นโยบายการพัฒนาประเทศของเยอรมนีนับเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของโครงสร้างเศรษฐกิจโลก มีนโยบายด้านต่างๆ ทางสังคมที่จะช่วยปรับปรุงเงื่อนไขการดำรงชีวิตที่ดีขึ้นของมนุษยชาติ เพื่อเอาชนะความยากจน ความหิวโหย และสร้างความแข็งแกร่งให้เกิดขึ้นกับกฎระเบียบสากลต่างๆ ในโลกสมัยใหม่
เยอรมนี เป็นประเทศอุตสาหกรรมที่มีเครือข่ายระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งและประกาศจุดยืนชัดเจนว่าเป็นประเทศเน้นการส่งออกเป็นหลัก จากข้อมูลขององค์การค้าโลก (WTO) ในปี 2014 เยอรมนีมีมูลค่าทางการค้าระหว่างประเทศสูงสุดเป็นอันดับสามรองจากจีน และสหรัฐอเมริกา โดยได้เปรียบดุลการค้าระหว่างประเทศสูงกว่า 1.9 แสนล้านยูโร ทั้งนี้ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจส่วนหนึ่งก็มาจากการส่งออกไปยังบริษัทสัญชาติเยอรมันเอง
รายได้ทุกๆ 2 ยูโรที่เกิดขึ้นในประเทศเยอรมนีล้วนมาจากการค้าต่างประเทศ กล่าวได้ว่า 1 ใน 4 ของงานในประเทศขึ้นอยู่กับการส่งออก

เศรษฐกิจอันทรงพลังของเยอรมนีมาจากภาคอุตสาหกรรมและความสามารถทางด้านนวัตกรรม มีตำแหน่งงานกว่า 775,000 ตำแหน่งในอุตสาหกรรมรถยนต์ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงคุณภาพแห่งคำว่า “Made in Germany” แบรนด์สินค้าสำคัญ 6 แบรนด์ในกลุ่มนี้ได้แก่
Volkswagen, BMW, Daimler-Benz และ
Audi,
Porsche (ซึ่งเป็นของ VW) รวมทั้ง
Opel (General Motors)
นอกจากรถยนต์แล้ว เยอรมนียังโดดเด่นด้านวิศวกรรมเคมีภัณฑ์ โดยมีบริษัทอย่าง
BASF ที่ก่อตั้งมายาวนานตั้งแต่ปี 1865 และมีสาขาอยู่ใน 80 ประเทศทั่วโลก รวมถึงภาคการผลิตกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อย่าง
Siemens ที่มีสาขาใน 190 ประเทศ มีไลน์สินค้าตั้งแต่เทคโนโลยีทางการแพทย์ไปจนถึงพลังงานทดแทน

ในยุคแห่งการแข่งขัน บริษัทเยอรมันได้ลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) เป็นมูลค่าหลายพันล้านยูโร ทุกบริษัทต่างเพิ่มงบของตัวเองในการทำวิจัยเพื่อองค์ความรู้ใหม่ ในปี 2013 เมื่อดูจากสัดส่วนของ GDP แล้วพบว่าเยอรมนีมีการใช้จ่ายเพื่องานวิจัยถึง 2.84 % จัดอยู่ในกลุ่มประเทศระดับบนที่มีการใช้เงินมากกว่า 2.5 % ของ GDP ในการทำ R&D นั่นทำให้เยอรมนีได้รับการจัดอันดับเป็นกลุ่มประเทศ
“Innovation Leaders” แบบเดียวกับสวีเดน เดนมาร์ก และฟินแลนด์
และนั่นทำให้เยอรมนีเต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์แหล่งความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมจำนวนมาก ซึ่งควรค่าแก่การไปเยี่ยมเยือน
Touches of German Innovation 7 Amazing Museums
1.Mercedes-Benz Museum

ตั้งอยู่ที่เมือง Stuttgart เป็นแหล่งรวมข้อมูลความรู้และประวัติเรื่องราวทั้งหมดของแบรนด์ Mercedes-Benz นอกจากนี้ยังเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัท Daimler AG ด้วย
Mercedes-Benz Museum ออกแบบโดย UN Studio ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่หน้าทางเข้าโรงงาน Daimler ที่ Stuttgart อาคารแห่งนี้ออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเหมือนรูปทรงของเครื่องยนต์ที่ไม่มีลูกสูบ (Wankel engine) เปิดใช้งานเมื่อ 19 พฤษภาคม 2006
ในส่วนโครงสร้างสถาปัตยกรรมและการจัดแสดงนั้น ดีไซเนอร์ HG Merz ออกแบบให้เหมือนรั้วไม้ขัดแตะที่มีบันไดทางเดินเลียบไปกับผนังอาคาร ภายในออกแบบแบ่งเป็นสองส่วน คือ Myth Rooms จะเป็นแหล่งรวมประวัติศาสตร์ความเป็นมาและปรัชญาต่างๆ และส่วนของคอลเล็คชั่น นำเสนองานออกแบบรถยนต์
ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีรถยนต์ทั้งสิ้น 160 คัน บางคันเก่ามากเป็นรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์แบบมอเตอร์ ผู้สนใจเข้าชมฟรีและมีระบบเสียงบรรยายหลายภาษาเตรียมไว้ให้
2.Porsche Museum

อีกแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาด Porsche Museum ตั้งอยู่ที่เขต Zuffenhausen ในเมือง Stuttgart ที่โรงงานผลิตรถยนต์ Porsche อันที่จริงสถานที่แห่งนี้เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1976 เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่ใช้ลานจอดรถจัดแสดงรถยนต์แบบหมุนเวียนได้ราว 20 คัน Porsche ตั้งใจสร้างที่นี่ให้เป็น rolling museum คือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีการหมุนเวียนสิ่งของจัดแสดงต่างๆ โดยเฉพาะรถยนต์ในสต็อกกว่า 300 คันที่เก็บไว้โชว์

Porsche Museum ใช้งบประมาณการก่อสร้าง 100 ล้านยูโร เปิดตัวเมื่อปลายเดือนมกราคม 2009 ออกแบบโดยสถาปนิกนาม Delugan Meissl
และในส่วนจัดแสดงและก่อสร้างอาคารออกแบบโดย HG Merz ดีไซเนอร์มือทองของ Mercedes-Benz Museum
ความน่าสนใจของพิพิธภัณฑ์นี้คือประวัติอันสนุกสนานของ Porsche เรื่องราวในตำนานของรถแข่งและรถสปอร์ตยอดนิยมของแบรนด์ โมเดลรถ
และรถยนต์ต้นแบบของ Porsche ที่หาชมได้ยากราว 80 คันจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
3.BMW Museum

เป็นพิพิธภัณฑ์รถยนต์ในยุค 70 ที่เลื่องชื่ออีกแห่งหนึ่ง สร้างในปี 1973 ที่บริเวณ Olympiapark ใน Munich สถานที่จัดการแข่งขันโอลิมปิคฤดูร้อนที่เยอรมนีเป็นเจ้าภาพ และในช่วงปี 2004-2008 ก็ได้ปิดปรับปรุงเพื่อสร้างเพิ่มเติมให้เชื่อมต่อกับส่วนของ BMW Welt โดยตรงและเปิดบริการอีกครั้งในปี 2008
ภายในพิพิธภัณฑ์ที่สวยงามแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาเทคนิควิศวกรรมยานยนต์ของ BMW ผ่านตำนานเรื่องเล่าและประวัติของบริษัท ภายในมีการจัดแสดงเครื่องยนต์ เครื่องจักรแบบกังหันใบพัด เครื่องบิน มอเตอร์ไซค์ และยนตรกรรมในรูปแบบต่างๆ ไปจนถึงโมเดลรถยนต์ในอดีตและจินตนาการของรถยนต์ในอนาคต
การออกแบบสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเหมือนชามสลัดใบใหญ่สีเงินวาว หรือบางคนมองคล้ายหม้อต้มน้ำใบใหญ่ทำให้สถานที่แห่งนี้น่าสนใจและเป็นที่กล่าวถึง นี่เป็นผลงานการออกแบบของ Karl Schwanzer ศาสตราจารย์ชาวเวียนนา
สถาปนิกประจำ BMW สำนักงานใหญ่ในยุคนั้น มิวเซียมแห่งนี้มีวิธีการนำเสนอที่น่าตื่นตาตื่นใจ แปลกใหม่หลุดไปจากกรอบของมิวเซียมรถยนต์ทั่วไปทำให้การเข้าชมไม่น่าเบื่อ
4.Audi Museum

เป็นพิพิธภัณฑ์รถยนต์ของ Audi AG ที่เมือง Ingolstadt แคว้น Bavaria ของเยอรมนี เปิดให้ชมเป็นครั้งแรกในปี 2000 โครงสร้างของมิวเซียมแห่งนี้ทำด้วยแก้วและเหล็กเป็นรูปทรงกลมออกแบบโดย Gunter Henn ส่วนคอนเซปท์ภายในพิพิธภัณฑ์พัฒนาโดย KMS ซึ่งมี Michael Keller และ Christoph Rohrer เป็น Creative Director
ภายในมีนิทรรศการถาวรจัดแสดงรถยนต์ 50 คัน มอเตอร์ไซค์และจักรยานอีก 30 คัน รวมถึงนิทรรศการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับประวัติของ Audi อย่างแบรนด์ DKW, Horch, Wanderer และ NSU

ความน่าสนใจของ Audi Museum คือการใช้ paternoster (ลิฟท์แบบเก่าที่ไม่มีประตูปิดขนาดใช้งานได้สองคน) มาเป็นวิธีในการแสดงรถยนต์แบบเคลื่อนไหวได้ 14 คันโดยการประยุกต์การออกแบบให้เป็นชั้นเป็นช่องเหมือนที่เก็บเครื่องมือช่างหมุนวนขึ้นลงไปมา
5.Volkswagen Museum

อยู่ที่เมือง Wolfsburg เปิดให้เข้าชมเมื่อปี 1985 เป็นหนึ่งในสองพิพิธภัณฑ์ของ Volkswagen ในเมืองนี้โดยอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ใกล้กับ Autostadt พิพิธภัณฑ์นี้ใช้พื้นที่ของโรงงานเสื้อผ้าเก่าที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ โรงงานของ Volkswagen แห่งแรก จนกระทั่งปี 1992 ก็ตกเป็นของมูลนิธิการกุศล Stiftung AutoMuseum Volkswagen ความน่าสนใจคือมีรถต้นแบบของ Volkswagen ครบทุกรุ่น ตั้งแต่ปี 1967
6.Leica Tour

สำหรับคนรักการถ่ายภาพและนักเล่นกล้องไม่ควรพลาดที่จะไป Leitz Park เพื่อชมความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร Leica ในเมือง Welzlar ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมือง Frankfurt ราว 40 นาทีทางรถยนต์

ธีมพาร์คแห่งนี้นำเสนอผลงานที่น่าชม ทุกอย่างล้วนโฟกัสไปที่การถ่ายภาพและนิทรรศการภาพถ่าย ผู้เข้าชมจะได้ชมโปรดักต์ทุกตัวของ Leica ตลอดจนการผลิตและการประกอบชิ้นส่วนของกล้องถ่ายรูป มีการแสดงประวัติของกล้องถ่ายรูปจากอดีตกว่าร้อยปี ประวัติของเลนส์และผลิตภัณฑ์ และภาพถ่ายที่น่าหลงใหลจนทำให้ไม่อยากกลับบ้าน รวมทั้งโซนของเบื้องหลังการผลิตและประกอบชิ้นส่วน มีร้านอาหารบริการแบบครบวงจรสำหรับวันพักผ่อนที่น่าจดจำ
7.Airbus Factory Tour

กิจกรรมหนึ่งที่ควรค่าหากมาเยือนเยอรมนีคือการเข้าชมโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินแอร์บัสรุ่น 380 ที่เลื่องชื่อซึ่งในเยอรมนีมีโรงงานอยู่ด้วยกันสามแห่ง แห่งแรกอยู่ในเมือง Hamburg เมืองท่าทางตอนเหนือของประเทศ ริมแม่น้ำ Elbe ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ได้ชมการออกแบบโครงสร้างภายในเครื่องบินและการประกอบชิ้นส่วนเครื่องบินขั้นตอนสุดท้ายของรุ่น A320 และในส่วนของ A380 ที่น่าอัศจรรย์
อีกแห่งคือที่ Bremen เป็นโรงงานผลิตส่วนปีกและส่วนฝาเปิดปิดของช่วงปีกทั้งหมด ผู้ชมจะได้สัมผัสถึงทฤษฎีลอยตัวว่าการออกแบบปีกเครื่องบินสามารถทำให้เกิดแรงยกมหาศาลได้อย่างไร และทำอย่างไรปีกที่ประกอบกันขึ้นมาจึงแข็งแกร่งนัก
สุดท้ายคือโรงงานที่ Stade เป็นการแสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยี CFRP คือการใช้คาร์บอนไฟเบอร์ที่ทนทานและมีน้ำหนักเบามาสร้างส่วนต่างๆ ของเครื่องบิน ที่ต้องทนแรงบิด แรงเสียดทานมหาศาล อย่างการสร้างส่วนหางในแนวดิ่งและชมส่วนโครงสร้างที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ชิ้นใหญ่ที่สุดในเครื่องบิน ระยะเวลาการเข้าชมในโรงงานแต่ละแห่งไม่เท่ากันแต่โดยเฉลี่ยประมาณ 2-2.5 ชั่วโมง และต้องติดต่อก่อนเข้าเยี่ยมชม
คลิกอ่านฉบับเต็ม "The Great Leader of World's Innovation" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ เมษายน 2560 ในรูปแบบ e-Magazine
