<h2>ในโลกที่ความสัมพันธ์ระหว่าง “คน” กับ “งาน” กลายเป็นสิ่ง toxic จากแรงกดดันในมิติต่างๆ ทำให้ที่ทำงานไม่ใช่สถานที่ที่พนักงานจะมาปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีความสุข Enrique Lores ซีอีโอแห่ง HP ตระหนักข้อเท็จจริงนี้ และได้แบ่งปันแนวทางแก้ไขปัญหา ดังนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ในฐานะซีอีโอของ HP ผมใช้เวลามากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในการพบปะพูดคุยกับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ทั่วโลก ทุกวันนี้มีประเด็นหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในทุกบทสนทนาของผม นั่นคือ ‘คุณมีนโยบายกลับไปทำงานที่ออฟฟิศอย่างไร?’&nbsp; &nbsp;&nbsp;ผู้คนให้ความสำคัญกับตรงนี้กันมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ นานแล้วที่พวกเขาคุ้นชินกับวิธีการทำงานแบบเดิม แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ วิธีการทำงานของเรากลับเปลี่ยนไปจากพื้นฐานที่เคยเป็น&nbsp;ซีอีโอทุกคนที่ผมรู้จักต่างพยายามมองหาแนวทางที่ดีที่สุดแก่องค์กรของตนเอง และหากคุณลองถามคนสองคน คุณก็มีแนวโน้มจะได้ความคิดเห็นที่ต่างกันอย่างน้อยสามแบบ&nbsp; &nbsp;&nbsp;บ่อยครั้งที่บทสนทนาเหล่านี้โฟกัสกับสถานที่ที่เราทำงาน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญ แต่ผมเชื่อว่ายังมีคำถามที่ใหญ่และลึกซึ้งกว่าที่เราจำเป็นต้องสนใจ จำเพาะเจาะจงลงไปเลยก็คือ ‘ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?’ และ ‘มันมีความหมายอะไรกับบริษัทอย่างเรา?’&nbsp; &nbsp;&nbsp;เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ ผมและทีมงานจึงได้จ้างให้มีการจัดทำ HP Work Relationship Index โดยได้สอบถามผู้คนกว่า 15,000 คนจาก 12 ประเทศ ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรกับงานที่ทำอยู่ และความคาดหวังของพวกเขามีความคืบหน้าอะไรบ้าง&nbsp; &nbsp;&nbsp;ผลลัพธ์หลายอย่างจะทำให้คุณต้องแปลกใจ ข้อที่สะดุดใจผมที่สุดคือการที่มีคนทำงานโดยอาศัยความรู้เป็นหลัก (Knowledge Worker) เพียง 27% เท่านั้นที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับงานที่พวกเขากำลังทำอยู่&nbsp;นับเป็นปัญหาใหญ่สำหรับทั้งคนและธุรกิจ เพราะไม่มีบริษัทใดจะประสบความสำเร็จในระยะยาวหากปราศจากแรงงานที่รู้สึกมีกำลังใจและมีส่วนร่วม&nbsp; &nbsp;&nbsp;เราจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการทำงาน ผมเชื่อว่ามีอยู่ 3 ข้อที่ต้องการความสนใจโดยเร่งด่วนที่สุด เราต้องทบทวนเกี่ยวกับผลิตภาพ &nbsp; &nbsp;&nbsp;ก่อนอื่น เราต้องไม่สร้างตัวเลือกที่ผิดนั่นคือ ผลิตภาพ (Productivity) และความสุข (Happiness) บ่อยครั้งที่สองสิ่งนี้ถูกวางไว้ตรงข้ามกัน แต่หากคุณหยุดคิดดูอย่างจริงจังแล้วจะพบว่ามันมาด้วยกันต่างหาก&nbsp;ทีมที่มีศักยภาพที่สุดไม่ใช่แค่ทำงานได้สูงที่สุด แต่พวกเขาสนุกกับการทำงาน ซึ่ง ณ ตอนนี้ คือเวลาที่บรรดาผู้นำธุรกิจต้องจัดการกับมันมากกว่าครั้งไหนๆ&nbsp; &nbsp;&nbsp;ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่สามารถสร้างอนาคตของการทำงานได้โดยการใช้ผลิตภาพที่เคยวัดได้ในอดีต เราทุกคนจำเป็นต้องวิวัฒน์ความคิด จะทำงานเมื่อไหร่หรือที่ไหนก็เป็นเพียงชิ้นส่วนเดียวของปริศนาชุดใหญ่ที่เราต้องหาทางแก้ไข&nbsp; &nbsp;&nbsp;การพูดคุยกับพนักงานว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นสำหรับความสำเร็จและการโฟกัสกับผลที่ได้จะตอบโจทย์ข้อนี้ เพื่อให้เราสามารถเข้าใจและลงมือทำสิ่งที่สำคัญที่สุด วัฒนธรรมองค์กรถึงคราวเปลี่ยน &nbsp; &nbsp;&nbsp;ในการวิจัยของเรา พบว่ามีเพียง 25% ของผู้เข้าร่วมทำแบบสอบถามที่รู้สึกว่าตัวเองได้รับความเคารพและคุณค่าที่พึงมีอย่างต่อเนื่อง และน้อยคนนักที่ได้สัมผัสความยืดหยุ่น ความเป็นอิสระ และสมดุลระหว่างชีวิตกับงานตามที่พวกเขาต้องการ&nbsp; &nbsp;&nbsp;พวกเขายังบอกเราว่า พวกเขามองหาจุดประสงค์ การสนับสนุน และความเชื่อมโยงที่แท้จริงในการทำงาน แต่มีเพียง 29% ที่บอกว่างานปัจจุบันเติมเต็มความปรารถนาเหล่านี้ได้&nbsp; &nbsp;&nbsp;ตัวเลขเหล่านี้เตือนว่าเรากำลังเข้าใกล้จุดแตกหักเต็มที อันที่จริงผู้คน 83% เผยว่าพวกเขายินดีจะได้รับค่าจ้างน้อยลงแลกกับการมีความสุขกับงานมากขึ้น แต่ไม่มีใครควรต้องเลือกระหว่างค่าตอบแทนที่คุ้มค่ากับความสุขในการทำงาน บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้พนักงานมีความเป็นเลิศในอาชีพไปพร้อมๆ กับการใช้ชีวิต เทคโนโลยีต้องพัฒนา &nbsp; &nbsp;&nbsp;ผมรู้ว่าพูดแบบนี้อาจจะดูเข้าข้างตัวเองไปสักหน่อย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญยิ่ง สามในสี่ส่วนของผู้ที่เข้าร่วมทำแบบสอบถามบอกว่า เครื่องมือและเทคโนโลยีต่างเป็นองค์ประกอบสำคัญของความสำเร็จ ไม่ว่าคุณจะทำงานจากบ้านหรือสำนักงานก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้คน 70% บอกเราว่าพวกเขาต้องการเทคโนโลยีที่ช่วยในการสื่อสารทั้งภาพและเสียงไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน แต่มีเพียง 1 ใน 4 ที่บอกว่าได้เข้าถึงเครื่องมือเหล่านั้นแล้วในปัจจุบัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นขณะเดียวกันก็ทำให้พวกเขารู้สึกมีส่วนร่วม เชื่อมโยง และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานจะสามารถอุดช่องโหว่เหล่านี้ได้ &nbsp; &nbsp;&nbsp;ผมจะไม่บอกว่าทั้งหมดนี้ทำได้ง่ายๆ หรอก และแน่นอนว่าไม่มีสูตรสำเร็จที่เหมาะสำหรับทุกคน ทุกธุรกิจมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันเป็นปัจจัยในการพิจารณา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนคล้ายจะเห็นตรงกัน บริษัทส่วนใหญ่รวมถึงพนักงานที่เราไปสอบถามมาบอกว่า ปัจจุบันคือช่วงเวลาสำคัญที่สมควรแก่การสร้างนิยามใหม่ให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับงาน ซึ่งไม่ใช่แค่จะทำให้พนักงานมีความสุขเท่านั้น แต่ยังขับเคลื่อนประสิทธิภาพในการทำงาน กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และนำพาบริษัทต่างๆ ไปสู่ความสำเร็จมากขึ้น” แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.fastcompany.com/90962105/hp-ceo-the-world-has-an-unhealthy-relationship-with-work" alt="HP CEO: The world has an unhealthy relationship with work">HP CEO: The world has an unhealthy relationship with work</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/bill-gates-lessons-more-to-life-than-work" alt="“ชีวิตมาก่อนงาน” บทเรียนจาก Bill Gates เตือนให้พักผ่อน - ใช้เวลากับคนที่รัก">“ชีวิตมาก่อนงาน” บทเรียนจาก Bill Gates เตือนให้พักผ่อน - ใช้เวลากับคนที่รัก</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Enrique Lores ซีอีโอ HP ชี้ “คนกับงานต้องไปด้วยกัน” ทุกองค์กรจึงจะประสบความสำเร็จ 

<h2>เอชพี (HP) เผย 56% ของคนกลุ่มมิลเลนเนียล (อายุ 27&nbsp;ถึง 42&nbsp;ปี) และ 55% ของกลุ่ม Gen X (อายุ 43 ถึง 58&nbsp;ปี) เชื่ออย่างยิ่งว่า การนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจเป็นตัวเลือกที่ฉลาดและสอดรับกับอนาคต แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษาในหัวข้อ HP Smart Where IT Matters Study กลับพบช่องว่างว่า เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กในกลุ่ม Gen Z มีความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ ที่ยังมีข้อกังขาและรู้สึกต้านการนำเทคโนโลยีมาใช้ในตลาดเอเชีย กล่าวคือ ในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และฟิลิปปินส์</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;77% ของธุรกิจขนาดเล็กทั่วภูมิภาคมองว่า เทคโนโลยีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลดความท้าทายทางธุรกิจ ในความเป็นจริง 87% ของเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กในไทยกล่าวว่า เทคโนโลยีอัจฉริยะจะสามารถช่วยให้ธุรกิจของตนได้เปรียบในการแข่งขัน ในขณะที่ 86% เชื่อว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้จะช่วยให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้แม้มีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ พบว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับข้อดีของเทคโนโลยีคิดเป็น 69% จากคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ (อายุ 59 ปีขึ้นไป) เป็นผู้ที่ไม่เห็นประโยชน์หรือผลตอบแทนที่ชัดเจนจากการลงทุนในเทคโนโลยี และสิ่งที่น่าแปลกใจคือ 57%&nbsp;ของ Gen Z ที่เกิดและโตในยุคดิจิทัล (อายุ 19&nbsp;ถึง 26&nbsp;ปี) ต่างก็ตั้งคำถามเกี่ยวกับประโยชน์จากการลงทุนในเทคโนโลยีเช่นเดียวกัน ในประเทศไทย ข้อสงสัยเกี่ยวกับ ROI (ผลการตอบแทน) ของเทคโนโลยีนั้นเห็นได้ชัดมากขึ้นในกลุ่มเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กในกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ (64%) และ Gen X (62%) ในขณะที่เจ้าของธุรกิจในกลุ่ม Gen Z จำนวน 1&nbsp;ใน 2 มีความคิดเห็นที่คล้ายกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การศึกษาที่ดำเนินการโดยบริษัทวิจัย Kantar โดยได้รับมอบหมายจากเอชพี ให้สำรวจความเห็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กประมาณ 1,200&nbsp;ราย เพื่อสำรวจการนำเทคโนโลยีมาใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การที่ธุรกิจขนาดเล็กจะเติบโตได้ในยุคดิจิทัลนั้น คนกลุ่ม Gen X และมิลเลนเนียลจะต้องก้าวนำเพื่อขจัดความกลัวที่ยังคงมีอยู่ถึงความไม่แน่นอนและความสงสัยในเทคโนโลยี ธุรกิจขนาดย่อยมากกว่า 70% กลัวความซับซ้อนและความไม่ปลอดภัยของเทคโนโลยีอุบัติใหม่ ตอกย้ำให้เห็นถึงความท้าทายที่เจ้าของธุรกิจต้องเผชิญเมื่อพิจารณาการลงทุนใหม่ๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วรานิษฐ์ อธิจรัสโรจน์ กรรมการผู้จัดการประจำเอชพี ประเทศไทย กล่าวว่า "เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กต้องเอาชนะการแข่งขัน เพิ่มจำนวนลูกค้าและรายได้ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งในด้านเวลาและการเงิน ดังนั้นเทคโนโลยีจะต้องไม่สร้างความซับซ้อนและไม่สร้างความน่ากลัว แต่เทคโนโลยีจะต้องมีประสิทธิภาพ ราบรื่น ปลอดภัย และในปัจจุบันยังต้องมีความยั่งยืนด้วย" สรุปหัวข้อน่าสนใจจากรายงาน​ &nbsp; &nbsp; - 77% ของธุรกิจขนาดเล็กทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย หรือฟิลิปปินส์ มองว่าเทคโนโลยีเป็นกุญแจสำคัญที่จะมาช่วยบรรเทาความท้าทายทางธุรกิจ&nbsp; &nbsp; - แต่กว่า 70% ยังคงไม่ไว้วางใจถึงความซับซ้อนของเทรนด์เทคโนโลยีและภัยด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น โดยคนรุ่น Gen Z และเบบี้บูมเมอร์เป็นกลุ่มที่มีความกลัวและความไม่แน่ใจเกี่ยวกับผลตอบแทนด้านการลงทุนมากที่สุด ในประเทศไทย คนสองกลุ่มนี้กว่า 60% ยังไม่มั่นใจในการลงทุนด้านเทคโนโลยีให้กับธุรกิจของตน&nbsp; &nbsp; - จากผลสำรวจ พบว่าเทคโนโลยีจะพิสูจน์ให้เห็นได้ถึงความคุ้มค่าจากรุ่นสู่รุ่นเมื่อมีวัตถุประสงค์การใช้งานที่ชัดเจน โดย 85% ของธุรกิจขนาดเล็กในปัจจุบัน ใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตในธุรกิจ อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/the-1-insight-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%88-%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E" alt="The 1 Insight เผยเทรนด์รับเทศกาลกินเจ สะดวกสบายใส่ใจสุขภาพ">The 1 Insight เผยเทรนด์รับเทศกาลกินเจ สะดวกสบายใส่ใจสุขภาพ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

HP เผยผลสำรวจ มิลเลเนียลและ Gen X เชื่อมั่นเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญในการผลักดันธุรกิจ

<h2 class="p1">HP เตรียม ปลดพนักงาน ลงถึง 13-16% ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่บนเป้าหมายในการลดต้นทุนและเพิ่มการเติบโตของยอดขาย ท่ามกลางการเปลี่ยนผู้นำสูงสุดครั้งแรกของบริษัทในรอบ 4 ปี</h2>
ยักษ์ใหญ่ในตลาดผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายนี้ระบุว่า บริษัทเตรียม ปลดพนักงาน 7,000-9,000 ตำแหน่งผ่านการให้ออกและเกษียณอายุก่อนกำหนด (early retirement) โดยสมัครใจ ซึ่งการลดจำนวนพนักงานครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทลดต้นทุนลงไปได้ถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2022 ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา HP มีพนักงาน 55,000 คน ซึ่งเป็นครั้งล่าสุดที่มีการเปิดเผยตัวเลขดังกล่าว
HP ยังประกาศว่า บริษัทคาดว่าผลกำไร (ไม่รวมต้นทุนการปรับโครงสร้างและรายการอื่นๆ) จะอยู่ที่ประมาณ 2.22-2.32 เหรียญต่อหุ้น ขณะที่นักวิเคราะห์หลายรายประมาณการว่ากำไรน่าจะอยู่ที่ 2.23 เหรียญต่อหุ้น โดยหุ้นของ HP ลดลงมากกว่า 5% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ
บริษัทจาก California รายนี้ได้ปล่อยการคาดการณ์ต่างๆ ออกมาท่ามกลางสถานการณ์ของบริษัทที่กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ Dion Weisier ซีอีโอที่บริหารบริษัทนี้มาตั้งแต่ปี 2015 รวมถึงยังดูแลบริษัท Hewlett Packard Enterprise กำลังจะลงจากตำแหน่งในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้เนื่องจากเหตุผลด้านสุขภาพของครอบครัว โดยซีอีโอคนใหม่ ได้แก่ Enrique Lores ผู้บริหารระดับสูงที่ทำงานใน HP มายาวนาน
ขณะเดียวกัน HP ยังต้องเผชิญกับยอดขายที่ลดลงของธุรกิจหมวดการพิมพ์ที่เป็นแหล่งกำไรหลักของบริษัท จนเมื่อเร็วๆ นี้นักวิเคราะห์หลายรายจาก Sanford C. Bernstein ขนานนามว่าเป็นภาวะที่ “น้ำแข็งกำลังหลอมละลาย” นอกจากนี้ Gordon Haskett นักวิเคราะห์ ยังระบุว่า นักลงทุนแบบ activist investor อาจกำลังสร้างสัดส่วนการถือหุ้นที่อาจทำให้บริษัทได้แรงกดดันเพิ่มขึ้น
“เราเห็นตัวเรากำลังเริ่มบทใหม่ และเราจะประกาศความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนนั้น” Lores กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg “เราได้ทุ่มเวลามากมายในการสร้างแผนนี้ เรายอมรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในตลาด ซึ่งจะช่วยให้เราวางโพสิชั่นของบริษัทสำหรับอนาคตได้”


<figure><img class="size-full wp-image-22185" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/hp-enrique-lores.jpg" alt="" width="610" height="407" /><figcaption> Enrique Lores</figcaption></figure>
สำหรับการปรับโครงสร้างด้วยการ ปลดพนักงาน ครั้งนี้ HP จะมีค่าใช้จ่ายราว 1 พันล้านเหรียญ โดยแบ่งเป็น 100 ล้านเหรียญสำหรับไตรมาส 4 ปีนี้, 500 ล้านเหรียญสำหรับปี 2020 ส่วนที่เหลือจะใช้ในปี 2021 และ 2022
โดยบอร์ดของ HP ได้หนุนแผนซื้อหุ้นคืนของบริษัท 5 พันล้านเหรียญ นอกจากนี้ HP กล่าวว่าบริษัทวางแผนจะเพิ่มเงินปันผลรายไตรมาสเป็น 10% ด้วย อย่างไรก็ตาม หุ้นของบริษัทได้ลดลง 10% ในปีนี้ โดยปิดที่ 18.40 เหรียญในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ
บริษัทยังมั่นใจอีกว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างน้อย 3 พันล้านเหรียญภายในปี 2020 และมอบผลตอบแทนที่ 75% หรือมากกว่าให้กับนักลงทุนได้
ยักษ์ใหญ่ธุรกิจคอมพิวเตอร์รายนี้ยังกล่าวอีกว่า บริษัทจะสร้างการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจเครื่องพิมพ์โดยมุ่งเน้นการให้บริการที่หลากหลายมากขึ้น โดยเตรียมขึ้นราคาปรินเตอร์ที่สามารถใช้ตลับหมึกอย่างอื่นที่ไม่ใช่ของ HP ซึ่งจะส่งผลให้อุปกรณ์กลุ่มนี้ทำกำไรได้มากขึ้น
โดยปัจจุบัน ปรินเตอร์ที่ขายได้นั้นหลายรุ่นเป็นรุ่นที่มีราคาถูก ทำให้ยูนิตที่ทำกำไรมาจากหมึกเติมนั่นเอง โดย HP มีแผนเตรียมเปิดตัวปรินเตอร์ราคาถูกแต่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ได้แต่หมึกของ HP เท่านั้น
นอกจากนี้ HP ยังเตรียมเริ่มขายอุปกรณ์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีการพิมพ์อิงค์เจ็ตที่เรียกว่า microfluidics ซึ่งจะตอบโจทย์กับอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์, เครื่องสำอาง และอื่นๆ
“เรายังมีความมั่นใจในอนาคตของบริษัทเราอยู่จริงๆ” Lores กล่าวทิ้งท้าย
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/it/uber-%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%94%e0%b8%9e%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99.html">Uber ปลดพนักงาน 400 คนทั่วโลกฝ่ายการตลาด หวังลดต้นทุน</a></li>
</ul>
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://www.bloomberg.com/news/articles/2019-10-03/hp-inc-to-cut-as-much-as-16-of-workforce-amid-print-unit-woes">HP to Cut as Much as 16% of Workforce Amid Print Unit Woes</a>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events