<h2 class="p1">Dyson ได้รับออร์เดอร์จากรัฐบาลสหราชอาณาจักรที่สั่งผลิตเครื่องช่วยหายใจ จำนวน 10,000 เครื่อง เพื่อสนับสนนุนการทำงานของหน่วยบริการสุขภาพแห่งชาติในการรักษาผู้ป่วยไวรัสโควิด-19</h2>
โดย James Dyson มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัทที่ขึ้นชื่อในเรื่องเครื่องดูดฝุ่นและไดร์เป่าผม ยืนยันคำสั่งซื้อดังกล่าวในจดหมายที่ส่งถึงพนักงาน
“เครื่องช่วยหายใจนี้เป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมการหายใจของตัวเองได้ ที่น่าเศร้าคือขณะนี้ทั้งในสหราชอาณาจักรและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกต่างประสบปัญหาขาดแคลนเครื่องช่วยหายใจ” เขาระบุ
Dyson ระบุว่า บริษัทได้ออกแบบและสร้างเครื่องช่วยหายใจตัวใหม่ที่มีชื่อว่า “CoVent” ตั้งแต่เมื่อ 10 วันก่อนที่ได้รับโทรศัพท์จากนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Boris Johnson
เขากล่าวเพิ่มเติมอีกว่า บริษัทสามารถผลิตอุปกรณ์ชิ้นใหม่นี้ได้อย่างรวดเร็ว, มีประสิทธิภาพ ในปริมาณที่ต้องการ โดยเครื่องช่วยหายใจนี้ได้รับการออกแบบขึ้นใหม่เพื่อ “ตอบโจทย์ต่อผู้ป่วยไวรัสโคโรน่าโดยเฉพาะ”


<figure><img class="wp-image-28153 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/03/dyson-covent-ventilator.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> เครื่องช่วยหายใจที่ Dyson ออกแบบ</figcaption></figure>
ด้านโฆษกของบริษัทแห่งนี้ระบุว่า เครื่องช่วยหายใจดังกล่าวจะพร้อมส่งมอบในต้นเดือนเมษายน ขณะเดียวกัน Dyson ผู้มีความมั่งคั่งอยู่ที่ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ยังระบุในจดหมายดังกล่าวอีกว่า เขาจะบริจาคอีก 5,000 เครื่องให้กับนานาชาติ เพื่อสนับสนุนการรักษาโรคระบาดครั้งนี้
“ความท้าทายหลักของเราคือวิธีการออกแบบและส่งมอบอุปกรณ์การแพทย์ที่ซับซ้อนในจำนวนขนาดนี้ ในเวลาที่สั้นมากๆ” เขาระบุเพิ่มเติม
ทั้งนี้ บุคลากรทางการแพทย์ในหลายภูมิภาคทั่วโลกต่างกำลังประสบปัญหาอย่างหนักในเรื่องอุปกรณ์การแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นหน้ากาก, ถุงมือ และเครื่องช่วยหายใจ เพื่อรับมือกับจำนวนผู้ป่วยที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่อีกหนึ่งบริษัทจากอังกฤษ Gtech ก็กำลังผลิตเครื่องช่วยหายใจ โดยได้ส่งตัวอย่าง 2 รุ่นไปให้รัฐบาลทำการประเมิน โดยบริษัท Gtech เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในด้านการผลิตเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย และเครื่องมือทำสวนที่ต้องใช้ไฟฟ้า
ส่วนในสหรัฐอเมริกา Ford ได้ประกาศว่าบริษัทกำลังทำงานร่วมกับ 3M และ GE Healthcare ในการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างเครื่องช่วยหายใจ และอุปกรณ์ป้องกันต่างๆ ด้าน GM และ Tesla ก็ประกาศว่าจะผลิตเครื่องช่วยหายใจเช่นกัน
&nbsp;
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/world/%e0%b9%80%e0%b8%ad%e0%b8%a7%e0%b8%b5%e0%b9%80%e0%b8%ad%e0%b8%aa-%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%82%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%8a%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99-%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%99.html">เอวีเอส อินโนเวชั่น ปั้นนวัตกรรมฆ่าเชื้อไวรัส</a></li>
</ul>
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://edition.cnn.com/2020/03/26/tech/dyson-ventilators-coronavirus/index.html?utm_medium=social&amp;utm_source=fbCNN&amp;utm_content=2020-03-26T18%3A16%3A06&amp;utm_term=link&amp;fbclid=IwAR2N1J27uA7oSL1p9T3fn1W6sArp56XVC6nfhvXTblvq_O7n5T1J2fBgqD4">James Dyson designed a new ventilator in 10 days. He's making 15,000 for the pandemic fight</a>

James Dyson ยืนยัน บริษัทเตรียมผลิตเครื่องช่วยหายใจ 1.5 หมื่นเครื่องสู้ไวรัส

ทายาทอาณาจักร Dyson ต่อยอดสินค้าเทคโนโลยี ปั้นวิศวกรเลือดใหม่

<h2>หลังประกาศจะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ามาตั้งเเต่ปี 2017 ล่าสุด Dyson บริษัทเทคโนโลยีจากเกาะอังกฤษ ที่มีชื่อเสียงจากการคิดค้นนวัตกรรมเครื่องดูดฝุ่น พร้อมลงสนามยานยนต์เเห่งอนาคต เตรียมตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในสิงคโปร์ คาดว่าจะเเล้วเสร็จในปี 2020 เเละจะเริ่มเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกออกสู่ตลาดในปี 2021</h2>
สำหรับโรงงานผลิตรถยนต์ของ Dyson ในสิงคโปร์ที่กำลังจะเริ่มก่อสร้างในเดือนธ.ค.ที่จะถึงนี้ เป็นส่วนหนึ่งของเเผนการลงทุนของบริษัทที่ต้องการลงทุน "เทคโนโลยีใหม่" ทั่วโลก ด้วยวงเงินกว่า 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดย Dyson ยังสนใจพัฒนาระบบแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าเองด้วย

นับว่าการลงทุนครั้งนี้ Dyson ได้กลับมาเปิดโรงงานผลิตยนต์ในสิงคโปร์อีกครั้ง หลังจากเคยยกเลิกผลิตไปในช่วงปี 1980

"เเม้ว่าสิงคโปร์มีค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจสูง แต่ด้วยความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีขั้นสูงเเละการสนับสนุนที่ดี มีความถนัดในด้านการผลิตเครื่องยนต์ทันสมัย จึงเหมาะเเก่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า" James Dyson ซีอีโอเเละผู้ก่อตั้งของ Dyson กล่าว

เขาอธิบายต่ออีกว่า การตัดสินใจเลือกสถานที่สำหรับผลิตรถนั้นมีความซับซ้อน โดยอยู่บนปัจจัยหลายอย่าง ประกอบด้วยห่วงโซ่อุปทาน ความสามารถในการเข้าถึงตลาด และการมีผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยให้เราบรรลุถึงเป้าหมายได้

ทั้งนี้ จากรายงานของ BBC เผยว่าปัจจุบัน Dyson มีพนักงาน 1,100 คนในสิงคโปร์ 1,300 คนในมาเลเซีย พนักงานในจีน 1,000 คนเเละในฟิลิปปินส์อีก 800 คน นอกจากนี้ยังมีพนักงาน 4,800 คนในสหราชอาณาจักร

ด้าน Lee Hsien Loong นายกรัฐมนตรีเเห่งสิงคโปร์ ประกาศผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า วิศวกรในสิงคโปร์จะต้องก้าวสู่ความท้าทายและพิสูจน์ให้ได้ว่าเก่งกาจทัดเทียมระดับโลก

สำหรับรายได้ของ Dyson ในปี 2017 อยู่ที่ 3,500 ล้านปอนด์ (ราว 1.5 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 40% ส่วนกำไรจากการดำเงินงานอยู่ที่ 800 ล้านปอนด์ (ราว 3.4 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นราว 30% จากปีก่อนหน้า โดยตลาดในจีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีและไต้หวันมีการเติบโตเป็นอย่างมาก

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li>https://www.forbes.com/sites/sebastianblanco/2018/10/23/dyson-singapore/#4b4f91456f1d</li>
 	<li>https://www.channelnewsasia.com/news/business/dyson-build-electric-car-singapore-10855708</li>
</ul>
ภาพ: Dyson

Dyson ประกาศตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าใน 'สิงคโปร์' เจาะตลาด EV เอเชีย

<h2>แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่สายเลือดอังกฤษเสริมกำลังให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นผ่านศูนย์เทคโนโลยีแห่งใหม่ ด้วยงบลงทุนมูลค่าราว 330 ล้านปอนด์</h2>
ความเชื่อมั่นในพลังเทคโนโลยีทำให้ James Dyson นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษพัฒนาเครื่องดูดฝุ่นแบบไร้ถุงเป็นเครื่องแรกของโลกในราวปี 1983 และก่อตั้ง Dyson Ltd. ขึ้นในปี 1987 ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อน เช่น เครื่องเป่าลมมือ เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย พัดลมฟอกอากาศ ไดร์เป่าผม ฯลฯ

กันยายนปีนี้ Dyson ประกาศการลงสนามครั้งใหม่คือการผลิตรถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้า (EV) วางแผนใช้งบราว 2 พันล้านปอนด์และทีมวิศวกรอย่างน้อย 400 คนในการพัฒนา คาดว่าจะเปิดตัวได้ในปี 2020 สอดรับกับความต้องการใช้ EV ที่มากขึ้น

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/52534c2ea4bedee55dd4d099f4073eae.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> James Dyson เศรษฐีอันดับที่ 414 ของโลกในปี 2017</figcaption></figure>

ปัจจุบัน Dyson มีฐานในหลายประเทศ เช่น อังกฤษ สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน ฯลฯ มีพนักงานรวมกันราว 9,000 คน โดย 1 ใน 3 คือวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ มีผลิตภัณฑ์จำหน่ายใน 75 ประเทศทั่วโลก ซึ่งตลาดต่างประเทศสร้างสัดส่วนถึง 90% ของผลประกอบการที่ในปี 2015-2016 อยู่ที่ 1.7 พันล้านปอนด์ และ 2.5 พันล้านปอนด์ ด้านกำไรอยู่ที่ 448 ล้านปอนด์ และ 631 ล้านปอนด์

ส่วนตัวของ Dyson วัย 70 ปี ก็ติดอันดับที่ 414 ในโผ <a href="http://www.forbesthailand.com/world-detail.php?did=1723">“World’s Billionaires 2017” </a>จัดโดยนิตยสาร Forbes มีมูลค่าทรัพย์สิน (ณ มีนาคม) ราว 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 3.17 พันล้านปอนด์

&nbsp;

ขุมพลังแห่งใหม่

นอกจากสำนักงานใหญ่ของ Dyson ที่เมือง Malmesbury ประเทศอังกฤษ บริษัทยังตั้งสำนักงานที่สิงคโปร์ในปี 2007 ด้วยทีมวิศวกรไม่กี่คน กระทั่งไม่กี่ปีก่อน บริษัททุ่มงบราว 330 ล้านปอนด์ ก่อตั้ง Dyson Singapore Technology Centre (STC) ที่ Science Park I เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นปีนี้ ตั้งเป้าให้เป็นศูนย์ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม พัฒนาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ รวมทั้งพัฒนาโครงการเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI)

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1421d70a3b0e2d9b72849af989bc6f8b.png" alt="" width="680" height="454" /><figcaption> การทดสอบประสิทธิภาพของไดร์เป่าผมในห้องแล็บ ณ ศูนย์เทคโนโลยีแห่งใหม่ในสิงคโปร์ ที่ Dyson ทุ่มงบหลายร้อยล้านปอนด์ในการก่อสร้าง</figcaption></figure>

ภายใน STC ออกแบบผังห้องแล็บให้อยู่ใกล้กับส่วนโต๊ะทำงานเพื่อที่พนักงานจะได้นำความคิดเข้าไปทดลองในห้องแล็บได้อย่างรวดเร็ว มีเช่น Acoustics Lab ซึ่ง Dyson ใช้งบกว่า 11 ล้านปอนด์สร้างห้องทดลองเสียงเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทำงานได้เงียบที่สุด Fluid Dynamics Lab ใช้ทดสอบพลังงานลมในรูปแบบต่างๆ Performance Lab ทำการทดลองผลิตภัณฑ์กับสภาพเส้นผมของคนแต่ละชาติพันธุ์ Connected Studio ทดสอบการทำงานของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่ติดกล้องแบบ 360 องศา ซึ่งสามารถสร้างแผนที่ได้ด้วยตัวเองจากการจดจำทิศทางการเดิน เป็นต้น

Dyson ยังก่อตั้ง Singapore Advanced Manufacturing Centre (SAM) ที่ West Park ในปี 2012 เป็นฐานการผลิต “ดิจิทัลมอเตอร์” ตั้งแต่รุ่น V2 ซึ่งเป็นมอเตอร์ของผลิตภัณฑ์ขนาดใหญ่ รุ่น V4 ใช้ในเครื่องเป่าลมมือและหุ่นยนต์ดูดฝุ่น 360 องศา รุ่น V6/V8 ใช้ในเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย ส่วนดิจิทัลมอเตอร์ ขนาดเล็กสุดคือรุ่น V9 ใช้ในไดร์เป่าผม โดยมีขนาด 27 มิลลิเมตร และมีใบพัดลมตามแนวแกนที่หมุนได้ถึง 110,000 รอบ/นาที

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e8554e9e03ffae8fa02f2b6220b1bd11.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> Acoustics Lab ที่ใช้งบ 11 ล้านปอนด์ในการสร้าง</figcaption></figure>

SAM เน้นการทำงานด้วยระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติซึ่งมีราว 300 ตัว โดยใช้แรงงานคนในการลำเลียงวัสดุป้อนเข้าสายการผลิตเท่านั้น ที่ผ่านมา SAM ผลิตดิจิทัล มอเตอร์ได้แล้วราว 20 ล้านชิ้น ก่อนส่งไปยังประเทศมาเลเซียเพื่อประกอบเข้ากับชิ้นส่วนอื่นๆ ให้เป็นผลิตภัณฑ์ แล้วจึงส่งออกจำหน่าย

&nbsp;

เทคโนโลยีไม่สิ้นสุด

หลังการเยี่ยมชม STC และ SAM เสร็จสิ้น Forbes Thailand มีโอกาสพูดคุยกับ Scott Maguire ซึ่งดำรงตำแหน่ง Global Engineering Director ของ Dyson เขาจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมการออกแบบผลิตภัณฑ์จาก University of Glasgow ในปี 2003 และเข้าทำงานที่ Dyson ตั้งแต่อายุราว 22 ปี โดยมีส่วนออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้บริษัทมากกว่า 50 แบบ ส่วนบทบาทในปัจจุบันคือการดูแลแนวคิดทางเทคโนโลยีและกระบวนการผลิต

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/fd20d43cf704ff3f9ba20c6c7272b3f2.png" alt="" width="350" height="500" /><figcaption> Scott Maguire</figcaption></figure>

เบื้องหลังความสำเร็จของ Dyson คือเทคโนโลยี ซึ่ง Maguire เล่าว่าบริษัทใช้งบราว 7 ล้านปอนด์/สัปดาห์ไปกับแผนกวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) และคาดว่าจะลงทุนด้านนี้ทั้งหมดประมาณ 1 พันล้านปอนด์ภายในปี 2020 ซึ่ง STC คือหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญขององค์กร

สาเหตุที่เลือกลงทุนที่นี่เนื่องจาก Dyson อยู่ในสิงคโปร์มาเป็นระยะเวลานาน รวมทั้งมีฐานการผลิตดิจิทัล มอเตอร์ ที่สิงคโปร์อยู่แล้ว จึงตัดสินใจลงทุนเพิ่มด้วยงบหลายร้อยล้านปอนด์เพื่อสร้างให้ STC เป็นหนึ่งในศูนย์เทคโนโลยีที่ดีที่สุดของบริษัท อีกประการคือคนรุ่นใหม่ชาวสิงคโปร์มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์เป็นจำนวนมาก ซึ่งตอบความต้องการของ Dyson ได้ทุกอย่าง โดยขณะนี้มีพนักงานที่ STC ราว 1,000 คนแล้ว

แนวคิดและการวิจัยทั้งหมดจะเริ่มที่สำนักงานใหญ่ในอังกฤษ จากนั้นสิงคโปร์จะรับช่วงต่อมาทดลองและพัฒนาในห้องแล็บให้เกิดผลลัพธ์ ซึ่งทั้ง 2 แห่งจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้โครงการเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่นและช่วยให้ฐานการผลิตสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/5e7882dd71f6b9a91f516425c7d0c4e1.png" alt="" />

Maguire กล่าวถึงพนักงานของบริษัททั่วโลกว่าส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 26 ปี ซึ่ง Dyson ยินดีต้อนรับคนรุ่นใหม่เข้าสู่รั้วองค์กร เพราะคนเหล่านี้มักมาพร้อมความคิดสร้างสรรค์และไม่กลัวที่จะล้มเหลว

“หลายครั้งที่พวกเขาทำผิดพลาดหรือล้มเหลวแต่ก็กล้าจะยอมรับและเดินหน้าใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดขององค์กรที่มีความกระตือรือร้นและทะเยอทะยานในการนำเทคโนโลยีมาใช้แก้ปัญหา”

แม้จะเป็นแหล่งรวมวิศวกรจำนวนมาก แต่ปัญหาหลักๆ ขององค์กรยังเป็นเรื่องการขาดแคลนวิศวกร ดังนั้นบริษัทจึงใช้งบ 22 ล้านปอนด์ ก่อตั้ง Dyson Institute of Engineering and Technology ขึ้นที่เมือง Malmesbury เปิดรับนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์รุ่นแรกไปเมื่อเดือนกันยายนนี้ เพื่อป้อนบุคลากรเข้าสู่อุตสาหกรรมต่างๆ ที่เดินหน้าด้วยเทคโนโลยี

ผู้บริหาร Dyson ไม่ได้กล่าวถึงส่วนแบ่งการตลาดที่แน่ชัดของบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ภาพรวมมีอัตราการเติบโตสูง และในบางพื้นที่เติบโตมากกว่าตัวเลขสองหลัก สาเหตุมาจากลูกค้าในภูมิภาคมีความเข้าใจเทคโนโลยีมากขึ้นและมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/27a157708167c63349e111d5243b27a5.png" alt="" />

สำหรับเมืองไทยนับเป็นหนึ่งในตลาดที่โตเร็วที่สุดของ Dyson ซึ่งบริษัทมีความพยายามสร้างตลาดในไทยให้โตขึ้นทั้งส่วนผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน มีสินค้าหลักคือเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย และส่วนผลิตภัณฑ์ความงามคือไดร์เป่าผม

Maguire ไม่กังวลว่าลูกค้าชาวไทยจะนิยมใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าจากประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน ซึ่งเป็นที่รู้จักมากกว่าเพราะอยู่ในตลาดมานานกว่า และมีระดับราคาที่ย่อมเยากว่า Dyson ค่อนข้างชัดเจน

“แม้กระทั่งในจีนหรือญี่ปุ่น เราก็ยังได้รับความนิยมที่นั่น เราจึงไม่ได้กังวลเรื่องคู่แข่งจากประเทศอื่น” Maguire ยืนยันและเสริมว่า “เราจะพัฒนานวัตกรรมให้ดีที่สุดเพื่อทุกตลาด อย่างเมืองไทยก็เป็นตลาดใหญ่ของเครื่องดูดฝุ่นของเรา”

เมื่อวกกลับมาถามถึงความเป็นไปได้ในการตั้งสำนักงานหรือฐานการผลิตที่ไทย เขาบอกว่า Dyson มีแผนจะลงทุนมากขึ้นในทุกแห่ง “เรามองหาแหล่งที่มีศักยภาพทางวิศวกรรมศาสตร์ ตอนนี้เรายังไม่มี R&amp;D ในไทยแต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีในอนาคต ที่ไหนมีวิศวกรฝีมือดีเราก็จะไปที่นั่น”

&nbsp;

ภาพ: Dyson

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events