<h2>Mukesh Ambani ประธานอาณาจักร Reliance Industries บริษัทอุตสาหกรรมน้ำมันเเละก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของอินเดีย เตรียมเข้าซื้อกิจการธุรกิจร้านขายยาเพื่อสุขภาพและความงาม Boots ในสหราชอาณาจักร</h2>
<img class="alignnone wp-image-62045" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/124320344_gettyimages-476799272.jpg" alt="" width="720" height="405" />

ปัจจุบัน Reliance ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ใน Mumbai กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงด้านราคากับบริษัทเข้าซื้อกิจการของสหรัฐฯ Apollo Global Management หลังจากที่ Walgreen Boots Alliance ได้ออกมาประกาศขายกิจการในช่วงต้นปีที่ผ่านมา 

โดยข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้ Boots ขยายการให้บริการไปยังอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง รวมถึงการขยายธุรกิจในสหราชอาณาจักรต่อไป ภายใต้การบริหารของ Reliance และ Apollo 

ล่าสุดจากการรายงานของ Financial Times ระบุว่า Boots เปิดให้บริการร้านขายยาเพื่อสุขภาพและความงามมากกว่า 2,200 แห่งในสหราชอาณาจักร ซึ่งคาดว่ามีมูลค่า ณ ราคาตลาดสูงถึง 6 พันล้านปอนด์ (7.5 พันล้านเหรียญ)

Mukesh Ambani คือใคร 

<a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/mukesh-ambani/?sh=3330a0fc214c">Ambani</a> วัย 65 ปี ครองอันดับที่ 7 ในทำเนียบการจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกประจำปี 2022 และรั้งอันดับ 2 มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1.068 แสนล้านเหรียญ โดยได้รับอานิสง์จากการเติบโตของ Reliance Industries ซึ่งดำเนินกิจการอุตสาหกรรมน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ โทรคมนาคม และการค้าปลีก

<img class="alignnone wp-image-62046" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/3500.jpg-1024x1024.jpg" alt="" width="720" height="720" />

ปัจจุบัน Ambani ถือหุ้นมากกว่าร้อยละ 49 ในบริษัท พร้อมกับครอบครองทรัพย์สินในสหราชอาณาจักรมูลค่าหลายสิบล้านปอนด์ อาทิ Hamleys ร้านค้าปลีกของเล่น ซึ่งถูกเข้าซื้อกิจการโดย Reliance Brands Limited ในปี 2019 และล่าสุดในปีที่ผ่านมา Reliance Industries ก็ได้เข้าซื้อสโมสรอังกฤษอย่าง Stoke Park ที่มูลค่า 57 ล้านปอนด์

ย้อนกลับมาที่อนาคตของธุรกิจ Boots ที่เปิดให้บริการมานานกว่า 173 ปี ซึ่งในเดือนมกราคม Walgreen Boots Alliance เจ้าของกิจการ ซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ได้เริ่มทบทวนเชิงกลยุทธ์ในฐานะเชนค้าปลีกอีกครั้ง พร้อมประกาศว่า "จะให้ความสำคัญไปที่การดูแลสุขภาพภายในสหรัฐฯ มากขึ้น”

“จะมีการประกาศเพิ่มเติมในเวลาที่เหมาะสม สำหรับอนาคตของ Boots และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด” บริษัทกล่าว

ทั้งนี้ นอกจาก Reliance แล้ว สองพี่น้อง Mohsin และ Zuber Issa เจ้าของ Asda กลุ่มธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตในอังกฤษ และบริษัทไพรเวทอิควิตี้ TDR Capital ก็ได้เสนอราคาเบื้องต้นสำหรับ Boots เช่นกัน

แปลและเรียบเรียงจากบทความ Indian billionaire Mukesh Ambani plans bid for UK retailer Boots โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน bbc.com

อ่านเพิ่มเติม: “เอสซีจี” จับมือ “คูโบต้า” ปั้น แพลตฟอร์มทางการเกษตร
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a style="color: #003300;" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

Mukesh Ambani จ่อซื้อกิจการ Boots เชนค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงามในสหราชอาณาจักร

<h2>ธนาคารในเครือของกลุ่มธนาคารยูโอบี ได้ทำข้อตกลงเพื่อเข้าซื้อกิจการลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป ซึ่งรวมถึงสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันและมีหลักประกัน ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และธุรกิจเงินฝากรายย่อย (ธุรกิจลูกค้ารายย่อย) ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม (การเสนอซื้อกิจการ) และรวมไปถึงพนักงานธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป การเสนอซื้อกิจการครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและขยายขอบเขตธุรกิจของธนาคารยูโอบีในอาเซียน</h2>
ธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปมีสินทรัพย์สุทธิรวมทั้งสิ้นประมาณสี่พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และฐานลูกค้าราว 2.4 ล้านราย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 และมีรายได้ประมาณ 5 ร้อยล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 หากไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกรรมนี้ในครั้งเดียว การเสนอซื้อกิจการนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของธนาคาร และผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ของธนาคารยูโอบีได้ทันที

การพิจารณาข้อเสนอเงินสดสำหรับการเสนอซื้อกิจการนี้จะคำนวณจากค่าพรีเมียมรวมซึ่งเทียบเท่ากับ 915 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ บวกกับมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของธุรกิจลูกค้ารายย่อยเมื่อการโอนย้ายกิจการเสร็จสมบูรณ์ ธนาคารยูโอบีจะใช้ทุนส่วนเกินของธนาคารเพื่อการเสนอซื้อกิจการครั้งนี้ ซึ่งคาดว่าจะลดอัตราส่วนของเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Common Equity Tier 1 หรือ CET1) ของธนาคารลง 0.7% เป็น 12.8% ตามสถานะเงินทุน ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 ผลกระทบต่ออัตราส่วน CET1 คาดว่าจะมีไม่มากและจะยังอยู่ภายในข้อกำหนดด้านกฎระเบียบของหน่วยงานกำกับดูแล

การเข้าซื้อกิจการในแต่ละประเทศจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารตามเงื่อนไขของแต่ละประเทศ รวมถึงประเทศสิงคโปร์ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จระหว่างกลางปี 2565 ถึงต้นปี 2567 ขึ้นอยู่กับความคืบหน้าและผลของกระบวนการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลธนาคาร ซิตี้กรุ๊ปจะทำงานร่วมกับยูโอบีและธนาคารในเครือ (รวมเรียกว่ากลุ่มธนาคารยูโอบี) อย่างใกล้ชิดเพื่อให้การโอนย้ายธุรกิจลูกค้ารายย่อย ทั้งในส่วนของลูกค้าและพนักงานเป็นไปอย่างราบรื่น

<img class="alignnone size-full wp-image-57016" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/01/Wee-Ee-Cheng_0101.jpg" alt="" width="450" height="300" />

Wee Ee Cheng รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า “การซื้อกิจการลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปในสี่ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม นับเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่มาถึงในเวลาที่เหมาะสม ยูโอบีเชื่อในศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

และเรามีวินัยและอดทนรอในการเสาะหาโอกาสที่ใช่เพื่อการเติบโตทางธุรกิจ ในระหว่างการรอความเห็นชอบจากหน่วยงานกำกับดูแลธนาคาร เรามุ่งหวังที่จะโอนย้ายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจที่มีคุณภาพของซิตี้กรุ๊ป และเตรียมต้อนรับทีมงาน รวมถึงสร้างคุณค่าให้กับฐานลูกค้า พนักงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ ของเราที่ขยายใหญ่ขึ้น

การซื้อกิจการนี้เมื่อรวมกับจำนวนผู้บริโภคของยูโอบีในภูมิภาค จะเป็นการรวมตัวที่ทรงพลังในการขยายธุรกิจของกลุ่มธนาคารยูโอบี และก้าวสู่ตำแหน่งธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาคได้อย่างรวดเร็ว”

<img class="alignnone size-full wp-image-57015" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/01/Peter-Babej_0101.jpg" alt="" width="450" height="300" />

Peter Babej ประธานกรรมการบริหาร ซิตี้ เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า "พวกเรารู้สึกยินดีที่ได้ประกาศธุรกรรมนี้กับ ยูโอบี สถาบันทางการเงินชั้นนำของเอเชีย เรามั่นใจว่าธนาคารยูโอบีซึ่งมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็งและศักยภาพของเครือข่ายธนาคารในภูมิภาคนี้ จะมอบโอกาสอันยอดเยี่ยมและเป็นบ้านอันมั่นคงให้แก่เพื่อนพนักงานของธุรกิจกลุ่มลูกค้ารายย่อยในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม การดำเนินการทางธุรกิจในครั้งนี้ จะทำให้เราสามารถเพิ่มการลงทุนในยุทธศาสตร์ที่เรามุ่งเน้นซึ่งรวมถึงเครือข่ายลูกค้าสถาบันของเราทั่วเอเชียแปซิฟิก เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมที่สุดให้กับซิตี้”

กลยุทธ์ธุรกิจรายย่อยของธนาคารยูโอบี ได้แก่การเจาะกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การรุกกลุ่มคนรุ่นใหม่ผ่าน UOB TMRW แพลตฟอร์มดิจิทัลของธนาคาร และให้บริการด้านการเงินผ่านช่องทางที่หลากหลาย (Omni-channel) เพื่อเพิ่มความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่อง การเสนอซื้อกิจการนี้จะขยายเครือข่ายพันธมิตรของยูโอบีและเพิ่มขนาดธุรกิจลูกค้ารายย่อยในทั้งสี่ประเทศขึ้นเป็นสองเท่า เร่งให้บรรลุเป้าขยายฐานลูกค้าในภูมิภาคเร็วขึ้นถึงห้าปี

ธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปมีพนักงานประมาณ 5,000 คน ซึ่งรวมถึงผู้บริหารระดับสูงและทีมงานมากประสบการณ์ การเข้ามาร่วมงานกับธนาคารยูโอบีจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธนาคารยูโอบี กลุ่มธนาคารยูโอบีพร้อมที่จะต้อนรับลูกค้าและพนักงานของซิตี้กรุ๊ป ซึ่งจะได้รับข้อมูลความคืบหน้าของการเสนอซื้อกิจการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทั้งนี้การซื้อกิจการกลุ่มลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป โดยธนาคารยูโอบี จะเริ่มปรับโครงการสร้างในประเทศไทยและอินโดนีเซียก่อน

ด้าน Lee Wai Fai CFO ธนาคารยูโอบี กล่าาวเพิ่มเติมว่า "จากประสบการณ์ในการควบรวบของประเทศไทยและอินโดนีเซีย จะเป็นบทเรียนและประสบการณ์ที่เราจะนำไปใช้ในการปรับตัวที่มาเลเซียและเวียดนามในอนาคตที่เหลือ"

ทั้งนี้การซื้อกิจการมี Credit Suisse (Singapore) Limited เป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับกลุ่มธนาคารยูโอบีในการเสนอซื้อกิจการนี้ และ Allen &amp; Overy LLP (สิงคโปร์) เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B0-%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%98%E0%B9%8C-%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87-jitta-ranking.html">จิตตะ เวลธ์ โชว์แกร่ง “Jitta Ranking” ปี 64</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กลุ่มธนาคารยูโอบี เข้าซื้อกิจการลูกค้ารายย่อย ซิตี้กรุ๊ป 4 ประเทศในอาเซียน

<h2>อาร์เอส กรุ๊ป ประกาศขยายธุรกิจ เข้าซื้อหุ้น บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด ประกอบธุรกิจบริหารสินทรัพย์-สินเชื่อรายย่อย ในสัดส่วน 35% ด้วยมูลค่าการลงทุน 920 ล้านบาท มุ่งสร้างการเติบโตแบบ New S-Curve</h2>
สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การก้าวสู่ New Era เพื่อสร้าง New S-Curve นั้น การเข้าซื้อลงทุนในกิจการ หรือ M&amp;A เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการสร้าง Ecosystem ให้มีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นการสร้างมูลค่าทางธุรกิจ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และสร้างความยั่งยืนมั่นคงในระยะยาว

การเข้าลงทุนในครั้งนี้ อาร์เอส กรุ๊ป ทุ่มงบลงทุน 920 ล้านบาท โดยได้รับการสนับสนุนวงเงินกู้จากสถาบันการเงิน ทั้งนี้ สถานะทางเงินของบริษัทฯ ที่แข็งแกร่ง มีสภาพคล่องในระดับสูง ยังสามารถรองรับการเติบโตและการขยายกิจการของบริษัทฯ ได้ในระยะยาว

นายสุรชัย กล่าวว่า เหตุผลที่ RS เข้าซื้อหุ้นกลุ่มบริษัทเชฎฐ์ เพราะมองว่าภาวะแนวโน้มเศรษฐกิจในปัจจุบัน จำนวนหนี้ด้อยคุณภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น บริษัทจึงมองเห็นโอกาสในการต่อยอดโมเดลธุรกิจ Entertainmerce

โดยการเข้าซื้อหุ้น บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด ที่มีบริษัทย่อย 3 บริษัท (ถือหุ้น 100%) ได้แก่ บริษัท รีโซลูชั่น เวย์ จำกัด บริษัท บริหารสินทรัพย์ ซีเอฟ เอเชีย จำกัด และ บริษัท คอร์ทส์ เม็กก้าสโตร์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือเรียกรวมว่า กลุ่มบริษัทเชฎฐ์ ซึ่งประกอบธุรกิจหลัก ได้แก่

1) ธุรกิจบริหารหนี้ครบวงจร และที่ปรึกษาการบริหารจัดการหนี้ ดำเนินการโดย บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด มีพนักงาน Call center กว่า 400 คน และทีมติดตามและบริหารหนี้กว่า 100 คน สำหรับรองรับการให้บริการ ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าพอร์ตให้บริการติดตามหนี้สินกว่า 45,000 ล้านบาท จำนวนบัญชีลูกหนี้กว่า 3 แสนราย ลูกค้าหลักได้แก่ กลุ่มสถาบันการเงินและที่มิใช่สถาบันการเงิน

2) ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ เข้าซื้อ รับโอนและบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ NPL ทั้งจากกลุ่มสถาบันการเงินและที่มิใช่สถาบันการเงิน ซึ่งบริษัทย่อยที่ทำธุรกิจนี้ ได้แก่ บริษัท บริหารสินทรัพย์ ซีเอฟ เอเชีย จำกัด ได้รับใบทะเบียนบริษัทบริหารสินทรัพย์จากธนาคารแห่งประเทศไทย (“ธปท.”) และ บริษัท รีโซลูชั่น เวย์ จำกัด ปัจจุบัน มีมูลค่าพอร์ตหนี้ภายใต้การบริหารกว่า 27,000 ล้านบาท จำนวนบัญชีลูกหนี้กว่า 1 แสนบัญชี

3) ธุรกิจปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้บริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท รีโซลูชั่น เวย์ จำกัด ดำเนินธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. และ บริษัท คอร์ทส์ เม็กก้าสโตร์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ปัจจุบันมีมูลค่าสินเชื่อคงเหลือประมาณ 300-400 ล้านบาท รวมทั้งหมดกว่า 1,000 บัญชี

“ประโยชน์ที่จะได้รับจากการลงทุนกลุ่มบริษัทเชฎฐ์มีการประกอบธุรกิจที่ครบวงจร ตั้งแต่การบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ การติดตามทวงถามหนี้ บังคับคดีและการให้สินเชื่อรายย่อย และมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง” สุรชัยกล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-40404" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/01/ธุรกิจในเครืออาร์เอส-กรุ๊ป_001.jpg" alt="" width="600" height="600" />

นอกจากนี้ ยังมีทีมผู้บริหาร ทีมงาน และบุคลากร ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์การดำเนินการธุรกิจนี้มาอย่างยาวนาน จึงเชื่อว่าจะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีให้กับอาร์เอส โดยปีที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทเชฎฐ์ มีประมาณการรายได้รวมราว 600-700 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิประมาณเกือบ 150-200 ล้านบาท

“การที่ อาร์เอส กรุ๊ป เข้าถือหุ้นในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการรุกธุรกิจใหม่ เป็นโอกาสที่ดีที่จะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ เพราะเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง และยังมีแผนการเติบโตของพอร์ตบริหารหนี้และยอดสินเชื่อรายย่อยอย่างต่อเนื่องในอนาคต” สุรชัยกล่าว

นอกจากนี้ จากความร่วมมือของทั้งสองกลุ่มบริษัทในครั้งนี้ มั่นใจว่าจะสามารถสร้าง synergy ที่แข็งแรงมากขึ้น จากการใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ทางทรัพยากรและจุดแข็งของแต่ละบริษัทฯ ทั้งในด้านสื่อ ช่องทางการขาย ระบบการบริหารจัดการข้อมูล และ Ecosystem ของ อาร์เอส กรุ๊ป

รวมถึงประสบการณ์ความชำนาญในธุรกิจ และภาพลักษณ์ในอุตสาหกรรมของกลุ่มบริษัทเชฎฐ์ จะส่งผลให้เกิดประโยชน์เสริมให้กันและกันอย่างมาก อาทิ การขยายฐานลูกค้า ช่องทางการขาย การใช้สื่อและกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตอบโจทย์ ซึ่งเหล่านี้จะสร้างความแตกต่างและต่อยอดโมเดล Entertainmerce ของบริษัทได้

ทั้งจะช่วยเสริมให้กลุ่มบริษัทเชฎฐ์มีการเติบโตที่แข็งแกร่งมากขึ้นในอนาคตและมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใน 3 ปี

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/airbnb-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A-warner-music-korea-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7-%E0%B9%80%E0%B8%97.html">Airbnb จับมือกับ Warner Music Korea เปิดตัว “เทศกาล Inside K-Pop”</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>


<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>
&nbsp;

&nbsp;

อาร์เอส ทุ่มเฉียดพันล้าน รุกธุรกิจสินเชื่อรายย่อย

<h2>เอสซีจี แพคเกจจิ้งปิดดีลถือหุ้น 100% ใน Go-Pak ขยายฐานภาคธุรกิจบริการด้านอาหาร ผู้ค้าปลีกและค้าส่งในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับร้านอาหาร ร้านอาหารบริการด่วนในสหราชอาณาจักร ยุโรป อเมริกาเหนือ พร้อมเพิ่มศักยภาพการขยายฐานตลาดในอาเซียนรับเมกะเทรนด์การเติบโต</h2>
วิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า SCGP ได้รุกขยายธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์อาหาร (Foodservice Packaging) เพื่อเพิ่มศักยภาพขยายตลาดรองรับเมกะเทรนด์การขยายตัวของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารตามความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการใช้บริการจัดส่งอาหาร (Food Delivery) เพิ่มขึ้น และแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคอาเซียนในปี 2562-2567 ซึ่งคาดการณ์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 6-7 ต่อปี

ดังนั้น บริษัทจึงให้ความสำคัญเดินหน้าขยายตลาดและฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2561 ที่ได้มีการขยายฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารในประเทศมาเลเซีย ด้วยการเข้าซื้อหุ้น Interpress Printers Sendirian Berhad (IPSB) ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารที่ทำจากกระดาษที่ได้รับการรับรองระบบมาตรฐาน BRC Global Standard ระดับ AA โดยเป็นมาตรฐานการรับรองคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหารสูงสุด และมีฐานลูกค้าเป็นเครือข่ายร้านอาหารและบริษัทฟาสต์ฟู้ดในทวีปเอเชีย

<img class="alignnone size-full wp-image-40251" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/01/SCCP_003.jpg" alt="" width="600" height="446" />

สำหรับในปีนี้บริษัทได้ลงทุนเข้าถือหุ้น 100% ใน Go-Pak UK Limited (Go-Pak) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์อาหารในสหราชอาณาจักร ยุโรป และอเมริกาเหนือ โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองบริสตอล สหราชอาณาจักร และฐานการผลิตอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม ด้วยการจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์อาหารที่หลากหลายกว่า 250 ประเภท เช่น จาน ช้อนส้อม ถ้วย แก้ว ฯลฯ ซึ่งผลิตจากกระดาษ โพลิเมอร์ และวัสดุย่อยสลายได้อื่นๆ

นอกจากนั้น บริษัทยังมีกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหาร 4 พันล้านชิ้นต่อปี พร้อมเครือข่ายการจัดหาสินค้าทั่วโลก โดยมีฐานลูกค้าอยู่ในภาคธุรกิจบริการด้านอาหาร ผู้ค้าปลีกและค้าส่งในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับร้านอาหาร ร้านอาหารบริการด่วน ผู้ให้บริการจัดเลี้ยงนอกสถานที่ ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2562 - ไตรมาส 3 ปี 2563 มีรายได้ 68.7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2.8 พันล้านบาท) มูลค่าสินทรัพย์ 40.2 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1.65 พันล้านบาท)

<img class="alignnone size-full wp-image-40252" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/01/SCCP_004.jpg" alt="" width="600" height="259" />

ส่วน SCGP เป็นบริษัทผู้ให้บริการบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งนำเสนอบริการด้านบรรจุภัณฑ์เยื่อและกระดาษ บรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ และบริการบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลายอื่น ๆ มีรายได้รวมในช่วง 9 เดือนปี 2563 เท่ากับ 6.92 หมื่นล้านบาท โดยมีฐานการผลิตรวมกว่า 40 แห่งในเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย พร้อมนำเสนอบรรจุภัณฑ์อาหารภายใต้แบรนด์ Fest เช่น บรรจุภัณฑ์อาหาร, หลอดกระดาษ ฯลฯ

“การลงทุนครั้งนี้จะเพิ่มศักยภาพและความแข็งแกร่งด้านการผลิตและการตลาดบรรจุภัณฑ์อาหาร เพื่อรองรับการขยายฐานลูกค้าใน สหราชอาณาจักร ยุโรป และอเมริกาเหนือ รวมถึงเพิ่มความสามารถในการนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์อาหารที่หลากหลายเพื่อขยายตลาดอาเซียน โดย SCGP จะนำความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ในธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์กว่า 40 ปี เข้าไปเสริมสร้างธุรกิจของ Go-Pak ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” วิชาญกล่าวอย่างมั่นใจถึงการลงทุนใน Go-Pak UK Limited (Go-Pak) เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2564

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%A3.html">คนไทยพร้อมสนับสนุน “แบรนด์ยั่งยืน”</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

SCGP ชู Go-Pak รุกสหราชอาณาจักร ยุโรป อเมริกาเหนือ

<h2 class="p1"><a style="color: #333333;" href="https://www.nytimes.com/2020/10/25/business/dealbook/dunkin-brands-sale-private-equity.html?campaign_id=4&amp;emc=edit_dk_20201026&amp;instance_id=23488&amp;nl=dealbook&amp;regi_id=56579027&amp;segment_id=42281&amp;smid=tw-share&amp;te=1&amp;user_id=387968d771917f32518f1257d46eb763">สำนักข่าวต่างประเทศ</a>รายงานการประมูลราคาเข้าซื้อ Dunkin บริษัทเจ้าของแบรนด์ Dunkin Donut และ Baskin Robin ที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับ Inspire Brands กลุ่มธุรกิจร้านอาหารชื่อดังในสหรัฐฯ อย่าง Arby’s, Buffalo Wild Wings, Sonic, และ Jimmy John’s</h2>
ล่าสุด Neal Aronson ผู้ร่วมก่อตั้ง Inspire Brands ได้เสนอราคาเข้าซื้อที่ 8.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถ้าหากว่าราคานี้ถือเป็นที่สิ้นสุด จะต้องแข่งขันกับมูลค่าที่เสนอจาก JAB บริษัทเจ้าของแบรนด์ร้านกาแฟ Au Bon Pain, Pret a Manger และ Panera ในเวลาต่อมา
ในที่นี้ Inspire เป็นบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนโดย<a style="color: #003300;" href="https://www.roarkcapital.com/"> Roark Capital </a>บริษัทเอกชนนอกตลาดหลักทรัพย์จาก Atlanta ที่มีความเชี่ยวชาญกว่า 10 ปี ในด้านแฟรนไชส์ การบริหารแบรนด์ การบริการสิ่งแวดล้อม และการทำตลาดบริษัทให้บริการด้วยแนวโน้มการเติบโตที่ดึงดูดใจ ซึ่ง Roark ก็อยู่ภายใต้การบริหารของ Aronson เช่นกัน 
ขณะที่<a style="color: #003300;" href="https://www.thestreet.com/investing/stocks/is-dunkin-still-an-attractive-bet-for-jab-14440731"> JAB </a>จาก Luxembourg ได้รับการสนับสนุนด้านการลงทุน และอยู่ภายใต้การบริหารงานของ Reimann ตระกูลมหาเศรษฐีพันล้านจากเยอรมัน
เพราะฉะนั้น การเข้ามาแข่งขันกันในครั้งนี้ของทั้งสองบริษัท จึงเป็นการพบกันครั้งแรกของ Roark ดีลเมเกอร์อันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมร้านอาหาร ที่มักจะเข้าซื้อแฟรนไชส์ฟ้าสต์ฟู้ด ที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ห้างสรรพสินค้า จุดพักรถทางด่วน และศูนย์กลางทางการเงิน ขณะที่ JAB จะให้ความสนใจในเชนธุรกิจร้านกาแฟเป็นพิเศษ และตั้งตนในฐานะคู่แข่งของ Starbucks 
ด้วยเหตุนี้ การตัดสินใจของ Inspire ที่จะเข้าซื้อ Dunkin จึงเป็นไปเพื่อขยายพอร์ตฟอลิโอของบริษัท


<figure><img class="wp-image-36527" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/DunkinBrands_Embedded.jpg" alt="Inspire Brands" width="720" height="500" /><figcaption> Dunkin บริษัทเจ้าของแบรนด์ร้านกาแฟและโดนัท Dunkin Donut และร้านไอศกรีม Baskin Robin</figcaption></figure>
“การเข้าซื้อในครั้งนี้ มีความสำคัญต่อกลยุทธ์ที่ของเราอยู่ถึง 100 เท่า เพราะการมีบริษัทในเครือหลายแบรนด์ จะยิ่งทำให้โมเดลธุรกิจมีความแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก และตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ดังนั้นเราจึงมีความมุ่งมั่นมากกว่าทุกครั้ง” Paul Brown ประธานกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง Inspire กล่าวกับ Forbes ในเดือนพฤษภาคม
Inspire คือ กลุ่มธุรกิจที่ให้บริการด้านอาหารที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ในสหรัฐอเมริกา ด้วยยอดขายมูลค่า 14.6 พันล้านเหรียญในปี 2019 จากร้านอาหารในเครือทั้งหมด 11,000 ร้าน ซึ่งกว่าจะสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ Inspire ได้ลงทุนมากกว่า 7 พันล้านเหรียญ ตั้งแต่ปี  2011 เป็นต้นมา และหากสามารถเข้าซื้อ Dunkin ได้จริง จะเป็นการเพิ่มขนาดของบริษัทออกไปอีก 21,000  สาขาใน 30 ประเทศ อีกทั้งยอดขายของทั้งบริษัทยังจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 12 พันล้านเหรียญ
ขณะที่คู่แข่งอย่าง JAB มีแบรนด์ในเครือทั้งหมด 11 แบรนด์ ยกตัวอย่างเช่น Krispy Kreme, Peet’s, Intelligentsia และ Stumptown และเริ่มลงทุนในธุรกิจร้านกาแฟตั้งแต่ปี 2012 ด้วยมูลค่าที่มากกว่า 20 พันล้านเหรียญ
อย่างไรก็ดี การเข้าครอบครอง Dunkin อาจะไม่ได้ทำให้ Inspire สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างทันที เนื่องจากแฟรนไชส์ดังกล่าวยังคงมีอัตรากำไรที่น้อยกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ดังจะเห็นได้จากการที่ ยอดขายของสาขาในสหรัฐฯ ลดลงราวร้อยละ 20 ในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารทั่วทั้งประเทศ
แต่หากพิจารณาอีกด้านหนึ่ง การเข้าซื้อ Dunkin ในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อ Inspire อย่างมาก เพราะเป็นการขยายเชนธุรกิจฟาสต์ฟู้ด ไปสู่เครื่องดื่ม ของทานเล่น และของหวาน


<figure><img class="wp-image-36525 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/1-2.jpg" alt="Inspire Brands" width="720" height="480" /><figcaption> Paul Brown ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Inspire Brands</figcaption></figure>
โดย Inspire มีเป้าหมายที่จะใช้ความแข็งแกร่งของแบรนด์ต่างๆ ที่มีอยู่ มาร่วมพัฒนาประสิทธิภาพทางเทคโนโลยีให้ทั่วถึง ซึ่งในปีนี้ก็ได้ลงทุนไปเป็นมูลค่า 100 ล้านเหรียญ เพื่อพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ และการรับคำสั่งซื้อผ่านทางโทรศัพท์
อย่างไรก็ดี ในเดือนเมษายน 2020 ที่ผ่านมา ดัชนี S&amp;P ได้ปรับความน่าเชื่อถือของ Inspire ลงเป็นครั้งแรก เนื่องจากมีโครงสร้างต้นทุนคงที่ (fixed cost) ในอัตราที่สูง ซึ่งไม่สอดคล้องกับรายได้และกำไรที่ได้รับ เป็นผลให้อัตราความเสี่ยงในการประกอบการสูงตามมา (very high leverage) ประกอบกับต่อมาในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ภาคเศรษฐกิจยังคงได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาด ดัชนี S&amp;P จึงรายงานเพิ่มเติมว่า งบกระแสเงินสดของบริษัทอาจมีแนวโน้มลดลงกว่าครึ่ง หรืออาจมากถึง 100 ล้านเหรียญในปีนี้
ล่าสุด ในเดือนกรกฎาคมที่<a style="color: #003300;" href="https://www.forbes.com/sites/chloesorvino/2020/07/27/why-fast-foods-smartest-operator-is-expanding-when-business-is-terrible/?sh=3e7b7e6e5435"> Forbes </a>ได้ทำการตีพิมพ์ข้อมูลของบริษัท ทาง Inspire รายงานว่า ผลประกอบการกำลังกลับมาดีขึ้นเรื่อยๆ จากการใช้โอกาสช่วงขาลงของเศรษฐกิจออกหุ้นกู้มูลค่า 750 ล้านเหรียญในเดือนพฤษภาคม และเสนอขายที่ 825 ล้านเหรียญในอีก 2 เดือนต่อมา แต่ทั้งนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้มากนัก
“ในช่วงที่ลำบาก ผู้คนมักจะหลงทาง แต่เราไม่ เรายังคงยึดมั่นในสิ่งที่สำคัญ สิ่งที่เราเชื่อ สิ่งที่เรากำลังเจราจา และสิ่งที่เรากำลังทำ”  Neal Aronson ผู้ก่อตั้ง Roark กล่าวขณะให้สัมภาษณ์กับ<a style="color: #003300;" href="https://www.forbes.com/sites/chloesorvino/2020/07/27/why-fast-foods-smartest-operator-is-expanding-when-business-is-terrible/?sh=6b0b29f95435"> Forbes </a>ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา
แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ An Inspire Brands-Dunkin’ Deal Would Put Billionaires’ Coffee Clutch In The Crosshairs เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/america/wes-edens-%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%a1%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b0%e0%b8%9f%e0%b8%b7%e0%b9%89%e0%b8%99.html">Wes Edens ชายผู้มุ่งมั่นจะฟื้น “กิจการรถไฟ” ในอเมริกา</a>

Inspire Brands จ่อเข้าซื้อ Dunkin หวังขยายเชนธุรกิจ

เฟรเซอร์สฯ รวบซื้อ โกลเด้นแลนด์ ก้าวสู่องค์กรใหญ่มูลค่า "แสนล้าน"

<h2>CP Group ปิดดีลทุ่ม 1.06 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าซื้อกิจการ Tesco ในไทย-มาเลเซีย คว้า "เทสโก้ โลตัส" มาครอง</h2>
ค้าปลีกยักษ์ใหญ่สัญชาติอังกฤษ Tesco ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการ “เทสโก้ โลตัส” ได้แจ้งกับนักลงทุนว่า บริษัทได้ขายกิจการในประเทศไทยและมาเลเซียให้กับเครือ CP Group ในมูลค่า 1.06 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 3.35 แสนล้านบาท
โดยการซื้อกิจการดังกล่าวเครือธุรกิจของ CP Group จะเข้าถือหุ้น 86.9% ในบริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และถือหุ้น 100% ใน Tesco Stores (Malaysia) Sdn Bhd
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของกิจการ Tesco ในประเทศไทยและมาเลเซียของเครือซีพีนั้น ประกอบไปด้วย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) 40%, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง จำกัด 40% และบริษัท ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด 20%
<img class="alignnone size-full wp-image-27598" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/03/Tesco-01.jpg" alt="" width="720" height="569" />
ทั้งนี้ กระบวนกวนการซื้อขายนี้จะต้องผ่านขั้นตอนของหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศไทยและมาเลเซีย โดยคาดว่าการซื้อขายกิจการจะแล้วเสร็จในครึ่งปีหลังของปีนี้
“การซื้อขายกิจการครั้งนี้ จะช่วยลดความซับซ้อนในธุรกิจของเรา และทำให้การโฟกัสธุรกิจค้าปลีกของ Tesco Group ในสหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์ และยุโรปกลาง แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น รวมถึงยังสร้างมูลค่าที่เป็นรูปธรรมแก่ผู้ถือหุ้น และช่วยให้กลุ่มเทสโก้ลดความเสี่ยงทางธุรกิจได้อีกด้วย” Dave Lewis ประธานบริหาร Tesco กล่าว
และหลังจากการซื้อขายกิจการเสร็จสิ้น Tesco ยังตั้งเป้าว่าจะมอบผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นเป็นจำนวน 5 พันล้านปอนด์ ผ่านการจ่ายปันผลพิเศษอีกด้วย
หากมองย้อนกลับไป Tesco นั้นเริ่มให้บริการในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2541 จากการซื้อกิจการ “โลตัส” มาจาก CP Group ซึ่งเป็นช่วงที่กลุ่มซีพีพบกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ และจากนั้นโลตัสก็ใช้ชื่อว่า “เทสโก้ โลตัส” และดำเนินงานในประเทศไทยจนสามารถขยายธุรกิจไปได้กว่า 1,967 สาขา มีลูกค้าเข้าใช้บริการถึง 13 ล้านคน/สัปดาห์

<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/tesco-%e0%b8%82%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2.html">Tesco เปิดแผน 3 ปีเปิดร้านสะดวกซื้อในไทยเพิ่ม 750 สาขา สร้างงานกว่า 10,000 ตำแหน่ง</a></li>
</ul>
กระทั่งกลุ่ม Tesco เริ่มเผชิญกับสถานการณ์ที่ย่ำแย่จนเริ่มทยอยขายสินทรัพย์ในต่างประเทศ รวมถึงการพิจารณาขายกิจการในอาเซียนซึ่งประกอบไปด้วยในประเทศไทยและมาเลเซีย โดยที่ผ่านมามีบิ๊กบริษัทของไทย 3 กลุ่มเป็นตัวเต็งหลักที่สนใจเข้าประมูล คือ CP Group (ของตระกูลเจียรวนนท์), TCC (ของตระกูลสิริวัฒนภักดี) และ Central (ของตระกูลจิราธิวัฒน์)
และท้ายที่สุดผู้ที่ชนะการประมูลก็คือ CP Group ของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ซึ่งเป็นการเพิ่มพอร์ตธุรกิจค้าปลีกให้กับเครือซีพี ที่จะมีเทสโก้ โลตัส เพิ่มเข้ามาในธุรกิจค้าปลีกกลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ต จากเดิมที่มีแม็คโครอยู่ในกลุ่มนี้ และมีร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่นอีเลฟเว่นอยู่ในกลุ่มคอนวีเนียนสโตร์
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.thestar.com.my/business/business-news/2020/03/09/tesco-sells-businesses-in-thailand-malaysia-for-us106b">Tesco sells businesses in Thailand, Malaysia for US$10.6b</a></li>
 	<li><a href="https://www.rte.ie/news/business/2020/0309/1121044-tesco-asian-business/">Tesco sells businesses in Thailand and Malaysia</a></li>
 	<li><a href="https://www.set.or.th/dat/mds_news/news/0101NWS090320201332430296T.pdf">แจ้งการเข้าลงทุนในเทสโก้เอเชีย</a></li>
 	<li><a href="https://www.tescoplc.com/news/2020/tesco-agrees-to-sell-its-businesses-in-thailand-and-malaysia-significant-return-to-shareholders-simplification-and-further-de-risking/">Tesco agrees to sell its businesses in Thailand and Malaysia</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ปิดดีล! CP Group ทุ่ม 1.06 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ซื้อกิจการ "เทสโก้ โลตัส" ในไทย-มาเลเซีย

<h2 class="p1">บริษัทสินค้าลักชัวรีรายใหญ่สุดในโลก เข้าซื้อกิจการเจเวลรี Tiffany &amp; Co ในมูลค่า 1.62 หมื่นล้านเหรียญ</h2>
อาณาจักรสินค้าลักชัวรีจากฝรั่งเศส LVMH ซึ่งมีสินค้าหรูอย่าง Louis Vuitton และค้าปลีกอย่าง Sephora บริหารโดยมหาเศรษฐีที่มั่งคั่งที่สุดในยุโรป และรวยเป็นอันดับ 4 ของโลก Bernard Arnault ได้เข้าซื้อกิจการเครื่องประดับสัญชาติอเมริกันอย่าง Tiffany &amp; Co. ด้วยมูลค่า 1.62 หมื่นล้านเหรียญ ส่งผลให้ LVMH มีสินค้าใหม่เข้าพอร์ตโฟลิโอของบริษัท และขึ้นแท่นแบรนด์ลักชัวรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล
Arnault กล่าวว่า Tiffany นั้นเป็น “มรดกที่เหนือชั้น” และเข้ากับแบรนด์อื่นๆ ของเขา

<ul>
 	<li>ย้อนอ่าน <a href="https://forbesthailand.com/news/global/%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b9%88%e0%b8%ad-louis-vuitton-%e0%b9%81%e0%b8%8b%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b2-bill-gates-%e0%b8%82%e0%b8%b6%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b9%80.html">เจ้าพ่อ Louis Vuitton แซงหน้า Bill Gates ขึ้นเป็นเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก</a></li>
</ul>
สำหรับดีลยักษ์ครั้งนี้ LVMH ได้ลงทุนซื้อ Tiffany ในราคา 135 เหรียญต่อหุ้น รวมแล้วคิดเป็นมูลค่า 1.62 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งสูงกว่าการเสนอราคาเริ่มต้นในเดือนตุลาคมเกือบ 2 พันล้านเหรียญ (ขณะนั้นราคาอยู่ที่ 120 เหรียญต่อหุ้น)
นอกจากนี้ Tiffany จะอยู่ในแผนกนาฬิกาและเครื่องประดับของอาณาจักร โดยดีลดังกล่าวจะช่วยเสริมแกร่งให้กับ LVMH ในอเมริกาเหนือ และปูรากฐานสู่ตลาดเครื่องประดับให้กับอาณาจักรนี้ด้วย
Arnault กล่าวถึงก้าวสำคัญในครั้งนี้ว่า “เรานับถือและชื่นชมแบรนด์ Tiffany อย่างยิ่ง และมีความตั้งใจที่จะพัฒนาสินค้าแบรนด์นี้ด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเทเช่นเดียวกับที่เราทำในทุกๆ แบรนด์ในบ้านหลังนี้ของเรา”


<figure><img class="size-full wp-image-24466" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/Bernard-Arnault-LVMH02.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Bernard Arnault</figcaption></figure>

ทั้งนี้ แบรนด์ Tiffany ได้รับการก่อตั้งขึ้นในปี 1837 ปัจจุบันมีพนักงานมากกว่า 14,000 คน เปิดบริการราว 300 สาขาทั่วโลก โดยมีแฟลกชิปสโตร์อยู่ติดกับ Trump Tower ใน New York ซึ่งบริษัทได้โด่งดังเป็นพลุแตกหลังจากภาพยนตร์เรื่อง Breakfast at Tiffany’s ฉายในปี 1961 โดยมี Audrey Hepburn แสดงนำ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน Tiffany เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากยอดใช้จ่ายที่ลดลงของนักท่องเที่ยวและภาวะเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่า รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน
ขณะที่ LVMH มีแบรนด์อยู่ในมือทั้งหมด 75 แบรนด์ พนักงานกว่า 156,000 คน และมีจำนวนสาขารวมทั้งหมดกว่า 4,590 สาขา โดยแบรนด์ต่างๆ ที่อยู่ในอาณาจักรนี้ อาทิ Kenzo, Tag Heuer, Dom Pérignon, Moet &amp; Chandon และ Christian Dior ส่วนแบรนด์อเมริกันอื่นๆ ที่อาณาจักรนี้เป็นเจ้าของ ได้แก่ Marc Jacobs, Benefit Cosmetics และ Kat Von D Beauty
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.forbes.com/sites/isabeltogoh/2019/11/25/lvmh-strikes-a-deal-for-tiffany--co-with-new-162-billion-offer/#d67e49a49f80">Louis Vuitton Owner LVMH Buys Tiffany For $16.2 Billion</a></li>
 	<li><a href="https://www.bbc.com/news/business-50541004">Louis Vuitton buys jeweller Tiffany for $16bn</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ปิดดีล! อาณาจักร LVMH เข้าซื้อกิจการ Tiffany & Co. มูลค่า 1.62 หมื่นล้านเหรียญ

Omise ผู้ให้บริการระบบรับชำระเงินออนไลน์ที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในแวดวงฟินเทคของไทย ขยายธุรกิจไปอีกขั้นด้วยการประกาศบรรลุข้อตกลงกับ ดีแทค เข้าซื้อกิจการระบบรับชำระเงิน Paysbuy หนึ่งในผู้บุกเบิกบริการการรับชำระเงินออนไลน์รายแรกๆ ของไทย ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ ดีแทค ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมรุกตลาดกลุ่มธุรกิจในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่

Jun Hasegawa ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง Omise เผยถึงดีลนี้ว่า เป็นความร่วมมือระหว่าง Omise กับ Paysbuy ซึ่งล้วนมีความโดดเด่นในธุรกิจรับชำระเงินออนไลน์ มั่นใจว่าการควบรวมธุรกิจครั้งนี้จะเป็นผลดีต่อผู้ใช้บริการในแง่ผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยได้

ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการถ่ายโอนบริการด้านการรับชำระเงินทั้งหมดของ Paysbuy ให้ Omise รับช่วงบริหารจัดการ และยังสอดคล้องกับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทที่ต้องการเร่งขยายธุรกิจให้ครอบคลุมผู้ใช้บริการในประเทศอื่นทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากปัจจุบันที่ Omise ดำเนินการในไทยและญี่ปุ่น โดยมีแผนจะเปิดให้บริการในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซียในอนาคตอันใกล้นี้

<figure><img style="width: 680px; height: 443px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/955eb463c6f0c46ba4a041b42435333a.png" alt="" width="680" height="443" /><figcaption> อิศราดร หะริณสุต (ซ้าย) และ Jun Hasegawa (ขวา) สองผู้ร่วมก่อตั้ง Omise</figcaption></figure>

ซีอีโอของ Omise กล่าวอีกว่า นอกจากจะเป็นการขยายฐานลูกค้าไปยังผู้ใช้บริการระบบรับชำระเงินของ Paysbuy ซึ่งปัจจุบันมีทั้งในไทยและเมียนมาร์กว่าพันรายแล้ว การรวมธุรกิจนี้ยังช่วยสนับสนุนการรุกตลาดกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ โทรคมนาคม ประกันชีวิต การบริการและการท่องเที่ยว การค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ อีกด้วย และยังเป็นการช่วยส่งเสริมและผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในอนาคตของ Omise เช่น การวางและพัฒนาโครงสร้างของเครือข่ายสำหรับกระเป๋าเงินออนไลน์ (decentralized wallet network) OmiseGO เป็นต้น

&nbsp;

Forbes in Details

Omise อยู่ภายใต้ บริษัท โอมิเซะ จำกัด มี อิศราดร หะริณสุต เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเป็น COO Hasegawa และ อิศราดร เป็นเพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่วัยรุ่น ทั้งคู่เคยทำงานในบริษัทเอเยนซี่ที่ทำโฆษณาให้ NTT Communications บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของญี่ปุ่นก่อนที่ทั้งสองจะกลับเมืองไทย

อิศราดรและ Hasegawa เริ่มต้นพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับอี-คอมเมิร์ซ แต่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นระบบให้บริการชำระเงินออนไลน์ ที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แวดวงฟินเทคเมืองไทย เมื่อสามารถระดมทุนรอบ series B ด้วยตัวเลข 17.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กลายเป็นฟินเทคสตาร์ทอัพรายแรกที่ทุบสถิติมูลค่าการระดมทุนในรอบ series B ได้สูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(อ่านต่อเพิ่มเติมที่ "<a href="http://www.forbesthailand.com/people-detail.php?did=1332">ปั้นช่องทางจ่ายเงินออนไลน์แบบ Omise</a>")

ฟินเทคไทยคึกคัก เมื่อ 'Omise' รุกอีกขั้น เข้าซื้อกิจการ Paysbuy จาก 'ดีแทค'

Samsung Electronics และ Harman International Industries ร่วมกันแถลงข้อตกลงสำคัญทางธุรกิจ โดย Samsung จะซื้อกิจการของ Harman ด้วยเงินสด 112 เหรียญสหรัฐฯ ต่อหุ้นหรือคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อกระบวนการเข้าซื้อหุ้นสิ้นสุดลง Samsung  จะก้าวเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมที่สำคัญยิ่งคืออุตสาหกรรมของอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของ Samsung  ตามกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท อีกทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2025

ปัจจุบัน Harman เป็นผู้นำตลาดโซลูชั่นอัจฉริยะภายในห้องโดยสารของรถยนต์ โดยมีรถยนต์กว่า 30 ล้านคันที่ติดตั้งโซลูชั่นอัจฉริยะภายในห้องโดยสารรูปแบบต่างๆ ที่ผลิตโดย Harman ทั้งแบบระบบอินโฟเทนเมนต์บนคอนโซล ระบบโทรมาตรสำหรับการนำทาง และระบบเพื่อความปลอดภัยของรถแบบอัจฉริยะ รวมถึงเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ทั้งด้านการออกแบบและการผสมผสานเทคโนโลยีต่างๆ ที่ติดตั้งอยู่ภายในห้องโดยสารของรถยนต์

อีกทั้งยังเป็นบริษัทที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับผู้ผลิตรถยนต์ระดับชั้นนำของโลกหลายราย ทั้งประสบการณ์และความสัมพันธ์ทางธุรกิจเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับ Samsung เนื่องจากการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะช่วยพัฒนาความเชี่ยวชาญในธุรกิจและบริการประเภทต่างๆ ทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมของอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ  สารกึ่งตัวนำ ประสบการณ์การใช้งาน หน้าจอ และช่องทางการจัดจำหน่ายในระดับสากลให้กับ Samsung

นอกเหนือไปจากนี้ การผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านเสียงรวมทั้งแบรนด์ต่างๆ ที่มีชื่อเสียงในเครือฮาร์แมนเข้ากับความเชี่ยวชาญในธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือนของ Samsung ยังจะช่วยมอบผลประโยชน์หลากหลายประการให้กับผู้บริโภคและยกระดับประสบการณ์การใช้งานผลิตภัณฑ์หรือโซลูชั่นต่างๆ ของ Samsung ทั้งในระดับผู้ใช้ทั่วไปและผู้ใช้มืออาชีพ

ในโอกาสนี้ Oh-Hyun Kwon รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Samsung Electronics กล่าวว่า “ฮาร์แมนเป็นบริษัทที่สามารถช่วยเติมเต็มองค์ประกอบต่างๆ ที่ซัมซุงขาดไปได้ ทั้งทางด้านเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และโซลูชั่น การเข้าซื้อกิจการของฮาร์แมนในโอกาสนี้จะช่วยให้ซัมซุงพัฒนากลยุทธ์สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เราพยายามพัฒนามาระยะหนึ่งแล้ว ทั้งนี้ ฮาร์แมนเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานยนต์ในระดับเทียร์ 1 ที่มีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำหลายราย

นอกจากนี้ ฮาร์แมนยังมีแบรนด์ในเครือที่แข็งแกร่ง มีเทคโนโลยีระดับสูง และยังเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ชั้นเลิศมากมาย ดังนั้น การเข้าซื้อกิจการของฮาร์แมนจะส่งผลให้ซัมซุงมีรากฐานที่แข็งแรงสำหรับการเสริมสร้างการเติบโตในอุตสาหกรรมยานยนต์   ยิ่งไปกว่านี้ Dinesh Paliwal ประธาน ประธานบริหาร และกรรมการผู้จัดการของบริษัทฮาร์แมน ยังเป็นผู้บริหารองค์กรที่เก่งกาจอย่างยิ่ง ซัมซุงให้ความเคารพทั้งตัวเขา ผู้บริหารท่านอื่นๆ และบุคลากรทุกคนของฮาร์แมนเป็นอย่างมากหลังจากพูดคุยกันหลายต่อหลายครั้ง  การเติบโตอย่างรวดเร็วของฮาร์แมนเป็นผลลัพธ์จากเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำและกระบวนการสรรสร้างโซลูชั่นอัจฉริยะภายในห้องโดยสารของรถยนต์ที่สะท้อนให้เห็นถึงการสรรสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ตามความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง”

ในโอกาสเดียวกัน Young Sang ประธานและประธานเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์ของ Samsung Electronics กล่าวเสริมว่า “รถยนต์แห่งยุคอนาคตจะเป็นรถยนต์ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะมากมายและคุณสมบัติด้านการเชื่อมต่อที่หลากหลาย การเปลี่ยนแปลงนี้จะคล้ายคลึงกับการเปลี่ยนผ่านจากฟีเจอร์โฟนสู่สมาร์ทโฟนที่เกิดขึ้นในทศวรรษที่ผ่านมา ซัมซุงมองเห็นโอกาสสำหรับการเติบโตระยะยาวที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับรถยนต์เนื่องจากซัมซุงได้รับคำสั่งซื้อชิ้นส่วนอิเลคโทรนิคส์และโซลูชั่นที่มีรูปแบบเฉพาะเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการทำงานร่วมกันระหว่างเราและฮาร์แมนจะส่งผลให้เราก้าวขึ้นไปเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานยนต์ในระดับเทียร์ 1 ได้สำเร็จด้วยการนำเสนอโซลูชั่นที่มีคุณภาพและรองรับการเชื่อมต่อหลากหลายรูปแบบในอนาคต”

ด้าน Dinesh Paliwal ประธาน ประธานบริหาร และกรรมการผู้จัดการของ Harman International Industries กล่าวเสริมว่า “การเข้าซื้อกิจการของฮาร์แมนด้วยเงินสดในครั้งนี้มอบผลประโยชน์มหาศาลให้กับผู้ถือหุ้นของเราและยังช่วยเปิดโอกาสให้พนักงานของเราได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่มีขนาดใหญ่และมีธุรกิจที่หลากหลายยิ่งขึ้น การประกาศเข้าซื้อกิจการโดยซัมซุงในวันนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จของเราและยังสะท้อนถึงคุณค่าของบริษัทของเราที่ผู้ถือหุ้นของเราสามารถสัมผัสได้”

ผลประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับและโอกาสในการเติบโตจากการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้

ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์: Samsung สามารถผสานนวัตกรรมของตนด้านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สาย เช่นสัญญาณโทรศัพท์มือถือยุค 5 จี การออกแบบประสบการณ์การใช้งาน/ส่วนประสานผู้ใช้งาน เทคโนโลยีหน้าจอ และโซลูชั่นเพื่อความปลอดภัยเข้ากับนวัตกรรมในห้องโดยสารของรถยนต์ที่พัฒนาโดย Harman

ด้านอุตสาหกรรมเครื่องเสียง: Harman เป็นบริษัทที่มีแบรนด์เครื่องเสียงชั้นนำอยู่ในเครือมากมาย อันได้แก่ JBL®, Harman Kardon®, Mark Levinson®, AKG®, Lexicon®, Infinity®, และ Revel® ยิ่งไปกว่านี้ ฮาร์แมนยังเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิ์ให้ผลิตชุดเครื่องเสียงติดรถยนต์ให้กับผู้ผลิตเครื่องเสียงชั้นนำ 2 รายคือ Bowers &amp; Wilkins® และ Bang &amp; Olufsen®

ด้านบริการภาพและเสียงแบบมืออาชีพ: Samsung และ Harman จะร่วมกันยกระดับบริการแบบ B2B เนื่องจากทั้ง 2 องค์กรจะสามารถนำเสนอบริการภาพและเสียงแบบมืออาชีพสำหรับการแสดงในสนามกีฬา สถานที่แสดงคอนเสิร์ต รวมไปถึงโรงมหรสพต่างๆ

ด้านอุตสาหกรรมของอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ  และบริการที่เกี่ยวข้อง: การเข้าซื้อกิจกรรมครั้งนี้ส่งผลให้ Harman สามารถร่วมงานกับนักออกแบบซอฟต์แวร์และวิศวกรกว่า 8 พันคนของ Harman ได้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของซัมซุงในตลาดอุปกรณ์ IoT ความร่วมมือกันระหว่าง 2 องค์กรจะช่วยพัฒนาบริการคลาวด์แบบใหม่ๆ ทั้งสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปและองค์กรธุรกิจ อีกทั้งยังช่วยพัฒนาบริการใหม่ๆ ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์จากการผสมผสานกันระหว่างรูปลักษณ์ อุปกรณ์ที่ติดตั้ง และข้อมูลสารสนเทศ

&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events