54 ล้านครั้ง คัวเลขช่วงเทศกาลวันหยุดยาวสิ้นปี 2013 เกิดกิจกรรมส่งข้อมูลถึงกันในสังคมออนไลน์  ผ่าน Pinterest ถึง 1 ใน 4  เป็นรองแค่ Facebook ซึ่งมีฐานผู้ใช้ 1.3 พันล้านราย</div>
<div></div>
<div>หากจุดขายของ Facebook คือเหตุการณ์ในอดีต Twitter คือเรื่องราวในปัจจุบัน ฉะนั้น Pinterest เน้นเรื่องอนาคต</div>
<div></div>
<div>“มันคือเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่คุณปรารถนาและอยากจะทำในอนาคต” Ben Sibermann ซีอีโอของ Pinterest กล่าวไว้  ขณะที่ Joanne Bradford ผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ กล่าวว่า “การปักหมุดแต่ละครั้งล้วนมีความหมาย มันบอกว่า ฉันกำลังมองหาโอกาสที่จะเอาสิ่งนี้เข้ามาอยู่ในชีวิตของฉัน เหมือนเวลาที่คนเราฉีกหน้านิตยสารที่ชอบมาเก็บไว้”</div>
<div></div>
<div>ปัจจุบันแหล่งรายได้เดียวของ Pinterest คือโฆษณา ซึ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ข้อมูลจากการสำรวจระบุว่าผู้ใช้ Pinterest มักจะโพสต์ลิงก์เชื่อมโยงไปยังหน้าสินค้า และซื้อสินค้าราคาสูงมากกว่าผู้ใช้บริการสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ  หาก Pinterest ต้องการขึ้นเป็นผู้นำตลาดด้านนี้ในอนาคต จะต้องโค่นยักษ์ใหญ่อย่าง Google ซึ่งมีธุรกิจแบบเดียวกัน ที่เก็บข้อมูลความต้องการผู้บริโภค และขายให้กับนักการตลาด</div>
<div></div>
<div>Silbermann เคยทำงานในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ในฝ่ายโฆษณาของ Google ย่อมรู้ดีว่าเขาต้องเผชิญกับอะไร เขาบอกว่า Google เป็นเหมือน “อัลบั้มรวบรวมรายการ” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัยแล้ว มันจะมีประโยชน์เมื่อผู้ใช้รู้ว่ากำลังมองหาอะไร</div>
<div></div>
<div>ขณะที่ Evan Sharp ผู้ร่วมก่อตั้ง สรุปสั้นว่า “Pinterest เปิดโลกใหม่ให้ผู้ใช้เห็นถึงสิ่งที่พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่ามีอยู่”</div>
<div></div>
<div>

<hr />

“นวตา สันติวัฒนา” เรียบเรียงจาก <a href="http://www.forbes.com/sites/jeffbercovici/2014/10/15/inside-pinterest-the-coming-ad-colossus-that-could-dwarf-twitter-and-facebook/">Inside Pinterest: The Coming Ad Colossus That Could Dwarf Twitter And Facebook</a> โดย Jeff Bercovici

</div>
<div>อ่าน <strong>“ผู้ท้าชิงรายใหม่แห่งสังคมสื่อออนไลน์” </strong>ฉบับเต็มใน<em> Forbes Thailand </em>ฉบับ DECEMBER 2014</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events