<h2>นักธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของจีนนำเสนอ Unhappy Leave หรือ ‘การลาจนกว่าจะมีความสุข’ เพื่อช่วยให้พนักงานมี Work-Life Balance ที่ดีขึ้น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ระหว่างงาน Supermarket Week ของจีนประจำปี 2024 ช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Yu Donglai ผู้ก่อตั้งและประธานแห่ง Pang Dong Lai เชนค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลเหอหนาน ได้ประกาศอนุญาตให้พนักงานขอลาเพิ่มพิเศษ 10 วันได้&nbsp; &nbsp;&nbsp;“ผมอยากให้พนักงานทุกคนมีอิสระ ทุกคนมีช่วงเวลาที่ไม่มีความสุข ดังนั้นหากคุณกำลังไม่มีความสุข ก็อย่ามาทำงาน” Yu กล่าว โดยเขาต้องการให้พนักงานทุกคนสามารถเลือกเวลาพักผ่อนได้อย่างอิสระ และมีการพักผ่อนที่เพียงพอนอกเวลางาน&nbsp; &nbsp;&nbsp;“ฝ่ายบริหารไม่สามารถปฏิเสธการลาประเภทนี้ได้ด้วย การปฏิเสธถือเป็นการละเมิดกฎอย่างรุนแรง” เขาเสริม​&nbsp; &nbsp; แนวคิดเรื่อง Unhappy Leave ได้รับการสนับสนุนอย่างมากบนโลกโซเชียลจีน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ช่างเป็นหัวหน้าที่ดี และวัฒนธรรมองค์กรนี้ก็ควรเผยแพร่ไปให้ทั่วประเทศ” ผู้ใช้ Weibo ซึ่งเปรียบเสมือน Facebook ของจีนรายหนึ่งกล่าว&nbsp; &nbsp;&nbsp;อีกรายหนึ่งก็แสดงความคิดเห็นเชิงบวกเช่นกันว่า “ฉันอยากย้ายไปทำงานที่ Pang Dong Lai เลย ฉันว่าฉันคงมีความสุขและได้รับความเคารพที่นั่น”​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/7g1JMaGkSNWjFgx893uq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-file-name="7g1JMaGkSNWjFgx893uq.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจว่าด้วยความวิตกกังวลในที่ทำงานของจีนเมื่อปี 2021 เผยว่าพนักงานกว่า 65% รู้สึกเหนื่อยและไม่มีความสุขกับการทำงาน โดยค่าแรงน้อย ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอันซับซ้อน และวัฒนธรรมการทำงานล่วงเวลา ต่างเป็นปัจจัยหลักอันก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกด้านลบในที่ทำงาน&nbsp; &nbsp;&nbsp;ในเดือนมีนาคม 2023 ผู้ก่อตั้งและประธานแห่ง Pang Dong Lai ก็เคยประกาศว่าวัฒนธรรมองค์กรของหัวหน้าชาวจีนที่ผลักดันให้มีชั่วโมงการทำงานอันยาวนานถือเป็นความผิดร้ายแรง&nbsp; &nbsp;&nbsp;“การให้พนักงานทำงานเกินเวลานับว่าไร้จรรยาบรรณและละเมิดโอกาสในการเติบโตของผู้อื่น” Yu กล่าวในตอนนั้น&nbsp; &nbsp;&nbsp;นโยบายการจ้างงานของ Yu มีเงื่อนไขให้พนักงานทำงานเพียง 7 ชั่วโมงต่อวัน มีวันหยุดสุดสัปดาห์ มีวันลาพักผ่อนประจำปี 30-40 วัน และหยุด 5 วันช่วงตรุษจีน&nbsp; &nbsp;&nbsp;ส่วนอนาคตของบริษัท Yu เผยว่า “เราไม่ได้ต้องการจะยิ่งใหญ่ เราอยากให้พนักงานของเรามีสุขภาพดีและชีวิตที่ผ่อนคลาย บริษัทเองก็เช่นกัน”&nbsp; &nbsp;&nbsp;เขาบอกด้วยว่า ปรัชญาประจำ Pang Dong Lai คือ “อิสรภาพและความรัก” <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/ez3NcopMcRWHiahnXMAs.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ez3NcopMcRWHiahnXMAs.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp; &nbsp;&nbsp;เงินเดือนเฉลี่ยของพนักงานที่บริษัทแห่งนี้อยู่ที่ 7,000 หยวน (ราว 970 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 35,000 บาท) นับว่าสูง เพราะเงินเดือนเฉลี่ยของพนักงานห้างค้าปลีกในจีนอยู่ที่ราว 3,566 หยวนเท่านั้น อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ข่าวเกี่ยวกับกิจการค้าปลีกของจีน linkshop.com&nbsp; &nbsp;&nbsp;ในปีนี้ Pang Dong Lai ยังนำเสนอ Job-Level Certification System หรือ ‘ระบบรับรองระดับการทำงาน’ ซึ่ง Yu อธิบายว่า “กระทั่งภารโรงก็สามารถทำเงินได้ถึง 500,000 หยวนต่อปี หากทักษะความเป็นมืออาชีพของพวกเขาถึงเกณฑ์ที่กำหนด”&nbsp; &nbsp;&nbsp;แม้จะมีสาขาเพียง 13 แห่งในเมือง Xuchang และ Xinxiang ในมณฑลเหอหนาน แต่ Pang Dong Lai ก็ได้รับการยอมรับจากทั่วประเทศว่าเป็น ‘เพดานของอุตสาหกรรมจีน’ เนื่องด้วยมาตรฐานการบริการลูกค้าที่สูงและดำเนินมายาวนานถึง 29 ปี&nbsp; &nbsp;&nbsp;ซูเปอร์มาร์เก็ตของ Pang Dong Lai ยังมีตู้พักสัตว์เลี้ยงตรงทางเข้า พร้อมน้ำและอุปกรณ์ปรับอากาศสำหรับสัตว์เลี้ยง&nbsp; &nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมีบริการฟรีสำหรับลูกค้าอีกราว 100 รายการ เช่น การตรวจความดันโลหิต การล้างเครื่องปรับอากาศ และการซ่อมกระเป๋าถือ แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.scmp.com/news/people-culture/trending-china/article/3257179/not-happy-do-not-come-work-china-retail-tycoon-introduces-unhappy-leave-sparks-online-discussion?campaign=3257179&amp;module=perpetual_scroll_0&amp;pgtype=article" alt="‘Not happy, do not come to work’: China retail tycoon introduces ‘unhappy leave’, sparks online discussion">‘Not happy, do not come to work’: China retail tycoon introduces ‘unhappy leave’, sparks online discussion</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/chindahotpot-to-have-buffet-promotion" alt="หรือหม่าล่าสายพานจะไม่ฮิตแล้ว? ‘สุกี้จินดา’ เตรียมทำบุฟเฟต์ ประกาศจัดโปร 1 เดือน">หรือหม่าล่าสายพานจะไม่ฮิตแล้ว? ‘สุกี้จินดา’ เตรียมทำบุฟเฟต์ ประกาศจัดโปร 1 เดือน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไม่มีความสุขก็ไม่ต้องมาทำงาน บริษัทจีนปิ๊งไอเดีย Unhappy Leave ยกระดับคุณภาพชีวิตพนักงาน

<h2 class="p1">Blued แอพฯ หาคู่ชาวเกย์ ที่มุ่งเป้าในหมู่ชาวจีน วางแผนเปิดไอพีโอปีหน้า โดยบริษัทได้รับการประเมินมูลค่าไว้ถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ Blued มีแนวโน้มความเสี่ยงจากการควบคุมทางสังคมการเมืองในประเทศจีนเองและในประเทศอื่นๆ</h2>
Bloomberg รายงานว่า Blue City บริษัทผู้พัฒนาแอพฯ Blued อยู่ระหว่างเตรียมยื่นเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาช่วงปี 2020 โดยคาดว่าจะระดมทุนได้ 200 ล้านเหรียญ ทั้งนี้ แอพฯ Blued ซึ่งมีต้นกำเนิดในจีน เลือกเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพราะมีขั้นตอนการจดทะเบียนที่ง่ายกว่าและนักลงทุนก็กระเป๋าหนักกว่าในแดนมังกร
Blued นั้นเป็นแอพฯ หาคู่ที่มุ่งเป้ากลุ่มเกย์ชายและมีผู้ใช้ถึง 40 ล้านคน ซึ่งรายงานบางฉบับกล่าวถึงแอพฯ นี้ว่าเป็นแอพฯ หาคู่ของกลุ่มเกย์ที่ใหญ่ที่สุดในจีน
โดยนอกจากจะเป็นแอพฯ หาคู่ให้คนโสดแล้ว ยังมีฟังก์ชันให้คู่รักชาวเกย์สามารถจับคู่กับแม่อุ้มบุญในต่างประเทศได้ด้วย ฟังก์ชันใหม่นี้ถือเป็นการสร้างความหลากหลายที่สำคัญของ Blued ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้น


<figure><img class="wp-image-15869 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/geng_le_high_res-e1567576866581.jpg" alt="" width="800" height="517" /><figcaption> Geng Le ประธานกรรมการบริษัทและผู้ก่อตั้ง แอพพลิเคชั่น Blued โดย Geng Le เป็นชื่อที่เขาใช้ในห้องแชท ส่วนชื่อจริงของเขาคือ Ma Baoli</figcaption></figure>
อย่างไรก็ตาม ในอีกแง่หนึ่งแอพฯ Blued อาจต้องเผชิญความยากลำบากในการจูงใจนักลงทุนจากการเลือกจับกลุ่มเกย์ เนื่องจากในประเทศจีนนั้น แม้ว่ากฎหมายเอาผิดความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันจะถูกยกเลิกไปเมื่อปี 1997 แต่รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนก็ไม่ได้มีทัศนคติที่ดีนักต่อชุมชุม LGBTQ 
ล่าสุดรัฐบาลจีนยังมีการสั่งแบนละครโทรทัศน์ที่ฉายภาพความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน กระตุ้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วประเทศ ขณะที่ในอินโดนีเซีย Blued รวมถึงแอพฯ จับคู่กลุ่ม LGBTQ อื่นๆ ก็ถูกต่อต้านโดยรัฐและถูกตำรวจท้องถิ่นเพ่งเล็งชุมชนนี้
สำหรับการก่อตั้ง Blued นั้นเริ่มขึ้นโดย Geng Le ประธานกรรมการบริษัทผู้พัฒนาแอพฯ นี้ขึ้นในปี 2012 หลังจากที่เขาถูกบีบให้ลาออกจากอาชีพเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้ง Blued ระดมทุนสะสมไปแล้ว 130 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นอกจาก Blued แล้ว แอพฯ หาคู่ชื่อดังในหมู่เกย์ทั่วโลกอย่าง Grindr ก็มีบริษัทจีนเป็นเจ้าของเช่นกัน โดยบริษัท Beijing Kunlun Tech Co. เข้าซื้อหุ้น 60% ใน Grindr เมื่อปี 2016 จากนั้นพวกเขาซื้อหุ้นเพิ่มเป็น 80% ในปี 2018 
Grindr เองกำลังเตรียมแผนเปิดไอพีโออีกครั้ง หลังจากผ่านปัญหายุ่งยากเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามบีบให้ Beijing Kunlun Tech Co. ขายบริษัท Grindr เพราะกังวลประเด็นภัยความมั่นคงของชาติ เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลของชาวอเมริกันในแอพฯ นี้มีทั้งเรื่องรสนิยมทางเพศจนถึงข้อมูลการติดเชื้อเอชไอวีซึ่งอาจจะเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับแบล็กเมล์ได้
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.forbes.com/sites/lisettevoytko/2019/08/30/chinas-largest-gay-dating-app-reportedly-plans-ipo-for-1-billion-valuation/#7623544c47bd">China’s Largest Gay Dating App Reportedly Plans IPO For $1 Billion Valuation</a></li>
</ul>
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/technology/thailand/%e0%b8%aa%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%a5%e0%b8%99%e0%b9%8c%e0%b8%89%e0%b8%9a%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b8%9f%e0%b9%89.html">Blued สื่อรักออนไลน์ฉบับสีฟ้า</a></li>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/people/cover-story/bumble.html">BUMBLE กลเกมหาคู่พันล้าน</a></li>
</ul>

แอพฯ หาคู่ชาวเกย์ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน "Blued" เตรียมเปิดไอพีโอพันล้านปีหน้า

<h2 class="p1">Huawei มือสอง ในอังกฤษราคาร่วงหนัก เหลือเพียงเครื่องละ 100 ปอนด์ หลังสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ลุกลามต่อเนื่อง</h2>
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันการซื้อขายในตลาดสมาร์ทโฟนมีชีวิตชีวาไม่น้อย ผู้บริโภคเปลี่ยนมือถือเพื่ออัพเกรดสมาร์ทโฟนของตัวเองมากขึ้น ซึ่งในโลกอุดมคติ Samsung Apple และ Huawei ต้องการที่จะให้ผู้บริโภคอัพเกรดสมาร์ทโฟนเป็นประจำทุกปี เมื่อผู้ผลิตออกรุ่นใหม่ออกมา ผู้บริโภคก็มักต้องการรุ่นใหม่ๆ เสมอ ทำให้เกิดการขายสมาร์ทโฟนมือสองในราคาที่ถูกลง แต่นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ตลาดสมาร์ทโฟนมือหนึ่งอยู่ได้
แต่หนึ่งในเว็บไซต์ยอดนิยมในการซื้อขายสมาร์ทโฟนในสหราชอาณาจักรอย่าง <a href="https://www.musicmagpie.co.uk/">https://www.musicmagpie.co.uk/</a> นั้น พบว่า Samsung S10+ มือสองสภาพดี มีราคาขายอยู่ที่ 510 ปอนด์ ซึ่งถูกกว่าราคาสินค้ามือหนึ่งประมาณ 45% แต่ในเว็บไซต์เดียวกัน Huawei P30 Pro มือสองสภาพดี ปัจจุบันมีราคาอยู่ที่ 100 ปอนด์เท่านั้น ซึ่งถูกกว่าเครื่องมือหนึ่งถึง 90%
โดย Huawei P30 Pro เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ปลายไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไตรมาสที่ IDC รายงานว่า “ในมุมมองผู้ขายแล้ว Huawei นั้นโดดเด่นมาก มีตัวเลขยอดขายเติบโตดี เป็นที่ชัดเจนว่า Huawei ขยับขึ้นไปสู่สมาร์ทโฟนอันดับต้นๆ ของตลาด และบริษัทมีการเติบโตขึ้น 50% ต่อปี ทำให้ Huawei กำลังเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนที่โดดเด่นอันดับต้นๆ ของโลก”


<figure><img class=" wp-image-8046" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/p30pro02.jpg" alt="" width="809" height="607" /><figcaption> Huawei รุ่น P30 Pro</figcaption></figure>
แต่จากสงครามการค้าที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งลุกลามมาจนถึงกรณีของ Huawei ที่ส่งผลให้ Google และบริษัทอื่นประกาศระงับการให้บริการกับ Huawei ซึ่งทำให้เกิดข้อกังวลมากมายเกี่ยวกับการอัพเกรดซอฟต์แวร์ และความปลอดภัยของสมาร์ทโฟนจาก Huawei

<ul>
 	<li>คลิกอ่าน <a href="https://forbesthailand.com/news/global/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%B3-huawei.html">REN ZHENGFEI ผู้นำ HUAWEI ระบุ ใบอนุญาต 90 วันของสหรัฐฯ “แทบไม่มีความหมาย”</a></li>
</ul>
ขณะที่สมาร์ทโฟนรุ่นก่อนหน้าก็ประสบปัญหาไม่ต่างกัน หนังสือพิมพ์ Express ของสหราชอาณาจักร รายงานว่า “ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ คุณสามารถขาย P20 Pro ได้ในราคาราว 280 ปอนด์ แต่ปัจจุบันราคาลดลงมาเหลือเพียง 50 ปอนด์เท่านั้น ขณะที่สมาร์ทโฟนจาก Samsung รุ่นเรือธงของปี 2018 ยังขายได้ในราคา 235 ปอนด์ ซึ่งมากกว่ารุ่นที่ใหม่กว่าของ Huawei ด้วยซ้ำ”
นี่เป็นปัญหาระดับโลก เพราะแม้แต่การขยายตลาดในเอเชียซึ่งเป็นบ้านของ Huawei เองยังยาก
นอกจากนี้ Straits Times สื่อจากสิงคโปร์ รายงานว่า ตลาดสมาร์ทโฟน Huawei มือสอง เคยได้รับความนิยมอย่างมาก ส่วนปัจจุบันมีบางร้านที่ยังรับซื้อสมาร์ทโฟน Huawei มือสองอยู่ แต่รับซื้อในราคาที่ถูกลงกว่าเดิม ขณะที่บางร้านหยุดรับซื้อสินค้าทุกชนิดจาก Huawei รวมถึงผู้บริโภคก็เริ่มสนใจ Huawei น้อยลง ส่งผลให้ยอดขาย Huawei มือสองร่วงลงอย่างหนัก
Straits Times  รายงานเพิ่มเติมอีกว่า ร้านค้าปลีกรายหนึ่งระบุว่าได้เสนอราคาให้ลูกค้า 4-5 รายที่มาขาย Huawei P30 Pro มือ 2 ในราคา 100 เหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ราคาในห้างสรรพสินค้าอยู่ที่ 1,398 เหรียญสหรัฐฯ
ขณะที่อีกหลายเว็บไซต์ที่รับซื้อก็ให้ราคาไม่ต่างกันมาก เช่น เว็บไซต์ GiffGaff ให้ราคาเพียง 100 ปอนด์ เว็บไซต์ FoneWizard  ให้ราคาสูงขึ้นมานิดที่ 150 ปอนด์ และบางเว็บไซต์ย่าง Mazuma ไม่รับซื้อ โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
ด้านโฆษก Huawei ระบุเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า “บริษัทฯ จะยังให้บริการอัพเดตความปลอดภัย และบริการหลังการขายแก่ลูกค้า Huawei และ Honor รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ทั่วโลก บริษัทฯ จะยังคงสร้างระบบนิเวศซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยและยั่งยืนต่อไป เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทั่วโลก ซึ่งเรามั่นใจว่าสถานการณ์อันน่าเศร้าเช่นนี้แก้ไขได้ และเรายังคงให้ความสำคัญกับการมอบเทคโนโลยีระดับเวิลด์คลาสของเราให้กับผู้บริโภคต่อไป”
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.forbes.com/sites/zakdoffman/2019/05/26/huawei-price-shock-value-of-flagship-1150-p30-pro-comes-crashing-down-to-130/?utm_source=TWITTER&amp;utm_medium=social&amp;utm_term=Dottie%2F#d5e0c8215a9d">Huawei Price Shock: Value Of Flagship $1150 P30 Pro Comes Crashing Down To $130</a></li>
</ul>

สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ลุกลาม! Huawei มือสอง ในอังกฤษราคาร่วงหนัก

ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 มีการเติบโตแข็งแกร่งกว่าปี 2559 จากความต้องการที่อยู่อาศัยที่ขยายตัวต่อเนื่อง ยิ่งดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศมองเห็นโอกาสการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเฉพาะบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่จากจีน-ฮ่องกง หลั่งไหลเข้ามาลงทุนในปัจจุบันกลายเป็นผู้ลงทุนอันดับ 2 ของตลาดอสังหาฯ เมืองไทย

การเข้ามาของทุนต่างชาติในตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้นมีมานานหลายปีแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เป็นการเข้ามาลงทุนแบบเดี่ยวๆ หรือมีหุ้นส่วนคนไทยที่เป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเท่านั้น แต่ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนของทุนต่างชาติทั้งหลายมาเป็นแบบการร่วมทุนกับบริษัทผู้ประกอบการชาวไทยมากขึ้น โดยกลุ่มผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่นมีการเข้ามาลงทุนกับผู้ประกอบการไทยมากที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 2.52 แสนล้านบาท

ในปี 2560 มีกลุ่มทุนจากชาวต่างชาติเข้ามาร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทย พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากถึง 34 บริษัท มูลค่ากว่า 6.1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มทุนจากจีนและฮ่องกง 19 บริษัท มูลค่าโครงการ 3.3 แสนล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่มทุนจากญี่ปุ่น จำนวน 10 บริษัท มูลค่าโครงการร่วมทุน 2.5 แสนล้านบาท และสิงคโปร์ 5 บริษัท มูลค่ากว่า 3.1 หมื่นล้านบาท แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากลุ่มผู้ประกอบการจากประเทศจีนและจากฮ่องกงมีจำนวนมากขึ้น อีกทั้งมีการเข้ามาร่วมทุนกับทางผู้ประกอบการในประเทศไทยมากขึ้น จนมูลค่าการลงทุนรวมไปถึงมากกว่า 3.3 แสนล้านบาท จากทั้งหมด 19 บริษัท เป็นสัดส่วนมากที่สุด

<figure><img class="wp-image-2714 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/Artisan-Ratchada.jpg" alt="" width="638" height="367" /><figcaption> อาร์ติซาน รัชดา โครงการ คอนโดมิเนียมร่วมทุนระหว่าง ทีเอฟดี และไรส์แลนด์ ฮ่องกง มูลค่ารวม 6.2 พันล้านบาท</figcaption></figure>

จากในปี 2560 พบว่ากลุ่มทุนชาวต่างชาติเข้ามาร่วมกับผู้ประกอบการไทย พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากถึง 34 บริษัท มูลค่าค่ากว่า 6.1 แสนล้านบาท ในขณะที่บริษัทจากประเทศญี่ปุ่นมีที่เข้ามาร่วมทุนหรือว่าลงทุนในประเทศไทยแล้วประมาณ 10 บริษัทมูลค่าโครงการร่วมทุน 2.5 แสนล้านบาท และสิงคโปร์ 5 บริษัท มูลค่ากว่า 3.1 หมื่นล้านบาท

ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนให้กลุ่มทุนจีนมีการขยายการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะขยายลงมาทางตอนล่างอย่างกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุด ตาม Belt and Road Initiative และประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่นักลงทุนแดนมังกรต้องการเข้ามาลงทุน ทั้งทางการลงทุนโดยตรง การเข้ามาซื้อกิจการ การมาตั้งสำนักงานใหญ่ที่เมืองไทย

นอกจากนี้ มองว่าประเทศไทยมีศักยภาพในระยะยาว แม้กำลังซื้อคนไทยจะลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ในระยะยาวเศรษฐกิจไทยจะกลับมาดีขึ้น อีกทั้งประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติทั่วโลก มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวปีละไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคน รวมถึงการที่ชาวต่างชาติสามารถถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมได้ถึง 49% ของพื้นที่ขาย เทียบกับภูมิภาคเอเชียอสังหาฯ ไทยยังมีราคาไม่สูง และมีศักยภาพที่จะให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นอีก ก็เป็นอีกปัจจัยบวกในการดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยซึ่งมีผลต่อเนื่องให้ผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยต่อเนื่อง

<img class="alignnone size-full wp-image-2705" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/อสังหาริมทรัพย์จีน-ร่วมทุน.jpg" alt="" width="638" height="363" />
<h2>จีนสนใจซื้อลงทุนมากกว่าอยู่เอง</h2>
บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากต่างประเทศทยอยเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นทุกปีๆ โดยเฉพาะจากประเทศจีนหรือว่าเป็นนักลงทุนสัญชาติจีนที่ใช้ภาษาจีนกลางเป็น 1 ในภาษาหลักเช่น ฮ่องกง ไต้หวัน เป็นต้น ก่อนหน้านี้อาจจะมีจำนวนไม่มากนัก และเป็นการร่วมทุนแบบรายโครงการพัฒนาร่วมกับผู้ประกอบการไทยเป็นรายโครงการจบโครงการแล้วก็จบการร่วมมือกันไปจำนวนของผู้ประกอบการและนักลงทุนสัญชาติจีนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องนี้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของผู้ซื้อชาวจีนในตลาดคอนโดมิเนียมในประเทศไทย (อ้างอิงจากรายงานธนาคารแห่งประเทศไทย) เพราะตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา ที่ตลาดคอนโดมิเนียมในประเทศไทยมีสัดส่วนของผู้ซื้อคอนโดมิเนียมจากประเทศจีนมากกว่าผู้ซื้อชาติอื่นๆ แบบชัดเจน ซึ่งเป็นการเข้ามาซื้อเพื่อลงทุนมากกว่าซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองเพราะในประเทศจีนนั้นจะโดนบังคับไม่ให้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้แบบอิสระเมื่อเทียบกับในประเทศไทย

จากการสำรวจโดย Juwai.com กรุงเทพฯ ได้รับการจัดให้เป็นอันดับ 2 ของตลาดอสังหาฯ ที่ดึงดูดที่สุดสำหรับผู้ซื้อชาวจีนที่สนใจอสังหาฯ ต่างชาติทั้งจากความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวการเป็นหนึ่งในสถานที่เป้าหมายหลักภายใต้นโยบายOne Belt One Road ของจีน ตลอดจนราคาอสังหาฯ ที่ยังปรับขึ้นต่อเนื่อง

<figure><img class="wp-image-2713 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/3-1.jpg" alt="" width="637" height="375" /><figcaption> โครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ คอนเซปท์ Lake Resort โครงการร่วมทุนแรกระหว่าง พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และฮ่องกง แลนด์</figcaption></figure>

แนวโน้มเช่นนี้ทีท่าให้ผู้ประกอบการจากประเทศจีนเอง ก็เล็งเห็นถึงกำลังซื้อของชาวจีนที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน อีกทั้งผู้ประกอบการจากประเทศจีนเองก็ได้รับผลกระทบจากการควบคุมของรัฐบาลจีนเช่นกัน จึงเริ่มขยับขยายออกไปนอกประเทศมากขึ้น โดยผู้ประกอบการชาวจีนนั้นเลือกเข้ามาลงทุนในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะยังเป็นรองฮ่องกง สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลียแต่ก็มากกว่าสหภาพยุโรป อาจจะเพราะว่ากลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียนเพิ่งเริ่มขยายตัว มูลค่าการลงทุนจึงไม่สูงมากนักแต่ก็มีแนวโน้มมากขึ้นแน่นอนในอนาคตแรงซื้อจีนหนุนอสังหาฯ ไทยเติบโตการที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่สูงมากเป็น

อีกปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้ซื้อจากประเทศจีนเข้ามาในภูมิภาคอาเซียนรวมทั้งประเทศไทยต่อเนื่อง ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย เพราะมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่จะอาศัยการมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพื่อการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีแนวโน้มที่มากขึ้นเรื่อยๆ ตามการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย และก็อาจจะเป็นการดึงดูดผู้ประกอบการชาวจีนให้เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้นในอนาคต จากที่ปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 19 บริษัท

แต่ก็มีบางรายที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่อีกทั้งยังมีบริษัทพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของประเทศจีนอีกหลายรายที่มีรายได้ต่อปีเกินล้านล้านบาทอาจจะเข้ามาในประเทศไทยในอนาคตซึ่งแน่นอนว่าถ้าผู้ประกอบการกลุ่มนี้เข้ามาจะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เพราะผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีบริษัทที่ประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และเป็นที่รู้จักของผู้ซื้อชาวจีนอยู่แล้วในช่วงปี 2560-2561 ยอดการซื้อตลาดคอนโดมิเนียมในไทย คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำว่าแสนล้านบาทแล้วโดยเฉพาะปีที่ผ่านมาชาวต่างชาติเข้าซื้อสูงถึง 7.6 หมื่นล้านบาทในจำนวนดังกล่าว แบ่งเป็นชาวจีน- ฮ่องกงมากที่สุด 2.3 หมื่นล้านบาท รองลงมาเป็นสิงคโปร์อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน และญี่ปุ่น ตามลำดับ

เรื่อง: กัญสุชญา สุวรรณคร

<hr />

<a href="http://www.aisbookstore.com/Shop/Magazine/FORBES/5de2ed1e-2888-4142-ab98-7364e58825e1">คลิกอ่านครบทุกเรื่องราวจาก  "เปิดวิเคราะห์อสังหาฯ สุดหรูในเมืองไทย Luxurious Living นิยามแห่งชีวิตเหนือระดับ"  ForbesLife Thailand ฉบับพิเศษ November 2018 </a>

<img class="alignnone wp-image-2100 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/forbeslife-thailand--252x300.jpg" sizes="(max-width: 252px) 100vw, 252px" srcset="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/forbeslife-thailand--252x300.jpg 252w, http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/forbeslife-thailand--768x916.jpg 768w, http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/forbeslife-thailand-.jpg 800w" alt="" width="252" height="300" />

&nbsp;

คลื่นทุนจีนผนึกอสังหาฯ ไทยผุดคอนโดฯ - โรงแรมกว่า 3.3 แสนล้านบาท

<h2>คิง ไว กรุ๊ป (KWG) บริษัทอสังหาฯ-การเงินจากเกาะฮ่องกงซุ่มวางมาสเตอร์แพลนโครงการสมาร์ทซิตี้ขนาด 2,000 ไร่ ใน จ.ฉะเชิงเทรา รับนโยบายอีอีซี พร้อมรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับบนในกรุงเทพฯ เปิดตัวคอนโดมิเนียมแห่งแรก "S61" ย่านเอกมัย</h2>
Henry Chan รองประธานกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KWG เปิดเผยว่า KWG ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในจีนมาตั้งแต่ปี 2525 ปีนี้บริษัทได้เริ่มต้นขยายการลงทุนในประเทศไทยแล้วในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งโครงการ Mixed-use ขนาดใหญ่ในต่างจังหวัด และโครงการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ

ทั้งนี้ KWG เริ่มเข้ามาลงทุนในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2559 ผ่านการซื้อหุ้นทั้งหมดใน บริษัท เคปเปล ไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หลังจากนั้นรุกสู่ธุรกิจการเงิน โดยใช้ KWG เข้าซื้อหุ้น 98% ใน บริษัท คิว บี อี อินชูแรนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด แล้วจึงเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท คิง ไว ประกันภัย จำกัด เพื่อทำธุรกิจประกันวินาศภัยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

<figure><img class="wp-image-2230" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/008_7152.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> Henry Chan รองประธานกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการแรกของบริษัทในไทย S61 Sukhumvit by KWG</figcaption></figure>

Chan กล่าวว่า KWG ต้องการขยายการลงทุนเข้ามาในไทยตามนโยบาย One Belt, One Road ของประเทศจีน และเลือกไทยเป็นศูนย์กลางการขยายตัวของบริษัทในภูมิภาคอาเซียนจากศักยภาพบุคลากรไทยที่มีความสามารถ และค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ

โดยบริษัทเตรียมการลงทุนเมกะโปรเจกต์ 2 แห่ง ซึ่ง KWG ได้จัดซื้อที่ดินเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ ที่ดิน 2,000 ไร่ใน จ.ฉะเชิงเทรา และ ที่ดิน 2,600 ไร่ ใน จ.พระนครศรีอยุธยา

&nbsp;
<h2>สมาร์ทซิตี้ ที่อยู่อาศัย-แหล่งงาน-ท่องเที่ยว</h2>
Chan กล่าวต่อว่า พื้นที่ 2,000 ไร่ใน จ.ฉะเชิงเทรา นั้น บริษัทกำลังออกแบบมาสเตอร์แพลนเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ดอีอีซี) และคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (บอร์ดสมาร์ทซิตี้)

โดยคอนเซปท์โครงการนั้นจะให้สอดรับกับนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 เป็นเมืองใหม่ที่เหมาะสมกับการทำงาน ไลฟ์สไตล์ และอยู่อาศัย (work-play-live) ภายในโครงการจะมีที่อยู่อาศัยที่ตอบสนองสังคมผู้สูงอายุ ศูนย์เวลเนสและสุขภาพ สถาบันการศึกษา และมีกิจกรรมความบันเทิงเพื่อการท่องเที่ยว ได้แก่ สวนสนุกธีมปาร์คและห้างสรรพสินค้า

สำหรับการยกระดับให้เป็นสมาร์ทซิตี้นั้น KWG จะออกแบบให้ตรงกับแนวนโยบายสมาร์ทซิตี้ 8 องค์ประกอบที่รัฐบาลไทยกำหนด

ส่วนโครงการ Mixed-use ขนาดใหญ่ 2,600 ไร่ในอยุธยา กำหนดให้เป็นเมืองการศึกษาเป็นหลัก โดยจะมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาจากประเทศจีนในอนาคต

<figure><img class="size-full wp-image-2231" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/经纬城市绿洲.jpg" alt="" width="741" height="516" /><figcaption> King Wai Oasis Shanghai เมกะโปรเจ็กต์ของ คิง ไว กรุ๊ป ในจีน (PHOTO CREDIT: meitesh.com)</figcaption></figure>

Chan กล่าวว่า บริษัทมีความพร้อมและความเข้าใจการพัฒนาเมืองใหม่เหล่านี้ จากประสบการณ์ของ KWG ที่เคยพัฒนาเมืองขนาดใหญ่ในจีนมาก่อน เช่น King Wai Oasis Shanghai พื้นที่ 1.8 ล้านตร.ม. ซึ่งเป็นโครงการ Mixed-use เน้นด้านเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมและบริษัทกำลังจะทดลองระบบรถยนต์ไร้คนขับในเมืองเร็วๆ นี้ หรือโครงการ King Wai Hongqiao CBD Core ใน Shanghai ขนาด 3.3 แสนตร.ม. ที่ใช้เป็นศูนย์จัดงานแสดงสินค้าและเชื่อมต่อธุรกิจด้านนำเข้าส่งออก IMX International Trade and Exhibition Centre ระดับประเทศของจีน

อย่างไรก็ตาม KWG ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกของเมกะโปรเจกต์ในไทยรวมถึงมูลค่าโครงการทั้งหมด แต่คาดว่าเฟสแรกของโครงการในฉะเชิงเทราจะชูโรงด้านการท่องเที่ยวด้วยสวนสนุกธีมปาร์ก ห้างสรรพสินค้า และศูนย์สุขภาพ

&nbsp;
<h2>เจาะคอนโดฯ ตลาดบนสุขุมวิท-พระราม 4</h2>
ด้านแผนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ปี 2561 KWG มีการเปิดขายโครงการแนวราบ วิลล่า อะคาเดีย ศรีนครินทร์ และ วิลล่า อะคาเดีย วัชรพล เป็นโครงการต่อเนื่องจากการเทกโอเวอร์บริษัท เคปเปลฯ

ในขณะที่วิสัยทัศน์การพัฒนาโครงการของ KWG เอง Dave Keung ประธานฝ่ายบริหาร บริษัท คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเลือกเน้นโครงการคอนโดมิเนียมระดับบน ราคาเฉลี่ย 1.5-2.5 แสนบาทต่อตร.ม. ในทำเลกลางเมือง เนื่องจากมองว่าซัพพลายคอนโดฯ ปี 2560-61 ร้อยละ 50 เป็นการพัฒนาในย่านนอกเมืองและเป็นคอนโดฯ ราคาต่ำกว่า 1.5 แสนบาทต่อตร.ม. จึงมองว่าคอนโดฯ ระดับบนในเมืองน่าจะมีโอกาสที่ดีกว่า

<figure><img class="wp-image-2232" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/1-Headshot.jpg" alt="" width="800" height="450" /><figcaption> สิ่งอำนวยความสะดวกบนดาดฟ้า โครงการ S61</figcaption></figure>

ทำให้ KWG เลือกเปิดตัวโครงการแรก S61 Sukhumvit by KWG คอนโดฯ low rise ในซอยสุขุมวิท 61 ทำเล 600 เมตรจากสถานีบีทีเอสเอกมัย ที่ดิน 1 ไร่ จำนวน 126 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ออกแบบห้องชุดฟังก์ชัน 1-3 ห้องนอนและเพ้นท์เฮ้าส์ พื้นที่ใช้สอย 40-160 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.92 แสนบาทต่อตร.ม. หรือ 7.69 ล้านบาทต่อยูนิต เริ่มพรีเซลวันที่ 1 ธันวาคม 2561

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแลนด์แบงก์พร้อมพัฒนาโครงการแนวสูงอีก 2 แปลง บริเวณซอยสุขุมวิท 31 ที่จะพัฒนาเป็นอาคาร low rise และบริเวณริมถนนพระราม 4 ทำเลติดกับโรงแรมมณเฑียร ห่างจากสถานีเอ็มอาร์ทีสามย่าน 250 เมตร ซึ่งจะพัฒนาเป็นคอนโดฯ high rise ทั้งนี้ 2 โครงการดังกล่าวเตรียมพัฒนาภายในปี 2562

<figure><img class="wp-image-2233" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/3-40sqm-01-copy.jpg" alt="" width="800" height="450" /><figcaption> ภาพห้องตัวอย่างพื้นที่ใช้สอย 40 ตร.ม.</figcaption></figure>

คิง ไว กรุ๊ปผุด "สมาร์ท ซิตี้" 2,000 ไร่รับอีอีซี รุกตลาดคอนโดฯ หรูกรุงเทพฯ

DJI หรือ Da-jiang Innovations Science and Technology ก่อตั้งในปี 2006 และใช้เวลาน้อยกว่าสิบปีในการขึ้นเป็นผู้ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 70% ของอากาศยานไร้คนขับหรือ “โดรน” ทั่วโลก จนถึงปี 2017 นี้ตัวเลขมาร์เก็ตแชร์ของ DJI ก็ยังคงแรงดีไม่มีตก ขณะที่ Frank Wang หรือ Wang Tao ผู้ก่อตั้ง ติดอันดับที่ 11 ของ<a href="http://www.forbesthailand.com/leaderboard-detail.php?did=1769">มหาเศรษฐีโลกวัยต่ำกว่า 40 ปี</a> จัดอันดับโดย Forbes ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ

Forbes Thailand ได้รับเทียบเชิญจากธนาคารกสิกรไทยในโอกาสที่ KBank ได้รับอนุญาตจัดตั้งเป็นธนาคารท้องถิ่นของจีน ในครั้งนี้กสิกรไทยนำทัพผู้สื่อข่าวเยี่ยมชมโชว์รูมโดรน ณ สำนักงานใหญ่ DJI เมือง Shenzhen ประเทศจีน บริษัทผลิตโดรนที่สร้างยอดขายได้ปีละกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/71050de2e078ae675c2c909233d5c5cd.png" alt="โชว์รูม DJI" width="680" height="453" /><figcaption> ภายในโชว์รูมโดรน ณ สำนักงานใหญ่ของ DJI เมือง Shenzhen</figcaption></figure>

<a href="http://www.forbesthailand.com/technology-detail.php?did=572">Frank Wang </a>ก่อตั้งบริษัทในฐานะสตาร์ทอัพตั้งแต่ปี 2006 ด้วยความคลั่งไคล้ในอากาศยานไร้คนขับ เขาเริ่มสร้างโดรนตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาที่ Hong Kong University of Science and Technology และใช้เวลาเพียง 9 ปีขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดโดรนทั่วไปและโดรนเชิงพาณิชย์ระดับโลก ทุกสปอตไลต์ต่างหันมาจับจ้องหนุ่มชาวจีน อภิมหาเศรษฐีคนใหม่

จนถึงปี 2017 DJI แผ่ขยายอาณาจักรไปทั่วโลก บริษัทของ Wang มีสำนักงานใหญ่ที่ Shenzhen ประเทศจีน และมีสำนักงานอีก 17 แห่งใน 6 ประเทศ คือ จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, เนเธอร์แลนด์, เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา ซึ่งสหรัฐฯ ถือเป็นแหล่งเงินสำคัญสำหรับโดรนเชิงพาณิชย์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทำภาพยนตร์ เพราะเป็นที่ตั้งของ Hollywood ปัจจุบัน DJI มีบุคลากรรวม 11,000 คน แต่ยังคงตั้งฐานผลิตแห่งเดียวที่ Shenzhen เพื่อความคล่องตัวในการทดลองผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ

<figure><img style="width: 680px; height: 500px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/3c856332d3b8a6f3559c61031d150154.png" alt="โดรน DJI" width="680" height="500" /><figcaption> พนักงาน DJI ทดสอบการบินของโดรนรุ่น Phantom ให้ชม</figcaption></figure>

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d3674a1fc61795483806a6b9607fb085.png" alt="ระบบ Active Track โดรน DJI" width="680" height="453" /><figcaption> ระบบ Active Track บินติดตามวัตถุที่ต้องการถ่าย</figcaption></figure>

ฝ่ายสื่อสารของ DJI ผู้นำเยี่ยมชมโชว์รูม อธิบายว่า DJI มีการพัฒนาโดรนออกมาทั้งหมด 8 รุ่น และยังมีอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น แว่น DJI Goggles ให้ผู้สวมใส่สามารถมองภาพผ่านกล้องของโดรนได้แบบ real time, Osmo อุปกรณ์สำหรับช่วยให้มือถือถ่ายวิดีโอได้สวยงามและเป็นมืออาชีพ, Ronin เครื่องมือช่วยให้การถ่ายวิดีโอของกล้องมืออาชีพในลักษณะ hand-held เรียบลื่นมากขึ้น รวมถึงกล้องสำหรับติดตั้งกับโดรนมืออาชีพ (Professionals) อีกหลายรุ่น

<figure><img style="width: 350px; height: 525px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/51c3502a56d94401d78943832aa08ee5.png" alt="Goggles โดรน DJI" width="350" height="525" /><figcaption> แว่น DJI Goggles</figcaption></figure>

ย้อนกลับไปมองประวัติการเติบโตที่ผ่านมา DJI เริ่มทำรายได้เป็นกอบเป็นกำเมื่อปี 2013 หลังจากโดรนรุ่น Phantom 1 ออกสู่ตลาด ปีนั้นรายได้ของ DJI พุ่งจาก 26 ล้านเหรียญสหรัฐเป็น 130 ล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2015 เมื่อโดรนรุ่น Phantom 3 วางขายในตลาดก็กลายเป็นแรงส่งให้รายได้ของ DJI ทะยานไปถึง 920 ล้านเหรียญสหรัฐ

ความพิเศษของรุ่น Phantom ถือเป็นโดรนสำหรับผู้ใช้ระดับทั่วไป (Consumer) แต่มีศักยภาพสูงจากความละเอียดภาพ 20 ล้านพิกเซล จึงทำให้ผู้ใช้มืออาชีพมีการนำไปใช้เชิงธุรกิจบางประเภท อาทิ ถ่ายภาพมุมสูงของอสังหาริมทรัพย์, สำรวจฟาร์มสัตว์ซึ่งมีขนาดใหญ่ ช่วยให้การตรวจตรารักษาทำได้ง่ายกว่าการใช้แรงงานคน

ฝ่ายสื่อสารของ DJI เปิดเผยว่า รุ่นที่ขายดีที่สุดของ DJI ปัจจุบันนี้คือ Phantom รุ่นสูงสุดของระดับผู้ใช้ทั่วไป, Mavic โดรนที่สามารถพับเก็บได้ และ Spark โดรนรุ่นเล็กสุดเหมาะกับการพกพาท่องเที่ยว

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/229c58df84d9ad75b9af72e227a33bd8.png" alt="โดรน DJI" width="680" height="617" /><figcaption> (บน) รุ่น Mavic (ล่าง) รุ่น Spark อีกสองรุ่นที่ขายดีที่สุดของ DJI ร่วมกับรุ่น Phantom</figcaption></figure>

ภารกิจสูงสุดของ DJI คือการพัฒนา Aerial Solution ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะแค่การถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ อีกต่อไป หลังจากเมื่อปี 2015 DJI พัฒนาโดรนเพื่อการเกษตรขึ้น โดยมองว่าโดรนสามารถนำมาประยุกต์ใช้ทำหน้าที่แทนคนได้ในงานที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของมนุษย์ ตัวอย่างงานของโดรนสำหรับเกษตรกรรม เช่น ใช้พ่นยาฆ่าแมลงในไร่นา ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาชาวนาชาวสวนของจีนที่เจ็บป่วยเนื่องจากยาฆ่าแมลงปีละกว่า 5 แสนราย

<figure><img style="width: 680px; height: 434px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/470ae745768a32dac5f4f7d4a3148b4b.png" alt="โดรน DJI" width="680" height="434" /><figcaption> โดรนเพื่อการเกษตร ติดถังใส่ยาฆ่าแมลง</figcaption></figure>

DJI ยังมีกรณีตัวอย่างของการส่งโดรนที่ถ่ายวิดีโอคุณภาพสูง ความละเอียดคมชัดระดับ 4K ว่าสามารถใช้ในงานกู้ภัยได้ด้วย โดยเป็นผู้ช่วยมนุษย์เข้าไปสำรวจความเสียหายในพื้นที่เข้าถึงยาก เช่น เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ ทำให้มนุษย์เตรียมวัสดุซ่อมแซมได้ตั้งแต่ก่อนขึ้นไปบนเสาส่งสัญญาณ หรือใช้สำรวจเส้นทางการเข้าไปกู้ภัย ทำให้ลดความเสี่ยงต่อชีวิตมนุษย์ เตรียมอุปกรณ์ล่วงหน้าได้ถูกต้อง และลดระยะเวลาการทำงาน ในทำนองเดียวกัน โดรนยังมีประโยชน์มากในปัญหาอุทกภัย เพราะสามารถขนส่งเครื่องยังชีพให้กับผู้ประสบภัยได้ทุกพื้นที่ที่คนเข้าถึงยากและไปได้รวดเร็วกว่า

จากวันที่ Frank Wang พัฒนาโดรน มันยังถูกมองเป็น “ของเล่น” และผูกติดอยู่กับงานภาพและวิดีโอ แต่วันนี้จนถึงอนาคต โดรนอาจจะมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมต่างๆ มากกว่าที่เคยคาดคิด

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events