คนไทยกินกาแฟ 1.5 แก้ว/คน/วัน แต่ยังน้อยกว่ายุโรป-ญี่ปุ่น ‘คั่วอ่อน’ ขายดีขึ้น เพราะคนอยากได้ ‘ประสบการณ์’ บอนกาแฟ-พีเบอร์รี่ ไทย มองตลาดกาแฟไทยยังโตต่อ - Forbes Thailand

คนไทยกินกาแฟ 1.5 แก้ว/คน/วัน แต่ยังน้อยกว่ายุโรป-ญี่ปุ่น ‘คั่วอ่อน’ ขายดีขึ้น เพราะคนอยากได้ ‘ประสบการณ์’ บอนกาแฟ-พีเบอร์รี่ ไทย มองตลาดกาแฟไทยยังโตต่อ

บอนกาแฟ-พีเบอร์รี่ ไทย ซัพพลายเออร์เจ้าใหญ่วงการกาแฟไทย มองตลาดกาแฟไทยยังมีโอกาสโตต่อท่ามกลางราคาเมล็ดกาแฟพุ่งไม่หยุด สถิติพบคนไทยกินกาแฟคนละ 1.5 แก้วต่อวัน น้อยกว่ายุโรปและญี่ปุ่น เผยเทรนด์น่าสนใจ คอกาแฟเน้นกินเอา ‘ประสบการณ์’ มากขึ้น ล่าสุดลุยเปิดตัวเครื่องบดใหม่จากแบรนด์ 'มาโคนิก' มาพร้อมนวัตกรรม Grind-by-Sync ช่วยให้ได้คุณภาพสม่ำเสมอกว่าเดิม


    ธงธรรม เวชยชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเบอร์รี่ ไทย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดกาแฟไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีอัตราการบริโภคเติบโตถึง 3 เท่า จากสถิติยังพบว่าคนไทยดื่มกาแฟเฉลี่ยคนละ 1.5 แก้วต่อวัน ซึ่งยังน้อยกว่ายุโรปที่ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 5 แก้วต่อคนต่อวัน ส่วนญี่ปุ่นอยู่ที่ 3 แก้วต่อคนต่อวัน สะท้อนว่าตลาดกาแฟไทยยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีก

    “พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปด้วย เช่น ดื่มเมนูอเมริกาโน่มากขึ้น รวมถึงเลือกดื่มแบบ Single Origin ซึ่งเป็นการเลือกดื่มกาแฟตามแหล่งเพาะปลูกมากขึ้น สะท้อนถึงความต้องการที่หลากหลายและเฉพาะทาง อย่างไรก็ตาม ภาพรวมคนไทยยังคงดื่มกาแฟในราคาจับต้องได้ เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณแก้วละ 100 บาท” ธงธรรมกล่าว

ธงธรรม เวชยชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเบอร์รี่ ไทย จำกัด


    เขายังบอกอีกว่า นอกจากนี้ คอกาแฟชาวไทยให้ความสำคัญกับ ‘ประสบการณ์’ ในการดื่มมากขึ้น สังเกตได้จากเมล็ดกาแฟคั่วอ่อนที่ขายดีมากขึ้น จากเมื่อก่อนที่เมล็ดกาแฟขายดีจะเป็นคั่วเข้ม ไม่เพียงเท่านั้น ประสบการณ์ที่คอกาแฟให้ความสำคัญมากขึ้นยังรวมไปถึง ‘รายละเอียด’ ของกาแฟแต่ละแก้วที่ดื่ม และความสม่ำเสมอของคุณภาพที่ได้จากการชงของบาริสต้าด้วย

    นั่นทำให้ล่าสุด พีเบอร์รี่ ไทย จับมือ กับ บอนกาแฟ (ประเทศไทย) สองบริษัทชั้นนำที่เชี่ยวชาญและเป็นที่ปรึกษาด้านธุรกิจกาแฟให้กับผู้ประกอบการร้านกาแฟในไทย จัดอีเวนต์พิเศษ ‘Grinding to Greatness’ เฉลิมฉลองการครบรอบ 100 ปีของแบรนด์เครื่องบดกาฟสัญชาติเยอรมันอย่าง มาโคนิก (Mahlkonig) ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องบดกาแฟที่ทั้งพีเบอร์รี่ ไทย และบอนกาแฟ เป็นผู้นำเข้ามาจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการ

    โดยภายในงานยังมีการเปิดตัวเครื่องบดกาแฟมาโคนิก 2 รุ่นใหม่ที่มาพร้อมนวัตกรรมอันล้ำสมัย Grind-by-Sync ก้าวสู่มาตรฐานใหม่ของการบดกาแฟ

ธงธรรม เวชยชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเบอร์รี่ ไทย จำกัด และ อุษาพรรณ อินทีวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท บอนกาแฟ (ประเทศไทย) จำกัด


    ทั้งนี้ พีเบอร์รี่ ไทย ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาด้านธุรกิจกาแฟ และนำเข้าสินค้าและอุปกรณ์เกี่ยวกับธุรกิจกาแฟแบบครบวงจร รวมถึงยังเป็นเจ้าของร้านกาแฟสเปเชียลตี้อย่าง Pacamara ด้วย โดยรายได้ 35% มาจากร้าน Pacamara ส่วนอีก 65% มาจากธุรกิจสินค้าและอุปกรณ์เกี่ยวกับธุรกิจกาแฟ ซึ่งธงธรรมบอกว่าแบรนด์เครื่องบดกาแฟที่ขายดีที่สุดก็คือ ‘มาโคนิก’

    สำหรับ บอนกาแฟ (ประเทศไทย) ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาด้านธุรกิจกาแฟ และนำเข้าสินค้าและอุปกรณ์เกี่ยวกับธุรกิจกาแฟแบบครบวงจรเช่นเดียวกัน โดยเดิมเป็นบริษัทสัญชาติสิงคโปร์ที่เข้ามาดำเนินกิจการในไทยตั้งแต่ 33 ปีก่อน จากนั้นในปี 2024 จะถูกบริษัทอิตาลีซื้อกิจการไป ปัจจุบันมีหน้าร้านสำหรับจำหน่ายอุปกรณ์ 22 สาขา โดยรายได้ 80% มาจากการขายในรูปแบบ B2B และอีก 20% มาจากลูกค้ากลุ่ม B2C ที่ซื้อบนช่องทางออนไลน์

    ธงธรรม กล่าวอีกว่า ภาพรวมของตลาดเครื่องบดกาแฟในเชิงการขายอุปกรณ์ เรียกได้ว่ากำลัง Shift ไปในเชิงการหนุนให้ลูกค้า B2B ควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายและสามารถทำกำไรได้มากขึ้นผ่านการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ เพื่อให้ร้านกาแฟในไทยยังดำเนินกิจการต่อไปได้

    “แม้ตลาดกาแฟไทยจะมีปัจจัยบวก แต่ก็มีปัจจัยลบด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นราคาเมล็ดกาแฟที่แกว่งมาก ย้อนไป 3-4 ปีที่แล้ว กาแฟโรบัสต้าอยู่ที่ 70 บาท/กิโลกรัม ปัจจุบันอยู่ที่ 210 บาท/กิโลกรัม ส่วนกาแฟอราบิก้าเดิมอยู่ที่ 160 บาท/กิโลกรัม ปัจจุบันอยู่ที่ 280 บาท/กิโลกรัมแล้ว แม้มีดีมานด์เยอะจากผู้บริโภคทั่วโลก แต่ผู้ประกอบการก็มีต้นทุนสูงขึ้นด้วย” ธงธรรมกล่าว

    ธงธรรมยกตัวอย่างว่าการนำเครื่องบดเมล็ดกาแฟที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ มานำเสนอให้กับผู้ประกอบการร้านกาแฟ นอกจากจะช่วยให้สามารถคงความสม่ำเสมอของกาแฟที่บดได้ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการได้กาแฟบดในน้ำหนักที่ถูกต้องมากขึ้น ลดการสูญเสียเมล็ดกาแฟลง และช่วยประหยัดต้นทุนเพิ่มขึ้นได้

    ทั้งนี้ เครื่องบดกาแฟ 2 รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ Grind-by-Sync ผ่าน 2 โมเดลสุดเศษ คือ E65W และ E80W

    1.Mahlkonig E65W GBS (Grind-by-Sync) เป็นรุ่นที่ช่วยให้บาริสต้าสามารถควบคุมได้โดยตรง ทั้งโหมดปกติ ให้บาริสต้าตั้งค่าด้วยตัวเอง และโหมดซิงก์ ที่ใช้เทคโนโลยี Grind-by-Sync ช่วยซิงก์การทำงานระหว่างเครื่องบดและเครื่องชงกาแฟ สามารถควบคุมและตั้งค่าผ่านแอปพลิเคชัน Mahlkonig Sync ทั้งแอปฯ บนมือถือและคอมพิวเตอร์ ทำให้ซิงก์ได้หลายเครื่องพร้อมกัน

    รวมถึงจัดการและดูข้อมูลการใช้งานแบบเรียลไทม์จากระยะใกล้และไกลได้ในทุกๆ ที่ นอกจากนี้ ยังมีระบบปรับระยะห่างของเฟืองบดแบบไมโครเมตริกด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ให้ความแม่นยำสูงสุด ซึ่งตัวเฟืองนี้ผลิตจากเหล็กกล้าพิเศษที่มีความแข็งแรงทนทาน ขนาด 65 มม. นั้นหมายความว่า เครื่องบดรุ่นนี้จะให้คุณภาพของช็อตกาแฟที่สมบูรณ์แบบในทุกแก้ว


    2.Mahlkonig E80W GBS (Grind-by-Sync) เป็นรุ่นที่ใช้เทคโนโลยี Grind-by-Sync ช่วยซิงก์การทำงานระหว่างเครื่องบดและเครื่องชงกาแฟเช่นกัน แต่ส่วนที่แตกต่าง คือ การเพิ่มขนาดของเฟืองบดเป็น 80 มม. เพิ่มพลังในการบดที่ละเอียดและสม่ำเสมอ และปริมาณที่มากขึ้นได้อย่างไร้กังวล เพราะความละเอียดช่วยให้แรงดันน้ำเข้าไปทำปฏิกิริยาในเนื้อกาแฟ ช่วยให้เกิดกลิ่นอโรมาได้เต็มที่

    ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่าเทคโนโลยี Grind-by-Sync ช่วยให้ทุกช็อตของเอสเปรสโซออกมาสมบูรณ์แบบทุกครั้ง ดังนั้น ร้านที่มีหลายสาขาสามารถตั้งค่าจากศูนย์กลางได้ หรือหากมองในมุมของการมอนิเตอร์ระยะไกล ร้านกาแฟและโรงคั่วสามารถติดตามการบดกาแฟได้แบบเรียลไทม์ ประหยัดเวลาทำให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    อุษาพรรณ อินทีวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท บอนกาแฟ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การร่วมมือกับพีเบอร์รี่ ไทย ในครั้งนี้ นอกจากต้องการนำเสนอความเป็น Global brand ของมาโคนิกให้แข็งแรงมากขึ้น ก็อยากให้ตลาดเห็นความสำคัญของเครื่องบดกาแฟ และมั่นใจที่จะลงทุนกับเทคโนโลยีที่พัฒนา โดยตั้งเป้ากลุ่มลูกค้าไว้ทั้งกลุ่มผู้ใช้ใหม่, กลุ่มที่ใช้เครื่องบดแบรนด์อื่น และกลุ่มที่รู้จักและใช้งานแบรนด์มาโคนิกอยู่แล้วแต่อยากอัปเกรด

อุษาพรรณ อินทีวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท บอนกาแฟ (ประเทศไทย) จำกัด


    ทั้งนี้ สำหรับเครื่องบดกาแฟแบรนด์มาโคนิกที่ทั้งสองบริษัทจำหน่ายอยู่ในปัจจุบันมีทั้งหมด 10 รุ่นด้วยกัน มีตั้งแต่ราคาหลักพันบาทสำหรับกลุ่มใช้ในบ้าน ส่วนสองรุ่นที่เปิดตัวใหม่มีราคาเริ่มต้น 113,000 บาท โดยทั้งสองบริษัทตั้งเป้ายอดขายของแบรนด์มาโคนิกในปีนี้ไว้ที่หลักร้อยเครื่อง




Image by jcomp on Freepik




เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ราคา ‘กาแฟ’ พุ่งทุบสถิติใหม่ สูงสุดในรอบ 47 ปี ผลจากสภาพอากาศแปรปรวน

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine