FORBES_MAY_ISSUE_2024

<h2>ปัจจุบันความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคเจเนอเรชันใหม่ทั้งเจน Y และเจน Z มีความซับซ้อนขึ้น ความคาดหวังมากขึ้น และความอดทนลดลง รวมถึงผู้บริโภคได้รับข่าวสารมากมายจากหลากหลายช่องทาง เพราะฉะนั้นการตลาดแบบเก่าหรือการตลาดแบบแมสนอกจากจะเป็นการสิ้นเปลืองแล้วยังไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากลูกค้าได้ หรือบางครั้งก็ถึงขั้นสร้างความรำคาญให้กับลูกค้าได้เลยทีเดียว </h2>&nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความสำคัญของการตลาดในยุค 5.0 คือ การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูล (data-driven) และการให้ความสำคัญกับข้อมูลที่หลากหลายและมหาศาล (big data) เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้ได้ข้อมูลอินไซต์ และเข้าใจลูกค้ามากขึ้น ซึ่งจุดนี้เองจึงเป็นที่มาให้ทั้งธุรกิจและนักการตลาดต้องให้ความสำคัญกับการตลาดแบบเจาะจงตามความต้องการของลูกค้า (personalized marketing) คนที่จะชนะใจลูกค้าได้ก็คือ คนที่สามารถใช้ข้อมูลมาทำการตลาดแบบถูกใจถูกที่ถูกเวลาให้กับลูกค้าได้ดีที่สุด &nbsp; Lifestyle Approach&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในอดีตการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินมักอยู่ในรูปแบบ “product centric” หรือ “product approach” ซึ่งเกิดจากผู้ให้บริการทางการเงินเป็นผู้กำหนดทิศทางผลิตภัณฑ์ฝ่ายเดียวตั้งแต่ขั้นตอน product development ไปจนถึงการนำเสนอและสื่อสารถึงผู้บริโภค ดังนั้น ในอดีตข้อมูลที่นำมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์บริการทางการเงินและการตลาดในยุคเดิมจะเน้นที่ข้อมูลประชากร (demographic data) เช่น เพศ, อายุ, การศึกษา, รายได้ เป็นหลัก และใช้ข้อมูลเชิงประชากรเหล่านี้ทำการแบ่งส่วนตลาด (segmentation) และพัฒนาผลิตภัณฑ์และวางแผนการสื่อสารตามกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ข้อมูลเชิงประชากรเหล่านี้อาจไม่สามารถบ่งบอกถึงความต้องการของลูกค้าแต่ละรายได้อีกต่อไป เพราะผู้บริโภคที่อยู่ใน demographic segment เดียวกัน เช่น ผู้ชายเจน Y ก็ไม่ได้แปลว่าจะมีไลฟ์สไตล์หรือความชอบที่เหมือนกัน ในทางตรงกันข้ามผู้บริโภคที่มีอายุ เพศ รายได้ ไม่เหมือนกันก็อาจจะมีไลฟ์สไตล์ที่ใกล้เคียงกันได้ เช่น ชอบเที่ยว ชอบเดินป่า ชอบออกกำลังกาย ชอบชิม รักสุขภาพ รักษ์โลก เป็นต้น ประกอบกับการที่โลกเชื่อมต่อถึงกันได้ด้วยอินเทอร์เน็ต ทำให้ผู้บริโภคเปิดรับความรู้ วัฒนธรรม ความคิด หรือมุมมอง เทรนด์จากทั่วโลกได้ง่ายขึ้น เกิดไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ซับซ้อน และแตกต่างกัน โดยที่ “อายุ” หรือ “เพศ” ไม่ได้เป็นสิ่งบ่งบอกตัวตนของคน ๆ นั้นเสมอไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น financial landscape จึงต้องเปลี่ยนจาก “product approach” ไปสู่ “lifestyle approach” และการพัฒนาสินค้า บริการ โปรโมชั่น และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ต้องเกิดจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกคือ เข้าใจผู้บริโภคแต่ละรายด้วยดาต้าที่มีแล้วนำเสนอสิ่งที่ถูกใจ ถูกที่ ถูกเวลา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนื่องจากโลกยุคดิจิทัลเป็นยุคแห่งดาต้าและเทคโนโลยี เปิดโอกาสให้สามารถทำความเข้าใจลูกค้าได้มากกว่าแค่เพียงข้อมูลเชิงประชากรหรือพฤติกรรมการใช้จ่ายทั่วไปแบบผิวเผิน แต่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (insights) และอนุมานไลฟ์สไตล์ รวมถึงความชื่นชอบของผู้บริโภคในระดับบุคคล เพื่อนำเสนอสินค้า โปรโมชั่น หรือสิทธิประโยชน์ได้ตรงใจลูกค้าแต่ละราย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ยังสามารถเพิ่มความแม่นยำในการสื่อสารด้วยการนำเทคโนโลยี Real-Time Decision Management (RTDM) Software มาช่วยในการทำ personalized content ให้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น เพื่อวางแผนทำการตลาดได้อย่างแม่นยำ เปรียบเสมือนเข้าไปอยู่ในใจลูกค้า สร้างความรู้สึกพิเศษ และดึงดูดให้เกิดความสนใจ&nbsp; กรณีศึกษา Personalized Marketing&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าการทำ personalized marketing จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำการตลาดได้อย่างไร ขอยกกรณีศึกษาของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ได้ศึกษาและใช้ AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตของลูกค้ามาได้ระยะหนึ่งแล้วพบว่า ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าซับซ้อนขึ้น การทำการตลาดในระดับเซกเมนต์อาจไม่เพียงพอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น กรุงศรี คอนซูมเมอร์ จึงพัฒนาเครื่องมือหลายตัวมาช่วยให้การนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงิน โปรโมชั่น และสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจงเป็นรายบุคคลด้วยหลักการ “Right Target, Right Time, Right Location” โดยเริ่มจากการพัฒนา “Recommender System” ซึ่งเป็นการนำข้อมูลการจับจ่ายผ่านบัตรเครดิตของลูกค้าใน big data มาวิเคราะห์โดยใช้เทคโนโลยี machine learning เพื่อทำโมเดลชี้เป้าว่า ลูกค้าแต่ละรายน่าจะมีความชื่นชอบร้านค้าในหมวดหมู่ใดบ้าง ถึงแม้ว่าลูกค้ารายนั้นจะไม่เคยใช้จ่ายในร้านค้านั้นก็สามารถอนุมานได้โดยใช้อัลกอริทึมที่สร้างขึ้น ทำให้สามารถสื่อสารเฉพาะเรื่องที่ลูกค้ารายนั้นๆ สนใจแบบ personalization โดยไม่ต้องรบกวนลูกค้าในสิ่งที่ลูกค้าไม่สนใจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากคาดการณ์สิ่งที่ลูกค้าน่าจะถูกใจแล้ว กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ก็พัฒนาโมเดล “Geo-Location” ซึ่งเป็นโมเดลที่ใช้คาดการณ์ว่าลูกค้าแต่ละรายชอบจับจ่ายใช้สอยในบริเวณไหน เพื่อส่งโปรโมชั่นหรือสิทธิประโยชน์ที่สอดคล้องกับสถานที่ที่ลูกค้าอยู่ขณะนั้นหรือสถานที่ที่ลูกค้านิยมไป เช่น ถ้าโมเดลดูจากข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าแล้วพบว่า ลูกค้ามักจะเดินทางไปย่านใจกลางเมืองในวันเสาร์-อาทิตย์ ดังนั้น เมื่อก่อนจะถึงวันนั้นจะมีข้อความแจ้งโปรโมชั่นร้านค้า-ร้านอาหารในย่านใจกลางเมืองที่ลูกค้ากำลังจะไป เพื่อลูกค้าสามารถนำไปใช้กับร้านอาหารที่อยู่ในศูนย์การค้านั้นๆ ไม่เสียสิทธิ์ที่จะได้รับส่วนลด หรือข้อเสนอพิเศษ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ โมเดล AI ต่างๆ เหล่านั้นเปรียบเหมือนสมองที่จะคิดคำนวณประมวลผลให้ แต่สิ่งสำคัญคือ ระบบที่จะไปค้นหาและนำเสนอสิ่งที่ตรงใจไปยังลูกค้าแต่ละราย&nbsp; กรุงศรี คอนซูมเมอร์ จึงได้พัฒนาระบบ “Real-Time Decision Management System (RTDM)” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการนำเสนอข้อมูลข่าวสารโปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์แบบเรียลไทม์ โดยจะทำงานร่วมกับโมเดล AI ต่างๆ ตั้งแต่ก่อนลูกค้าจะไปถึงจุดหมายปลายทาง และทันทีหลังจากลูกค้ารูดบัตรใช้จ่ายแล้ว เช่น ในกรณีที่ลูกค้านำบัตรเครดิตในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ไปรูดชำระค่าสินค้า ระบบจะประมวลผลเพื่อส่งสิทธิประโยชน์ที่ลูกค้าควรได้รับจากการใช้จ่ายในครั้งนั้นให้แก่ลูกค้าในทันที พร้อมแนะนำโปรโมชั่นถัดไป (next best offer) ที่ลูกค้าน่าจะสนใจไปให้อีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากกรณีศึกษานี้จะเห็นได้ว่า การทำการตลาดแบบ personalized marketing โดยใช้ big data และเทคโนโลยี AI วิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าเป็นรายบุคคล ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าแต่ละรายได้อย่างตรงใจ จึงไม่เป็นการรบกวนลูกค้า และช่วยบริหารงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันทางด้านลูกค้าก็ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่รู้สึกรำคาญใจกับข้อเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงิน โปรโมชั่นหรือสิทธิประโยชน์ที่แนะนำเข้ามา เพราะเป็นสิ่งที่เขากำลังสนใจ หรือกำลังต้องการอยู่แล้ว และติดต่อมาในเวลาที่เหมาะสม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ท้ายสุดสิ่งที่ลืมไม่ได้ในกระบวนการทำ personalized marketing คือ การทดสอบ และการวัดผล โดยในขั้นตอนนี้จะต้องมีการวางแผนการเก็บข้อมูลที่ดีตั้งแต่ต้นเพื่อให้สามารถนำข้อมูลกลับมาวิเคราะห์หาผลลัพธ์เพื่อปรับปรุงพัฒนาการทำตลาดต่อไป เพื่อต่อยอดให้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น และได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/commentaries/insights/clean-energy-drives-the-future" alt="เทรนด์ 'พลังงานสะอาด' ขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคต">เทรนด์ 'พลังงานสะอาด' ขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคต</a>​ <a target="_blank" href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/b16f6311-0750-4ce0-bc84-a71daf4fa879" alt="​​คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมีนาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine"></a><a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/cff663cb-f69a-4970-8286-59647d2b2c12" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a> <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/GFfZhjRqUM2eoVFJEpkN.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="GFfZhjRqUM2eoVFJEpkN.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>

Personalized Marketing การตลาดแบบเจาะจงความต้องการของลูกค้า

<h2>ปัจจุบันแบรนด์ยังติดกับดักไม่สามารถผลักดัน marketing transformation ให้สำเร็จ ทำให้ไม่สามารถใช้ศักยภาพของดาต้าหรือข้อมูลได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่ “data-driven marketing” ก็เป็นฟันเฟืองสำคัญของการสร้างแลนด์สเคปใหม่ด้านการตลาดและแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับแบรนด์จากการทำงานกับลูกค้ากว่า 200 บริษัท พบมีเพียง 10% ที่สามารถนำศักยภาพของข้อมูลมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้น แบรนด์ต้องคิดใหม่ (rethink) เกี่ยวกับข้อมูล (data) มองปลายทางว่าจะทำอย่างไรให้ผู้บริโภคแค่นึกถึงสินค้าและบริการก็ทำให้แบรนด์สามารถเข้ามาอย่างถูกที่ถูกเวลา </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กับดัก “marketing transformation” 3 กับดักที่หลายแบรนด์ไม่สามารถก้าวข้าม ทำให้ไม่สามารถผลักดันแบรนด์สู่ “marketing transformation” ได้สำเร็จ เป็น 3 สิ่งที่ต้องคำนึงถึงและให้ความสำคัญประกอบด้วยคน องค์ความรู้ และเทคโนโลยี&nbsp;สำหรับกับดักแรกเป็นเรื่องคน (people) ที่มีทัศนคติ (mindset) ยึดติดกับความสำเร็จในอดีตจนกลายเป็นสูตรสำเร็จ ไม่เปิดรับการทำการตลาดรูปแบบใหม่ๆ เช่น การมอง segmentation ตามพฤติกรรม, การทำการตลาดเพื่อเก็บข้อมูล โดยใช้ข้อมูลเพื่อขายสินค้าภายหลัง การทำการตลาดแบบอัตโนมัติ&nbsp; เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ด้านองค์ความรู้หรือโนว์ฮาวสำหรับบางแบรนด์อาจจะรู้ว่าต้องเก็บข้อมูล แต่ไม่รู้ว่าต้องเก็บข้อมูลอะไรและอย่างไร รวมถึงไม่มีการเก็บข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค หรือมีการเก็บข้อมูลแบบแยกส่วนแยกแผนกกันและไม่มีการแบ่งปันข้อมูลข้ามแผนก หรือเก็บข้อมูลสำคัญๆ ไว้ที่แพลตฟอร์มต่างๆ&nbsp; โดยไม่ได้มีการรวมศูนย์ข้อมูลเพราะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนสุดท้ายเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี โดยบุคลากรการตลาดไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีทำให้ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพในงานการตลาดได้ ในขณะที่บุคลากรด้านเทคโนโลยีก็ไม่เข้าใจเรื่องการตลาดและธุรกิจ ทำให้ไม่สามารถเชื่อมโยงเทคโนโลยี หรือเครื่องมือ MarTech ให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น การที่แบรนด์จะสามารถถอดรหัส marketing transformation ได้ แบรนด์จำเป็นต้องคิดใหม่ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือ เรื่องของคนที่ต้องเปลี่ยนทัศนคติของคนให้เปิดรับวิธีการทำการตลาดแบบใหม่ หรือท่าใหม่ๆ&nbsp;และต้องรู้จักเก็บและใช้ข้อมูล ปรับตัวให้ไวกับพฤติกรรมผู้บริโภคและเทคโนโลยี รวมถึงสร้างคนที่มีดาต้าสกิลและมาร์เก็ตติ้งสกิลที่รู้จักใช้เทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพการทำการตลาด เพื่อเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจเติบโต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากกับดักสำคัญที่แบรนด์กำลังเผชิญ นักการตลาดและแบรนด์จำเป็นต้องเปิดใจรับแนวคิดสร้างแลนด์สเคปใหม่ทางการตลาด ได้แก่ ข้อมูลเป็นหัวใจของมาร์เก็ตติ้ง ยิ่งในอนาคตอันใกล้จะมีการใช้ AI มาทำการตลาดมากขึ้น ซึ่ง AI จะสามารถทำงานได้ดีมีประสิทธิผลหากข้อมูลของแบรนด์ถูกจัดเก็บอย่างถูกต้องและครบถ้วน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเก็บข้อมูลพฤติกรรมในทุก touch points ข้อมูลที่จะขาดไม่ได้ในการจัดเก็บคือ&nbsp;ข้อมูลเชิงพฤติกรรม (behavioral data) ซึ่งในปัจจุบันทาง YDM พบว่า แบรนด์โดยส่วนใหญ่จะเก็บข้อมูลในเชิง consumer profile และข้อมูลการซื้อขายสินค้า (transactional data) เป็นหลัก แต่ยังไม่ได้มีการเก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าที่จะช่วยแบรนด์สร้างโอกาสในการขายได้มากกว่า&nbsp; &nbsp; เมื่อเก็บรวบรวมข้อมูลได้จำนวนมากพอจนสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ ทำ prediction คาดการณ์พฤติกรรมลูกค้ารายบุคคลได้ ทำให้แบรนด์สามารถทำการตลาดตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า และทำการตลาดแบบอัตโนมัติ (personalized and automation marketing) เพื่อช่วยเสริมศักยภาพการทำการตลาดได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่เฟรมเวิร์กกลยุทธ์การทำการตลาดยุค “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์ม” คือ การขับเคลื่อนแบรนด์ด้วยข้อมูลหรือ data-driven marketing โดยวิเคราะห์ตาม Journey Based Segmentation ข้อมูลจะแสดงผลเรียลไทม์แสดงให้เห็นพฤติกรรมและความต้องการผู้บริโภค&nbsp; โดยแบรนด์ที่สามารถทำ data-driven marketing สำเร็จ สามารถเพิ่มโอกาสขยายฐานตลาดได้มากถึง 84% สร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันและสามารถลดงบการตลาดให้ต่ำลง รวมทั้งเพิ่มโอกาสสร้าง ROAS (Return on Advertising Spend) ผลตอบแทนจากค่าโฆษณากลับมาได้ถึง 5 เท่า จากเดิมได้เพียง 2 เท่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับสาเหตุหลักทำให้องค์กรไทยล้มเหลวไม่สามารถก้าวเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย data-driven marketing ได้สำเร็จมาจากขาดความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่รู้ต้องเริ่มเก็บข้อมูลอย่างไร ควรเก็บข้อมูลประเภทไหนบ้าง ปัจจุบันข้อมูลสำคัญที่เป็นประโยชน์ช่วยต่อยอดมูลค่าให้กับแบรนด์คือ ข้อมูลเชิงลึกถึงระดับพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้เห็นภาพรวมของ customer journey ทั้งหมดตั้งแต่การรับรู้ (awareness) การพิจารณา (consideration) การซื้อสินค้าหรือบริการ (purchase) การใช้สินค้าหรือบริการ (usage) การใช้ซ้ำ (repurchase) และการสนับสนุน (advocacy) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น ถ้าสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละขั้นของ Customer journey ได้ก็จะทำให้สามารถออกแบบการสื่อสารที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนได้อย่างเหมาะสม ไม่ใช่เพียงแค่ให้ลูกค้าทุกคนเห็นโฆษณาตัวเดิมซ้ำๆ&nbsp; แบบโมเดล reach &amp; frequency เฉกเช่นในอดีต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านโมเดลการจัดการและใช้ข้อมูลแก้ปัญหาธุรกิจด้วยการทำ business analysis ควรเริ่มต้นจากการตรวจสภาพธุรกิจ วินิจฉัย “อาการ” หรือ “ปัญหา” รวมถึง “สาเหตุ” ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญก่อนที่จะเลือกโซลูชันทางเทคโนโลยี โดยการทำ business analysis มี 5 ขั้นตอน ได้แก่ การกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ การวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับข้อมูล กระบวนการที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงข้อมูลอื่นๆ การวิเคราะห์ช่องว่าง ความขาดแคลน และใช้กระบวนการเชื่อมโยงหรือ bridging process&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับขั้นตอนต่อมาเป็นการใช้ data therapy canvas ช่วยกำหนดทิศทาง วางแผน และเรียงลำดับความสำคัญ โดยขั้นตอนสุดท้ายเป็นการดำเนินการเริ่มตั้งแต่การเก็บข้อมูล การย้ายข้อมูล การทำความสะอาดข้อมูล การสรุปและแสดงข้อมูลออกมาให้อยู่ในรูปของแผนภาพ (data visualization) การวิเคราะห์ข้อมูล การกำหนดกลยุทธ์ข้อมูล และการกำหนดกระบวนการใหม่ หรือ re-process ใน data therapy canvas ประกอบกับข้อมูลที่แบรนด์เคยมี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คีย์สำคัญของประตูบานแรกที่จะพาแบรนด์ก้าวสู่ data-driven marketing ได้สำเร็จ คือ การกลับไปตั้งต้นตรวจสุขภาพแบรนด์เพื่อนำปัญหามากำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์ในการเก็บและใช้ข้อมูลที่ตอบโจทย์และสร้างมูลค่าให้กับแบรนด์ ​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/commentaries/insights/fintech-solve-thai-household-debt-problem" alt="เทคโนโลยี “ฟินเทค” ช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย">เทคโนโลยี “ฟินเทค” ช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย</a>​ ​<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/333e2582-58e3-4c33-85a2-84dbc319d262" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมกราคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมกราคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/GYFh4p3aRCf5fGHHD39n.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="GYFh4p3aRCf5fGHHD39n.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="0"></figure></div>

ปลดล็อกกับดัก Marketing Transformation  เปิดทางติดปีกแบรนด์สู่ความสำเร็จ

<h2>YDM Thailand จับมือ STEPS Academy ถอดรหัส Marketing Transformation ชี้ “Data-Driven Marketing” ฟันเฟืองสำคัญ แนะ 3 วิธีคิด สร้างแลนด์สเคปใหม่ทางการตลาด ได้แก่ 1.Data คือ หัวใจ 2. เก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าเป็นรายบุคคลในทุก Touch Point ไม่ใช่เก็บแค่ข้อมูลส่วนตัวและประวัติการซื้อขาย 3.เก็บข้อมูลให้ได้มากพอ จนสามารถทำ Personalized and Automation Marketing อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ๆ นอกจากนี้พวกเขาเผยว่าแบรนด์ยังติดกับดักไม่สามารถใช้ศักยภาพ Data ได้เต็มประสิทธิภาพ เปิด 3 อุปสรรคสำคัญที่แบรนด์ต้องแก้หากต้องการประสบผลสำเร็จในการตลาดยุคใหม่</h2> &nbsp; &nbsp;&nbsp;นายธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยในงานสัมมนา “Decoding the Blueprint for a Data-Driven Marketing Transformation” ที่จัดร่วมกันระหว่าง YDM Thailand และ STEPS Academy ว่า ในปัจจุบันแบรนด์ยังติดกับดัก ไม่สามารถผลักดัน Marketing Transformation ให้สำเร็จ เนื่องจากไม่สามารถใช้ศักยภาพของ Data ได้เต็มประสิทธิภาพ ขณะที่ “Data-Driven Marketing” เป็นฟันเฟืองสำคัญของการสร้างแลนด์สเคปใหม่ด้านการตลาดและแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับแบรนด์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากการทำงานกับลูกค้ากว่า 200 บริษัท พบมีเพียง 10% ที่สามารถนำศักยภาพของ Data มาใช้เต็มประสิทธิภาพ จึงทำให้แบรนด์ต้องคิดใหม่ (Rethink) เกี่ยวกับ Data ทำอย่างไรให้ผู้บริโภคแค่นึกถึง สินค้าและบริการของแบรนด์ก็เด้งขึ้นมาทันที เพราะฉะนั้นการรู้จักพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างถ่องแท้คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับแบรนด์ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/1Sjyqj1t5AjWQNHAFNcZ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="1Sjyqj1t5AjWQNHAFNcZ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="0" origin-size="1125,750"></figure></div>​ &nbsp; &nbsp; เขาแนะ 3 วิธีคิด เพื่อแบรนด์ทำการตลาดได้โดนใจ ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. Data เป็นหัวใจของ Marketing แบบใหม่ ยิ่งในอนาคตอันใกล้ จะมีการใช้ AI มาทำการตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง AI จะสามารถทำงานได้ดี ถ้า Data ของแบรนด์ถูกจัดเก็บอย่างถูกต้อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. Data ที่จะขาดไม่ได้ในการจัดเก็บคือ&nbsp;ข้อมูลเชิงพฤติกรรม (Behavioral Data) ซึ่งในปัจจุบันทาง YDM และ STEPS พบว่าแบรนด์โดยส่วนใหญ่ จะเก็บดาต้าในเชิง Profile ลูกค้า และ การซื้อขายสินค้า (Transactional Data) เป็นหลัก&nbsp; ซึ่งในการเก็บข้อมูลพฤติกรรมที่ถูกต้องนั้น จะต้องเก็บในทุกๆ ช่องทาง ทุกๆ touch points เช่น เว็บไซต์, Social Media, โฆษณาบนแพลตฟอร์มต่างๆ, Chat Message, CRM, POS, E-commerce, ฯลฯ แล้วนำมารวมกันที่เดียว แล้วทำการระบุตัวให้ได้ ว่าคนในแต่ละช่องทางนั้นเป็นคนๆเดียวกัน&nbsp; ซึ่งด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันสามารถทำได้แล้ว&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;3. เมื่อรวบรวมข้อมูลได้จำนวนมากพอ เราสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ จนสามารถทำ prediction&nbsp;ได้ โดยจะเป็นการคาดการณ์หรือพยากรณ์พฤติกรรมลูกค้ารายบุคคล ทำให้แบรนด์สามารถทำการตลาดตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า และทำการตลาดแบบอัตโนมัติ (Personalized and Automation Marketing) เพื่อช่วยเสริมศักยภาพการทำการตลาดได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันหลายแบรนด์ในประเทศไทยยังไม่สามารถใช้ประสิทธิภาพของ Data ได้แบบครบวงจร (Full loop) โดย YDM แบ่งสายพันธุ์ขององค์กรและแบรนด์ในการทำ Marketing Transformation ไว้ 4 กลุ่ม คือ กลุ่มไดโนซอร์ (Dinosaur) ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำการตลาดโดยไม่มี Data มีประมาณ 20%, กลุ่มชิมแปนซี (Chimpanzee) มีการเก็บข้อมูลไว้แต่ไม่ได้ใช้งาน และเก็บข้อมูลแบบแยกส่วนกัน มีประมาณ 50%, กลุ่มเซเปียนส์ (Sapiens) มีการรวบรวมข้อมูลและสามารถนำมาทำ Personalized and Automation ได้บางส่วน มีประมาณ 25% และกลุ่มสุดท้าย&nbsp;โฮโมดีอุส (Homo Deus) เป็นเผ่าพันธุ์แห่งอนาคต สามารถนำ Data มาใช้สร้างยอดขายที่วัดผลได้ มีเพียงประมาณ 5%​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/5KfN8w45wrtMNXrQiWdR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="5KfN8w45wrtMNXrQiWdR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="1" origin-size="2600,1463"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ดี กับดักที่ส่งผลให้มีแบรนด์ในกลุ่มเซเปียนส์ และโฮโมดีอุส มีจำนวนน้อย เกิดจาก 3 ปัจจัยสำคัญได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. คน (People) ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากที่สุด โดยเฉพาะทัศนคติ (Mindset) เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงยากที่สุดเนื่องจากยึดติดกับความสำเร็จในอดีตจนกลายเป็นสูตรสำเร็จ ไม่เปิดรับการทำการตลาดรูปแบบใหม่ ในขณะที่วิธีการทำการตลาดในยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เช่น การมอง Segmentation ตามพฤติกรรม การทำการตลาดเพื่อเอา Data จากเดิมทำการตลาดเพื่อขายของอย่างเดียว การแบ่งกลุ่มเป้าหมายหรือ Segment ย่อย ๆ จำนวนมาก แล้วทำคอนเทนต์เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากด้วยการใช้เทคโนโลยี AI เป็นตัวช่วยฯลฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. Know How ไม่รู้ว่าต้องเก็บข้อมูล ในบางแบรนด์รู้ว่าต้องเก็บข้อมูล แต่ไม่สามารถเก็บได้ เพราะมีการเก็บข้อมมูลแยกส่วนแยกแผนกกัน ไม่แบ่งปันข้อมูลข้ามแผนก ไม่ได้มีการจัดเก็บข้อมูลไว้กับแบรนด์ แต่จัดเก็บไว้กับเอเจนซี่ หรือตัวแทนขาย และในขณะที่บางแบรนด์เก็บข้อมูลไว้ แต่กลับไม่รู้ว่าต้องนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. เทคโนโลยี แบรนด์ส่วนใหญ่พบปัญหามาร์เกตติ้งไม่มีความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยี จนไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพิ่มศักยภาพในงานการตลาด ในขณะที่บุคลากรด้านเทคโนโลยี ก็ไม่เข้าใช้เรื่องการตลาดและธุรกิจ ทำให้ไม่สามารถเชื่อมโยงเทคโนโลยี หรือเครื่องมือ MarTech ซึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญในการทำการตลาดและเพิ่มโอกาสธุรกิจให้เติบโตจนสามารถแข่งขันได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การที่แบรนด์จะสามารถถอดรหัส Marketing Transformation ได้ แบรนด์จำเป็นต้องคิดใหม่ สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องของคนที่ต้อง เปลี่ยนทัศนคติของคนให้เปิดรับวิธีการทำการตลาดแบบใหม่ ๆ ท่าใหม่ ๆ&nbsp;และต้องรู้จักเก็บและใช้ข้อมูล ปรับตัวให้ไวกับพฤติกรรมผู้บริโภคและเทคโนโลยี รวมถึงสร้างคนที่มีเดต้าสกิล มาร์เกตติ้งสกิล ที่รู้จักใช้เทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพการทำการตลาด เพื่อเพิ่มยอดขายและธุรกิจที่เติบโต” นายธนพล กล่าวทิ้งท้าย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางสาวณัฐวีร์ ตันติสัจจธรรม ประธานบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง STEPS Academy ที่ปรึกษาและให้ความรู้อบรมทางด้าน Digital&amp;Data Marketing กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่ปรึกษาและทำงานร่วมกับแบรนด์ พบ 3 ปัญหาเกี่ยวกับการใช้ Data เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ หรือ SME ต้องเผชิญ ส่งผลให้การทรานส์ฟอร์มการตลาดต้องสะดุด ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. การเก็บข้อมูลกระจัดกระจาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. ข้อมูลที่เก็บเป็นข้อมูลทั่วไปแบบผิวเผิน ซึ่งอาจยากต่อการนำไปต่อยอดธุรกิจ เช่น ข้อมูลเบื้องต้น ชื่อ อีเมลล์ เบอร์ ยอดสั่งซื้อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. คนทำงานที่พบว่าทีมการตลาดส่วนใหญ่ยังขาดสกิลด้านการใช้เทคโนโลยีเชิงการตลาดใหม่ๆ ขณะที่ผู้ที่มีสกิลด้านเทคโนโลยีคือทีม IT ซึ่งขาดสกิลด้านแผนเงินธุรกิจ หรือกลยุทธ์เชิงการตลาด ​อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/people/the-next-tycoons/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%B2-5-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-nam-%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C" alt="วิโรจน์ ชัยเทอดเกียรติ ตั้งเป้า 5 ปี NAM สู่โกลบอลแบรนด์">วิโรจน์ ชัยเทอดเกียรติ ตั้งเป้า 5 ปี NAM สู่โกลบอลแบรนด์</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

YDM Thailand ผนึกกำลัง STEPS Academy สร้างแลนด์สเคปใหม่ปฏิรูปการตลาดด้วยดาต้า

<h2>The 1 เผยอินไซต์ผู้บริโภคฉบับล่าสุด “Silver Spenders วัยเก๋าพร้อมเปย์” แนะแบรนด์ปรับกลยุทธ์ธุรกิจครั้งสำคัญ พร้อมเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) ชี้โอกาสทางการตลาดที่ธุรกิจทุกประเภทไม่อาจมองข้าม เน้นเจาะกลุ่ม Silver Spenders ผู้บริโภควัย 55 ปีขึ้นไป ไร้ภาระและกำลังซื้อสูงอย่างแท้จริง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้บริโภคกลุ่ม Silver Spenders เหล่านี้มี 2 เทรนด์พฤติกรรมเด่น ได้แก่ Self-Indulgence พร้อมจ่ายเพื่อเติมเต็มความรื่นรมย์แก่ชีวิต และ Health Enthusiast พร้อมจ่ายเพื่อสุขภาพและความมั่นคง หากแบรนด์สามารถสร้างความประทับใจแก่พวกเขาได้ ก็มีโอกาสชิงส่วนแบ่งการตลาดเพื่อสร้างทางรอดธุรกิจไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2563 สำนักงานสถิติแห่งชาติเผยว่าประเทศไทยเป็น “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” (Complete Aged Society)&nbsp;คือ ประชากรกลุ่มผู้สูงวัยอายุ&nbsp;60&nbsp;ปีขึ้นไปมีสัดส่วน&nbsp;20%&nbsp;ของประชากรทั้งประเทศ และยังมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยคาดการณ์ว่าในปี 2574 ประเทศไทยจะเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างเต็มที่” (Super-Aged Society)&nbsp;กล่าวคือประชากรอายุ&nbsp;65&nbsp;ปีขึ้นไป มีสัดส่วน&nbsp;30%&nbsp;ของประชากรทั้งประเทศทีเดียว โดยประมาณการณ์การใช้จ่ายของกลุ่มผู้สูงอายุไทย มีเม็ดเงินหมุนเวียนกว่า 9 แสนล้านบาทต่อปีแล้วในปัจจุบัน และจะมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ&nbsp;5.6&nbsp;ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลล่าสุดจาก The 1 Insight ในเครือเซ็นทรัลรีเทล สัดส่วนยอดขายจากลูกค้าอายุ 55 ปีขึ้นไปปัจจุบันอยู่ที่ 20% และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง 2-5% ในทุกๆ ปี​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="min-width: 100%; width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 100%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/nFPaNpzmder58NbqK1kt.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="nFPaNpzmder58NbqK1kt.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="100%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="100," origin-size="3840,2160" style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div> ​&nbsp; &nbsp; ในแง่การตลาด การที่สัดส่วนของจำนวนผู้สูงอายุและการใช้จ่ายของคนกลุ่มดังกล่าวมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ นับเป็นโอกาสครั้งสำคัญของวงการมาร์เก็ตติ้งที่ทุกกลุ่มสินค้าไม่อาจมองข้ามอีกต่อไป โดยทีม Data &amp; Insights ของ The 1 พบว่า ในหมู่ผู้บริโภคสูงวัย กลุ่มที่มีความพร้อมจ่าย และเข้าถึงง่ายที่สุดคือกลุ่มที่เรียกว่า Silver Spenders อันได้แก่ผู้สูงวัยที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไปที่มีกำลังซื้อสูง มียอดใช้จ่ายต่อคนกว่า 100,000 บาทต่อเดือน มีรายได้ต่อครัวเรือน 300,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป หรือมีมูลค่าทรัพย์สินรวม 10 ล้านบาทขึ้นไป เรียกได้ว่ามีความมั่นคงทางด้านปัจจัยพื้นฐาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่ม Silver Spenders โดยมากใช้จ่ายในแหล่งใจกลางเมือง อาทิ เซ็นทรัลชิดลม เซ็นทรัลลาดพร้าว เซ็นทรัลปิ่นเกล้า เป็นต้น The 1 Insight ล่าสุด จึงเจาะไปที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้เพื่อให้นักการตลาดและแบรนด์ในทุกหมวดหมู่ โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่เคยจับกลุ่มลูกค้าสูงวัยมาก่อน ได้เข้าใจอินไซต์พฤติกรรมอย่างแท้จริง ทั้งนี้ เพื่อมอบสินค้า บริการ รวมถึงวางแผนการตลาดให้เข้าถึงเหล่า Silver Spenders ได้อย่างมีประสิทธิภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากฐานข้อมูลกว่า 20 ล้านคน ครอบคลุม 1 ใน 3 ของประชากรไทย The 1 Insight ชี้ 2 มิติเด่นที่เป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจลูกค้ากลุ่ม Silver Spenders ในภาพรวม อันได้แก่ Self-Indulgence พร้อมเปย์เต็มที่เพื่อความรื่นรมย์ และ Health Enthusiast พร้อมจ่ายเพื่อสุขภาพและความมั่นคง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลจาก The 1 Insight บ่งชี้ว่า ผู้บริโภค Silver Spenders นั้นใช้จ่ายกับสินค้าเพื่อความสุขอย่างแฟชั่น จิวเวลรี่และความงามถึง 67% ซึ่งมากกว่าการใช้จ่ายกับสินค้าจำเป็นอย่างของแต่งบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารที่ 38% เป็นสัดส่วนกว่าครึ่ง เนื่องจาก Silver Spenders นั้นอยู่ในช่วงชีวิตที่มีความมั่นคงการสร้างเนื้อสร้างตัวในวัยทำงานและวัยกลางคน จนมีกำลังทรัพย์ที่จะนำมาใช้เพื่อความสุขของตนได้อย่างเต็มที่เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ เป็นที่มาของเทรนด์ Self-Indulgence ในหมวดของผลิตภัณฑ์ความงาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่ม Silver Spenders ใช้จ่ายสูงโดดเด่นทั้งในกลุ่มเครื่องสำอางและสกินแคร์โดยมีสัดส่วนผู้ซื้อเครื่องสำอางกว่า 44% จาก Silver Spenders ทั้งหมด โดยเน้นไปที่ประเภทแป้งและรองพื้น และโดดเด่นยิ่งกว่าในกลุ่มสกินแคร์ โดย Silver Spenders มีสัดส่วนผู้ใช้จ่ายอยู่ที่ 33% และมียอดใช้จ่ายสูงสุดจากทุกช่วงวัย คิดเป็นสัดส่วนถึง 73% จากการใช้จ่ายในหมวดความงามทั้งหมด สินค้ายอดนิยมคือสกินแคร์ประเภท Anti-Aging ตัวท็อป อีกหมวดสินค้าที่โดดเด่นคือกระเป๋าถือซึ่งมีสัดส่วนผู้ใช้จ่ายกับกระเป๋าถือถึง 25% จากกลุ่ม Silver Spenders ทั้งหมด โดยให้ความนิยมกระเป๋าถือแนวมินิมัลที่มีน้ำหนักเบา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับกลุ่ม Silver Spenders แล้ว พวกเขาไม่เพียงตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพ แต่ยังพร้อมที่จะจ่ายในราคาที่สูงกว่าสำหรับสินค้าเพื่อสุขภาพ รวมถึงการลงทุนเพื่อความมั่นคง เรียกได้ว่าเป็น Health-Enthusiast ตัวจริง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อเตียงและเครื่องนอนพรีเมียมและคุณภาพสูง โดยมีสัดส่วนผู้ใช้จ่ายในหมวดดังกล่าวถึง 25% หรือจะเป็นการเลือกซื้อรองเท้าผ้าใบที่โดดเด่นในกลุ่มรองเท้าผ้าใบเพื่อสุขภาพ ก็มีสัดส่วนผู้ใช้จ่ายถึง 58% ทีเดียว นอกจากนี้ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกัน The 1 Legacy ซึ่งเป็นแพ็กเกจเพื่อกลุ่ม Silver Spenders ผู้มีความมั่นคงและมีกำลังซื้อสูง ยังมีจำนวนผู้สมัครมากขึ้นถึง 200% ในปี 2022 เมื่อเทียบกับปี 2021&nbsp; &nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ The 1 Insight ยังได้สรุปสินค้าขายดีแต่ละหมวดสำหรับกลุ่ม Silver Spenders ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หมวดแฟชั่น ได้แก่ เสื้อผ้าลำลอง รองเท้าเพื่อสุขภาพ และกระเป๋าถือ&nbsp; &nbsp;&nbsp;หมวดความงาม ได้แก่ สกินแคร์ Anti-Aging แป้งฝุ่นและแป้งอัดแข็ง และลิปสติกบำรุง&nbsp; &nbsp;&nbsp;หมวดของใช้ในบ้าน ได้แก่ ที่นอน Orthopedic หมอนขนห่าน และผ้านวม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หมวดอาหาร ได้แก่ ผลไม้นำเข้า ผักออร์แกนิก และโยเกิร์ตรสธรรมชาติ อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/71409" alt="Stripe รุกอาเซียนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ยกระดับการค้าขายยุคดิจิทัล">Stripe รุกอาเซียนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ยกระดับการค้าขายยุคดิจิทัล</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

The 1 Insight เผยกลยุทธ์มัดใจ Silver Spenders ทางรอดแบรนด์ในสังคมผู้สูงอายุ

<h2>บนภูมิทัศน์ทางธุรกิจที่คึกคักขึ้น การสร้างความแตกต่างจากผู้เล่นอื่นในอุตสาหกรรมคือสิ่งจำเป็นเพื่อบรรลุความสำเร็จ ผู้นำหลายคนอาจเลือกให้ความสำคัญกับการดูแลภายในองค์กร ทว่าการจับตามองการทำงาน ผลิตภัณฑ์ ตลอดจนบริการของคู่แข่งก็สามารถนำมาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับตลาดและกระแสของผู้บริโภคที่เป็นปัจจุบัน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ สมาชิก Forbes Business Council ทั้ง 10 คนนี้ได้พัฒนากลยุทธ์ง่ายๆ ในการติดตามดูคู่แข่งไปพร้อมๆ กับรักษาความสำเร็จของธุรกิจของตัวเองเอาไว้ และพวกเขาก็พร้อมแบ่งปันแนวทางเหล่านั้นด้านล่างนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อ 1 ลองซื้อสินค้าหรือใช้บริการคู่แข่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย Robert Donaldson จาก Collaborative Strategies Consulting Inc.&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่มีวิธีการสอดส่องคู่แข่งใดจะง่ายดายไปกว่าการซื้อสินค้าหรือใช้บริการของพวกเขาอีกแล้ว เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์หรือบริการของพวกเขากับของคุณ มันดีกว่าหรือไม่? อย่างไร? ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณดีกว่าพวกเขาใช่ไหม? ทำไมล่ะ? ลองแจ้งปัญหาต่างๆ เพื่อดูว่าบริการลูกค้าของพวกเขาเป็นอย่างไร จากนั้นก็ลองซื้อสินค้าหรือบริการของตนเองแล้วแจ้งปัญหาเช่นกัน เพื่อดูว่าทีมของคุณรับมือแบบไหน กล่าวคือเป็นการศึกษาข้อมูลเชิงลึกนั่นเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อ 2 ทำวิจัยตลาดสม่ำเสมอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย Justen Arnold จาก Flexx Mobility &amp; Performance LLC&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนึ่งวิธีการแสนง่ายดายในการสอดส่องคู่แข่งคือการทำวิจัยการตลาดสม่ำเสมอเพื่อติดตามการดำเนินงาน บริการ ลูกค้า และกลยุทธ์โดยรวมของพวกเขา พิจารณากระแสในแวดวงอุตสาหกรรม ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือวิเคราะห์คู่แข่ง และคอยดูการปรากฏบนโลกออนไลน์ของพวกเขาผ่านการสำรวจโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ คอยติดตามข่าวสารเพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อ 3 ตั้งค่าแจ้งเตือนจาก Google&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย Vikrant Shaurya จาก Authors On Mission&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกหนึ่งวิธีการง่ายๆ คือเครื่องมือที่เรียกว่า Google Alerts โดยตั้งค่าเป็นชื่อคู่แข่งและคีย์เวิร์ดหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ สิ่งนี้จะคอยอัปเดตกิจกรรม บริการ และการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าตามเวลาจริงของพวกเขา ช่วยในการติดตามคู่แข่งอย่างมีประสิทธิภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อ 4 เกณฑ์เปรียบเทียบ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย Udi Dorner จาก SetSchedule&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเปรียบเทียบ (Benchmarking) นั้นมีมาแต่ยาวนาน หลักๆ นั้นหมายความว่าสิ่งที่ถูกสร้างมาอย่างดีแล้วไม่อาจสร้างขึ้นใหม่ได้อีก เกณฑ์เปรียบเทียบการแข่งขันรวมถึงการวินิจฉัยการดำเนินงาน บริการ ลูกค้า และมุมมองอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของคู่แข่งเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเชิงลึกและเปรียบเทียบกับธุรกิจของคุณ มองหาจุดแข็งที่ธุรกิจของคุณทำได้ดีกว่าและใช้มันเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อ 5 ติดตามอัปเดตคู่แข่งออนไลน์ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย Amber Brown จาก Grant Cardone Licensee&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สมัครสมาชิกรับจดหมายข่าว ติดตามบล็อกของพวกเขา และเข้าร่วมช่องทางการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าของพวกเขาเสียเลย เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับแจ้งข่าวคราวการพัฒนา การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ และกลยุทธ์ด้านการตลาด นอกจากนี้อย่าลืมดูแลความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า แม้พวกเขาจะใช้ผลิตภัณฑ์ของคู่แข่ง ก็ให้ถือโอกาสนี้สำรวจข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าว่าพวกเขาชอบหรือไม่ชอบผลิตภัณฑ์นั้นอย่างไร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อ 6 เงี่ยหูฟังเสียงตอบรับจากลูกค้าเป็นประจำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย Luca Rovinalti จาก Svet Solutions Media&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วิธีการที่ดีอีกประการในการสำรวจคู่แข่งคือคอยติดตามลูกค้าเป็นประจำเพื่อเรียนรู้ว่าพวกเขาต้องการและคาดหวังอะไร รวมถึงมองหาคำใบ้ว่าพวกเขาได้รับข้อเสนอใดจากบริษัทอื่นบ้าง อีกวิธีการคือเข้าร่วมกิจกรรมการค้าและกระชับมิตรกับคนในแวดวงธุรกิจเดียวกัน ซึ่งสามารถช่วยให้คุณประเมินกระแสตลาดรวมถึงเสริมแกร่งความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ในเวลาเดียวกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อ 7 อย่าลืมวิเคราะห์ SWOT&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย Cris Cawley จาก Game Changer Publishing&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การสอดส่องผลิตภัณฑ์ ยอดขาย ราคา และกลยุทธ์การตลาดของคู่แข่งมักเป็นหลักของธุรกิจ ซึ่งการวิเคราะห์ SWOT เพื่อประเมินจุดแข็ง (Strength), จุดอ่อน (Weakness), โอกาส (Opportunity) และอุปสรรค (Threat) ของคู่แข่งคือสิ่งสำคัญยิ่ง จำไว้ว่าคุณไม่ควรจับตามองพวกเขาเพื่อที่จะลอกเลียนแบบ แต่เพื่อเข้าใจกลยุทธ์ของพวกเขา และมองหาแนวทางสร้างความแตกต่างตลอดจนพัฒนากลยุทธ์ธุรกิจของคุณเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อ 8 ติดตามความเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ด้านราคา &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย Erik Pham จาก Health Canal&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลยุทธ์หนึ่งที่เรามักใช้กันคือการตามดูความเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ด้านราคาของคู่แข่ง หากเราไม่สามารถสู้กับผู้เล่นอื่นในโลกธุรกิจในเรื่องของราคาได้ ก็คงต้องแนะนำว่าเรากำลังทำบางสิ่งบางอย่างผิดพลาด หรือไม่คู่แข่งก็ค้นพบวิธีการกระชับและยกระดับประสิทธิภาพระบบการผลิต โดยที่คุณยังตามไม่ทัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อ 9 อ่านข้อคิดเห็นจากลูกค้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย Jeremy Bradley-Silverio Donato จาก Zama&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หมั่นตรวจดูความคิดเห็นจากลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Trustpilot, Yelp หรือรีวิวต่างๆ บน App Store จะช่วยให้คุณเข้าใจความรู้สึกของลูกค้าที่มีต่อคู่แข่งของคุณ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อ 10 สร้างสัมพันธ์อันจริงใจกับพวกเขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย Chris Bryson จาก New School Foods&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถอยจากการมองบริษัทอื่นๆ ในตลาดว่าเป็นคู่แข่ง แล้วเปลี่ยนมามองว่าต่างฝ่ายต่างก็เป็นทรัพยากรของกันและกัน การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีหมายความตอบสนองความสนใจสูงสุดในใจผู้บริโภคจำเป็นต้องเรียนรู้และเปิดใจอย่างมาก ลองให้ความสำคัญกับการสร้างสัมพันธ์อันจริงใจกับผู้เล่นรายอื่นๆ เปิดเผยด้วยความโปร่งใสว่าอะไรที่ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ เพื่อที่คุณจะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์อันยอดเยี่ยมไร้ที่ติ และสร้างผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แปลและเรียบเรียงจาก 10 Simple Ways To Monitor Your Business Competitors ซึ่งเผยแพร่บน Forbes &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/71095" alt="แม็คโคร ขนทัพสินค้าคุณภาพกว่า 200 รายการ จัดเทศกาล “Joy of Korea” ตอกย้ำแหล่งรวมสินค้าคุณภาพจากทั่วโลกในราคาเอื้อมถึง">แม็คโคร ขนทัพสินค้าคุณภาพกว่า 200 รายการ จัดเทศกาล “Joy of Korea” ตอกย้ำแหล่งรวมสินค้าคุณภาพจากทั่วโลกในราคาเอื้อมถึง</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>&nbsp;​

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events