มหาเศรษฐีไทย ไม่หวั่นกระแสเศรษฐกิจ เล็งซื้อ ‘เรือยอชต์’ เป็นของเล่นชิ้นใหม่

“ดีป้า” จับมือ "เอไอเอส" และเครือข่ายพันธมิตรพลิก "การท่องเที่ยวภูเก็ต" ด้วยดิจิทัล

<h2>SilverYachts และ BIC Marine มีความยินดีที่ได้ประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการในการเป็นพันธมิตรของบริษัทผู้บุกเบิกเรือยอชต์ระดับลักชัวรี่ที่ประหยัดน้ำมันและได้รับรางวัลมากมาย กับ BIC Marine บริษัทการเงิน เชิงกลยุทธ์</h2>
BIC Marine ในฐานะบริษัทร่วมทุนล่าสุดของเครือ BIC Group กลุ่มบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ดำเนินธุรกิจบริการด้านการเงิน อสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจในแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่ ทางบริษัทรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากกับโอกาสในการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ SilverYachts ในครั้งนี้

Yim Leak ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท BIC Group กล่าวว่า “เรือยอชต์ถือเป็นแพชชั่นของผมมาโดยตลอด ในนาม BIC มีความตั้งใจที่จะร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัท SilverYachts มานานแล้ว และมั่นใจว่านี่จะเป็นก้าวแรกที่น่าตื่นเต้นของทั้งสองบริษัทที่จะร่วมมือกันเพื่อความสำเร็จในอนาคต”

สำหรับ SilverYachtsการร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างความสำเร็จครั้งแรกให้กับเรือ Silver Loft Hull 005 (BOLD) ด้วยพัฒนาการที่น่าตื่นเต้นและละเอียดอ่อนของ Silver Loft รุ่นเดิมที่พัฒนาเป็นรูปแบบ Hull 006 ซึ่งเป็นเรือที่มีความยาว 85 เมตร โดยใช้ชื่อว่า Project Silver World Explorer โดยจะสำเร็จในอนาคตอันใกล้นี้

<figure><img class="wp-image-41091 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/Guillaume-Plisson-Silver-Fast-_N4Y342816.jpg" alt="" width="600" height="400" /><figcaption> Guillaume Plisson-Silver Fast</figcaption></figure>

SilverYachtsและ BIC Marine ทำงานร่วมกันเพื่อขยายบริษัทSilverYachtsให้เติบโตขึ้น และสร้างชื่อเสียงไปสู่ระดับโลก โดยมุ่งเน้นไปที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ BIC Marine เชี่ยวชาญในการขยายตลาดโดยเฉพาะ อาทิ ประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย กัมพูชา และเวียดนาม ในอนาคต BIC Marine ได้เตรียมความพร้อมอย่างดีที่จะนำ SilverYachtsไปสู่ภูมิภาคที่น่าตื่นเต้นและมีการเติบโตสูงในโลกของเรือยอชท์

<img class="alignnone size-full wp-image-41092" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/SILVER_39L_Guillaume-Plisson-0408.jpg" alt="" width="600" height="400" />

สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ SpaceCat เรือใหม่ที่มีความสามารถขั้นสูงและมีความยืดหยุ่น  ตัวเรือยาว 35 เมตร กำลังอยู่ในระหว่างการสร้างและมีกำหนดที่จะสร้างเป็นเรือซีรีส์ ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งกับศูนย์กลางธุรกิจที่หลากหลายในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ ภูเก็ต พนมเปญ หรือสีหนุวิลล์ BIC Marine จะเพิ่มบริการครอบคลุมในภูมิภาคที่สำคัญและเป็นตัวแทนในท้องถิ่นให้กับกลุ่มตลาดเรือที่มีการขยายตัวของเรือยอชต์อันทันสมัย และมีประสิทธิภาพของSilverYachts

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/forbes-life/travel-forbes-life/%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%93%e0%b8%9e-%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%95.html">ล่องอดีตอันรุ่งเรืองกับ “เรือสิริมหรรณพ”</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>
&nbsp;

&nbsp;

&nbsp;

&nbsp;

SilverYachts จับมือ BIC Group ขยายธุรกิจครอบคลุมอาเซียน

<h2>โมเมนตัมจากยอดขายคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศระดับลักชัวรีตามเมืองท่องเที่ยวหลักรอบกรุงเทพฯ ที่กระแสดีในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และแนวโน้มการเที่ยวในประเทศที่กลายเป็นทางเลือกแทนการเที่ยวต่างประเทศ อาจทำให้การล่องเรือยอชต์กลางทะเล ฟังเสียงคลื่น ดื่มด่ำกับบรรยากาศยามพระอาทิตย์ลับขอบน้ำ พร้อมชิมหอยนางรมสดเคล้าสปากลิ้งไวน์ เป็นอีกทางเลือกแห่งการพักผ่อนที่น่าสนใจมากขึ้น</h2>
หากเป็นเรื่องของเรือยอชต์ต้องไม่พลาดที่จะพูดคุยกับ โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือโอเชี่ยน กรุ๊ป หรือไทยสมุทรประกันชีวิต ซึ่งเป็นเจ้าของ Ocean Marina Yacht Club ท่าจอดเรือยอชต์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนเกี่ยวกับแนวโน้มและกระแสความนิยมเรือยอชต์ในประเทศไทย

<figure><img class="wp-image-39776 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/Khun-Napong-at-Ocean-Marina0000001.jpg" alt="ณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์" width="567" height="800" /><figcaption> ณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้</figcaption></figure>

ณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ เล่าว่า การล่องเรือยอชต์ในไทยได้รับความนิยมมาตั้งแต่ 3-4 ปีก่อนมีเหตุการณ์ COVID-19 โดยเฉพาะกลุ่มดารา เซเล็บ วัยรุ่นผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ธุรกิจเช่าเรือยอชต์เติบโตสูงถึงเฉลี่ยปีละ 20%

“ช่วงล็อกดาวน์ที่โรงแรมและห้างถูกสั่งปิดชั่วคราว หลายคนไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนในช่วงวันหยุดแต่เจ้าของเรือยอชต์หลายคนขับรถมาจอดที่ท่าเรือ และแล่นไพรเวตยอชต์ออกไปพักผ่อนชิลๆ กลางทะเลได้ เพราะเรือยอชต์ไม่ได้ถูกสั่งห้าม”

กลุ่มคนเล่นเรือยอชต์ในไทยถือเป็นกลุ่มเฉพาะที่มีจำนวนไม่มาก เพราะเป็นกิจกรรมสำหรับคนที่ชอบเรือยอชต์จริงๆ ถ้าเอ่ยชื่อเจ้าของยอชต์ลำหรูแต่ละลำที่จอดที่ Ocean Marina Yacht Club รับรองว่าไม่มีใครไม่คุ้นหู

ณพงศ์บอกว่า การเติบโตของเรือยอชต์มีอย่างต่อเนื่องแม้จะไม่หวือหวา แต่ก็ไม่เคยซบเซา แต่ละปีมีคนเล่นเรือยอชต์หน้าใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดเสมอการซื้อมาขายไปมีให้เห็นตลอดในวงการ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้ดี คือ ธุรกิจบริการท่าจอดเรือยอชต์ของ Ocean Marina Yacht Club เติบโตอย่างต่อเนื่องและขยายท่าจอดเรือเกือบทุกปี

“COVID-19 ไม่มีผลกระทบต่อท่าเรือที่เป็นไพรเวตยอชต์เลย แต่กระทบ Charter Boat หรือเรือยอชต์เช่าเหมาลำที่เน้นนักท่องเที่ยวแบบทัวร์กรุ๊ป เพราะนักท่องเที่ยวหายไป แต่หลังจากเปิดล็อกดาวน์ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา นักท่องเที่ยวไทยเริ่มกลับมาใช้บริการมากขึ้น”

<figure><img class="wp-image-39777 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/Monte-Carlo-Yachts_MCY96_Exterior0000001.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Monte Carlo Yachts รุ่น MCY 96</figcaption></figure>

สำหรับกลุ่มผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดไพรเวตยอชต์ที่สนใจซื้อเพื่อเป็นเจ้าของ ส่วนใหญ่เกิดจากการได้เช่าทดลองขับเล่นเอง และติดใจการพักผ่อนแบบส่วนตัวกลางทะเล โดยเริ่มจากการซื้อเรือยอชต์มือสองขนาดเริ่มต้น 40-45 ฟุต ซึ่งจุได้ 6-8 คน ในเซกเมนต์ Entry Level ราคามือสองจะอยู่ที่ราว 4-5 ล้านบาท และมือหนึ่งที่ 10 ล้านบาท

หลังจากสนุกกับลำเล็กมาสักระยะ และถูกใจการแล่นยอชต์ เจ้าของเรือยอชต์หน้าใหม่ก็จะเริ่มอัพเกรดไซซ์ มองหาเรือลำใหญ่ขึ้น สำหรับเรือขนาด 50-55 ฟุต ราคามือสองอยู่ที่ 10 ล้านบาท และมือหนึ่งราคา 20 ล้านบาท ก่อนขายลำเก่าออกไปถือเป็นไซเคิลปกติในตลาดเรือยอชต์

“เจ้าของไพรเวตยอชต์เกือบทุกคนจะต้องเปลี่ยนลำใหม่ที่ใหญ่ขึ้น หรูขึ้น อย่างน้อย 1 ครั้ง ถือเป็น Norm เลยทีเดียว เพราะการซื้อขายเรือยอชต์มือสองเป็นเรื่องปกติ” ณพงศ์ หลานชายของนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ หญิงแกร่งผู้กุมบังเหียนไทยสมุทรประกันชีวิตและหลงใหลเรือยอชต์ กล่าว “การซื้อเรือยอชต์มือหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องสั่งต่อเรือ ซึ่งใช้เวลาเป็นปี”

<figure><img class="wp-image-39778 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/Monte-Carlo-Yachts_MCY96_Salon000000002.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> ภายในสุดลักชัวรีของ Monte Carlo Yachts รุ่น MCY 96 สามารถตกแต่งจัดเต็มได้ตามใจชอบและงบในกระเป๋า</figcaption></figure>

ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ สำหรับการเป็นเจ้าของเรือยอชต์ มีค่าช่องจอดที่ท่าเรือ โดยคิดตามขนาดเริ่มต้นประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน ค่าน้ำ และค่าไฟคิดตามมิเตอร์ ค่าทำความสะอาดเดือนละครั้งไม่กี่พันบาท ค่าจ้างกัปตันและลูกเรือ ซึ่งเรือลำเล็กมักจะไม่มีกัปตันและลูกเรือประจำ โดยสามารถใช้บริการจ้างรายวันจากท่าเรือได้

การดูแลบำรุงรักษาโดยปกติ 2-3 ปีต่อ 1 ครั้ง เพราะเรือไม่ได้ใช้บ่อย โดยจะเป็นการยกเรือขึ้นฝั่งเพื่อซ่อมบำรุง เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เช็กจุดรั่วขูดเพรียงหรือหอยที่มาเกาะบริเวณใต้ Waterline เวลาเรืออยู่ในน้ำนานๆ และลง Antifoul หรือสีกันเพรียงใหม่ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 5-10% ของราคาเรือ

“การขับเรือยอชต์ไม่ยาก เหยียบเดินหน้าอย่างเดียวไม่มีไฟแดง ไม่มีเลน สามารถขับตาม GPS ได้เลย และยังมี Autopilot มียากแค่ตอนเทียบท่าและถอยเข้าช่องจอดเรือเท่านั้น”

แม้เศรษฐีไทยนิยมซูเปอร์คาร์มากกว่า เพราะจอดที่บ้านได้ ไม่มีค่าจอด มีคนดูแลทำความสะอาดให้นำมาขับอวดโชว์โก้หรูได้บ่อยเท่าที่ต้องการ แต่การมีเรือยอชต์สามารถนำมาใช้เพื่อรับรองแขกวีไอพีลูกค้า พาร์ตเนอร์ธุรกิจได้อย่างคุ้มค่า ว่ากันว่า มีดีลระดับพันล้านหมื่นล้านไม่น้อยจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งกันที่กลางทะเล

&nbsp;

เรื่อง: บุญธร ศิริสวาสด์ ภาพ: Ocean Marina Yacht Club และ Monte Carlo Yachts

<hr />

<a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/8680eef5-af2c-4f15-a3be-ccb0180b9319/forbes-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A1-%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-2563">คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand และ Forbes Life (เล่มแถม) ฉบับเดือนธันวาคม 2563 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-39760" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/FL.png" alt="" width="300" height="347" />

“เรือยอชต์” บนผืนน้ำ ไลฟ์สไตล์ความสุขสุดยูนีก

"ธัญชนก วัชโรทัย" กับธุรกิจที่รัก Blue Voyage

<h2>สมัยนี้ของแพง โดยเฉพาะถ้าคุณกำลังอยากเปลี่ยนแกรนด์เปียโนในเครื่องบินเจ็ตของคุณ แต่คงเป็นเรื่องสบายๆ ในแบบมหาเศรษฐี Forbes 400</h2>
ดัชนีราคากินหรูอยู่เลิศ (Cost of Living Extremely Well Index หรือ CLEWI) ของเราไต่ขึ้น 3.4% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากที่เคยเพิ่มในปี 2018 มากกว่า 1 จุด และเพิ่มเป็นเกือบ 2 เท่าของดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index หรือ CPI) ซึ่งขึ้นมา 1.7%

ทั้งนี้ ตั้งแต่เราเริ่มติดตามราคาสินค้าและบริการสุดหรูมาในปี 1982 พวกเราพบว่า ดัชนีได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5% ทุกปี ถ้าพิจารณาจากสถิติแล้ว ปีนี้จึงถือว่าไม่แย่เห็นได้ว่า ทรัพย์สินสุทธิของสมาชิกในทำเนียบ The Forbes 400 ได้เพิ่มขึ้น 3,112% จากช่วงปีแรกๆ ในยุค Reagan ดังนั้น พวกมหาเศรษฐีก็ยังจ่ายค่าเปียโน Steinway ได้สบาย

&nbsp;

หมวดความบันเทิงและของเล่น
(ดัชนีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น +5.2%)

<img class="alignnone wp-image-27095 size-medium" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/1600x685_tours-300x128.jpg" alt="" width="300" height="128" />
โอเปร่า: ตั๋ว 2 ใบสำหรับการแสดงรอบค่ำ 6 วัน ที่นั่งพรีเมียม ชั้น 2 โซนกลาง ที่ Metropolitan Opera (รัฐ New York)
ราคา 5,940 เหรียญสหรัฐฯ / ปรับเพิ่มขึ้น 3.13%

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-27106 size-medium" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/messageImage_1582208333359-300x122.jpg" alt="" width="300" height="122" />
เปียโน: คอนเสิร์ตแกรนด์เปียโนรุ่น D สีดำของ Steinway (รัฐ New York)
ราคา 176,300 เหรียญ / 3%

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-27097 size-medium" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/75508-Sunset-300x177.jpg" alt="" width="300" height="177" />
เรือมอเตอร์ยอชต์: Viking Yachts รุ่น 75 (รัฐ New Jersey)
ราคา 6 ล้านเหรียญ / 1.4%


<img class="alignnone size-medium wp-image-27104" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/oyster-595-new-sailing-yacht-rendering__Resampled-300x210.jpg" alt="" width="300" height="210" />
เรือยอชต์แบบมีใบเรือ: Oyster รุ่น 595 (สหราชอาณาจักร)
ราคา 2.6 ล้านเหรียญ / 3%


หมวดสินค้าแฟชั่น
(ดัชนีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น +1.1%)


<img class="alignnone size-medium wp-image-27094" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/600x345-300x173.jpg" alt="" width="300" height="173" />
เสื้อโค้ต: ขนตัวเซเบิลรัสเซียขายที่ห้าง Bloomingdale’s
(รัฐ New York)
225,000 เหรียญ / 0%


<img class="alignnone size-medium wp-image-27103" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/gucci-black-Sylvie-Web-Stretch-jersey-Dress-300x158.jpeg" alt="" width="300" height="158" />
ชุดผ้าเจอร์ซีย์สีดำ: แต่งด้วยแถบสีสไตล์ Sylvie Web ของ Gucci (อิตาลี)
1,980 เหรียญ / 4.2%

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-27109" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/Unknown.jpeg" alt="" width="225" height="225" />
รองเท้าโลฟเฟอร์: รองเท้า Horsebit Leather ของ Gucci (อิตาลี)
690 เหรียญ / 0%

&nbsp;

หมวดอาหารและเครื่องดื่ม
(ดัชนีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น+0.9%)


<img class="alignnone size-medium wp-image-27098" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/331731_l-300x200.jpg" alt="" width="300" height="200" />
บริการจัดอาหารดินเนอร์: โดย Ridgewells สำหรับ 40 ที่
(รัฐ Maryland)
ราคา 7,907.04 เหรียญ / 0%


<img class="alignnone size-medium wp-image-27105" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/PerfectMain-768x576-300x225.jpg" alt="" width="300" height="225" />
คาเวียร์: ไข่ปลา Petrossian Ossetra Special Reserve 1 กิโลกรัม
(รัฐ California และ New York)
ราคา 12,500 เหรียญ / 0%


<img class="alignnone size-medium wp-image-27096" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/4791-300x300.jpg" alt="" width="300" height="300" />
แชมเปญ: Dom Pérignon ปี 2004 ขวด 750 ml 1 ลัง
(รัฐ New York)
ราคา 2,999.40 เหรียญ / ไม่ระบุ


เครื่องใช้ในบ้าน
(ดัชนีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น+2.8%)

&nbsp;

ดอกไม้ตามฤดูกาล: บริการจัดดอกไม้รายเดือนสำหรับ 6 ห้อง เปลี่ยนดอกไม้สัปดาห์ละครั้ง (รัฐ New York)
ราคา 8,420 เหรียญ / 3%


<img class="alignnone size-medium wp-image-27093" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/3FR6327E2400_2136_01-300x300.jpg" alt="" width="300" height="300" />
ผ้าปูที่นอน: ผ้า cotton sateen ชุด Ultimate ขนาดควีนไซส์ (อิตาลี)
ราคา 2,950 เหรียญ / 5.4%

&nbsp;

เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารทำด้วยเงินบริสุทธิ์ 92.5% ชุดดินเนอร์ 5 ชิ้น สำหรับ 12 คน (รัฐ Massachusetts)
ราคา 12,960 เหรียญ / 0%

&nbsp;

การบริการ
(ดัชนีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น+6.0%)


<img class="alignnone size-medium wp-image-27102" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/groton-school-FapoCE-300x200.jpg" alt="" width="300" height="200" />
โรงเรียน: ค่าเล่าเรียน อาหาร และที่พัก 1 ปีที่ Groton (รัฐ Massachusetts)
ราคา 57,400 เหรียญ / 1.5%


<img class="alignnone size-medium wp-image-27101" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/fullhd-thumb-300x169.jpg" alt="" width="300" height="169" />
มหาวิทยาลัย: ค่าเล่าเรียน อาหาร และที่พัก 1 ปี บวกประกันที่ Harvard
(รัฐ Massachusetts)
ราคา 73,307 เหรียญ / 3.3%


<img class="alignnone size-medium wp-image-27100" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/DermalFillersBanner-1-300x133.jpg" alt="" width="300" height="133" />
ยกกระชับผิวหน้า: โดยศัลยแพทย์ผู้มีประสบกรณ์
(รัฐ New York)
ราคา 18,500 เหรียญ / 0%

&nbsp;

<hr />

<a href="https://bit.ly/39j1ZrV">คลิกอ่านบทความทางการเงินและการใช้ชีวิต ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับมกราคม 2563 ได้รูปแบบ e-magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-25422" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/FB080-EBOOK-RES150_Page_001.jpg" alt="" width="300" height="394" />

ดัชนีชีวิตกินอย่างหรูอยู่อย่างแพงจาก มหาเศรษฐี Forbes 400

<h2 class="p2">โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ เตรียมจัด “โอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ท โชว์” งานแสดงเรือยอชต์นานาชาติระดับเอเชีย จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 8 ระหว่าง 21-24 พฤศจิกายน 2562 นี้ ณ โอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ท คลับ พัทยา ท่าจอดเรือที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หวังกระตุ้นธุรกิจและตลาดท่องเที่ยวทางทะเล</h2>
ณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ในฐานะผู้จัดงาน โอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ท โชว์ เปิดเผยว่า “โอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ท โชว์นับได้ว่าเป็นหนึ่งในซิกเนเจอร์อีเว้นท์ที่กระตุ้นการท่องเที่ยวทางทะเลของภาคตะวันออก จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2555 และมีจัดต่อเนื่องทุกปี
โดยในปี 2561 ที่ผ่านมามีผู้เข้าเยี่ยมชมงานทั้งชาวไทยและต่างชาติกว่า 6,000 คน ซึ่งเพิ่มขึ้น 5% จากปี 2560 และโดยภาพรวมแล้วตั้งแต่ปีแรกจนถึงปีที่ผ่านมามีจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมงานเพิ่มขึ้นกว่า 183%” 
“เราลงทุนในการจัดงานฯ มากกว่า 10 ล้านบาทต่อปี ทั้งในด้านการจัดงานและการตลาดทั้งในและต่างประเทศ สำหรับในปีนี้ เราคาดหวังผู้เยี่ยมชมงานเพิ่มขึ้นประมาณ 20%"


<figure><img class="size-full wp-image-14069" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/ณพงศ์-ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์.jpg" alt="" width="399" height="598" /><figcaption> ณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด</figcaption></figure>
"นอกจากนั้น เรายังคงมุ่งหวังให้การจัดงานฯ เป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการกระตุ้นธุรกิจและการท่องเที่ยวทางทะเลของภูมิภาคในการโปรโมทธุรกิจสินค้าและการบริการที่เกี่ยวข้อง พร้อมนำเสนอความสวยงามของชายฝั่งทะเลและเกาะต่างๆ ในฝั่งภาคตะวันออกสู่สายตาคนทั่วโลก พร้อมๆ กับแนะนำไลฟ์สไตล์การล่องเรือให้กับนักท่องเที่ยวไทย”
ในปีที่ผ่านมา งานฯ นี้ได้ช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทางทะเลกว่า 2,500 ล้านบาท แม้ว่าปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจไทยอาจมีการชะลอตัวเพราะภาวะผันผวนจากเศรษฐกิจโลก แต่ในส่วนของปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ของไทยยังคงแข็งแกร่ง และการท่องเที่ยวทางทะเลบริเวณภาคตะวันออกของไทยมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/people/thriving-30s/%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%99-3-%e0%b9%82%e0%b8%ad%e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%99-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%ad%e0%b8%9e.html">ทายาทรุ่น 3 แห่ง ‘อัสสกุล’ พลิกแลนด์แบงก์โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้</a></li>
</ul>
Scott Finstein ผู้จัดการท่าเรือ โอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ท คลับ ในฐานะผู้จัดงานโอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ท โชว์กล่าวว่า “ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาล่องเรือที่ โอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ท คลับเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
แม้ในช่วงเดือนพฤษภาคม และมิถุนายนจะมีจำนวนลดลงบ้าง แต่ภาพโดยรวมในช่วงครึ่งปีแรก จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาล่องเรือเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยนักท่องเที่ยวจีน ครองอันดับ 1 และเกาหลี ครองอันดับ 2 ในส่วนของจำนวนนักท่องเที่ยวมากที่สุดในการออกล่องเรือแต่ละวัน และที่น่าสนใจคือ จำนวนนักท่องเที่ยวไทยตามมาเป็นอันดับ 3”


<figure><img class="size-full wp-image-14070" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/Scott-Finstein.jpg" alt="" width="800" height="526" /><figcaption> Scott Finstein ผู้จัดการท่าเรือ โอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ท คลับ</figcaption></figure>
ทั้งนี้ เหตุผลหลักคือ การอยู่ใกล้กับกรุงเทพฯ ทำให้กลุ่มนักท่องเที่ยวคนไทยนิยมมาพักผ่อนด้วยการล่องเรือ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของผู้เข้าชมงานโอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ทล่าสุด คนไทยมีสัดส่วนมากที่สุดคือ 70% และเจ้าของเรือยอชต์ที่จอดอยู่ที่โอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ท คลับ เป็นกลุ่มคนไทยซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 50%
“การท่องเที่ยวทางทะเลในชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกนับได้ว่า ยังมีความเป็นธรรมชาติสูง เมื่อเรามองดูตลาดท่องเที่ยวทางทะเลอย่างประเทศกรีซ ซึ่งประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมการเช่าเหมาลำเรือยอชต์ หรือ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศมีคนเป็นเจ้าของเรือยอชต์จำนวนมาก
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยแล้ว จำนวนนักท่องเที่ยวของไทยมีจำนวนมากกว่า แต่หากว่ายังไม่สามารถสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวเทียบเท่ากับสองประเทศนี้
ในปีนี้ประเทศไทยเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศประมาณ 40 ล้านคน และพัทยาคาดว่าจะต้อนรับไม่ต่ำกว่า 14 ล้านคน ซึ่งเป็นการตอกย้ำศักยภาพของฝั่งตะวันออกของไทยที่พร้อมขยายการท่องเที่ยวทางทะเล และซึ่งเป็นสิ่งที่โอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ท คลับ ได้มุ่งมั่นพัฒนามาโดยตลอด” Finstein กล่าวเพิ่มเติม


<figure><img class="size-full wp-image-14072" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/โอเชี่ยน-มารีน่า-พัทยา-โบ๊ท-โชว์-01.jpg" alt="โอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ท โชว์" width="800" height="450" /><figcaption> บรรยากาศงานโอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ท โชว์</figcaption></figure>
โอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ท โชว์ในปีนี้มีการจัดแสดงเรือยอชต์แบรนด์ชั้นนำจากทั่วโลกกว่า 40 ลำ พร้อมด้วยการจัดแสดงสินค้าและการบริการด้านไลฟ์สไตล์และการท่องเที่ยวทางทะเล สินค้าเทคโนโลยี อสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียม รถยนต์หรู และอีกมากมาย
นอกจากนั้น ยังมีการสาธิตกีฬาทางน้ำ ตลอดการจัดงานทั้ง 4 วัน รวมถึงกิจกรรมประสบการณ์ล่องเรือยอชต์ฟรี บริการล่องเรือชมพระอาทิตย์ตกดิน (sunset cruises), แฟชั่นโชว์ และพบกับป๊อบอัพร้านอาหารชั้นนำ บริการอาหารและเครื่องดื่มตลอดงาน พร้อมด้วยกิจกรรมพิเศษสำหรับครอบครัว
งานโอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ท โชว์ครั้งที่ 8 เตรียมจัดขึ้นระหว่าง 21-24 พฤศจิกายน 2562 นี้ ณ โอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ท คลับ พัทยา จ. ชลบุรี ผู้สนใจเข้าร่วมชมงานได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
<img class="alignnone size-full wp-image-14073" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/โอเชี่ยน-มารีน่า-พัทยา-โบ๊ท-โชว์-02.jpg" alt="โอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ท โชว์" width="800" height="533" />

<img class="alignnone size-full wp-image-14074" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/โอเชี่ยน-มารีน่า-พัทยา-โบ๊ท-โชว์-03.jpg" alt="โอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ท โชว์" width="800" height="513" />

โอเชี่ยนฯ เตรียมจัดงาน “โอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ท โชว์” ชี้ครึ่งปีแรก 2562 นักท่องเที่ยวล่องเรือยอชต์เพิ่มขึ้น 2%

ขอต้อนรับสู่ สโมสรไทยโปโลฯ ดินแดนแห่งการบังคับม้า

<h2>ณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ ทายาทรุ่นที่ 3 ในครอบครัวอัสสกุล รับไม้สานต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 'โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้' ขยับพลิกโฉมขุมสมบัติที่ดินก่อสร้างโครงการทั่วไทย หวังสร้างการเติบโตสู่รายได้ 1 พันล้านภายในปี 2564</h2>
ภายในพื้นที่ท่าเรือโอเชี่ยน มารีน่า ยอท์ช คลับ เมืองพัทยา เต็มไปด้วยผู้คนจากหลายสัญชาติเดินกระทบไหล่ เนื่องจากเป็นวันเริ่มลงทะเบียนวันแรกของงานแข่งขันเรือยอชต์ Top of the Gulf Regatta 2018 ซึ่งจัดขึ้นที่นี่ติดต่อกันเป็นปีที่ 14 แล้ว “เป็นงานระดับนานาชาติเลย บางคนแล่นเรือมาจากประเทศจีนเพื่อมาแข่งงานนี้โดยเฉพาะ” ณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กล่าว

ท่าเรือยอชต์และโรงแรมขนาด 50 ห้องแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2538 และเป็นหนึ่งในธุรกิจตั้งต้นของ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด หนึ่งในธุรกิจของครอบครัวอัสสกุลตระกูลผู้ก่อตั้งธุรกิจหลากหลายประเภทใต้ร่มเงาเครือโอเชี่ยน กรุ๊ป เช่น บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท โอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

ปัจจุบัน ณพงศ์ วัย 39 ปี คือทายาทรุ่นที่ 3 ที่เข้ามารับไม้ต่องานของโอเชี่ยนพรอพเพอร์ตี้ ในฐานะรักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจ Residential Business แม้ชื่อตำแหน่งจะดูแลเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัย แต่เขาก็รับทราบการทำงานทุกธุรกิจภายใต้บริษัท

ณพงศ์เปิดเผยว่า ปี 2560 ที่ผ่านมาโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ทำรายได้ประมาณ 600 ล้านบาท ขณะที่ข้อมูลจากกรมธุรกิจการค้ารายงานว่าโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้มีรายได้ 578 ล้านบาทในปี 2559 ณพงศ์ออกตัวว่าการเติบโตของบริษัทอาจดูไม่สูงนักเพราะรายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากพอร์ตกลุ่มอสังหาฯ เพื่อเช่าเป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วน 70% “ค่าเช่าจะเติบโตได้ราว 3-5% ต่อปีเป็นปกติ เมื่อเราไม่ได้ขยายพื้นที่เช่าการเติบโตก็จะได้ประมาณนี้เท่านั้น”

นั่นทำให้ทายาทโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้วางเป้าหมายใหม่เพื่อให้บริษัทเติบโตได้เร็วขึ้นโดยจะสร้างให้พอร์ตกลุ่มอสังหาฯ เพื่อเช่ากับอสังหาฯ เพื่อขายทำรายได้สมดุลกันที่อัตราส่วน 50:50 ภายใน 3 ปีข้างหน้า

“ค่าเช่าเหล่านี้เราจะเก็บไว้เป็นเงินก้นถุงเป็นเหมือน cash cow ของเรา แต่เนื่องจากอสังหาฯ เพื่อเช่านั้นลงทุนสูงและใช้เวลาคืนทุนนาน บางครั้งเกิน 10 ปีกว่าจะคืนทุนทำให้เราอยากพัฒนาที่อยู่อาศัยขายเพิ่มเพื่อทำรายได้คืนทุนเร็วขึ้นภายใน 2-3 ปี” ณพงศ์กล่าว

โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ มีพอร์ตโครงการที่ยังอยู่ระหว่างขายของบริษัท อาทิ  คอนโดมิเนียม โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ พัทยา และคอนโดฯ โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ-ขอนแก่น เป็นต้น โดยณพงศ์วางแผนว่าปลายปีนี้บริษัทจะเปิดตัวเพิ่ม 1 โครงการที่ จ.ภูเก็ต ในชื่อ โอเชี่ยน ทาวน์-ภูเก็ต

ซึ่งจากแผนงานดังกล่าว การปลุกปั้นพอร์ตที่อยู่อาศัยเพื่อขายจะเริ่มเห็นเป็นรายได้เข้าบริษัทเต็มเม็ดเต็มหน่วยในปี 2564 ณพงศ์เรียบเรียงแผนรายได้และสรุปว่า บริษัทคาดหวังจะทำรายได้แตะ 1 พันล้านบาทได้ ภายใน 3 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม เขายังคงยึดถือปรัชญาการทำงานในแนวทางเดียวกับครอบครัว นั่นคือลงทุนเฉพาะในโครงการที่บริหารความเสี่ยงได้ “เราคงไม่กระโดดเข้ามาบุกตลาดหนักๆ เราเลือกทำโครงการที่มั่นใจว่าจะขายได้ ถ้ามีความเสี่ยงสูง การเก็บที่ดินเปล่าไว้ยังมีประโยชน์มากกว่า” ณพงศ์กล่าว

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/872d254937665605ded6e5db496ad43d.jpg" alt="" />
<h3>ขุมสมบัติ 1 หมื่นไร่</h3>
สำหรับกลยุทธ์ของโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้อาจจะแตกต่างจากค่ายอสังหาฯ อื่นๆ อยู่เล็กน้อย เพราะครอบครัวอัสสกุลนั้นเป็น “แลนด์ลอร์ด” มีที่ดินราว 1 หมื่นไร่กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นที่ดินในต่างจังหวัด มีการถือครองที่ดินทั้งผ่านบริษัทต่างๆ ของครอบครัวและถือในนามส่วนตัว

“กลยุทธ์คือเราจะดูที่ดินที่มีในเครือเป็นหลัก เพราะถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับยอดขายโครงการ อย่างน้อยเงินที่จมก็ยังอยู่ในเครือเดียวกัน” ณพงศ์กล่าว “แต่ถึงจะเป็นบริษัทในเครือเราก็ต้องซื้อขายที่ดินในราคาตลาด ไม่ได้กดราคา เพราะเราจะเอาเปรียบผู้ถือหุ้นของบริษัทอื่นไม่ได้”

ดังนั้นข้อได้เปรียบเรื่องที่ดินของโอเชี่ยนพรอพเพอร์ตี้จึงไม่ใช่เรื่องราคา แต่เป็นความยืดหยุ่นในการแบ่งแปลงที่ดิน สามารถทยอยขอแบ่งแปลงซื้อเพียง 1-2 ไร่หรือหลักสิบไร่ได้ ณพงศ์ยังได้เปิดเผยที่ดินแปลงสำคัญที่โอเชี่ยนพรอพเพอร์ตี้เล็งเห็นศักยภาพ เช่น ที่ดินบริเวณริมถนนมิตรภาพ จ.ขอนแก่น ที่บริษัทพัฒนาคอนโดฯ แล้ว 2 ไร่ แต่ยังเหลือที่ดินในบริเวณนั้นอีกจำนวนมากที่พัฒนาเพิ่มได้

กระทั่งพื้นที่ที่พัฒนามานานอย่างโอเชี่ยนมารีน่า ยอท์ช คลับ และคอนโดฯ พอร์โต ฟิโน่ ริมถนนสุขุมวิท ก็เพิ่งใช้ที่ดินไป 4 ไร่จากทั้งหมด 120 ไร่ นอกจากนี้บริษัทยังมีที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งฝั่งถนนพระราม 3 ติดกับโรงแรมมณเฑียร ริเวอร์ไซด์ ขนาด 16 ไร่

ณพงศ์แจกแจงแผนงานว่า กลุ่มธุรกิจออฟฟิศบิลดิ้ง โอเชี่ยน ทาวเวอร์ 1 และ 2 มีอัตราการเช่า 99-100% สม่ำเสมอ แต่คาดว่าจะไม่มีการพัฒนาอาคารสำนักงานใหม่อย่างน้อยในระยะ 3 ปีจากนี้

ด้านโรงแรมเมอเวนพิค อัสสรา รีสอร์ท แอนด์ สปา หัวหิน บริษัทได้ลงทุนรีโนเวทไป 180 ล้านบาท เริ่มปิดบริการบางส่วนเพื่อปรับปรุงซ่อมแซมตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 และจะกลับมาเปิดบริการเต็มรูปแบบเดือนตุลาคม 2561
ด้านท่าจอดเรือยอชต์ แต่เดิมที่โอเชี่ยนมารีน่า ยอท์ช คลับ สามารถจอดเรือได้ 380 ลำ แต่ได้ลงทุนมูลค่า 100 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพพื้นที่ให้จอดเพิ่มได้อีก 60 ลำ รวมเป็น 440 ลำ ซึ่งถือว่าเต็มพื้นที่และเต็มตามจำนวนที่ระบุไว้ในใบอนุญาตก่อสร้าง
ณพงศ์มองว่าธุรกิจท่าจอดเรือยอชต์ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยลูกค้าของโอเชี่ยนมารีน่าฯ 60% เป็นคนไทย อีก 40% เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งมักจะเป็นชาวต่างชาติที่ทำงานในไทย (expat) หรือคนวัยเกษียณกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจไม่มาก

&nbsp;
<h3>วิศวกรผันตัวสู่นักบริหาร</h3>
ตลอดการสัมภาษณ์ ณพงศ์มีท่าทางสบายๆ เป็นกันเอง อัธยาศัยดีและยินดีเล่าทุกประเด็น เขายังเป็นคนขับรถกอล์ฟนำทีมงาน Forbes Thailand ชมรอบๆ ท่าจอดเรือยอชต์ด้วยตนเองโดยไม่ถือตัว พร้อมอวดรูปลูกชายวัย 2 ขวบและรูปพรีเวดดิ้งของเขากับภรรยาระหว่างรับประทานมื้ออาหารเที่ยง

“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาคุมโอเชี่ยนพรอพเพอร์ตี้เลย คิดจะไปทำงานที่อื่นยาวๆ ด้วยซ้ำ” ณพงศ์เริ่มเล่าประวัติที่เหตุบังเอิญทำให้เขามีโอกาสเข้ามาทำงานกับครอบครัว

ทายาทหนุ่มเรียนจบปริญญาตรีและโทจาก Carnegie Mellon Universtiy เมือง Pittsburgh ประเทศสหรัฐอเมริกา ในสาขาวิศวกรรมโยธา หลังเรียนจบเขากลับประเทศไทยและเริ่มทำงานกับ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ อยู่ 2 ปี ผ่านประสบการณ์กับโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ หลังการทำงานที่แรกเริ่มอิ่มตัว เขาจึงยื่นใบสมัครเพื่อขอย้ายไปทำงานในบริษัทที่ปรึกษางานวิศวกรรมที่ บริษัท เออี เอเชีย จำกัด

เป็นความบังเอิญที่ขณะนั้น เออี เอเชียเป็นที่ปรึกษาให้โครงการก่อสร้างโรงแรมอัสสราฯ หัวหิน และเมื่อ นุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ คุณป้าของณพงศ์ (ปัจจุบันเธอเป็นประธานกรรมการบริหารของโอเชี่ยนพรอพเพอร์ตี้ และกรรมการผู้จัดการ บมจ. ไทยสมุทรประกันชีวิต) ทราบว่าหลานชายมาสมัครงานกับเออี เอเชีย จึงออกปากชักชวนให้ณพงศ์เข้ามาช่วยงานที่โอเชี่ยนพรอพเพอร์ตี้แทน

“วันแรกที่เข้ามา ผมขอมาในฐานะพนักงานคนหนึ่ง ทำงานปกติ ได้เงินเดือนปกติเหมือนคนทั่วๆ ไป” ณพงศ์เริ่มทำงานที่โอเชี่ยนพรอพเพอร์ตี้ตั้งแต่ปี 2549 ไต่เต้าจากเป็นวิศวกรคุมงาน ลงไซต์ก่อสร้างตรวจงานเองทั้งหมด ทำให้มีความใกล้ชิดกับพนักงาน

“แม้ผมจะกลายเป็นผู้บริหารแล้วแต่ผมเปิดประตูตลอด ที่โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้เราถือว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน มีความซื่อสัตย์ยุติธรรมเป็นพื้นฐานการทำงานร่วมกัน” ณพงศ์กล่าวปิดท้าย

&nbsp;

ภาพ: จันทร์กลาง กันทอง

ทายาทรุ่น 3 แห่ง 'อัสสกุล' พลิกแลนด์แบงก์โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้

<h2>ทายาทรุ่น 2 แห่งกลุ่มบริษัท โบ๊ทลากูนยอช์ตติ้ง อย่าง วริศ ยงสกุล รับหน้าที่กัปตันนำกิจการคว้าโอกาสจากกระแสนิยมล่องเรือยอชต์ที่ตื่นตัวกว่าในอดีต กางใบโต้คลื่นความต้องการที่ไม่หยุดนิ่งด้วยบริการครบเครื่อง มุ่งรักษาระดับรายได้เติบโต 10-15% ต่อปี</h2>
เรือยอชต์ที่โลดแล่นออกจากท่าสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่ เพื่อท่องผจญภัยและค้นหาประสบการณ์ใหม่เปรียบได้กับวิถีสืบสานกิจการนำเข้าและจำหน่ายเรือยอชต์ของทายาทรุ่น 2 วัย 37 ปี อย่าง วริศ ยงสกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัท โบ๊ทลากูนยอช์ตติ้ง จำกัด ซึ่งรับไม้ต่อจากบิดาคือ คณิต ยงสกุล ผู้ก่อตั้งกิจการค้าเรือยอชต์ในปี 2537 ที่ขยับขยายเพิ่มเติมจากธุรกิจบริการที่จอดเรือ (มารีน่า) ซึ่งพลิกจากเหมืองแร่ดีบุกตั้งแต่ปี 2521 ภายใต้การดูแลของ บริษัท ภูเก็ตโบ๊ทลากูน จำกัด

สำหรับเหตุแห่งการเปลี่ยนเหมืองแร่ดีบุกเป็นมารีน่านั้น วริศ เล่าว่าเนื่องด้วยธุรกิจทำเหมืองในตอนนั้นเริ่มซบเซา ขณะที่คณิตเองก็เป็นผู้ชื่นชอบในการเล่นเรือยอชต์ตั้งแต่สมัยเรียนที่อังกฤษและมองว่ามีกลุ่มคนที่ต้องการใช้บริการอยู่แล้ว เช่นเดียวกับที่ผู้ก่อตั้งมองว่าภูเก็ตมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูง จำนวนผู้ใช้บริการมารีน่าจึงย่อมมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต ทั้งนี้ด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ครอบครัวยงสกุลคือผู้บุกเบิกรายแรกที่ให้บริการมารีน่าอย่างครบวงจรในภูเก็ต

“ด้วยอุปกรณ์และทีมงานที่ทำเหมืองอยู่ก่อนแล้วหากจะมาพัฒนาทำมารีน่าก็ง่าย อีกทั้งการที่เป็นคนเล่นเรือยอชต์อยู่แล้วก็ย่อมเข้าใจและรู้ความต้องการของลูกค้าได้มากกว่า ซึ่งเป็นจุดที่คุณพ่อยึดถือในการทำธุรกิจ”

อย่างไรก็ตาม สำหรับจุดเปลี่ยนที่เลือกเข้าสู่น่านน้ำธุรกิจค้าเรือยอชต์ของครอบครัวนั้น วริศเล่าว่าเริ่มจากนำเข้าเรือยอชต์แบรนด์ Princess จากอังกฤษเมื่อ 24 ปีก่อน ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในตอนนั้น รวมถึงทางผู้ก่อตั้งเองก็มีความคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์ของ Princess เป็นอย่างดีและมองว่ามีแนวทางในการดูแลลูกค้าสอดคล้องกัน

ขณะที่การได้รับเลือกจาก Princess ให้บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่าย(sole distributor) และให้บริการในภูมิภาคเอเชียแต่เพียงผู้เดียวก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่สะท้อนถึงศักยภาพของบริษัทในการดูแลลูกค้าซึ่งเป็นผู้ใช้เรือของ Princess ได้ทั่วถึงโดยช่วงแรกที่นำเรือยอชต์มาขายนั้นมีผลตอบรับดี เพราะบริษัทรู้จักคุ้นเคยกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายหลักอยู่แล้ว เมื่อดำเนินธุรกิจมาได้ระดับหนึ่งก็เริ่มมีลูกค้าต่างชาติเข้ามามากขึ้นจนกลายเป็นฐานลูกค้าหลักกว่า 80% เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพของบริษัทว่าจะสามารถจัดหาและดูแลเรือยอชต์ได้ดี โดยลูกค้าเหล่านี้มีทั้งที่ใช้ชีวิตในเมืองไทยและที่นิยมมาท่องเที่ยวในเมืองไทย 2-3 ครั้งต่อปี กระนั้นช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเริ่มมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 30-35% ของฐานลูกค้ารวม

“ธุรกิจเรือยอชต์เปรียบเหมือนให้บริการด้านความสุขกับลูกค้าเรือจึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่อยู่ใน process เท่านั้น จึงจำเป็นต้องเข้าใจไลฟ์สไตล์ของลูกค้าและต้องมีความพร้อมในทุกๆ ด้านที่จะให้บริการ ซึ่งบุคลากรเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของธุรกิจนี้” วริศให้ความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า จากที่เคยมีคนพูดกันว่าค่าใช้จ่ายในการดูแลเรือแพงกว่าราคาเรือก็ไม่ผิด จนทำให้สมัยก่อนถึงกับบอกว่าวันที่มีความสุขที่สุดคือวันที่ซื้อและวันที่ขายเรือ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนไปมากพอสมควร จากอดีตที่ค่าบำรุงรักษาอยู่ที่ราวปีละ 10%ของมูลค่าเรือ แต่ขณะนี้อยู่ที่ 3-5% เท่านั้นสำหรับในภูมิภาคเอเชีย

<img class="alignnone size-full wp-image-10600" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/4.1.png" alt="" width="680" height="398" />

จัด 5 ธุรกิจตอบโจทย์

ปัจจุบันกลุ่มบริษัทโบ๊ทลากูนยอช์ตติ้งดำเนินธุรกิจ 5 กลุ่มหลักอย่างครบวงจร ได้แก่ การจำหน่ายเรือยอชต์ลำใหม่ การจำหน่ายเรือยอชต์มือสอง การเช่าเรือ การซ่อมและบำรุงรักษาเรือ งานบริการหลังการขาย และอื่นๆ ผ่าน 9 สาขาใน 5 ประเทศ คือ ไทย สิงค์โปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ มัลดีฟส์ ซึ่งมีการเติบโตเฉลี่ย 10-15% ต่อปี โดยในปี2560 ทำรายได้ที่ราว 1.5 พันล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตถึง 2 พันล้านบาทในปีนี้

อย่างไรก็ตามแม้รายได้ของกลุ่มบริษัทจากตลาดเมืองไทยครองสัดส่วนที่ 50% ของรายได้รวม แต่ด้วยศักยภาพของตลาดก็มีความเป็นไปได้ที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นกว่าเดิมในอนาคต ขณะที่รายได้จากการขายเรือยอชต์ใหม่จะยังคงเป็นฐานรายได้หลักที่ 75% ด้านจำหน่ายเรือยอชต์ใหม่ บริษัทได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของแบรนด์ระดับโลกต่างๆ ได้แก่ Princess Prestige Jeanneau และ Wider ซึ่งมีให้เลือกทุกประเภท ทั้งเรือเล็กเรือใบ เรือยอชต์ เรือซูเปอร์ยอชต์ (ความยาวช่วงตัวลำเรือ 85 ฟุตขึ้นไป)

นอกจากนี้ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถนำเรือยอชต์ที่ออกใหม่เป็นลำแรกของโลกมาสู่ตลาดเมืองไทยโดยตลอดฝั่งธุรกิจค้าเรือยอชต์มือสองที่ตีคู่กันมากับการค้าเรือใหม่นั้น วริศเล่าว่าบริษัทมีกลุ่มตัวแทนจำหน่ายซื้อขายเรือยอชต์ที่มีประสบการณ์มากที่สุดในเอเชีย ผ่านเครือข่ายวงกว้างประกอบด้วยทั้งสำนักงานและเจ้าหน้าที่ ขณะนี้มีลูกค้าสนใจซื้อเรือมือสองเพิ่มขึ้นจากหลายเหตุผล เช่นต้องการได้เรือทันทีเพราะไม่อยากรอต่อเรือใหม่ ซื้อมาทดลองเล่นเรือก่อนจะลงทุนซื้อเรือใหม่ ต้องการเรือที่มีค่าเสื่อมมาบ้างแล้วเพื่อนำมาให้เช่าต่อ เป็นต้น

สำหรับบริการเช่าเรือที่ดำเนินการโดย บริษัท โบ๊ตลากูนครุยส์ จำกัด ซึ่งมีสาขาครอบคลุมจุดหมายปลายทางการล่องเรืออันมีทัศนียภาพอันสวยงาม อีกทั้งมีบริการผู้ช่วยส่วนตัว (concierge service) ที่จะช่วยสรรหาบริการเสริมต่างๆ ได้แก่ จัดอาหาร จัดงานเลี้ยง จัดงานแต่งงาน

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริการเช่าเรือยอชต์มีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้นและส่วนใหญ่ยังเลือกเช่าแบบ full-day trip ซึ่งตลาดมีแนวโน้มเติบโตราว 10-15% ต่อปี จึงมีทั้งผู้เช่าและผู้ให้บริการเช่าเรือยอชต์เติบโตมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเข้ามาของผู้ให้บริการที่เป็นต่างชาติ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ววริศมองว่าเป็นเรื่องที่ดี

“แม้ว่าปัจจุบันรายได้หลักถึง 75% จะมาจากการขายเรือยอชต์ใหม่ แต่ผมมองว่าพัฒนาการในระยะต่อไปของบริษัทคือการให้น้ำหนักกับการเพิ่มศักยภาพด้านบริการ”

ด้วยเทรนด์ของการล่องเรือยอชต์ในระยะทางที่ไกลกว่าเดิม ทำให้ผู้ค้าต้องการใช้เรือที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่ขนาดความยาว 60 ฟุตขึ้นไป และมีแนวโน้มที่เรือประเภทมอเตอร์จะขยายตัวดีกว่าประเภทอื่นๆ เพื่อความปลอดภัยและสะดวกสบาย ซึ่งย่อมทำให้มูลค่าของเรือสูงตามไปด้วย นั่นคือสุดท้ายแล้วลูกค้าที่ใช้เรือก็จะต้องการบริการอื่นๆ เพิ่มขึ้นด้วยจึงยิ่งต้องเลือกผู้ให้บริการที่มีความพร้อมอย่างแท้จริง

เมื่อเล่าถึงต้นทางของการรับมอบภารกิจบริหารกิจการค้าเรือยอชต์ตั้งแต่เมื่อปี 2549 หลังจากผ่านการเรียนรู้งานในธุรกิจฝั่งมารีน่ามาระยะหนึ่งนั้น วริศย้ำว่า “ผมเองโชคดีที่พ่อเปิดโอกาสให้ลูกๆ ได้ทดลองทำธุรกิจต่างๆ และให้มาสืบทอดธุรกิจนี้” เพราะตัวเขาเองมีความชื่นชอบในการเล่นเรือยอชต์และมีโอกาสได้ซึมซับประสบการณ์ตั้งแต่วัยเด็กเมื่อได้ออกไปล่องเรือกับบิดา แม้ไม่ได้มีความตั้งใจแต่แรกว่าจะได้มาพัฒนากิจการจนไปไกลถึงระดับภูมิภาคเช่นในวันนี้จากวันแรกถึงวันนี้ วริศพบว่าสิ่งที่ท้าทายและได้เรียนรู้กว่า 10 ปีที่ดูแลกิจการมา คือจำเป็นต้องมีความรู้และความพร้อมในการให้บริการ นอกจากนี้ต้องสร้างความเชื่อถือให้แก่ลูกค้า ตลอดจนต้องมีทีมงานที่มีความรู้และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

&nbsp;

ภาพ: กิตติเดช เจริญพร

<hr />

<a href="http://goo.gl/AcjWXL">คลิกอ่าน "วริศ ยงสกุล ค้าเรือยอชต์ให้โลดแล่น" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ มีนาคม 2561 ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2545e71c2cb14faa6f01ed8584cc5dca.png" />

วริศ ยงสกุล ค้าเรือยอชต์ให้โลดแล่น

เศรษฐกิจของไทยจะชะลอตัวอย่างไร ก็ดูเหมือนว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เจาะกลุ่มเป้าหมายเศรษฐีผู้มีกำลังซื้อสูงเท่าไรนัก เช่น ธุรกิจเรือยอชต์ ที่ดึงดูดให้ ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ นักธุรกิจหมื่นล้าน ผู้เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัท มาสเตอร์ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด หรือ เอ็มจีซี-เอเชีย ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถหรู อาทิ Rolls-Royce, Aston Martin, BMW และ Mini กระโดดเข้าไปเป็นหนึ่งในผู้เล่น ด้วยเหตุผลว่าต้องการเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจลักชัวรี จึงก่อตั้ง บริษัท เอ็มจีซี มารีน (เอเชีย) จำกัด ขึ้นเมื่อราวกลางปี 2557 ใช้งบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท นำเข้าและจำหน่ายเรือยอชต์ Azimut จากอิตาลี ให้บริการเต็มรูปแบบทั้งการขาย การเช่า การประกันภัย รวมถึงบริการจัดเลี้ยง

ความคึกคักของธุรกิจเรือยอชต์ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดในปี 2558 เมื่อรัฐบาลส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางมารีน่าของอาเซียน นำสู่การจัดมหกรรมเรือสำราญและมารีน่าครั้งแรกของไทยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จัดแสดงเรือยอชต์และซูเปอร์ยอชต์ (เรือยอชต์ที่มีขนาด 79 ฟุตขึ้นไป) ที่โดดเด่นทั้งในแง่ความสวยงามและนวัตกรรมขึ้นที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีเรือยอชต์เข้ามาเทียบท่าเป็นจำนวนมาก

ตอกย้ำอนาคตของธุรกิจเรือยอชต์ ด้วยการที่รัฐบาลดำเนินการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่างๆ อาทิ การตรวจคนเข้าเมือง การเดินเรือ ศุลกากร การจัดเก็บภาษี ฯลฯ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจดังกล่าว ด้านกรมเจ้าท่าก็ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนามารีน่าเพิ่มเติม ทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน ประกอบด้วย จ.ภูเก็ต 2 แห่ง จ.พังงา 2 แห่ง เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี 2 แห่ง จ.ชลบุรี 1 แห่ง และ จ.ตราด 1 แห่ง จากที่มีมารีน่าระดับมาตรฐานอยู่แล้วในฝั่งอ่าวไทย 5 แห่ง และฝั่งอันดามัน 6 แห่ง เป็นการกระตุ้นให้การท่องเที่ยวขยายตัวและสร้างรายได้ให้ประเทศมากขึ้น

ดร.สัณหวุฒิ เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลที่ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจทางทะเลของภูมิภาค เนื่องจากระยะหลังมีนักท่องเที่ยวนำเรือยอชต์มาท่องเที่ยวและจอดพักในไทยปีละกว่า 1,000 ลำ และในภาพรวม ตลาดก็มีความต้องการเรือยอชต์ในระดับราคาราว 10 ล้านบาทไปจนถึง 100 กว่าล้านบาท ปีละประมาณ 50-60 ลำ ดังนั้น ปี 2559 เอ็มจีซี มารีน จึงชูกลยุทธ์ให้ลูกค้าทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าถึงแบรนด์ได้มากขึ้น เน้นการนำเรือยอชต์รุ่นระดับราคาหลักสิบล้านบาทเข้ามาทำตลาด

“ปีที่แล้วเราจำหน่ายเรือยอชต์ขนาดกลาง-ใหญ่ ได้จำนวน 3 ลำ ส่วนปีนี้เราจะเปิดตัวเรือยอชต์ขนาด 40-50 ฟุต ราคาไม่เกิน 50 ล้านบาท ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะกับคนไทย คาดว่าปีนี้ยอดจำหน่ายเรือยอชต์เมื่อคิดเป็นลำ จะเติบโตจากปีก่อน 200-300%” หัวเรือใหญ่ของเอ็มจีซี มารีน บอก

ทว่า ดร.สัณหวุฒิ ก็ไม่ได้คาดการณ์ให้ธุรกิจเรือยอชต์เป็นตัวสร้างรายได้หลักให้ เอ็มจีซี-เอเชีย ซึ่งปีที่แล้วมีรายได้รวมกว่า 2.15 หมื่นล้านบาท จากธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ใหม่ รถยนต์มือสอง รถเช่า โบรกเกอร์ประกันภัย ฯลฯ และปีนี้ก็คาดหวังให้รายได้รวมขึ้นไปแตะ 2.5 หมื่นล้านบาท ส่วนหนึ่งเพราะเรือยอชต์ยังเป็นธุรกิจใหม่ของกลุ่ม ต้องใช้เวลาในการเติบโตและสร้างฐานให้แข็งแกร่ง

ถึงอย่างนั้น ผู้บริหารหนุ่มก็คาดหวังถึงรายได้ของเรือยอชต์ที่มากขึ้นในอนาคต ท่ามกลางผู้เล่นเจนคลื่นลมที่โลดแล่นอยู่หลายรายในท้องทะเล

<img class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/APRIL%202016/ART-news-01.png" alt="" />

<figure><img class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/APRIL%202016/ART-news-02.png" alt="" width="750" height="511" /><figcaption> Azimut S Collection ขนาด 86 ฟุต โฉมโฉมในน่านน้ำพร้อมดีไซน์การตกแต่งภายในที่โอ่โถง</figcaption></figure>

ภาพ: เอ็มจีซี-เอเชีย

<hr />

<a href="http://goo.gl/lvtWCi">พบบทความทางธุรกิจอันสร้างแรงบันดาลใจทางธุรกิจได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ APRIL 2016 ในรูปแบบ E-Magazine</a>

<a href="http://goo.gl/lvtWCi"><img class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/APRIL%202016/COVER-Resize.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events