สมปราชญ์ โบสุวรรณ ทุบสถิติขายออนไลน์ยนตรกรรมหรู “BMW”

[video width="960" height="540" mp4="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/BMW7-FinalTint01.mp4"][/video]

บรรยากาศอันอบอุ่นที่ได้รับเกียรติโดยแขกกิตติมศักดิ์จากทุกวงการที่มาร่วมดื่มด่ำกับประสบการณ์เหนือระดับพร้อมสัมผัสผลงานชิ้นเอกระดับ The Masterpiece จาก BMW ทำให้ค่ำคืนนี้ถือเป็นคืนที่แสนพิเศษกับคนพิเศษและคันพิเศษอย่างแท้จริง ใครอยากสัมผัสความหรูหราของ The New BMW 7 series ด้วยตนเอง สามารถติดต่อผู้จำหน่ายฯ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ 
หรือหารายละเอียดเพิ่มเติม คลิก : <a href="http://bit.ly/2tD159v" target="_blank" rel="noopener noreferrer" data-auth="NotApplicable">http://bit.ly/2tD159v</a>

<img class="alignnone size-full wp-image-26197" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/3-1.jpg" alt="" width="720" height="480" />

<img class="alignnone size-full wp-image-26198" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/1-2.jpg" alt="" width="720" height="480" />

<img class="alignnone size-full wp-image-26199" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/5-1.jpg" alt="" width="720" height="480" />

<img class="alignnone size-full wp-image-26200" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/6-1.jpg" alt="" width="720" height="480" />

<img class="alignnone size-full wp-image-26201" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/2-1.jpg" alt="" width="720" height="480" />

<img class="alignnone size-full wp-image-26202" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/4-1.jpg" alt="" width="720" height="480" />

<img class="alignnone size-full wp-image-26203" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/7-1.jpg" alt="" width="720" height="480" />

เมื่อที่สุดของงานดีไซน์มาบรรจบกับที่สุดแห่งเทคโนโลยี ค่ำคืน Dinner สุดพิเศษนี้จึงเกิดขึ้น กับ The New BMW 7 Series

<h2>ค่ายรถยนต์หรูจากเยอรมนี BMW รุกหนักลงทุนในเเดนมังกร เพิ่มกำลังผลิตในจีนมากขึ้นอีกหลายพันล้าน ประกาศจะเพิ่มเงินลงทุนกว่า 3.6 พันล้านยูโร (ราว 4.16 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) เพื่อเพิ่มสัดส่วนเข้าถือหุ้นใน Brilliance Automotive บริษัทที่เป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกันในจีน จากเดิมที่เคยถือครองอยู่ 50% เป็น 75%</h2>
ความเคลื่อนไหวของ BMW ครั้งนี้ เกิดขึ้นระหว่างที่รัฐบาลจีนกำลังจะมีมาตรการผ่อนคลายกับบริษัทรถยนต์ต่างชาติรายใหญ่

โดยปัจจุบันบริษัทต่างชาติที่ต้องการมาผลิตรถยนต์ในประเทศ จำเป็นต้องทำการร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น เเต่ไม่อนุญาตให้เข้าถือหุ้นบริษัทมากกว่า 50% ซึ่งกฎหมายดังกล่าวบังคับใช้มาตั้งเเต่ปี 1994 เป็นข้อจำกัดที่สร้างความผิดหวังให้บริษัทต่างชาติชื่อดังมากมายที่ต้องการจะเข้าถึงตลาดผู้ใช้รถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดอย่างจีน

BMW ระบุว่าข้อตกลงกับ Brilliance Automotive ซึ่งอยู่ภายใต้การอนุมัติตามกฎระเบียบของผู้ถือหุ้นนี้ คาดว่าจะปิดดีลได้ในปี 2022 เมื่อกฎร่วมทุน 50:50 สำหรับการผลิตรถยนต์ในประเทศจีนสิ้นสุดลง

“กำลังการผลิตรวมของโรงงานผลิตรถยนต์ BMW Brilliance Automotive (BBA) ในจีนจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึง 650,000 คันในช่วงต้นปี 2020" Harald Krüger ประธานบริษัท BMW กล่าว

Krüger ชี้ว่าการเข้าร่วมทุนกับ BBA บริษัทในเครือของ Brilliance China Automotive Holdings เป็นพื้นฐานความสำเร็จของ BMW ในจีนที่เป็นทั้งตลาดและฐานการผลิตเดียว (Single Market) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เเละความพยายามจะเข้าไปลงทุนเพิ่มขึ้นนี้ จะทำให้บริษัทสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้เต็มที่ 100 %

ขณะที่รัฐบาลจีน เคยประกาศไว้ว่าต้องการซื้อรถยนต์ไฮบริดเเละรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 20 % ของความต้องการในตลาดทั้งหมด ซึ่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา BMW ร่วมมือกับ Great Wall Motor ของจีนให้เป็นผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อ Mini พลังงานไฟฟ้า โดย Great Wall Motor เป็นผู้ผลิตรถยนต์สปอร์ตอเนกประสงค์ (SUV) รายใหญ่ที่สุดของจีนในขณะนี้

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li>https://www.bbc.com/news/business-45819620</li>
 	<li>https://www.wsj.com/articles/bmw-to-take-control-of-china-joint-venture-in-4-1-billion-deal-1539233722</li>
</ul>
ภาพ: AFP

BMW เจาะเเดนมังกร ทุ่ม 4.16 พันล้านเหรียญ ลงทุนบริษัทพาร์ทเนอร์ในจีน เพิ่มสัดส่วนถือหุ้น

<h2>บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย พร้อมสู่ Thailand International Motor Expo 2017 มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 34 ปลายเดือนพฤศจิกายน ยกทัพรถยนต์ อาทิ BMW X3 xDrive20d xLine เจเนอเรชั่นที่สาม และ BMW ปลั๊กอินไฮบริด 2 รุ่นใหม่ ด้านยอดขาย 10 เดือนแรก ส่งมอบบีเอ็มดับเบิลยูและมินิรวม 8,344 คัน</h2>
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยแนวคิดของงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2017 “ยานยนต์ยุคใหม่ ฝันไกลที่กลายเป็นจริง” มร. สเตฟาน ทอยเชอร์ต ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าว “บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d xLine ใหม่ คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของความทุ่มเทนี้”

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/1d06e646944384a4a24d2fef3ad21b59.png" alt="" />

มร. สเตฟาน ทอยเชอร์ต เผยถึงความสำเร็จใน 10 เดือนแรกของปี 2560 ที่ผ่านมา “นอกเหนือจากทัพรถยนต์รุ่นใหม่ที่จะเผยโฉมให้แก่แฟนๆ ชาวไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้แล้ว  บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังประสบความสำเร็จด้วยการสร้างสถิติยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2560 ด้วยยอดการส่งมอบบีเอ็มดับเบิลยูและมินิรวมถึง 8,344 คัน หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตต่อปีที่ 28% ซึ่งนับเป็นสถิติการส่งมอบในช่วง 10 เดือนแรกที่สูงกว่ายอดขายของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยทั้งปี 2559 ที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้น รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในตระกูล iPerformance ยังทุบสถิติด้วยยอดส่งมอบรวม 852 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมากถึง 234% ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ทำยอดได้ทั้งสิ้น 1,494 คัน หรือเพิ่มขึ้น 2% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา”

สรุปยอดระหว่างมกราคม – ตุลาคม 2560
<ul>
 	<li>บีเอ็มดับเบิ้ลยู ยอดรวม 7,593 คัน โตกว่า 32%</li>
 	<li>มินิ ยอดรวม 751 คัน ไม่เพิ่มจากปีก่อน 0%</li>
 	<li>ตระกูล I PERFORMANCE ยอดรวม 852 คัน โตกว่า 234%</li>
 	<li>BMW Motorrad (จักรยานยนต์) ยอดรวม 1,494 คัน โตกว่า 2%</li>
</ul>
มีไฮไลท์สำคัญอะไรใน บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d
<ul>
 	<li>การออกแบบเพื่อการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 ระหว่างเพลาหน้าและหลัง</li>
 	<li>ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 โซน</li>
 	<li>ชุดไฟในห้องโดยสาร 6 สี</li>
 	<li>ม่านบังแดดด้านข้างผู้โดยสารตอนหลังแบบอัตโนมัติ</li>
 	<li>หลังคากระจกแบบพาโนรามา</li>
 	<li>BMW Display Key ส่งสัญญาณเปิด-ปิดจากระยะไกลด้วยสัญญาณ สามารถสถานะและข้อมูล รวมถึงควบคุมฟังก์ชั่นการทำงานอื่นๆ ของรถ</li>
</ul>
<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/ae791701e228c8a8503d9021b6fe2977.png" alt="" />

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/a16d23132a0c907882da5cb482129fd3.png" alt="" />

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/96cc199d0be0928d1cb7c8d2d57d676a.png" alt="" />

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดตัว BMW X3 ประกอบนอก พร้อมเผยยอดขาย 10 เดือนแรกปี 2560 โต 28%

7 สุดยอดพิพิธภัณฑ์แห่ง ‘เยอรมนี’ ผู้นำด้านนวัตกรรมของโลก

<h2>รายงานจาก ศูนย์วิจัยยานยนต์ (CAR) แห่งมหาวิทยาลัย Duisberg-Essen’s เปิดเผยสถิติว่า ตำแหน่งผู้ผลิตรถระดับพรีเมียมยอดขายสูงสุดในโลกเมื่อปี 2016 ตกเป็นของแบรนด์ Mercedes แทนที่แชมป์เก่าอย่าง BMW และคาดว่า Mercedes จะยังครองตำแหน่งต่อไปในปี 2017 และในอนาคต จากผลการดำเนินงานยอดเยี่ยมในประเทศจีน รวมถึงยอดขายที่ดีของรถเอสยูวีในตลาดรวม</h2>
รายงานเปิดเผยข้อมูลว่า Mercedes ขายยานยนต์ระดับพรีเมียมไป 2.084 ล้านคันในปี 2016 ขณะที่ BMW จำหน่ายไป 2.003 ล้านคัน ตามด้วย Audi จำนวน 1.868 ล้านคัน สำหรับปี 2017 ศูนย์วิจัยยานยนต์ฯ CAR ประมาณการว่า Mercedes ของบริษัท Daimler จะยังคงครองแชมป์ด้วยยอดขาย 2.25 ล้านคัน ตามด้วย BMW จำนวน 2.1 ล้านคัน และรถยนต์ Audi ของบริษัท Volkswagen เป็นอันดับสามด้วยยอดขาย 1.9 ล้านคัน

<figure><img style="width: 680px; height: 386px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d8cd0a02c898a4fc05082dc9cfca148e.png" alt="" width="680" height="386" /><figcaption> BMW M5</figcaption></figure>

“ในสนามแข่งขันระดับโลกของรถยนต์พรีเมียม Mercedes จะยังคงครองตำแหน่งแชมป์ไปอีกหลายปี ค่อนข้างนำห่างจากคู่แข่งสำคัญอย่าง BMW และ Audi” ศาสตราจารย์ Ferdinand Dudenhoeffer ผู้อำนวยการ CAR กล่าว

Dudenhoeffer กล่าวต่อว่า ปีนี้จะเป็นครั้งแรกที่ Mercedes สามารถสร้างยอดขายรถยนต์ระดับพรีเมียมเป็นอันดับหนึ่งในประเทศจีน แทนที่ Audi ซึ่งครองแชมป์ในจีนมาอย่างยาวนาน

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/02364e15f86fd45884f8d2a8fc0938a3.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> Audi Q2</figcaption></figure>

“แบรนด์ 3 อันดับแรกของตลาดพรีเมียมต่างสร้างยอดขายได้สูงกว่าตลาดรวมอย่างมีนัยยะสำคัญ มีปัจจัยสำคัญของการเติบโตที่รวดเร็วคือการแตกไลน์โมเดลรถยนต์ประเภทเอสยูวีและรถยนต์ขนาดเล็ก” Dudenhoeffer กล่าว

ทั้งนี้ Mercedes สามารถรั้งอันดับแรกของตลาดโลกได้แม้ว่ายอดขายรถยนต์ขนาดเล็กแบรนด์ Smart จะยังคงชะลอตัวและคิดเป็นสัดส่วนเพียง 5% ในยอดขายรวมของ Mercedes เปรียบเทียบกับแบรนด์รถยนต์ขนาดเล็กของ BMW นั่นคือรถ Mini ที่มีสัดส่วนถึง 15% ในยอดขายรวมของ BMW

ในแง่ของกำไรสุทธิ Mercedes เป็นอันดับหนึ่งเช่นกัน โดยมีกำไรเฉลี่ย 3,291 ยูโร (1.22 แสนบาท) ต่อคัน ตามด้วย BMW มีกำไร 3,250 ยูโร (1.21 แสนบาท) ต่อคัน และ Audi มีกำไร 3,159 ยูโร (1.17 แสนบาท) ต่อคัน ทำให้กำไรสุทธิของแต่ละบริษัทอยู่ที่ 9.1%, 8.9% และ 8.2% ตามลำดับ

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4723d98023a4519d9c66c847d5007d9a.png" alt="" />

สินค้าของ Mercedes ประสบความสำเร็จ และคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าอันดับในตลาดจะเปลี่ยนแปลงไป

“เนื่องจากพอร์ตสินค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อพัฒนาจนออกจำหน่าย ผลคือความเปลี่ยนแปลงด้านอันดับในตลาดยานยนต์พรีเมียมของกลุ่มผู้นำคงไม่เกิดขึ้นภายใน 3 ปี” Dudenhoeffer เปิดเผย

แต่กำไรสุทธิที่สูงของแบรนด์ 3 อันดับแรกในตลาดซึ่งล้วนมาจากประเทศเยอรมนี ได้แก่ Mercedes, BMW และ Audi เป็นไปได้ว่าจะมีแรงกดดันทางธุรกิจ หลังน้ำมันไม่ใช่เชื้อเพลิงราคาประหยัดอีกต่อไป และรถยนต์หรูเหล่านี้จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดของรัฐบาลเกี่ยวกับปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศ โดยเฉพาะในทวีปยุโรป

รวมไปถึงข่าวอื้อฉาวเรื่องมาตรวัดมลพิษของ Volkswagen และหลักฐานอีกหลายชิ้นยังตีตราว่าพลังงานน้ำมันเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพสำหรับประชากรในเมือง เหล่านี้ล้วนเป็นแรงกดดันให้กับ 3 ค่ายรถดังทั้งสิ้น

ดังนั้น อิทธิพลเหนือตลาดของค่ายรถเยอรมันอาจมีความแข็งแกร่งในระยะสั้น แต่ทว่า Tesla และ Jaguar Land Rover จะเป็นคู่แข่งสำคัญใน 10 ปี

<figure><img style="width: 680px; height: 321px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4a26418168d1709eeda2927029777116.png" alt="" width="680" height="321" /><figcaption> Tesla Model 3</figcaption></figure>

การควบคุมในยุโรปบีบบังคับให้ผู้ผลิตรถต้องลดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง น้ำมันดีเซลเคยถูกมองว่าเป็นหนทางระยะสั้นเพื่อไปสู่จุดหมายดังกล่าว แต่ขณะนี้บริษัทเหล่านี้อาจต้องพึ่งพิงพลังงานไฟฟ้าหรือไฮบริดแทน หรือทุ่มงบประมาณให้มากขึ้นเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพเครื่องยนต์พลังงานน้ำมัน หรือต้องทำทั้งสองอย่าง

<figure><img style="width: 680px; height: 473px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1bd7039888a520c115e5ebde8c3032a6.png" alt="" width="680" height="473" /><figcaption> Jaguar E-Pace รถเอสยูวีที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของ Jaguar โดยคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2018</figcaption></figure>

“ปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้ง 3 บริษัท คือความรวดเร็วของโลกในการเปลี่ยนไปสู่ตลาดแห่งยานยนต์ไฟฟ้า จุดสิ้นสุดในการเป็นเจ้าตลาดของรถยนต์เยอรมันคงไม่เกิดขึ้นใน 5 ปี แต่เป็นไปได้ในรอบ 10 ปี ในยุคนั้นเป็นโอกาสทองของ Tesla และ Jaguar Land Rover บริษัทเหล่านี้จะปะทะแข่งขันกับบรรดาค่ายรถเยอรมัน ส่วนแบรนด์อย่าง Lexus, Infiniti, Cadillac ฯลฯ จะไม่มีโอกาสได้ส่วนแบ่งตลาดจำนวนมากในตลาดรถพรีเมียม” Dudenhoeffer กล่าว

&nbsp;

เรียบเรียงจาก Why Mercedes Will Retain Global Luxury Sales Crown In 2017, And Likely For Years To Come โดย Neil Winton

Mercedes ยึดบัลลังก์ยอดขายรถหรูสูงสุดยาว 3 ปี รถยนต์ไฟฟ้า-ไฮบริดรอโค่นแชมป์

เพราะเชื่อว่า ความหรูหราไม่ใช่แค่สิ่งที่มองเห็นได้จากภายนอก แต่รวมไปถึงทุกสิ่งที่อยู่ภายใน ด้วยความตั้งใจนี้ BMW ค่ายรถยนต์หรูจากประเทศเยอรมนี จึงมุ่งมั่นและตั้งใจเต็มที่เพื่อสร้างบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่ให้เป็นยนตรกรรมที่ล้ำสมัยและดีที่สุดในทุกๆ ด้าน ทั้งนวัตกรรมสุดล้ำ ความสะดวกสบายเหนือชั้น รวมถึงรูปลักษณ์อันทันสมัยและปราดเปรียวสมกับเป็น  “ที่สุดแห่งยานพาหนะ” พร้อมปฏิวัติวงการด้วยการสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการพัฒนาโครงสร้างตัวถังรถยนต์ที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรงด้วยการนำเทคโนโลยีคาร์บอนคอร์ ซึ่งมีวิธีการผลิตที่ซับซ้อนมาใช้ในวงการยานยนต์เป็นครั้งแรก

ความพิเศษของเทคโนโลยีคาร์บอนคอร์ คือการนำคาร์บอนไฟเบอร์ อะลูมิเนียมและเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูงมาหลอมรวมเข้าไว้ด้วยกัน ผ่านการผลิตอย่างซับซ้อน จนเกิดเป็นโครงสร้างตัวถังของรถที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรงและปลอดภัยยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 ใหม่ ได้ชื่อว่าเป็นรถซีดานที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในกลุ่มรถยนต์ระดับพรีเมียม นอกจากจุดเด่นเรื่องความเบาแต่แข็งแรงแล้ว เทคโนโลยีคาร์บอนคอร์ ยังช่วยลดการโค้งงอของตัวถังซึ่งทำให้การควบคุมรถทำได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกัน น้ำหนักที่ลดลงยังช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลง เพิ่มความสามารถในการควบคุมรถไปอีกระดับ พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น

<map name="logos"> <area title="StumbleUpon" alt="StumbleUpon" coords="68,56,33" shape="circle" href="http://www.stumbleupon.com/" /> <area title="Youtube" alt="Youtube" coords="220,19,306,54" shape="rect" href="http://www.youtube.com/" /> <area title="Google" alt="Google" coords="367,32,516,84" shape="rect" href="http://www.google.com/" /> <area title="Wikipedia" alt="Wikipedia" coords="556,12,639,115" shape="rect" href="http://www.wikipedia.com/" /> <area title="Skype" alt="Skype" coords="128,62,244,114" shape="rect" href="http://www.skype.com/" /> <area title="Yahoo" alt="Yahoo" coords="301,103,444,136" shape="rect" href="http://www.yahoo.com/" /> <area title="eBay" alt="eBay" coords="25,158,135,207" shape="rect" href="http://www.ebay.com/" /> <area title="Flickr" alt="Flickr" coords="180,147,271,175" shape="rect" href="http://www.flickr.com/" /> <area title="Digg" alt="Digg" coords="299,166,379,208" shape="rect" href="http://www.digg.com/" /> <area title="Wordpress.org" alt="Wordpress.org" coords="500,184,32" shape="circle" href="http://wordpress.org/" /> <area title="Blogger" alt="Blogger" coords="599,142,667,209" shape="rect" href="http://www.blogger.com/" /> <area title="Default" alt="Default" shape="default" nohref="nohref" /> </map>

&nbsp;

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/bbb69574ceb60a441c3b678559594cc2.png" alt="" />

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0add5ffc0061103d4db76913eb880314.png" alt="" />

ในส่วนของห้องโดยสาร ยังคงความหรูหราล้ำสมัย พร้อมมอบประสบการณ์การเดินทางสะดวกสบายเหนือระดับ ทุกองค์ประกอบล้วนเติมเต็มสุนทรียภาพแห่งการขับขี่ตามแบบฉบับของบีเอ็มดับเบิลยู ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำที่จะสร้างความรื่นรมย์ไม่ว่าคุณจะนั่งอยู่ที่เบาะหลังหรือเบาะคนขับ ด้วยฟังก์ชั่นการทำงานที่พัฒนาขึ้นอย่างหลักแหลม อาทิ BMW Gesture Control ระบบการสั่งงานเพียงปลายนิ้วมือ และการติดตั้งแท็บเล็ต BMW Touch Command ซึ่งใช้สำหรับควบคุมฟังก์ชั่นที่สำคัญลงในรถบีเอ็มดับเบิลยูเป็นครั้งแรก

สำหรับระบบ Gesture Control ทำหน้าที่ควบคุมฟังก์ชั่นการทำงานที่ต้องการผ่านการเคลื่อนไหวของมือ โดยระบบจะตรวจจับรูปแบบการเคลื่อนไหวง่ายๆ เช่น การปฏิเสธสายเรียกเข้า ด้วยการปัดมือ การการรับสายด้วยการใช้นิ้วชี้ที่หน้าจอ หรือ การใช้นิ้วชี้หมุนเป็นวงกลมเพื่อปรับระดับเสียงขึ้น-ลงได้ ด้วยการประมวลผลที่ทำได้อย่างรวดเร็ว ระบบนี้จึงเหมือนเป็นผู้ช่วยที่รู้ใจที่ช่วยให้ทุกการขับขี่สะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/b1b4804f09f9a127e3a5cce012c06fe9.png" alt="" />

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1ccc0f074efee30a22af0e7600bda293.png" alt="" />

ส่วนระบบ Touch Command เป็นการทำงานผ่านแท็บเล็ต หน้าจอขนาด 7 นิ้ว ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ติดตั้งอยู่กับที่พักแขนกลางเบาะหลัง แท็บเล็ตนี้จะเชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ของตัวรถช่วยให้ทุกฟังก์ชั่นของรถควบคุมได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ไม่ว่าจะเป็น การปรับเบาะทั้งหน้า-หลัง ควบคุมระบบปรับอากาศ ระบบระบายอากาศเพื่อเพิ่มความอุ่นของเบาะนั่ง การเปิดหรือปิดม่านหลังคากระจก,ม่านบังแดดตลอดจนการเพิ่มหรือลดระบบไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร ที่สามารถปรับความสว่างของไฟให้เข้ากับบรรยากาศได้ รวมถึงควบคุมฟังก์ชั่นความบันเทิงต่างๆภายในรถยนต์ ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นคือ BMW Touch Command นี้สามารถพกพาได้ง่าย และชาร์จไฟกับฐานยึดได้อย่างสะดวก

อีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่บีเอ็มดับเบิลยูมุ่งมั่นเพื่อมอบความสะดวกสบายอย่างแท้จริงในทุกรูปแบบเส้นทาง คือ ระบบ Executive Drive Pro ที่ช่วยควบคุมช่วงล่าง ด้วยการประมวลการควบคุมล่วงหน้าจากข้อมูลสภาพถนนที่ได้จากระบบนำทาง และกล้องหน้ารถ พร้อมระบบรักษาสมดุลแบบต่อเนื่องระหว่างเพลาหน้าและหลังของรถ ช่วยลดการสั่นสะเทือนจากพื้นที่ที่ไม่เรียบ ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถพักผ่อนเพื่อเติมพลังระหว่างการเดินทางได้โดยไร้ซึ่งการรบกวน แม้ต้องเจอพื้นที่เป็นหลุม รอยต่อถนนหรือแม้แต่เนินเล็กๆ ก็ตาม จึงมั่นใจว่าได้ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 ใหม่ จะเติมเต็มสุนทรียภาพแห่งการขับขี่ไปสู่อีกระดับในทุกรูปแบบเส้นทาง

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/6a57508ad0b95e131c28ca373e000db3.png" alt="" />

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0d9e1ea2775b4edae0a2b2a51935984d.png" alt="" />

&nbsp;

THE ALL-NEW BMW 7 SERIES ที่สุดแห่งยานพาหนะคู่ใจในทุกเส้นทาง

<h2 class="p1">เรื่อง: ชญานิจฉ์ ดาศรี /ภาพ: เอกพล ภารุณ</h2>
<h2 class="p2"> บางสินทรัพย์ ไม่ได้สูงค่าเพียงราคาแต่ทรงคุณค่ายิ่งกว่าหากสามารถเสาะหามาครอบครอง และยังนำไปสู่การตีมูลค่าที่สูงขึ้นเมื่อสินทรัพย์เหล่านั้นมีจำนวนน้อยแต่ เป็นที่ชื่นชอบของผู้มีกำลังซื้อ ด้วยเหตุนี้การลงทุนในสินทรัพย์ที่ราคาแพงและพรั่งพร้อมด้วยคุณค่าทางจิตใจ ในรูปแบบที่เรียกว่า Investments of Passion จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ที่กำลังทวีความนิยมยิ่งขึ้น ทั้งในแง่จำนวนผู้สนใจและความหลากหลายในการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ (Asset Class)</h2>
แต่การวางแผนลงทุนให้ได้ดอกผลงอกเงยดังเป้าหมายก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยการสั่งสมความรู้ ประสบการณ์ และศิลปะแห่งการลงทุนอย่างเข้มข้น ดังเช่นนักลงทุนผู้เจนสนามทั้งในบทบาทการทำงานและการบริหารสินทรัพย์ส่วนตัว อย่างผู้บริหารหนุ่มโสดวัย 41 ปี...กฤษณ์ จันทโนทก รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

กฤษณ์ เป็นผู้ที่เทใจให้การลงทุนฝั่ง Investments of Passion อย่างสุดตัว เพราะจัดสรรพอร์ตให้มากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของการลงทุนทั้งหมด ต่างจากนักลงทุนทั่วไปที่เลือกแบ่งใจให้เพียง 10 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ตเท่านั้น สำหรับ Asset Class ที่มีรากฐานมาจากความชื่นชอบส่วนตัวซึ่งสะสมอยู่ในพอร์ตของเขาขณะนี้ ได้แก่ นาฬิกา, ภาพเขียน, รถยนต์คลาสสิก และมอเตอร์ไซค์

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%20march/cover---FL-Alt-invesments-05.png" alt="" />
“เมื่อ ลงทุนทางเลือก ผมไม่เคยแคร์ว่าในบัญชีผมมีเลข 0 กี่ตัว เพราะถ้าตายวันนี้ 0 นั้นผมไม่ได้ใช้ แต่ถ้าหากลงทุนทางเลือกผมได้ใช้ทุกชิ้น สิ่งที่เป็น passion แค่เพียงได้มาก็กำไรแล้ว ผมก็เคยขาดทุนแต่น้อยมาก”

เสน่ห์ ของการลงทุนทางเลือกในมุมมองของเขามี 3 จุดหลัก หนึ่งคือในหลักเกณฑ์ทั่วไปดูไม่ต่างจากการลงทุนตามปกติ ที่ได้ประโยชน์จากการใช้สอยทรัพยากรในลักษณะต่างๆ โดยหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนกลับมามากกว่าที่ลงไปในอัตราที่พอใจภายใต้ความ เสี่ยงที่เหมาะสม ต่อมาคือหากเป็นการลงทุนบนความเข้าใจทั่วไป

ก็จะ ได้มาซึ่งดอกเบี้ยหรือผลกำไรจากการลงทุนนั้น แต่การลงทุนทางเลือก หากบริหารจัดการบนความเข้าใจจะได้ทั้งผลกำไรในเชิงตัวเลขและยังได้ผลกำไรทาง จิตใจด้วย ท้ายสุดคือเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ได้ทั้งความสุขจากการศึกษาสินทรัพย์ใหม่ และในหลายๆ ครั้งยังได้เพื่อนใหม่จากต่างวงการ พร้อมๆ กับเป็นการเก็บออมและลงทุนไปด้วยในตัว หากมีความเชี่ยวชาญในการซื้อ ดูแลรักษา และขายสินทรัพย์นั้น

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%20march/cover---FL-Alt-invesments-02.png" alt="" />
จุดเริ่มต้นก่อนที่จะเข้าสู่เส้นทางสินทรัพย์ทางเลือกของกฤษณ์ คือ การสะสมดวงตราไปรษณียากรและเหรียญมาตั้งแต่ยังเรียนชั้นประถม ซึ่งเป็นความชอบที่เขาได้ซึมซับมาจากบิดาและส่งต่อความชื่นชอบสู่นาฬิกาซึ่ง เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์สุดโปรดว่าเกิดขึ้นในช่วงที่เรียนมัธยมศึกษา ด้วยวัยและกำลังทรัพย์ในตอนนั้นเขาจึงมีนาฬิกา Swatch เป็นแบรนด์ในดวงใจ

การ ซื้อขายที่สร้างผลตอบแทนจากสินทรัพย์ทางใจที่กฤษณ์สะสมไว้เริ่มผลิดอกออกผล งดงามในตอนที่เขาเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ด้วยเป็นยุคที่การซื้อขายออนไลน์ผ่าน eBay เริ่มแพร่หลาย และนักสะสมยังสามารถเสาะหานาฬิกาโบราณที่ได้รับความนิยมมากภายในงบประมาณที่ไม่สูงเกินไปได้

แต่หนึ่งในดีลประวัติศาสาตร์ซึ่งนับว่ากำไรสูงในสายตาของคนทั่วไป แต่กฤษณ์ ยอมรับว่าเกิดขึ้นได้ยาก คือ เมื่อ พ.ศ. 2545 เขาเคยซื้อนาฬิกา Patek Philippe รุ่น 5070 ที่ราคา 1,100,000 บาท แต่ในปัจจุบันราคาอยู่ราวๆ 2,000,000-3,000,000 บาท ส่วนอีกดีลคือเมื่อ พ.ศ.2546 เขาซื้อนาฬิกา Patek Philippe รุ่น 3712 ที่เกาหลีมาราคา 700,000 บาท แต่ขายได้ถึง 1,250,000 บาท เพราะมีข่าวลือว่ารุ่นนี้จะไม่ผลิตต่อทำให้ราคาดีดสูงขึ้น แต่สุดท้ายก็แค่เปลี่ยนเลขรุ่นเท่านั้นส่วนรูปแบบเหมือนเดิม จึงทำให้ราคาลงมาอยู่ระดับเดิม

กฤษณ์ เล่า ถึงหนทางสร้างมูลค่าเพิ่มจากการเปลี่ยนมือของนักสะสมนาฬิกาโบราณอีกว่า เมื่อถึงพ.ศ. 2543 ที่ตลาดเริ่มอิ่มตัวและพ่อค้าชาวต่างชาตินิยมมาเลือกซื้อของในเมืองไทยแทน ทำให้ราคาไม่ดีเท่ายุคแรกๆ อีกทั้งต่อมาตัวเขายิ่งต้องจัดสรรเวลาให้การทำงานมากขึ้น กฤษณ์จึงตัดสินใจวางมือจากการซื้อขายทำกำไร แต่การสะสมนาฬิกาตามความชื่นชอบยังไม่จางลง

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%20march/cover---FL-Alt-invesments-04.png" alt="" />
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ มอเตอร์ไซค์โบราณ เข้ามาติดทำเนียบสินทรัพย์สุดโปรดของกฤษณ์ คันแรกที่กฤษณ์ ลงทุนซื้อมาเก็บไว้คือ มอเตอร์ไซค์ BMW รุ่น R27 (ปัจจุบันขายไปแล้ว) จนกระทั่งมีมอเตอร์ไซค์ BMW โบราณถึง 4 คัน ขายไปแล้ว 3 คัน เก็บแต่คันโปรดคือ BMW “R69s” ปี 1965 ไว้เพียงคันเดียว เขาให้เหตุผลที่เลือกสะสมมอเตอร์ไซค์ BMW ว่านอกจากความชอบแล้ว การดูแลรักษาเพื่อให้คงสภาพที่ดีก็ทำได้ง่ายกว่ารถยี่ห้ออื่นๆ

“ตอน พ.ศ. 2543 หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง ในเมืองไทยมีของ (สินทรัพย์) ดีๆ เช่น ภาพเขียนถูกนำออกมาขายเยอะ แม้ไม่มีเงินมากนักแต่ผมก็ยังพอมีที่เก็บเล็กผสมน้อยจากการขายนาฬิกาไว้อยู่ บ้าง เช่น นาฬิกาที่พี่ๆ สะสมไว้ นอกจากนั้นก็มีมอเตอร์ไซค์ที่ผมไปบุกเบิกเอง”

มอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่แบบสปอร์ตก็เป็นที่ชื่นชอบของกฤษณ์ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะตระกูล Ducati รุ่น Limited Edition ที่ยังผลิตในประเทศอิตาลีนั้นอยู่ในการครอบครองของเขาแทบจะทุกรุ่น จากข้อได้เปรียบที่เริ่มหา Ducati มาประลองความเร็วก่อนจะฮอตฮิตในเมืองไทย ทำให้ถึงปัจจุบันนี้กฤษณ์ขาย Ducati ไปแล้วถึง 20 คัน ตอนนี้เขามีมอเตอร์ไซค์เก็บไว้ 8 คัน เช่น BMW “R69s” ปี 1965, Ducati “999 R” ปี 2006, Ducati “Paul Smart” ปี 2006, Triumph “Bonneville” ปี 2007

“ยก ตัวอย่างเช่น Ducati รุ่น 999R Limited Edition ผมสามารถซื้อได้ที่ราคา 700,000 บาทจากราคา 2,500,000 บาท แต่ตอนนี้ราคาสูงมากเพราะหาไม่ได้แล้วในเมืองไทย”

และด้วยแรง บันดาลใจที่เขาต้องการสะสมงานศิลปะเพื่อใช้ตกแต่งบ้านหลังใหม่ของตัวเอง เขาจึงทยอยซื้อภาพที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมีหลายภาพที่ซื้อจากศิลปินโดยตรง ราคาก็เลยไม่สูงเท่ากับซื้อผ่านแกลเลอรี่ จากที่เคยเก็บงานของศิลปินรุ่นใหญ่ ภายหลังกฤษณ์ เริ่มหันมาจับจองงานศิลปนิพนธ์ (Thesis) ของศิลปินรุ่นใหม่ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยศิลปากร

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%20march/cover---FL-Alt-invesments-03.png" alt="" />
ตลอดช่วงเวลาที่กฤษณ์ พุ่งความสนใจไปที่การรวบรวมงานศิลปะนั้น ภาพเขียนส่วนใหญ่ที่เขาสะสมล้วนแต่เป็นของศิลปินไทยแนวร่วมสมัย ซึ่งเน้นสื่ออารมณ์ความรู้สึกหม่นหมองหรือแนวดาร์ก “ฝรั่ง ส่วนใหญ่ที่เก็บงานศิลป์มักชอบแนวคอนเทมโพรารีมากกว่าแนววิจิตรศิลป์ ดูได้จากงานของนที อุตฤทธิ์ที่แต่ละคอลเล็กชั่นแทบไม่ซ้ำแบบเดิมเลย จึงได้รับความสนใจมาก จนทำให้ผลงานที่จัดประมูลโดยสถาบัน Christie’s ที่ฮ่องกงทำราคาได้สูงมาก”

กฤษณ์ ให้ มุมมองถึงทิศทางความสนใจของผู้ที่รักงานศิลปะ และระบุอีกว่าจนถึงวันนี้ตัวเขาสามารถขายภาพเขียนไปราวๆ 85 ชิ้นแล้ว ด้วยวิธีนำเสนอขายแบบเป็นการส่วนตัวผ่านทาง Line Application และเมื่อผู้ซื้อพอใจราคาว่าถูกกว่าซื้อผ่านแกลเลอรี่ก็มักจะตกลงใจซื้อเลย เขาย้ำว่า “การลงทุนทางเลือกในงานศิลปะนั้นจะเติบโตได้ก็ต้องมีการหมุนเวียนเปลี่ยนมือ”

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%20march/cover---FL-Alt-invesments-06.png" alt="" />
เมื่อเปรียบเทียบความต่างระหว่างการลงทุนทั่วไปกับ Investments of Passion กฤษณ์ สรุป ให้ฟังว่า เริ่มต้นต้องเกิดจากความชอบในตัวสินทรัพย์ก่อน มันเป็นการลงทุนที่ต้องศึกษาอย่างถ่องแท้และหาข้อมูลเอง เพราะไม่มีบทวิเคราะห์ดังเช่น Asset Class อื่นๆ อีกจุดคือเป็นการลงทุนที่ราคาถูกกำหนดจากอุปสงค์และอุปทานอย่างแท้จริง นั่นคือราคาส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความพอใจ ในขณะที่การทำกำไรนั้นต้องเกิดจากการขายและแลกเปลี่ยนด้วยตนเอง เพราะไม่มีตลาดที่กำหนดราคาให้เทรด

<hr />

<a href="http://goo.gl/i44sOM">คลิ๊กเพื่ออ่าน "Investments of Passion" ฉบับเต็มได้ที่ ForbesLife Thailand ฉบับพิเศษเดือน MARCH 2016 ได้ในรูปแบบ E-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/i44sOM"><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%20march/FL_005-1-re.jpg" alt="" width="341" height="408" /></a>

investments of Passion

<h2 class="p1">เรื่อง: MICHAEL SOLOMON เรียบเรียง: นวตา สันติวัฒนา</h2>
<h2 class="p3">James Bond กลับมาปรากฏตัวถึง 2 ครั้งในปีนี้ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมาเขากลับมาเจอ Pussy Galore อีกครั้งในนวนิยายเล่มล่าสุดตอน Trigger Mortis ที่แต่งโดย Anthony Horowitz </h2>
<h2 class="p3">ภายใต้สิทธิ์ในการประพันธ์ต่อจาก Ian Fleming และเมื่อเดือนพฤศจิกายน Daniel Craig หวนคืนจอรับบทยอดสายลับของหน่วยงานลับของราชินีอังกฤษในภาพยนตร์ SPECTRE โดยสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงหลังผ่านไปนานกว่า 60 ปีก็คือ รถยนต์สุดล้ำคู่ใจ 007 ที่ยังคงซิ่งระเบิดเหมือนเดิม</h2>
<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/DECEMBER%202015/1953.jpg" alt="" />


1953
ในภาพยนตร์สายลับภาคแรกตอน Casino Royale พยัคฆ์ร้ายชื่อดังขับรถ “Blower Bentley” ขนาด 4.5 ลิตรรุ่นปี 1930 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ระบบ supercharger ที่พัฒนาขึ้นโดย Amherst Villiers “Bond ควบคุมรถได้อย่างระทึกใจและไม่มีที่ติ และขับด้วยความสนุก” Fleming เขียนบรรยายไว้ในหนังสือ Bentley รุ่นเดียวกันปรากฏโฉมช่วงสั้นๆ ในภาพยนตร์ Bond ภาคสองตอน From Russia with Love (ด้านขวา)

ที่มาพร้อมอุปกรณ์สุดล้ำในยุคนั้น นั่นก็คือโทรศัพท์สำหรับใช้บนรถยนต์ Blower Bentley ปี 1929 ทำสถิติรถยนต์สัญชาติอังกฤษที่ซื้อขายในราคาสูงสุดในงานประมูลปี 2012 ด้วยราคา 7.9 ล้านเหรียญ

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/DECEMBER%202015/1964.jpg" alt="" />
1964
หนึ่งในสุดยอดพาหนะประจำตัวที่โด่งดังที่สุดของ Bond เผยโฉมครั้งแรกใน Goldfinger รถยนต์ Aston Martin DB5 สีเงิน (ด้านบน) พรั่งพร้อมไปด้วยอุปกรณ์สุดล้ำที่คิดค้นและประดิษฐ์ขึ้นจากแผนกของ Q ซึ่งรวมถึงป้ายทะเบียนรถแบบพับเปลี่ยนได้ ปืนกลอัตโนมัติ และที่นั่งซึ่งสามารถดีดตัวออกได้เลื่องชื่อ ในปี 2010 หนึ่งในรถสองคันที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ได้รับการประมูลขายไปในราคา มากกว่า 4 ล้านเหรียญ

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/DECEMBER%202015/1974.jpg" alt="" />
1974
ภาพยนตร์ Bond เริ่มเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงแห่งการเลือกรถยนต์คู่ใจ เมื่อผู้ผลิตหนังเซ็นสัญญามูลค่า 5 ล้านเหรียญกับ American Motors เพื่อให้พยัคฆ์ร้าย 007 ขับรถจากค่ายของตน ทำให้ Roger Moore เป็นสายลับคนแรกที่ไม่ได้ใช้รถ Aston Martin ซึ่งในตอน The Man with the Golden Gunรถสปอร์ตสองประตูรุ่น AMC Hornet พาหนะคู่ใจของ Moore มีอาวุธและอุปกรณ์ไฮเทคติดตั้งน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับหนังสายลับภาคก่อนๆ

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/DECEMBER%202015/1977.jpg" alt="" />
1977
รถยนต์ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของสายลับ 007 คือรถยนต์ใน The Spy Who Loved Me พยัคฆ์ร้ายที่รับบทโดย Roger Moore ขับรถสะเทินน้ำสะเทิ้นบกรุ่น Lotus Esprit S1 สีขาวที่สามารถเปลี่ยนสภาพเป็นเรือดำน้ำได้ ในปี 2013 หนึ่งในรถยนต์คันที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ปรากฏโฉมในงานประมูลที่ London และถูกขายไปในราคา 997,000 เหรียญ ให้กับ Elon Musk ผู้ก่อตั้ง Tesla ซึ่งเขายอมรับว่า “ผิดหวังที่รู้ว่ารถยนต์คันดังกล่าวเปลี่ยนเป็นเรือดำน้ำไม่ได้จริงๆ”

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/DECEMBER%202015/1987.jpg" alt="" />
1987
เมื่อมีภาพยนตร์ Bond ภาคใหม่ย่อมหมายถึงต้องมี Aston Martin รุ่นใหม่ ในภาค The Living Daylights Timothy Dalton ใช้พาหนะรถคู่กายเป็นรถเปิดประทุนรุ่น V8 Volante ที่มีอุปกรณ์ครบมืออย่างจรวดมิสไซล์ ลำแสงเลเซอร์และเทอร์โบเร่งความเร็วรถ รถยนต์คันที่ใช้ในภาพยนตร์เป็นของ Victor Guantlett ประธานบริษัท Aston Martin Lagonda ในช่วงนั้น ซึ่งเขาเกือบได้รับบทตัวร้ายในหนังสายลับภาคนี้

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/DECEMBER%202015/1995.jpg" alt="" />
1995
แม้ว่า Pierce Brosnan จะใช้ Aston Martin DB5 พาสาวบอนด์ไปนั่งรถเล่นในตอน Golden Eye แต่รถที่สุดยอดสายลับเลือกใช้ในสองภาคต่อมาคือ BMW จากการทำสัญญาแฝงโฆษณาสินค้าในภาพยนตร์มูลค่า 25 ล้านเหรียญ และที่โดดเด่นที่สุดคือ BMW รุ่น Z3 พร้อมเบาะที่นั่งดีดตัวได้

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/DECEMBER%202015/2015.jpg" alt="" />
2015
ใน Casino Royale ภาพยนตร์ Bond ตอนแรกของ Daniel Craig เขาได้รถ Aston Martin DB5 สีเงินรุ่นปี 1963 จากการชนะไพ่โป๊กเกอร์ แต่ใน SPECTRE สายลับ 007 ได้ Aston Martin DB10 (ด้านบน) รถหรูรุ่นใหม่ล่าสุดมาคู่กาย ซึ่งออกแบบขึ้นเป็นพิเศษสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม รถรุ่นนี้จะไม่มีการวางจำหน่ายในตลาด โดยรถทั้ง 10 คันจะใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเป็นรถสำหรับ James Bond เท่านั้น

(TOMORROW NEVER DIES จาก EVERETT COLLECTION; FROM RUSSIA WITH LOVE จาก EVERETT COLLECTION; SPECTRE จาก CRISTIANO MINICHIELLO/AGF/SIPA/NEWSCOM; MAN WITH THE GOLDEN GUN จาก NEWSCOM; CASINO ROYALE จาก AF ARCHIVE / ALAMY; GOLDFINGER จาก AF ARCHIVE / ALAMY; THE LIVING DAYLIGHTS จาก AF ARCHIVE / ALAMY; THE SPY WHO LOVED ME จาก AF ARCHIVE / ALAMY; IAN WALTON/GETTY IMAGES (ด้านบน)

<hr />

ติดตาม Forbes Thailand Magazine นิตยสารรายเดือน ได้ทุกแผงนิตยสารชั้นนำ และ E-Magazine

รถหรูคู่กาย James Bond

<h2>BMW AG สร้างความฮือฮาให้โลกยานยนต์อีกครั้ง เมื่อเดินหน้าทำความฝันให้เป็นจริง เปิดตัว BMW i8 รถยนต์ plug-in hybrid คันแรกในโลกของค่ายนี้ ในงาน Frankfurt Motor Show เมื่อปีก่อน แล้วออกวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา</h2>
BMW ได้เชื้อเชิญสื่อมวลชนทั่วโลกไปทดสอบยนตรกรรม "i8" ในเดือนกรกฏาคม ที่ Milan ศูนย์กลางทางการค้า การเงิน อุตสาหกรรม และ แฟชั่นของอิตาลี โดย Forbes Thailand เป็น 1 ใน 3 ของสื่อไทยที่ไปร่วมงาน

รูปทรงการออกแบบตัวรถ BMW i8 ได้รับการยกย่องว่า เป็นรถยนต์ต้นแบบที่ถูกพัฒนาจากพาหนะในภาพยนตร์แห่งอนาคตให้นำมาใช้ได้บนโลกแห่งความจริง รวมถึงความโดดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีเครื่องยนต์ ซึ่งหลอมรวมการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซินและระบบไฟฟ้าแบบ plug-in เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว แถมยังให้มีพละกำลังมากกว่า 300 แรงม้า ทำให้มันกลายเป็นคู่แข่งของซูเปอร์คาร์เจ้าถนนอย่าง Porsche Carrera 4S ไปในทันที

i8 เป็นรถยนต์สปอร์ต 2 ประตู 4 ที่นั่ง มีจุดเด่นที่ใช้เทคโนโลยี plug in hybrid ที่มีความพิเศษมากกว่าระบบ hybrid ปกติ คือสามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟจากไฟบ้าน เพื่อเพิ่มพลังงานให้กับแบตเตอรี่ได้ นอกเหนือจากการชาร์จไฟในขณะรถวิ่ง นั่นหมายความว่าพลังงานไฟฟ้าที่อยู่ในตัวของ BMW i8 นั้น มีพละกำลังมากกว่าระบบ hybrid แบบธรรมดา

หลายคนสงสัยว่าคำว่าตัวอักษร i นั้นหมายความว่าอย่างไร ทำไมไม่เป็นตัว E ที่แทนคำว่า ELECTRIC คำตอบที่ได้รับจากผู้บริหารคนหนึ่งของ BMW AG คือ “ไม่รู้” เดากันไปต่างๆ นาๆ ว่าเจ้าตัว i นี้อาจจะหมายถึง  intelligent,  innovation หรือ inspire

ผมใช้เวลาเดินทางกว่า 15 ชั่วโมง มาถึง Milan ประเทศอิตาลี แม้ว่าเรามีเวลาที่ประเทศอิตาลีเพียง 2 วัน แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก สำหรับการได้สัมผัสกับรถยนต์ที่สุดแสนไฮเทคคันนี้ แต่ก่อนที่จะได้สัมผัสกับ BMW i8 นั้น ผมมีโอกาสได้ขับเจ้า BMWi3 ซึ่งเป็น EV เต็มรูปแบบจากโรงแรมไปยังโชว์รูม BMW ที่ Milan อีกด้วย  ซึ่งบอกได้เลยครับว่ารถไฟฟ้านั้นน่าใช้เหลือเกิน กับการใช้เป็นพาหนะสำหรับการใช้งานในเมือง

และแล้วการลองขับ BMW i8 อย่างเป็นทางการก็เริ่มขึ้น BMW i8 จำนวน 12 คันจอดเรียงรายรอสื่อมวลชนจากทั่วโลกมาทดลอง หลังจากที่ได้ฟังทีมงาน BMW อธิบายถึงจุดเด่นต่างๆ ของ BMW i8 รวมถึงอธิบายวิธีการชาร์จไฟใน i8 ว่าสามารถชาร์จพลังงานไฟฟ้าได้ในหลายรูปแบบ เริ่มตั้งแต่เสียบปลั๊กเข้ากับไฟบ้านก็ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงต่อการใช้งาน 1 ครั้ง หรือจะลงทุนติดตั้ง i-wall หรือสถานนีชาร์จไฟขนาดเล็กไว้ในบ้าน ซึ่งก็ต้องควักเงินเฉพาะค่าอุปกรณ์อีกว่า 800 ยูโร ยังไม่รวมค่าเดินสายไฟ และค่าติดตั้ง รวมๆ แล้วถ้าคิดเป็นเงินไทยก็น่าจะใกล้ๆ แสนบาท แต่เจ้า i-wall ตัวนี้ใช้เวลาการชาร์จไฟเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น

สุดท้ายคือการชาร์จๆไฟแบบอนุรักษ์ธรรมชาติกันเลยกับสร้างโรงจอดรถที่ใช้แผงโซลาร์เซลล์เป็นหลังคา แล้วเก็บพลังงานผ่าน i-wall อีกต่อหนึ่ง ซึ่งโรงจอดรถแบบโซลาร์เซลล์นี้ยังไม่ได้กำหนดว่าใช้งบประมาณ ในการก่อสร้าง

ประตู “ปีกนก”

ประตูรถของ i8 ทุกคันถูกเจ้าหน้าที่ BMW เปิดรอไว้ให้แล้ว เพราะถือเป็นจุดเด่นจุดหนึ่งของ i8 เพราะมันคือประตูแบบ “ปีกนก” คือต้องยกขึ้นทางด้านข้างเหมือนนกกำลังกระพือปีก ถ้ามองที่ความสวยงาม และความเท่ ให้เต็มร้อย แต่หากมองเรื่องการใช้งานจริง ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ เพราะเราต้องเหลือพื้นที่ด้านข้างทั้งด้านซ้ายและขวา เพื่อยกประตูขึ้น ดังนั้นหมดสิทธิที่จะไปจอดรถในซองแคบๆ ครับ

วัสดุที่นำมาสร้างเจ้า i8 นี่ก็ล้ำเหลือเกิน ตัวถังรถเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ อลูมีเนียม เพื่อให้ตัวรถมีน้ำหนักเบาที่สุด อย่างประตูปีกนก ทำจากวัสดุพิเศษซึ่งจะมีน้ำหนักเบากว่าประตูแบบปกติถึง 50% ขณะที่น้ำหนักทั้งคันของเจ้า i8 นั้นเบากว่า BMW ซีรี่ส์ 6  ที่เป็นรถสปอร์ต 2 ประตูเช่นเดียวกันถึง 30% ทีเดียว

เข้ามาในห้องโดยสารของ i8 ต้องยอมรับว่าวูบวาบตระการตาพอสมควร แต่เมื่อมองการวางตำแหน่งอุปกรณ์ ปุ่มบังคับทั้งหลายแล้วคุ้นตาไม่น้อย ยังคล้ายคลึงกับ BMW รุ่นอื่น ส่วนวัสดุภายใน i8 นั้น  แน่นอนครับเน้นที่ความหรูหราทันสมัย

เส้นทางการทดลองขับของเรามุ่งไปที่เมือง Franciacorta ด้วยระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง เพื่อพิสูจน์กำลังเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคู่ กับมอเตอร์ไฟฟ้าแรงม้าสูงถึง 362 แรงม้านั้น จะเป็นอย่างไร ช่วงแรกของการออกตัวเป็นไปอย่างช้าๆ แต่นุ่มนวล ทำให้รู้เลยว่าตอนนี้ i8 กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้า 100%

ช่วงแรกของการขับ ต้องผ่ากลาง Milan ในช่วงเช้าของวันพฤหัสบดี ที่รถราขวักไขว่เหลือเกิน ทำให้ผมปรับโหมดการขับเป็น e-Drive หรือใช้ไฟฟ้า 100% ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออน ให้กำลังสูงสุดถึง 129 แรงม้า บอกได้เลยว่าสุดยอดกับอัตราเร่งที่เหลือเชื่อ เพราะแรงบิดสูงสุดของรถไฟฟ้านั้น เริ่มทำงานตั้งแต่รอบเครื่องยนต์ที่ 0 รอบ สามารถออกตัวแซงรถทุกคันที่อยู่บนถนนได้สบายๆ

ที่สำคัญเราสามารถขับ i8 ด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลถึง 35 กิโลเมตร ด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อถึงย่านกลางเมือง ผมปรับโหมดการขับเป็น COMFORT เพื่อขอดูการทำงานของเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.5 ลิตรเทอร์โบคู่ ที่แรงที่สุดของ BMW เพราะให้แรงม้ามากถึง 228 แรงม้า

แต่น่าเสียดายที่ i8 ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติรุ่นเก่าคือ 6 สปีด ไม่ใช่ 7 สปีด ซึ่งผมถือว่าเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดนี้เป็นสิ่้งที่ล้าสมัยที่สุดในตัว i8 แต่หากมองในเรื่องการใช้งานไม่ขี้เหร่ครับ เพราะเจ้าเกียร์ 6 สปีดนี้ก็ยังให้ความนุ่มนวล และตอบสนองการเปลี่ยนเกียร์ในแต่ละรอบความเร็วได้ดีทีเดียว

ความสนุกในการขับเริ่มมีมากขึ้น อัตราเร่งตอบสนองได้อย่างที่ใจคิด เพราะมีทั้งกำลังที่มาจากเครื่องยนต์และแบตเตอรี่มาช่วย โดยกำลังของเครื่องยนต์จะถ่ายทอดไปยังล้อหลัง ส่วนกำลังของแบตเตอรี่ จะถ่ายทอดไปที่ล้อหน้า ทำให้ i8 นั้นเปรียบเสมือนมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเช่นกัน

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/Test/BMW/P90133032.resized.jpg" alt="" />
<div>Forbes Fact</div>
<ul>
 	<li>BMW i8 สูงจากพื้นถนนเพียง 46 ซม.</li>
 	<li>ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานของ BMW i8 อยู่ที่ 0.26 เท่านั้น</li>
 	<li>ในเยอรมนี มีรถยนต์เพียง 5% เท่านั้น ที่มีแรงม้ามากกว่า 150 แรงม้า</li>
 	<li>ความเร็ว 4.4 วินาที ที่ BMW i8 ทำความเร็วได้ 100 กม./ชม.นั้น เท่ากับเวลาที่เจมส์ บอนด์สั่ง "Vodka Martini, Shaken, Not Stirred"</li>
 	<li>893,350 กม. คือความพยายามของเส้นไมโครไฟเบอร์ ที่นำมาผลิต BMW i8 หรือเท่ากับระยะทางระหว่างโลกกับดวงจันทร์ 2.3 รอบ</li>
</ul>
&nbsp;

"ปิศาจ" ค่าตัว 11 ล้านบาท

เส้นทางที่ขับนั้นมีมีทุกเส้นทางให้ได้ลองสมรรถนะ และเมื่อเข้าสู่ highway ผมปรับโหมดการขับเป็น SPORT เพื่อพิสูจน์ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของ BMWi8 กับ 362 แรงม้า และมีแรงบิดที่ 570 นิวตันเมตร โอ้ว... นี่มันปีศาจชัดๆ

ผมกระชับมือกับพวงมาลัยให้แน่นขึ้น และทันทีที่แตะคันเร่งเบาๆ หลังติดเบาะทันที คุณจะรู้สึกถึงแรง G ที่กระชากคุณในทันที ผมเริ่มผ่อนคันเร่งเมื่อตัวเลขบอกความเร็วเกินเลข 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แค่นี้ก็รู้แล้วว่า i8 นั้่นปีศาจแค่ไหน การทรงตัวอยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยม เสียงเครื่องยนต์ดุดันใช้ได้ เพราะเป็นเสียงที่แต่งขึ้นจากภาคขยายเสียงอยู่ภายในเครื่องยนต์

ต้องยอมรับว่า BMW i8 คันนี้ ไม่เป็นรองใครในเรื่องของการออกแบบและพละกำลัง แต่ที่สุดๆ คืออัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 2.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 40 กิโลเมตรต่อลิตร ที่ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเสียด้วย และนี่เป็นสิ่งที่ BMW ต้องการพิสูจน์ว่าสามารถสร้างรถยนต์ที่ผสมผสานความแรงและความประหยัดเอาไว้ด้วยกัน

BMW i8 คือรถยนต์ที่เป็นทิศทางแห่งอนาคต ที่ BMW AG ต้องการพิสูจน์ให้โลกได้รู้ว่า หากกล้าเดินตามฝันก็ทำได้ เพราะเขาได้ทลายกำแพงของความเป็นไปไม่ได้ โดยแทนที่ด้วยความเป็นไปได้ใน BMW i8 คันนี้

สำหรับในประเทศไทย BMWi8 คันแรกจะเดินทางมาถึงในช่วงปลายปีนี้ ด้วยสนนราคาประมาณไว้ที่คันละ 11 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีเศรษฐีไทยควักกระเป๋าจองกันแล้วถึง 50 คัน ซึ่งคาดว่ากว่าจะส่งมอบรถได้หมดต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี
<div>

ข้อมูลเทคนิค BMW i8

เครื่องยนต์: เบนซินขนาด 1.5 ลิตร ทวินเทอร์โบและมอเตอร์ไฟฟ้า

กำลังสูงสุด: 231 แรงม้า (เครื่องยนต์), 131 แรงม้า (มอเตอร์ไฟฟ้า)

อัตราสิ้นเปลือง: 12-14 กิโลเมตร/ลิตร

ความเร็วสูงสุด: 45 กิโลเมตร/ลิตร

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง: 4.4 วินาที

ราคาจำหน่าย: 11 ล้านบาท

&nbsp;

</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events