<h2>กลุ่ม BTS โดย VGI และ U City เข้าลงทุนในบริษัทของกลุ่ม JMART จำนวนทั้งสิ้น 1.75 หมื่นล้านบาท ปลดล็อกฐานเงินทุน JMART กวิน กาญจนพาสน์ ซีอีโอ กลุ่ม BTS เผยตั้งเป้าเป็นพันธมิตรระยะยาว เพื่อช่วยสร้างมูลค่าทางธุรกิจร่วมกันพร้อมต่อยอดธุรกิจภายใต้เครือข่าย 3 M</h2>
สำหรับการลงทุนในครั้งนี้จะเป็นการลงทุนในหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกผ่านการเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (Rights Offering: “RO”) และการเสนอขายให้บุคคลในวงจำกัด (Private Placement: “PP”) จาก JMART SINGER และ JMT เพื่อใช้เพื่อเป็นเงินอัดฉีดกระตุ้นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของกลุ่ม JMART  โดย SINGER จะได้รับเงินจาก PP และ RO จำนวนทั้งสิ้น 1.06 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายฐานการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ

นอกจากนี้เงินดังกล่าวจะนำไปใช้สำหรับการจ่ายคืนหุ้นกู้ เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย โดยในปี 2565 SINGER ตั้งเป้าที่จะเพิ่มพอร์ตสินเชื่อเป็น 1.5 หมื่นล้านบาท ด้าน JMT ประกาศเพิ่มทุนแบบ RO ระดมทุนกว่า 1.0 หมื่นล้านบาท โดย JMT แถมแจกวอแรนท์สำหรับผู้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุน เพื่อเพิ่มฐานทุนในการขยายการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเพิ่มเติม ผลักดันเป็นเบอร์ 1 บริษัทบริหารหนี้ด้อยคุณภาพในประเทศ

<strong>อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา</strong> ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART) กล่าวว่า “การร่วมเป็นพันธมิตรกับ VGI และ U City บริษัทในกลุ่มบีทีเอสในครั้งนี้ ถือเป็นการเติบโตครั้งสำคัญของกลุ่ม JMART โดยเราได้ผนึกกำลังร่วมกับผู้นำที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจด้าน Offline-to-Online (“O2O”) โซลูชัน ที่มีธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจบริการชำระเงิน และ ธุรกิจโลจิสติกส์ ผสานด้านความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น

การร่วมเป็นพันธมิตรในครั้งนี้จะช่วยปลดล็อกฐานเงินทุนของเราให้เพิ่มขึ้น และสร้างการเติบโตผ่านซินเนอร์ยี่ร่วมกัน ทั้งนี้ในอีก 3–5 ปีข้างหน้า เราตั้งเป้าในการใช้เงินผ่านการระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจ และลดต้นทุนทางการเงิน ทั้งนี้เราเชื่อมั่นว่า JMART มีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอที่จะสามารถสร้างประสิทธิภาพในการเติบโต แม้ว่าจะเจอสถานการณ์ที่ท้าทายจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยปัจจุบันมูลค่ามาร์เก็ตแคปรวมของกลุ่มบริษัทมีกว่า 106,822 ล้านบาท คาดจะเติบโตไปกว่านี้ไม่น้อยกว่า 3 เท่า

นอกจากธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตยิ่งขึ้นแล้ว การเพิ่มทุนครั้งนี้จะเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนของกลุ่ม JMART ด้วยต้นทุนการเงินที่ลดลงของ SINGER และ JMT จะสะท้อนกลับมาที่ JMART ในแง่ของกำไรที่โดดเด่น โดย JMART ตั้งเป้าภาพรวมกำไรเติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 50% ต่อปี ต่อไปอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งยังไม่นับรวมการผนึกพันธมิตรต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเติมร่วมกับ VGI และ U City ภายในเครือข่าย 3M ของกลุ่ม BTS”

<strong>ด้าน กวิน กาญจนพาสน์</strong> ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม BTS กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นกับการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ ซึ่งเป็นความร่วมมือภายใต้กลุ่ม MATCH ของเรา  VGI และ U City ลงทุนมูลค่ากว่า 1.75 หมื่นล้านบาทด้วยความตั้งใจร่วมเป็นพันธมิตรในระยะยาว เพื่อช่วยสร้างมูลค่าทางธุรกิจร่วมกัน เราพร้อมต่อยอดธุรกิจภายใต้เครือข่าย 3M (Move, Mix และ Match) ที่เรามีอยู่ ความสามารถด้านฟินเทคที่เข็มแข็งของ JMART ร่วมกับการรวมระบบกระจายสินค้าและสาขาที่มีอยู่ทั่วประเทศ นอกจากนี้เราได้วางแผนที่จะรวมเทคโนโลยีทางการเงินและ Crypto Digital Token เพื่อใช้ภายในเครือข่ายของกลุ่ม BTS ซึ่งจะสร้างประสบการณ์ใหม่และความสะดวกสบายให้แก่ฐานลูกค้าของเราได้ดียิ่งขึ้น”

อย่างไรก็ดี แผนการ Synergy ร่วมกันในช่วงต่อจากนี้ คาดว่าจะได้เห็นการขยายฐานลูกค้า การขยายผลิตภัณฑ์และบริการในเครือของ JMART ร่วมกันไปสู่สินค้าสำหรับผู้บริโภค การประกันภัย รวมไปถึงเทคโนโลยีและการให้บริการ O2O โซลูชันของ VGI ผ่านแพลตฟอร์มธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจบริการชำระเงิน และธุรกิจโลจิสติกส์

ในแง่ของผลิตภัณฑ์ Jaymart Mobile จะสามารถนำเสนอสินค้าเทคโนโลยีต่างๆ ผ่านแพลตฟอร์มของ VGI ที่มีความแข็งแกร่ง และเพิ่มจุดให้บริการ (Service Point) บนสถานีรถไฟฟ้า รวมถึงการใช้เครือข่ายสื่อโฆษณา และการขนส่งสินค้าผ่านบริษัทในกลุ่ม VGI ขณะที่ VGI สามารถขยายช่องทางการจําหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของ Fanslink ผ่านพื้นที่ค้าปลีกของกลุ่ม JMART มากยิ่งขึ้น

ในแง่ของช่องทางการจัดจำหน่าย SINGER ถือเป็นเบอร์หนึ่งในการเข้าถึงลูกค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยในปัจจุบันมีหน้าร้านที่แบ่งออกเป็นสาขาและแฟรนไชส์กว่า 2,000 แห่ง นอกจากช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านร้านขายสินค้าเทคโนโลยีอย่าง Jaymart Mobile ยังมีบริษัทในเครือที่คอยเป็นตัวแทนของเครือข่ายในการกระจายสินค้าเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคอย่างแพร่หลาย โดยหากผสานกับ Kerry จะเป็นการเพิ่มช่องทางและโอกาสในการต่อยอดธุรกิจโลจิสติกส์ในเครือ JMART ได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นทางด้านเทคโนโลยีทางการเงิน Blockchain รวมทั้งการศึกษาด้านดิจิทัลโทเคน เป็นโอกาสในการนำโทเคน JFin มาใช้ภายในเครือข่ายของกลุ่ม BTS จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเติมเต็มอีโคซิสเต็มของ JMART ให้สมบูรณ์ สำหรับการทำธุรกรรมต่างๆ รวมถึงการใช้งานแทนเงินสด ซึ่งจะช่วยสร้างอีโคซิสเต็มทางธุรกิจที่ครบวงจร พร้อมผลักดันให้มีการปรับเปลี่ยนเพื่อเข้าสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งหมดนี้จะเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่จะเชื่อมต่อฐานข้อมูลที่ครอบคลุมที่สุด เพื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์และปรับปรุงบริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกรูปแบบ

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/commentaries/%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%8c%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%9a%e0%b9%82%e0%b8%95-%e0%b8%9e%e0%b8%a4%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%a3.html">เทรนด์การเติบโต พฤติกรรมผู้บริโภค ในทศวรรษหน้า</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

&nbsp;

กลุ่ม BTS เข้าลงทุน JMART 1.75 หมื่นล้านบาท

<h2>VGI และ MACO บริษัทในกลุ่มบีทีเอส โฮลดิ้ง เผยผลดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 63/64 รายได้หดตามคาดจากผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้หลายธุรกิจรายได้หดหาย โดยอุตสาหกรรมสื่อโฆษณา ซึ่งต้องพึ่งพิงลูกค้าจากธุรกิจหลักก็ได้รับผลกระทบไม่น้อยเช่นกัน</h2>
<strong>บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน)</strong> หรือ วีจีไอ (VGI) ผู้ให้บริการตลาด Offline-to-Online (O2O) โซลูชั่นส์ บนแพลตฟอร์มธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจบริการชำระเงิน และธุรกิจโลจิสติกส์ ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ประจำปี 2563/64  สะท้อนผลกระทบจากโควิด-19 ชัดเจน โดยภาพรวมธุรกิจรายได้ลดลง 50.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 445 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิที่ 104 ล้านบาท เนื่องจากโควิด-19 นำไปสู่การประกาศใช้มาตรการฉุกเฉินต่างๆ ของภาครัฐ ไปจนถึงการล็อคดาวน์เพื่อจำกัดการเดินทางของผู้คนทั้งในและต่างประเทศ วิกฤติดังกล่าวส่งผลให้เกิดความผันผวนทางเศรษฐกิจในวงกว้าง ทั้งธุรกิจสินค้าและบริการ รวมถึงกิจการด้านสื่อโฆษณา

<span style="color: #993300;">“ไตรมาสนี้ธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านได้รับผลกระทบอย่างสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากการลดการใช้งบโฆษณาของนักการตลาดและแบรนด์ต่างๆ เช่นเดียวกับธุรกิจบริการด้านดิจิทัล ก็ได้รับผลลบจากมาตรการดังกล่าว โดยเฉพาะการชำระเงินแบบออฟไลน์ที่ต้องทำธุรกรรมแบบตัวต่อตัว”</span> <strong>Nelson Leung</strong> กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวและว่าอย่างไรก็ตามวีจีไอยังคงได้รับประโยชน์ในช่วง stay-at-home และมาตรการล็อคดาวน์ที่ผ่านมา เนื่องจากผู้คนเป็นจำนวนมากหันมาจับจ่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงธุรกิจโลจิสติกส์ที่ได้รับผลบวกจนมีพัฒนาการเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด

<figure><img class="wp-image-33609 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/08/Mr.Nelson-Leung-CEO-of-VGI-01.jpg" alt="" width="600" height="400" /><figcaption> Nelson Leung กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

<strong>ธุรกิจโฆษณายังเสี่ยง </strong>

วิกฤตโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับลด GDP ปี 2563 เป็นติดลบ 8.1% จากคาดการณ์เดิมที่ติดลบ 5.3% ซึ่งนับเป็นความท้าทายต่อธุรกิจทุกภาคส่วน เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ที่อาจจะกลับมา รวมถึงความกดดันทางเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศไทย ทำให้ธุรกิจสื่อโฆษณายังคงมีความเสี่ยงจากความผันผวน และไม่สามารถมองเห็นแนวโน้มที่ชัดเจนได้

อย่างไรก็ตามด้วยความหลากหลายของธุรกิจที่วีจีไอมี ความแข็งแรงของฐานะทางการเงิน และความร่วมแรงร่วมใจของทุกคนในกลุ่มบริษัท ทำให้วีจีไอเชื่อว่าจะได้รับประโยชน์เมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เนื่องจากวีจีไอ มีพันธกิจหลักในการดำเนินธุรกิจ คือ การเป็นผู้นำในการออกแบบประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภคอย่างสร้างสรรค์ ผ่านแพลตฟอร์มที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการให้กับนักการตลาดและแบรนด์ ซึ่งเชื่อว่าจะตรงกับพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภค

ด้าน <span class="wcontent-1597403328696">MACO แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2563/64 (ตั้งแต่เดือนเมษายน - มิถุนายน 2563) มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจที่ 512 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากการได้รับผลกระทบอย่างมากจากวิกฤตโควิด-19 และการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินของภาครัฐ รวมถึงแบรนด์สินค้าและนักการตลาดได้เริ่มจำกัดการใช้จ่ายงบโฆษณา จึงทำให้ธุรกิจโฆษณาทั้งในและต่างประเทศได้รับผลกระทบเชิงลบ สำหรับธุรกิจให้บริการด้านระบบครบวงจรเผชิญความยากลำบากจากการเข้าเจรจาโครงการใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน</span>

<figure><img class="wp-image-33608 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/08/MACO.jpg" alt="" width="400" height="412" /><figcaption> พุน ฉง กิต (MR.CK) ประธานกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) หรือ MACO</figcaption></figure>

<div class="m-detail-container">
<div class="detail m-gfs-c-1 item_1597403328696">

<span class="wcontent-1597403328696">พุน ฉง กิต (MR.CK) ประธานกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) หรือ MACO ผู้นำเครือข่ายสื่อโฆษณานอกบ้านเผยว่า ไตรมาสนี้รายได้รวมที่ลดลงเป็นผลกระทบมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มมาตั้งแต่ต้นปี 2563 ซึ่งนำไปสู่การบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดของภาครัฐ เช่น การจำกัดเวลาออกนอกเคหสถาน การรณรงค์ให้อยู่บ้าน รวมถึงการจำกัดการเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้กิจกรรมทางธุรกิจส่วนใหญ่จึงถูกชะลอไว้ชั่วคราว เนื่องจากผู้ชมสื่อโฆษณานอกบ้านมีจำนวนน้อยลงจากผลกระทบดังกล่าว จึงส่งผลให้รายได้จากธุรกิจโฆษณาลดลงร้อยละ 45.0 คิดเป็น 144 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านรายได้จากธุรกิจให้บริการด้านระบบแบบครบวงจร ลดลงร้อยละ 14.2 เมื่อเทียบแบบYoY คิดเป็น 368 ล้านบาท บริษัทฯ มีขาดทุนสุทธิที่ 179 ล้านบาท</span>

<span style="color: #993300;"><span style="color: #993300;">"สำหรับ MACO เราคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทฯ จะได้รับผลกระทบในทางลบจากสถานการณ์ข้างต้น อย่างไรก็ตามเราจะยังคงรักษาเสถียรภาพทางธุรกิจโดยการดูแลให้ MACO มีกระแสเงินสดที่เพียงพอและมีสภาพคล่องที่ดี เมื่อตลาดโลกฟื้นตัวเราจะมุ่งสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งและกลับมาเติบโตในระดับสากลเพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำสื่อนอกบ้านในภูมิภาคอาเซียนตามแผนเดิม"</span></span>

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%82%e0%b8%94%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%b2-%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%aa-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%81.html">อินโดรามา เวนเจอร์ส ประกาศงบ Q2/63 กำไร 82 ล้านเหรียญ</a>

</div>
</div>
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

&nbsp;

</div>

VGI และ MACO เผยผลดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 63/64 รายได้หดตามคาด

โอกาส "5.8 แสนล้านบาท" จาก "นักท่องเที่ยวจีน"

กวิน กาญจนพาสน์ Tycoon “กินแบ่ง”

https://youtu.be/4s77l5VEn5o

กวิน เคียงบ่าเคียงไหล่ คีรี ในการนำพา BTSG เติบโตอย่างก้าวกระโดด ในขณะที่ บมจ.วีจีไอ โกลบอลมีเดีย ที่กวินริเริ่มสร้างมากับมือได้เติบโต 6 เท่า ในช่วงเวลา 6 ปีที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จนมีมาร์เก็ตแคป 6 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน ล่าสุดสร้างความฮือฮาด้วยดีลการเข้าถือหุ้น 23% ใน Kerry Express ทำให้ อีโคซิสเต็มส์ ทางธุรกิจถึงขีดสุด

<hr />

<a href="https://bit.ly/2PVXcDK">คลิกอ่านฉบับเต็ม "“อีโคซิสเต็มส์” ของ กวิน กาญจนพาสน์ BTS - VGI - Rabbit - KERRY - PlanB - MACO" ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ พฤษภาคม 2562 ได้ที่แผงนิตยสารชั้นนำและในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://bit.ly/2PVXcDK"><img class="alignnone size-full wp-image-7597" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/EDIT-COVER-72-MAY-10-4-62-350-1.jpg" alt="" width="350" height="460" /></a>

“อีโคซิสเต็มส์” ของ กวิน กาญจนพาสน์

<h2>บริษัท วีจีไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ วีจีไอ (VGI) ผู้นำ Offline-to-Online (“O2O”) Solutions บนแพลตฟอร์มธุรกิจด้านโฆษณา ธุรกิจให้บริการชำระเงิน และธุรกิจโลจิสติกส์  ประกาศลงทุนใน บริษัท แพลนบี มีเดีย จำกัด บริษัทโฆษณาสื่อนอกบ้านที่มีเครือข่ายหลากหลาย ในราคา 4.6 พันล้านบาท โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น 18.6% รวบส่วนแบ่งการตลาดสื่อโฆษณานอกบ้านกว่า 70%</h2>
ด้วยศักยภาพของ 2 ผู้นำตลาดสื่อโฆษณาจะผลักดันให้ทั้งสองบริษัทเป็นผู้นำในตลาดสื่อนอกบ้านของไทย ด้วยกำลังการผลิตสื่อมูลค่ากว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ครอบคลุม 77 จังหวัด ทั่วประเทศ และภูมิภาคอาเซียน ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ประโยชน์จากความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการส่งเสริมการขายรูปแบบใหม่ๆ มาขับเคลื่อนให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยโซลูชั่นส์ทางการตลาดที่ครบวงจร นับเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเพิ่มโอกาสในการพัฒนาธุรกิจซึ่งนำไปสู่การสร้างรายได้และกำไรโดยรวมในอนาคต

“การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถวัดผลได้เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในความสำเร็จของธุรกิจโฆษณาในอนาคต เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ของเรากับแพลนบี จะช่วยผลักดันให้เราเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถรวมการเข้าถึงเนื้อหาดิจิทัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผนวกกับแหล่งฐานข้อมูลคุณภาพที่โดดเด่นของ VGI ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในเส้นทางการดำเนินธุรกิจในการเป็นผู้นำด้านการสื่อสารการตลาดแบบผสมผสานมาช่วยสนับสนุนการขายของลูกค้าได้ในทุกขั้นตอนของการสื่อสาร ด้วย ecosystem ของเรา” <strong>Nelson Leung</strong> CEO ของ VGI  กล่าว

“แพลนบีเล็งเห็นถึงศักยภาพในความร่วมมือของ 2 บริษัทที่จะสร้างความแข็งแกร่งจากศักยภาพที่แต่ละบริษัทมีอยู่ และส่งเสริมให้พันธมิตรทางธุรกิจในครั้งนี้สามารถสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในการให้บริการสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยโดยใช้ O2O Solutions จาก VGI ร่วมกับเครือข่ายสื่อโฆษณาที่มีความหลากหลายอันดับ 1 ของประเทศไทย พร้อมกับคอนเทนต์คุณภาพของแพลนบี ทั้งนี้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล”

“นอกจากนี้ จากการร่วมมือกันจะช่วยเสริมศักยภาพในการแข่งขันของสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยเพื่อชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากสื่อโฆษณาดั้งเดิม และสื่อโฆษณาออนไลน์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของทั้งแพลนบีและ VGI ยังคงเล็กมากเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดสื่อโฆษณาโดยรวมมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท  อีกทั้งหวังว่าแพลนบีและ VGI จะได้ร่วมกันสร้างโอกาสในการเติบโตในตลาดสื่อโฆษณาในอาเซียนต่อไป”<strong> ปรินทร์ โลจนะโกสินทร์</strong> CEO ของ แพลนบี กล่าว

<a href="https://www.set.or.th/set/newsdetails.do?newsId=15536437763931&amp;language=th&amp;country=TH">อ่านรายละเอียดการออกและจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนของ PLANB ที่นี่</a>

<figure><img class="size-full wp-image-6200" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/-ซื้อหุ้น-แพลนบี-e1553661691524.jpg" alt="" width="800" height="427" /><figcaption> (จากซ้ายไปขวา) Nelson Leung กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วีจีไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) , กวิน กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท วีจีไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) , คีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ , พลตำรวจเอกสมชาย วาณิชเสนี ประธานกรรมการ บริษัท แพลนบี มีเดีย จำกัด (มหาชน) , ปรินทร์ โลจนะโกสินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลนบี มีเดีย จำกัด (มหาชน) , พินิจสรณ์ ลือชัยขจรพันธ์ กรมการผู้จัดการ บริษัท แพลนบี มีเดีย จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

วีจีไอทุ่ม 4.6 พันล้านลงทุนใน 'แพลนบี' ชิงส่วนแบ่งการตลาดสื่อนอกบ้านรวมกันกว่า 70%

<h2>AnyMind Group ประกาศการเข้าซื้อกิจการส่วนใหญ่ของ Moindy Digital Co Ltd หรือ Moindy จาก บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัด (มหาชน) (TV Thunder) ด้าน Kosuke Sogo ประธานผู้บริหารเผยผลการระดมทุน Series B Plus จำนวน 8 ล้านเหรียญฯ</h2>
<strong>Kosuke Sogo</strong> ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง AnyMind Group พร้อมผู้บริหารระดับสูง เผยการจบดีล <strong>Moindy</strong> โดยไม่เปิดเผยตัวเลข ด้วยความเชี่ยวชาญและทรัพย์สินต่างๆ ของ Moindy จะอยู่ในภายใต้การบริหารงานของ <strong>CastingAsia</strong> บริษัทที่พัฒนาแพลตฟอร์มการตลาดแบบครบวงจรโดยใช้ AI ขับเคลื่อนการทำงานในกลุ่ม AnyMind Group

<span style="color: #993300;">“การเข้าซื้อกิจการ Moindy ทำให้เรามีความเชี่ยวชาญในการสร้างเครือข่ายอินฟลูเอนเซอร์และการบริหารจัดการคนที่มีความสามารถ และการเปิดตัว CastingAsia Creators Network ช่วยให้เราสามารถให้บริการด้านการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ครบวงจรครอบคลุมทุกการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ”</span> <strong>Kosuke Sogo</strong> ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง AnyMind Group กล่าว

ด้าน <strong>พันธ์ศักดิ์ ลิ้มวัฒนายิ่งยง</strong> กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง Moindy อธิบายเพิ่มเติมว่า Moindy เริ่มต้นขึ้นในปี 2547 ในชื่อเดิมคือ Mobile Indy เพื่อช่วยเหลือค่ายเพลงอิสระและนักดนตรีสร้างรายได้จากเพลงผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ โดยปี 2557 บริษัทเริ่มธุรกิจเครือข่ายหลายช่องทาง (MCN) ของ Youtube

“ปี 2560 บริษัทถูกซื้อกิจการโดย บริษัท ทีวีธันเดอร์ จำกัด (มหาชน) และเปลี่ยนชื่อเป็น Moindy พร้อมขยายไปยังช่องทางเพิ่มเติมรวมถึงการออกอากาศทางโทรทัศน์และผู้มีชื่อเสียง ปัจจุบัน Moindy มีช่องทาง YouTube และ LineTV มากกว่า 500 ช่องในเครือข่ายของบริษัท และมีสมาชิกผู้ติดตามมากกว่า 30 ล้านราย มีจำนวนการดูกว่า 600 ล้านครั้งต่อเดือน” <strong>พันธ์ศักดิ์ ลิ้มวัฒนายิ่งยง</strong> กล่าวเสริม

ด้าน <strong>พิรัฐ เย็นสุดใจ</strong> รองประธานบริหารของ TV Thunder เผยว่า “ด้วยการบุกเบิก TV Thunder ในการให้บริการด้านเนื้อหาสำหรับอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 27 ปี เรามั่นใจว่าประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเราในอุตสาหกรรมโทรทัศน์จะสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยม การทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนา KOL (Key Opinion Leader) หรือ อินฟลูเอนเซอร์ สำหรับ CastingAsia และ Moindy”

ปัจจุบันแพลตฟอร์ม CastingAsia มีฟังก์ชั่นการค้นหาโดยขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ช่วยให้นักการตลาดสามารถค้นหาอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมตรงตามความต้องการกับแคมเปญและแบรนด์ พร้อมเสริมด้วย CastingAsia Marketplace ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับอินฟลูเอนเซอร์ในการลงทะเบียนสำหรับแคมเปญ แพลตฟอร์มนี้ยังสนับสนุนการจัดการของอินฟลูเอนเซอร์ และการสื่อสารบนโซเชียลมีเดีย พร้อมกับการรายงานผลและติดตามแคมเปญ

<figure><img class="wp-image-5754 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/AnyMind-02.jpg" alt="anymind group" width="638" height="359" /><figcaption> จากขวา พิรัฐ เย็นสุดใจ รองประธานบริหารของ TV Thunder, พันธ์ศักดิ์ ลิ้มวัฒนายิ่งยง กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง Moindy,  ศิวัตม์ วิลาสศักดานนท์ กรรมการบริหารของ Moindy และ กรรมการผู้จัดการของ CastingAsia Creators   Kosuke Sogo ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง AnyMind Group</figcaption></figure>

ด้าน<strong> ศิวัตม์ วิลาสศักดานนท์</strong> กรรมการบริหารของ Moindy และ กรรมการผู้จัดการของ CastingAsia Creators เผยว่า การจบดีลครั้งนี้จะช่วยเสริมการทำงานโดยการดึงจุดเด่นของทั้งสองบริษัทมาใช้ โดยการใช้ AI ในการประมวลผล ส่วนเครือข่ายอินฟลูเอนเซอร์ ของ Moindy เองนั้น มีทุกระดับ ตั้งแต่ระดับไมโคร-อินฟลูเอนเซอร์, แมคโคร-อินฟลูเอนเซอร์

<span style="color: #993300;">“อินฟลูเอนเซอร์ แม้จะไม่มีฐานแฟนจำนวนมาก แต่คีย์ความสำคัญคือเขามีสัดส่วนสำคัญในการเกิดซื้อสินค้าที่บรรดาอินฟลูเอนเซอร์เหล่านั้นเลือกใช้ โดย Moindy ทำหน้าช่วยปั้นให้อินฟลูเอนเซอร์เติบโตในแง่คุณภาพและฐานแฟน ให้ก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้นไป ด้วยระบบสัญญา เราและ KOL จะแบ่งรายได้ต่อกัน เรามี อินฟลูเอนเซอร์ ที่มีชื่อเสียงอาทิ ดีเจเพชรจ้า, โจ๊กโซลคูล เป็นต้น ปัจจุบันเราแบ่ง อินฟลูเอนเซอร์ ราว 25 ประเภท”</span>

การเปลี่ยนแปลงจากทีวีแบบดั้งเดิมไปเป็น YouTube และแพลตฟอร์มการรับชมอื่นๆ รวมถึงการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์นั้นเป็นแนวโน้มทิศทางการตลาดของทั่วโลก ด้วยสำนักงานกว่า 13 แห่งใน 11 ประเทศ พร้อมทีมสนับสนุนในตลาดส่วนท้องถิ่นเหล่านั้น CastingAsia Creators Network จึงเติบโตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ CastingAsia ยังเปิดตัวเครือข่าย CastingAsia Creators Network ในประเทศไทย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย พร้อมจะมีการขยายตลาดไปสู่ตลาดที่มีการดำเนินการของ CastingAsia รวมถึง ฮ่องกง, ไต้หวัน และ ญี่ปุ่น

ภายในปีนี้ CastingAsia จะมีอินฟลูเอนเซอร์ทั้งในระดับ Micro และ Macro มากกว่า 35,500 คนในตลาด 17 แห่ง โดยมีผู้ติดตามรวมกว่า 180 ล้านคน ใน Facebook, Instagram, YouTube, LINE และ Twitter

<span style="color: #993300;">“ในที่สุดแล้วเราต้องการสนับสนุนและยกระดับระบบธุรกิจการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ในเอเชียด้วยเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่ครอบคลุมสำหรับนักการตลาด และเป็นพื้นฐานสำหรับอินฟลูเอนเซอร์ที่จะเติบโตต่อไป พร้อมให้ความรู้สร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรม เพื่อความปลอดภัย, ความโปร่งใส และเพื่อการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ที่มีประสิทธิภาพ”</span> <strong>Kosuke Sogo</strong> ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง AnyMind Group กล่าว

ทั้งนี้ Kosuke Sogo กล่าวเพิ่มเติมถึงการระดมทุน Series B Plus จำนวน 8 ล้านเหรียญฯ จาก VGI Global Media  Plc (VGI) และ Tokyo Century Corporation “การระดมทุนในรรอบ Series B มีมูลค่ารวมกว่า 21.4 ล้านเหรียญสหรัฐ และเงินทุนทั้งหมดในปัจจุบันเป็น 35.9 ล้านเหรียญสหรัฐ นักลงทุนรายใหม่ ได้แก่ VGI Global Media  Plc (VGI) ผู้ให้บริการโซลูชั่นส์ออฟไลน์สู่ออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มโฆษณา แพลตฟอร์มชำระเงิน และแพลตฟอร์มโลจิสติกส์และ Tokyo Century Corporation บริษัทให้บริการด้านการเงินของญี่ปุ่น”

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events