คลื่นทุนจีนผนึกอสังหาฯ ไทยผุดคอนโดฯ - โรงแรมกว่า 3.3 แสนล้านบาท - Forbes Thailand

คลื่นทุนจีนผนึกอสังหาฯ ไทยผุดคอนโดฯ - โรงแรมกว่า 3.3 แสนล้านบาท

FORBES THAILAND / ADMIN
16 Dec 2018 | 11:30 AM
READ 8394
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 มีการเติบโตแข็งแกร่งกว่าปี 2559 จากความต้องการที่อยู่อาศัยที่ขยายตัวต่อเนื่อง ยิ่งดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศมองเห็นโอกาสการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเฉพาะบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่จากจีน-ฮ่องกง หลั่งไหลเข้ามาลงทุนในปัจจุบันกลายเป็นผู้ลงทุนอันดับ 2 ของตลาดอสังหาฯ เมืองไทย การเข้ามาของทุนต่างชาติในตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้นมีมานานหลายปีแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เป็นการเข้ามาลงทุนแบบเดี่ยวๆ หรือมีหุ้นส่วนคนไทยที่เป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเท่านั้น แต่ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนของทุนต่างชาติทั้งหลายมาเป็นแบบการร่วมทุนกับบริษัทผู้ประกอบการชาวไทยมากขึ้น โดยกลุ่มผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่นมีการเข้ามาลงทุนกับผู้ประกอบการไทยมากที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 2.52 แสนล้านบาท ในปี 2560 มีกลุ่มทุนจากชาวต่างชาติเข้ามาร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทย พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากถึง 34 บริษัท มูลค่ากว่า 6.1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มทุนจากจีนและฮ่องกง 19 บริษัท มูลค่าโครงการ 3.3 แสนล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่มทุนจากญี่ปุ่น จำนวน 10 บริษัท มูลค่าโครงการร่วมทุน 2.5 แสนล้านบาท และสิงคโปร์ 5 บริษัท มูลค่ากว่า 3.1 หมื่นล้านบาท แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากลุ่มผู้ประกอบการจากประเทศจีนและจากฮ่องกงมีจำนวนมากขึ้น อีกทั้งมีการเข้ามาร่วมทุนกับทางผู้ประกอบการในประเทศไทยมากขึ้น จนมูลค่าการลงทุนรวมไปถึงมากกว่า 3.3 แสนล้านบาท จากทั้งหมด 19 บริษัท เป็นสัดส่วนมากที่สุด
อาร์ติซาน รัชดา โครงการ คอนโดมิเนียมร่วมทุนระหว่าง ทีเอฟดี และไรส์แลนด์ ฮ่องกง มูลค่ารวม 6.2 พันล้านบาท
จากในปี 2560 พบว่ากลุ่มทุนชาวต่างชาติเข้ามาร่วมกับผู้ประกอบการไทย พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากถึง 34 บริษัท มูลค่าค่ากว่า 6.1 แสนล้านบาท ในขณะที่บริษัทจากประเทศญี่ปุ่นมีที่เข้ามาร่วมทุนหรือว่าลงทุนในประเทศไทยแล้วประมาณ 10 บริษัทมูลค่าโครงการร่วมทุน 2.5 แสนล้านบาท และสิงคโปร์ 5 บริษัท มูลค่ากว่า 3.1 หมื่นล้านบาท ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนให้กลุ่มทุนจีนมีการขยายการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะขยายลงมาทางตอนล่างอย่างกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุด ตาม Belt and Road Initiative และประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่นักลงทุนแดนมังกรต้องการเข้ามาลงทุน ทั้งทางการลงทุนโดยตรง การเข้ามาซื้อกิจการ การมาตั้งสำนักงานใหญ่ที่เมืองไทย นอกจากนี้ มองว่าประเทศไทยมีศักยภาพในระยะยาว แม้กำลังซื้อคนไทยจะลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ในระยะยาวเศรษฐกิจไทยจะกลับมาดีขึ้น อีกทั้งประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติทั่วโลก มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวปีละไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคน รวมถึงการที่ชาวต่างชาติสามารถถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมได้ถึง 49% ของพื้นที่ขาย เทียบกับภูมิภาคเอเชียอสังหาฯ ไทยยังมีราคาไม่สูง และมีศักยภาพที่จะให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นอีก ก็เป็นอีกปัจจัยบวกในการดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยซึ่งมีผลต่อเนื่องให้ผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยต่อเนื่อง

จีนสนใจซื้อลงทุนมากกว่าอยู่เอง

บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากต่างประเทศทยอยเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นทุกปีๆ โดยเฉพาะจากประเทศจีนหรือว่าเป็นนักลงทุนสัญชาติจีนที่ใช้ภาษาจีนกลางเป็น 1 ในภาษาหลักเช่น ฮ่องกง ไต้หวัน เป็นต้น ก่อนหน้านี้อาจจะมีจำนวนไม่มากนัก และเป็นการร่วมทุนแบบรายโครงการพัฒนาร่วมกับผู้ประกอบการไทยเป็นรายโครงการจบโครงการแล้วก็จบการร่วมมือกันไปจำนวนของผู้ประกอบการและนักลงทุนสัญชาติจีนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องนี้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของผู้ซื้อชาวจีนในตลาดคอนโดมิเนียมในประเทศไทย (อ้างอิงจากรายงานธนาคารแห่งประเทศไทย) เพราะตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา ที่ตลาดคอนโดมิเนียมในประเทศไทยมีสัดส่วนของผู้ซื้อคอนโดมิเนียมจากประเทศจีนมากกว่าผู้ซื้อชาติอื่นๆ แบบชัดเจน ซึ่งเป็นการเข้ามาซื้อเพื่อลงทุนมากกว่าซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองเพราะในประเทศจีนนั้นจะโดนบังคับไม่ให้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้แบบอิสระเมื่อเทียบกับในประเทศไทย จากการสำรวจโดย Juwai.com กรุงเทพฯ ได้รับการจัดให้เป็นอันดับ 2 ของตลาดอสังหาฯ ที่ดึงดูดที่สุดสำหรับผู้ซื้อชาวจีนที่สนใจอสังหาฯ ต่างชาติทั้งจากความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวการเป็นหนึ่งในสถานที่เป้าหมายหลักภายใต้นโยบายOne Belt One Road ของจีน ตลอดจนราคาอสังหาฯ ที่ยังปรับขึ้นต่อเนื่อง
โครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ คอนเซปท์ Lake Resort โครงการร่วมทุนแรกระหว่าง พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และฮ่องกง แลนด์
แนวโน้มเช่นนี้ทีท่าให้ผู้ประกอบการจากประเทศจีนเอง ก็เล็งเห็นถึงกำลังซื้อของชาวจีนที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน อีกทั้งผู้ประกอบการจากประเทศจีนเองก็ได้รับผลกระทบจากการควบคุมของรัฐบาลจีนเช่นกัน จึงเริ่มขยับขยายออกไปนอกประเทศมากขึ้น โดยผู้ประกอบการชาวจีนนั้นเลือกเข้ามาลงทุนในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะยังเป็นรองฮ่องกง สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลียแต่ก็มากกว่าสหภาพยุโรป อาจจะเพราะว่ากลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียนเพิ่งเริ่มขยายตัว มูลค่าการลงทุนจึงไม่สูงมากนักแต่ก็มีแนวโน้มมากขึ้นแน่นอนในอนาคตแรงซื้อจีนหนุนอสังหาฯ ไทยเติบโตการที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่สูงมากเป็น อีกปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้ซื้อจากประเทศจีนเข้ามาในภูมิภาคอาเซียนรวมทั้งประเทศไทยต่อเนื่อง ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย เพราะมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่จะอาศัยการมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพื่อการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีแนวโน้มที่มากขึ้นเรื่อยๆ ตามการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย และก็อาจจะเป็นการดึงดูดผู้ประกอบการชาวจีนให้เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้นในอนาคต จากที่ปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 19 บริษัท แต่ก็มีบางรายที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่อีกทั้งยังมีบริษัทพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของประเทศจีนอีกหลายรายที่มีรายได้ต่อปีเกินล้านล้านบาทอาจจะเข้ามาในประเทศไทยในอนาคตซึ่งแน่นอนว่าถ้าผู้ประกอบการกลุ่มนี้เข้ามาจะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เพราะผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีบริษัทที่ประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และเป็นที่รู้จักของผู้ซื้อชาวจีนอยู่แล้วในช่วงปี 2560-2561 ยอดการซื้อตลาดคอนโดมิเนียมในไทย คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำว่าแสนล้านบาทแล้วโดยเฉพาะปีที่ผ่านมาชาวต่างชาติเข้าซื้อสูงถึง 7.6 หมื่นล้านบาทในจำนวนดังกล่าว แบ่งเป็นชาวจีน- ฮ่องกงมากที่สุด 2.3 หมื่นล้านบาท รองลงมาเป็นสิงคโปร์อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน และญี่ปุ่น ตามลำดับ เรื่อง: กัญสุชญา สุวรรณคร
คลิกอ่านครบทุกเรื่องราวจาก  "เปิดวิเคราะห์อสังหาฯ สุดหรูในเมืองไทย Luxurious Living นิยามแห่งชีวิตเหนือระดับ"  ForbesLife Thailand ฉบับพิเศษ November 2018