เสียวหมี่ คอร์เปอเรชัน (Xiaomi) หนึ่งในบริษัทด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีชั้นนำจากประเทศจีน เผยผลการดำเนินงานไม่สอบทานสำหรับ 3 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 (ไตรมาส 1 ปี 2567) มีรายได้รวมของกลุ่มธุรกิจอยู่ที่ 7.55 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้น 27% YoY โดยเป็นผลกำไรสุทธิ 6.5 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 100.8% YoY
สัญญาณการเติบโตที่รวดเร็วนี้เป็นผลมาจากการดำเนินการตามกลยุทธ์การดำเนินงานหลักที่ ‘มุ่งเน้นทั้งขนาดและความสามารถในการทำกำไรควบคู่กัน’ อย่างมีประสิทธิภาพใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ สมาร์ทโฟน, อุปกรณ์ Internet of Things (IoT) และไลฟ์สไตล์ รวมถึงบริการอินเทอร์เน็ต อีกทั้งยังมรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ล่าสุดและมีเสียงตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค
ในระยะยาวนั้น ความสามารถในการทำกำไรของเสี่ยวหมี่ในรกิจหลักยังคงแข็งแกร่ง บริษัทฯ มีเงินสดจำนวนมากถึง 1.27 แสนล้านหยวน เอื้อต่อการสนับสนุนด้านนวัตกรรมและการพัฒนารถ EV
กลยุทธ์ยกระดับผลิตภัณฑ์สู่สากล
แรงผลักดันจากกลยุทธ์ผลักดันสู่ตลาดสากล (Globalization) และยกระดับการบริโภค (Premiumization) ส่งผลให้ยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนทั่วโลกของเสียวหมี่เพิ่มขึ้น 33.7% YoY หรือเป็นตัวเลข 40.6 ล้านเครื่อง เติบโตติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สาม
ความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจสมาร์ทโฟนนั้นปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตรากำไรขั้นต้นของไตรมาส 1 ประจำปีนี้อยู่ที่ 14.8% ส่วนแบ่งการตลาดของเสียวหมี่ในการขายสมาร์ทโฟนในกลุ่มราคา 5,000 ถึง 6,000 หยวนในจีนแผ่นดินใหญ่สูงถึง 10.1% ในช่วงเวลาดังกล่าว
นอกจากนี้ สัดส่วนยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมทั่วโลกของเสียวหมี่ยังทำนิวไฮในไตรมาส 1 โดยคิดเป็น 21.7% ของยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนทั้งหมด สะท้อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดสำคัญต่างๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ละตินอเมริกา แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ยอดขายอุปกรณ์ IoT และไลฟ์สไตล์ทำนิวไฮ
ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ยอดขายผลิตภัณฑ์ IoT และไลฟ์สไตล์ของเสี่ยวหมี่ก็ทำสถิติใหม่เช่นกัน รายได้เพิ่มขึ้น 21% YoY เป็น 2.04 หมื่นล้านหยวน อัตรากำไรขั้นต้นก็เพิ่มขึ้นเป็น 19.9% YoY โดยรายได้จากเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะขนาดใหญ่ภายในบ้านเติบโตกว่า 46% YoY ยอดจัดส่งเครื่องปรับอากาศสูงขึ้นกว่า 690,000 เครื่อง ยอดจัดส่งตู้เย็นสูงขึ้นกว่า 530,000 เครื่อง และยอดจัดส่งเครื่องซักผ้าสูงขึ้นกว่า 360,000 เครื่อง
ทิศทางการเติบโตของผลิตภัณฑ์ทุกประเภทยังคงแข็งแกร่ง จากข้อมูลของ IDC ยอดจัดส่งแท็บเล็ตของเสียวหมี่ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 93% YoY อุปกรณ์สวมใส่ของเสียวหมี่ยังเป็นที่ยอมรับในระดับโลก โดยหูฟังเอียร์บัด TWS มียอดจัดส่งอันดับ 1 ในจีน และเป็นอันดับ 2 ทั่วโลก
บริการอินเทอร์เน็ตเติบโตทั่วโลก
ในช่วงเวลา 3 เดือนแรกซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 บริการอินเทอร์เน็ตของเสียวหมี่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยมีรายได้ถึง 8 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 14.5% YoY อัตรากำไรขั้นต้นของบริการอินเทอร์เน็ตสูงถึง 74.2% จำนวนผู้ใช้งานต่อเดือนของกลุ่มธุรกิจทั่วโลกและในจีนแผ่นดินใหญ่ต่างทำสถิติสูงสุด โดยในเดือนมีนาคม 2567 จำนวนผู้ใช้งานต่อเดือนทั่วโลกแตะ 658.1 ล้าน เจำนวนผู้ใช้งานต่อเดือนในจีนแผ่นดินใหญ่แตะ 160.4 ล้าน
นอกจากนี้ เสียวหมี่ยังเสริมสร้างความร่วมมือระดับโลกอย่างแข็งขัน ในไตรมาส 1 รายรับจากบริการอินเทอร์เน็ตในต่างประเทศสูงถึง 2.5 พันล้านหยวน ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์และคิดเป็น 31.2% ของรายรับจากบริการอินเทอร์เน็ตทั้งหมด
เพิ่มกำลังผลิตรถ EV อัจฉริยะ ตั้งเป้าแสนคันปีนี้
การเปิดตัว Xiaomi SU7 Series รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของเสียวหมี่อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2567 นับเป็นการเติมเต็มกลยุทธ์ ‘คนxรถยนต์xบ้าน’ ของกลุ่มธุรกิจ ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 215,900 หยวน ทำให้ได้รับความสนใจในวงกว้าง ตามมาด้วยยอดสั่งซื้อมหาศาล ซึ่ง ณ เวลา 10.00 น. วันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ตามเวลาปักกิ่ง มียอดส่งมอบรถ EV ของเสียวหมี่สะสมถึง 10,000 คัน
เสียวหมี่ตั้งเป้าส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าใหม่มากกว่า 100,000 คันในปี 2567 ตอกย้ำความมั่นใจถึงขีดความสามารถในการแข่งขันและกำลังการผลิต โดยเสียวหมี่เตรียมขยายกำลังผลิตในเดือนมิถุนายนนี้ และยังวางแผนขยายเครือข่ายการขาย 219 แห่งครอบคลุม 46 เมือง พร้อมศูนย์บริการ 140 แห่งครอบคลุม 86 เมืองภายในสิ้นปีนี้
ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีที่กระโจนเข้าร่วมธุรกิจผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เสียวหมี่เตรียมดึงจุดแข็งด้านนวัตกรรมอัจฉริยะผนึกกำลังกับการลงทุนในเทคโนโลยีหลักที่เป็นรากฐานในอุตสาหกรรม EV และก้าวขึ้นเป็นผู้นำภายในปี 2563-2573 ทางบริษัทฯ เผยค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาประจำไตรมาสแรกของปีนี้ที่ 5.2 พันล้านหยวน โดยมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเสียวหมี่เอง
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘มาลี กรุ๊ป’ คืนบัลลังก์แชมป์น้ำผลไม้พรีเมียม ยอดขายปี 66 ทะลุ 7,800 ล้าน
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine