<h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัญหาสิทธิสตรีในละตินอเมริกาขัดขวางการที่ผู้หญิงจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการ&nbsp;ทว่าเมกอัพอาร์ทิสต์สาวผู้หนึ่งกลับพลิกบทบาทเป็นนักธุรกิจหญิง เจ้าของร้านเสริมสวยและโรงเรียนสอนศาสตร์แห่งความงาม เธอมีนามว่า Andrea Paola ผู้เล็งเห็นโอกาสช่วยเหลือผู้หญิงคนอื่นๆ ยามเธอก้าวเข้าสู่ธุรกิจความงามครั้งในปี 2012</h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“อาชีพเมกอัพอาร์ทิสต์เริ่มต้นจากงานอดิเรก ฉันเคยแต่งหน้าด้วยกระเป๋าเครื่องสำอางของแม่” เธอเล่า “ฉันไม่เคยรู้สึกเหมือนทำงานเลย การแต่งหน้าคือความหลงใหลของฉันมาโดยตลอด”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/j3if83bYxQ5v1a29wjD8.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="j3if83bYxQ5v1a29wjD8.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," origin-size="959,640" style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Andrea Paola ผู้ประกอบการสาวชาวกัวเตมาลา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ครั้นเริ่มเป็นครูสอนแต่งหน้าหลังไปเรียนที่เมืองบาร์เซโลนาและลอสแองเจลีส เธอพบว่าผู้หญิงมากมายจากชุมชนของเธอในเมืองกัวเตมาลาซิตี้ต่างมีความต้องการจะเรียนรู้ว่า “จะเป็นเมกอัพอาร์ทิสต์แบบคุณได้อย่างไร?” และ “ฉันจะจุนเจือครอบครอบจากการทำงานนี้ได้หรือเปล่า?”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วันนี้ Andrea Paola คือผู้เชี่ยวชาญการแต่งหน้าที่ก่อตั้งสถาบันสอนด้านความงาม สปา แบรนด์เครื่องสำอาง และร้านเสริมสวยของเธอเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทุกอย่างเริ่มต้นตอนที่เธอเปิดโรงเรียนสอนแต่งหน้าแห่งแรกในห้องขนาด 100 ตารางฟุตในปี 2014 ซึ่งกลายเป็นที่นิยมและเริ่มมีพื้นที่ไม่เพียงพอสำหรับทุกคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“บรรดาความฝันที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับของฉันนั้นไม่อาจอยู่ในที่คับแคบได้หรอก” Paola กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้นในปี 2015 เธอจึงเปิดสถาบันในแหล่งธุรกิจที่กว้างขวางขึ้น “จำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเราต้องขยายเวลาทำการเป็นวันจันทร์ถึงวันอาทิตย์”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กระทั่งปี 2017 เธอตระหนักว่าการสอนทักษะความงามนั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้หญิงเหล่านี้ไปมากขนาดไหน เธออยากช่วยเหลือผู้คนในอเมริกากลางมากกว่านี้ แต่เธอรู้ดีว่ายังเร็วเกินกว่าจะเปิดสาขาประจำทุกเมืองหลวง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/iCPbqk5EBK9RiGFsaH81.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="iCPbqk5EBK9RiGFsaH81.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," origin-size="960,640" style="width: 100%;" data-index="1"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Beauty Truck ร้านเสริมสวยติดล้อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เธอเลือกวิธีที่ง่ายและเร็วกว่าคือร้านแบบป๊อปอัพเกิดเป็น Beauty Truck รถตู้สีชมพูที่มาพร้อบรรดาเมกอัพอาร์ทิสต์ กลายเป็นร้านเสริมสวยติดล้อคันแรกในอเมริกากลาง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Beauty Truck กลายเป็นหนทางของ Paola ในการส่งบริการความงามตรงถึงบ้านลูกค้า หรือที่ตั้งตามงานกิจกรรมต่างๆ เช่น งานแต่งงาน หรืองานเลี้ยงวันเกิด เธอจะพาทีมเมกอัพอาร์ทิสต์และสไตลิสต์ไปช่วยเหลือหญิงสาวมากมาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“งานนี้เปิดโอกาสให้ฉันเป็นที่รู้จักและปรากฏบนหน้าสื่อต่างๆ” เธอบอก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และในปี 2019 เธอก็ได้ฤกษ์เปลี่ยนชื่อธุรกิจเป็น Andrea Paola Makeup School สู่สถาบันแห่งแรกของกัวเตมาลาที่มีคอร์สเรียนแต่งหน้าออนไลน์ ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา นักเรียนของเธอราว 200 คนก้าวไปเป็นมืออาชีพในอุตสาหกรรมความงาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หลายคนก็เปิดตัวธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความงามของตัวเอง จ้างงานผู้หญิงคนอื่นๆ และเป็นหัวหน้าครอบครัว” Paola กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นี่จึงไม่ใช่เพียงศาสตร์แห่งการแต่งหน้าและความงามเท่านั้น แต่บรรดาสตรีต่างผ่านการรับรองและได้เรียนรู้ที่จะสร้างอาณาจักรธุรกิจความงามของพวกเธอ “เรามีห้องเรียนการเป็นผู้ประกอบการ การเงิน โซเชียลมีเดีย การบริหารโครงการ และการขาย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/2t8SZdD8FdHzi4qvKNHV.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="2t8SZdD8FdHzi4qvKNHV.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," origin-size="959,535" style="width: 100%;" data-index="2"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Andrea Paola และทีมงานของเธอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“คอร์สของเราไม่ใช่เพียงให้การศึกษา แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจแก่นักเรียนเพื่อไล่ตามความฝันในโลกแห่งความงาม” Paola เผย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นักเรียนทั้งหลายจะได้เรียนการแต่งหน้าแบบมืออาชีพผ่านเทรนด์ดั้งเดิมและเทรนด์ในปัจจุบันของวงการ ตลอดจนสามารถเข้าถึงทุนต่างๆ ตั้งแต่พบเวทีเดินแบบไปจนละครเวที “เพื่อขัดเกลาพรสวรรค์ที่พวกเธอมี”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2020 เธอเปิดตัวไลน์เครื่องสำอางแรกของเธอ Andrea Paola Cosmetics ซึ่งปลอดพาราเบน ผ่านการทดสอบการแพ้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และผลิตในแคนาดา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ไลน์เครื่องสำอางของฉันออกแบบมาตอบโจทย์ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวของชาวละติน” Paola อธิบาย ผลิตภัณฑ์ของเธอใช้ส่วนผสม วัตถุดิบ และสารสกัดจากพืช&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของเธอ ได้แก่ ลิปสติก “Empowered Woman” บลัชสติ๊ก และรองพื้น เร็วๆ นี้ทางแบรนด์จะเปิดตัว “Fairy Powder” แป้งผสมชิมเมอร์ออกแบบมาเพื่อลุคเจ้าสาว และ “Beauty Stix” สีใหม่ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อเนกประสงค์ จะใช้เป็นบลัช ลิปสติก ไฮไลต์ และอายแชโดว์ก็ย่อมได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Andrea Paola ยังไม่หยุดง่ายๆ ในปี 2021 เธอก่อตั้งร้านเสริมสวยของเธอเองนาม Beauty Lab ซึ่งให้บริการทุกอย่างทั้งตัดผม ดูแลบำรุงผิวกาย และห้องเรียนแต่งหน้า เธอยังจัดรายการไลฟ์สดทาง Instagram โดยเป็นเวิร์คช็อปด้านการเงินในวันอังคาร ส่วนวันพฤหัสบดี เธอจะพาผู้ชมไปพบกับผู้ประกอบการชาวกัวเตมาลาที่กำลังมาแรงในวงการความงาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/mefpc6mJwDjKSkuUKhkP.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="mefpc6mJwDjKSkuUKhkP.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," origin-size="960,1440" style="width: 100%;" data-index="3"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Andrea Paola ในกัวเตมาลาซิตี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“บนโซเชียลมีเดียยังมีการพูดคุยเรื่องการเงินส่วนบุคคล อิสรภาพทางการเงิน การออม และหัวข้ออื่นๆ เพื่อช่วยบรรดาผู้หญิงให้มีอำนาจควบคุมชีวิตของพวกเธอเอง ให้พวกเธอมีพลังฮึดสู้ และเข้าถึงอิสรภาพทางการเงิน” Paola เล่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก่อนหน้านี้ในปี 2020 เธอเปิด Verana Spa เพื่อการดูแลตัวเองแบบครบวงจร สำหรับเป้าหมายต่อไป เธอกำลังจะเปิด Facial Gym ให้บริการดูแลผิวหน้าโดยเฉพาะในกัวเตมาลา “ก็เหมือนกับที่เราออกกำลังกายส่วนอื่นๆ เราควรออกกำลังกายกล้ามเนื้อหน้าเช่นกันด้วยกิจวัตรที่ต่างออกไปในการกระชับและนวดกระตุ้นใบหน้า”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ Andrea Paola จะบรรลุความฝันไปมากมายแล้ว เธอกำลังอยู่ระหว่างไล่ตามความฝันอีกอย่างหนึ่ง “ความฝันใหญ่สุดของฉันคือเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงทั่วละตินอเมริกา มอบโอกาสทางการงานแก่พวกเธอทั่วโลก และสร้างพันธมิตรเพื่อช่วยผู้หญิงคนอื่นๆ ให้เติบโตและพิชิตความฝันสำเร็จ” &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แปลและเรียบเรียงจาก How Andrea Paolas Makeup School Is A Game Changer In Guatemala ซึ่งเผยแพร่บน Forbes&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp; อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%88%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3-%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-29-%E0%B8%AA-%E0%B8%84-2566" alt="ธนาคารกสิกรไทย แต่งตั้ง จงรัก รัตนเพียร ดำรงตำแหน่ง กรรมการและกรรมการผู้จัดการ มีผลวันที่ 29 ส.ค. 2566">ธนาคารกสิกรไทย แต่งตั้ง จงรัก รัตนเพียร ดำรงตำแหน่ง กรรมการและกรรมการผู้จัดการ มีผลวันที่ 29 ส.ค. 2566</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>&nbsp;​

Andrea Paola เมกอัพอาร์ทิสต์ผู้พลิกชีวิตสตรีในกัวเตมาลา

เทคโนโลยีล้ำหน้า ปฏิวัติความงามยกระดับความหลากหลาย

Sephora เตรียมหวนคืนตลาดอังกฤษหลังปิดตัวไปนาน 18 ปี

<h2 class="p1">แรงดลใจจากโศกนาฏกรรมส่วนตัวและตำรับความงามประจำบ้านของครอบครัวเธอ Nancy Twine ผันตัวเองจากการเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ใน Wall Street สู่การสร้าง Briogeo แบรนด์หรูเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว</h2>
แชมพูที่ผสมผสานด้วยถ่านและน้ำมันมะพร้าวกลิ่นเหมือนคุกกี้รสมินต์ ถูกบรรจุในถังขนาด 8 ออนซ์จำนวนหลายสิบถังที่ห้องปฏิบัติการวิจัย บริเวณชานเมืองรัฐ New Jersey คนที่ตรวจสอบส่วนผสมของแชมพูนั้นคือ Nancy Twine วัย 33 ปี ผู้ผลิตแชมพูสูตรผลัดเซลล์หนังศีรษะ ที่ราคาขายปลีกสูงกว่า 9 เท่าเมื่อเทียบกับแชมพูชื่อดังตามท้องตลาดอย่าง Head &amp; Shoulders “นี่เป็นก้าวใหญ่ก้าวหนึ่งสำหรับเรา” Twine ผู้ก่อตั้ง Briogeo บริษัทผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมกล่าว
ประสบการณ์ 7 ปีของเธอที่วาณิชธนกิจ Goldman Sachs ช่วยให้เธอก้าวนำคนอื่นอยู่ จึงทำให้เธอกล้าตั้งราคาสูง เธอหาแหล่งที่มาของวัตถุดิบได้โดยตรง สั่งซื้อรวมๆ กันเป็นจำนวนมากเพื่อประหยัดเงินในการผลิต และสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับบรรดาหุ้นส่วน Briogeo ปรากฏอยู่บนชั้นสินค้าแค่ 4 ปี แต่ก็ทำกำไรได้ทุกปี และสามารถสร้างรายได้ต่อปีกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากยอดขายใน Sephora, Nordstrom, Riley Rose ในเครือ Forever21 และบริการขายตัวอย่างทดลองอย่าง Birchbox และ Ipsy 
Twine เป็นเลือดผสมแอฟริกัน-อเมริกันเธอกำลังพยายามดึงดูดใจผู้หญิงทั้งหลาย Briogeo แตกต่างจากหลายๆ แบรนด์ ตรงที่แบ่งกลุ่มเป้าหมายลูกค้าตามลักษณะเส้นผม (ผมหยักศก, ผมหยิก, ผมแห้ง, ผมบาง) แทนที่จะแบ่งตามเชื้อชาติ  “ฉันจำได้ในวันที่ไปร้านขายยาอย่าง CVS มันยังมีการแบ่งแยกเชื้อชาติเอามากๆ อยู่เสมอ” 
“ผู้คนต่างมาบอกกับฉันว่าคุณทำนี่ไม่ได้หรอกถ้าไม่ใช้ซิลิโคน” Twine กล่าว “ฉันเลยต้องทำการค้นคว้าเอง และบอกนักเคมีว่าต้องใส่อะไรผสมกันเพื่อให้มันออกมาดียิ่งขึ้น”
แม้สิ่งที่เรียกว่าคลีนบิวตี้หรือความงามไร้สารปรุงแต่ง คือหนึ่งในส่วนที่เติบโตเร็วที่สุดของอุตสาหกรรมความงาม แต่โดยทั่วไปแล้วมีไลน์ผลิตภัณฑ์เส้นผมปราศจากสารพิษแค่ไม่กี่ราย และที่เน้นกลุ่มคนผมหนาก็ยิ่งมีน้อยลงไปอีก ช่องว่างนั้นได้สร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่
กลุ่มลูกค้าผิวสีซื้อแชมพูเกือบ 500 ล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว ตามข้อมูลของบริษัทวิจัย Mintel และเป็นส่วนที่เติบโตรวดเร็วที่สุดของตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมในสหรัฐฯ มูลค่า 1.3 หมื่นล้านเหรียญ  จากข้อมูลของ Euromonitor 
ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของ Briogeo มีราคาต่ำกว่าแบรนด์เส้นผมพรีเมียมอื่นๆ เล็กน้อย ซึ่งเป็นจุดที่น่าพึงพอใจสำหรับ Twine ราคาที่แข่งขันได้ช่วยให้ Twine สามารถโน้มน้าวร้านค้าปลีกว่าสินค้าของเธอสามารถเจาะตลาดผู้บริโภคกลุ่มใหม่ที่เข้าถึงยากได้ คือกลุ่มคนที่ต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ไฮเอนด์ปราศจากสารพิษ แต่มีราคาต่ำสุดในกลุ่มแบรนด์หรู
เหตุการณ์ที่ปลุกให้ Twine เริ่มต้นทำธุรกิจของเธอคือโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2010 เธอทำงานมาแล้ว 3 ปีที่ Goldman Sachs นั่นเป็นตอนที่แม่ของเธอ คุณหมอผู้ผันตัวไปเป็นนักเคมีเพิ่งประสบความสำเร็จในการทำครีมทาหน้าสูตรธรรมชาติที่เธอหวังนำไปวางจำหน่าย ถูกรถชน การเสียชีวิตของคุณแม่เธอคือจุดพลิกชีวิตของ Twine เธอได้ตระหนักว่าการทำงานที่ Wall Street “ไม่ควรเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตของฉัน”
ด้วยแรงบันดาลใจจากทั้งแม่และยายของเธอ ผู้สอนวิธีการทำผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบธรรมชาติ Twine เริ่มทุ่มเทช่วงเวลากลางคืน และสุดสัปดาห์ไปกับการค้นคว้าวิจัยธุรกิจความงาม ที่ห้องสมุดธุรกิจขนาดเล็กของเมือง New York City เธอพบรายงานการหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสูตรธรรมชาติ แต่พบข้อมูลเพียงเล็กน้อย ว่ามีสิ่งใดบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงคล้ายๆ กันเกี่ยวกับเส้นผมหรือไม่และเธอไม่พบข้อมูลอะไรเลยในรายงานที่เน้นเรื่องสินค้าหรูในตลาดยาสระผม
ในช่วงนอกเวลางานขณะที่ยังทำงานที่ Goldman Twine ใช้เวลากว่า 1 ปีค้นหาห้องแล็บและนักเคมีซึ่งสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ปลอดสารพิษได้ และใช้เวลาอีก 1 ปีในการทดสอบสูตรหลายร้อยสูตร Twine ตั้งชื่อธุรกิจใหม่ของเธอว่า Briogeo ที่ผสมคำว่า “ความมีชีวิตชีวา” ในภาษาอิตาเลียน กับคำว่า “โลก”ในภาษากรีก
ในที่สุดที่งาน Long Island Angel Network ปี 2012 Twine ได้พบกับ PhilipPalmedo ผู้ชื่นชอบการนำเสนอของเธอ แต่เขายอมรับว่าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการดูแลเส้นผม ในช่วงต้นปีต่อมา เขาให้เงินเธอ 150,000 เหรียญ เป็นเงินเดิมพันก้อนเล็กๆ Palmedo ผู้สนับสนุนภายนอก เพียงคนเดียวของ Twine กล่าวว่า การตัดสินใจนั้นขัดกับทุกสิ่งที่เขาเรียนรู้มาเกี่ยวกับการลงทุน แต่กลับเป็นหนึ่งในการลงทุนของเขาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด
“การตัดสินใจเช่นนั้นมาจากสัญชาตญาณ” เขากล่าว “การเชื่อมั่นในตัวคนคนหนึ่ง”
สองคำสั่งซื้อแรกของ Briogeo จาก Urban Outfitters และ Fred Segal ธุรกิจเสื้อผ้าที่คึกคักใน L.A. เข้ามาในเวลาช่วงฤดูร้อนนั้น หลัง Twine ลาพักร้อนไปเข้าร่วม Cosmoprof มหกรรมสินค้าด้านความงามที่ Las Vegas และที่นั่นเธอก็ได้เจอกับฝ่ายจัดซื้อของ Sephora ในเดือนมกราคม 2014 ทางร้านตกลงเปิดตัว Briogeo บนเว็บไซต์ในสหรัฐฯและแคนาดา ในสัปดาห์ต่อมา Twine ยื่นใบลาออกจาก Goldman 
ทุกวันนี้ Briogeo คือแบรนด์ดูแลเส้นผมที่เติบโตเร็วที่สุดบนเว็บไซต์ Sephora “เธอได้นำผลิตภัณฑ์อันน่าตื่นตาตื่นใจและแปลกใหม่ที่สุดที่เราเคยเห็นมาในการดูแลเส้นผม มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง” Artemis Patrick ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Sephora กล่าว

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/world/%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%A3%E0%B8%B2-%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2.html">ไขปริศนาความชรา ย้อนวัยด้วยไบโอเทคโนโลยี</a></li>
</ul>
&nbsp;
เรื่อง: Chloe Sorvino เรียบเรียง: ชูแอตต์
<a href="http://www.aisbookstore.com/Shop/Magazine/FORBES/f1065cc2-5b2a-4811-aa7b-20793e378f6b">ติดตามอ่านฉบับเต็ม “พลิกโอกาสทำเงิน Briogeo แปลกใหม่ในกระเเส Clean Beauty” ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2561</a>

<img class="alignnone wp-image-3346" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/COVER-DECEMBER-67--780x1024.jpg" alt="สังคมสูงวัย" width="311" height="563" />

พลิกโอกาสทำเงิน Briogeo แปลกใหม่ในกระเเส Clean Beauty

<h2>คู่สามีภรรยาสุวิน-ธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ จูงมือกันผันตัวจากแวดวงการแพทย์สู่เส้นทางเจ้าของกิจการค้าเครื่องสำอาง ที่คว้าความมั่งคั่งจากพลังการจับจ่ายของผู้หญิงที่ไม่ยอมหยุดสวย พึ่งพาความหลากหลายของผลิตภัณฑ์พร้อมสารพัดช่องทางจำหน่ายให้โดนใจทั้งสาวไทยและเทศ เพื่อก้าวสู่จุดหมายทำรายได้แตะ 1 หมื่นล้านภายใน 5 ปี</h2>
สามีภรรยาที่หันเหจากแวดวงการแพทย์ในฐานะหมอและพยาบาลมาก่อร่างกิจการค้าเครื่องสำอางนำเข้าร้านแรกในชื่อ “นีโอ” ที่ศูนย์การค้าย่านสยามสแควร์ ก่อนจะมีพัฒนาการและขยับขยายจนกลายเป็น บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ หรือ BEAUTY ที่ สุวิน ไกรภูเบศ รับหน้าที่เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ขณะที่ ธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ เป็นกรรมการบริษัท โดยปัจจุบัน BEAUTY มีเครือข่ายทั้งไทยและต่างประเทศรวมกันที่ 498 สาขา

ตัวเลขผลประกอบการที่ผ่านมาสามารถทำรายได้กว่า 3.7 พันล้านบาทในปี 2560 และยังมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ Market Cap ราว 5.5 หมื่นล้านบาท (ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2561) ส่งผลให้คู่สามีภรรยาแห่ง BEAUTY ติด 1 ใน 50 เศรษฐีไทยเป็นครั้งแรก และครองตำแหน่งที่ 40 ของบรรดาผู้มั่งคั่งที่จัดโดย Forbes จากสินทรัพย์สุทธิราว 2.2 หมื่นล้านบาท

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d77603286564fa7749f900cfd7bc16ae.jpg" alt="" width="638" height="437" /><figcaption> สุวินและธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ ผู้ผันตัวจากอาชีพแพทย์และพยาบาลมาทำการค้า และพัฒนาเป็นบมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ในปัจจุบัน</figcaption></figure>

กระนั้น นี่ยังไม่ใช่ปลายทางแห่งชัยชนะ แต่ในระยะยาวบริษัทยังจะเดินหน้าขยายธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้นโดยวางเป้าหมายจะทำรายได้แตะ 7 พันล้านบาทใน 3 ปี และทะยานถึง 1 หมื่นล้านภายใน 5 ปี

&nbsp;
<h3>เมล็ดพันธุ์แห่งความอยู่รอด</h3>
ในช่วงที่ต้องเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ สุวินจึงเริ่มสังเกตพฤติกรรมสตรีที่วิเคราะห์จากคนใกล้ตัวอย่างภรรยา ที่แม้ว่าอำนาจการใช้จ่ายจะไม่คล่องตัวดังเดิม แต่ผู้หญิงก็ยังใช้สอยเรื่องความสวยความงามอยู่ จึงตัดสินใจที่จะลองลงหลักปักฐานในตลาดค้าความสวย

“ตอนที่เปิดร้าน เราไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แค่ขอให้ไม่เจ๊งเป็นพอ...เพราะคนที่เริ่มทำธุรกิจถ้าคาดหวังมากๆ ก็จะกลัวจนไม่กล้าลงมือทำ” สุวินเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจเปิดร้านแห่งแรก

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเตรียมการมาดีแค่ไหน แต่แม้ช่วง 6 เดือนแรกยอดขายเหมือนจะไปได้ดี แต่ 6 เดือนหลังกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม จนคิดจะเลิกกิจการแต่เพราะเป็นช่วงเศรษฐกิจไม่ดีจึงหาคนเซ้งร้านต่อไม่ได้

ในที่สุดทั้งสองจึงต้องหาทางกลับมาสู้ จึงนำไปสู่การสร้างสรรค์กลยุทธ์ดึงลูกค้าเข้าร้านด้วยโปรโมชั่นต่างๆ แล้วตามมาด้วยการเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจลูกค้าก็จะสามารถปิดการขายได้ ควบคู่กับการดึงจุดเด่นของผลิตภัณฑ์มาจูงใจ

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/be739c0c01b4f0280f9b4ffe934a3bc0.jpg" alt="" width="638" height="426" /><figcaption> ร้านบิวตี้ บุฟเฟต์ ยังคงคอนเซปท์การเป็นร้านเครื่องสำอาง multi-brand และใช้สีสันสดใสดึงดูด</figcaption></figure>

สุวินบอกว่าพวกเขาต้องทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจจึงจะรอดได้ ซึ่งนับว่าบาดเจ็บพอสมควร แต่สุดท้ายแล้วร้าน “นีโอ” ก็คืออู่ข้าวอู่น้ำที่ช่วยให้ทั้งคู่สร้างฐานะได้

จากร้านแรกที่ผ่านการเรียนรู้จนช่ำชองถึงระดับหนึ่ง จึงเลือกทุ่มเดิมพันหมดหน้าตักให้กับร้านที่ 2 ในชื่อ “โมนา” ซึ่งครั้งนี้เลือกวางพิกัดที่ศูนย์การค้ามาบุญครอง นับเป็นจังหวะที่สำเร็จอย่างงดงาม และขยับขยายไปเปิดยังศูนย์การค้าต่างๆ จนมีถึง 7 สาขา ภายใต้ชื่อ บริษัท โมนาโพลิแตนท์ จำกัด

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8b8a7984ebffd4027471e6584c7cdf5f.jpg" alt="" width="638" height="638" /><figcaption> สุวิน ด้านหน้ารถยนต์ Rolls-Royce Phantom ปี 1934 ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น King of Car สุวินมีความชื่นชอบการสะสมของโบราณโดยเฉพาะรถคลาสสิกซึ่งเขาครอบครองอยู่ถึง 26 คัน</figcaption></figure>

“ร้านโมนาขายดีมาก เพราะตอนนั้นยังไม่มีคู่แข่งและเป็นร้านที่ขายเครื่องสำอางแบบ multi-brand ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน ขนาดว่ามีคนมายืนรอเต็มหน้าร้านและมีลูกค้าแน่นร้านตลอดเวลาอยู่เป็นปีๆ เหมือนแจกฟรี” ธัญญาภรณ์ฉายภาพ

ทั้งนี้ สุวินเสริมว่ากุญแจแห่งความสำเร็จของร้านโมนานอกจากสินค้าแบบ multi-brand แล้ว ยังผสานด้วยจุดดีของทั้ง counter brand และร้านขนาดเล็กไว้ด้วยกัน เช่น ราคาจับต้องได้ มีสินค้าที่หลากหลาย บรรยากาศร้านที่มีสีสันสดใส เปิดเพลงสนุกสนาน ให้ทดลองสินค้าได้สะดวก

&nbsp;
<h3>รับมือคู่แข่งแดนกิมจิ</h3>
เมื่อปี 2547 ในยุคที่เปลี่ยนชื่อร้านเป็น “คอสเมดา” และมีเครือข่ายเติบโตไปถึง 20 สาขาแล้ว คู่แข่งต่างแดนจากเกาหลีใต้เริ่มเข้ามารุกตลาดค้าเครื่องสำอาง ซึ่งเวลานั้นทุกคนต่างสั่นสะเทือน แต่ด้วยมุมมองเชิงบวกที่สุวินให้ข้อคิดว่ากิจการนี้เหมือน “หญ้าพันธุ์ตายยาก” ประหนึ่งหญ้าที่เติบโตมาท่ามกลางสภาวะที่แร้นแค้น จึงยากที่คู่แข่งจะมาทำลายให้ตายได้ง่ายๆ

“แม้เกาหลีจะมาแข่งด้วยร้านที่ใหญ่กว่า สวยกว่า มีเงินทุนมากกว่า แต่ด้วยคำพูดที่ว่าเราเป็นหญ้าพันธุ์ตายยาก ทำให้ทีมรู้สึกว่าเราไปต่อได้ แล้วผมก็เชื่อเช่นนั้นจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่คำพูดให้กำลังใจ”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d3ce8877b98c782dd60f247806c3b34a.jpg" />

ทว่า ก่อนหน้านี้สุวินเองก็ได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ผู้เล่นจากเกาหลีใต้จะมาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดอยู่แล้ว สุวินเล็งเห็นว่าร้านคอสเมดาไม่น่าจะเป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะสู้กับคู่แข่งซึ่งมีระบบการบริหารจัดการแบรนด์ที่ดี จึงเป็นที่มาของการสร้างชื่อ “บิวตี้ บุฟเฟต์” พร้อมกับออกผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของบริษัทมาวางจำหน่าย

กระทั่งในปี 2555 ที่เครือข่ายสาขาสยายปีกไปยังต่างจังหวัดและต่างประเทศ เช่น กัมพูชา จนทำให้ บริษัท โมนาโพลิแตนท์ฯ เวลานั้นไปเข้าตาทีมงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ต้องการเฟ้นหาบริษัทช้างเผือกไปจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน จนในที่สุดหุ้น BEAUTY เข้าสู่ตลาด SET อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2555 และสามารถระดมทุนได้ 660 ล้านบาท

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8a741d6ad0df8bb4619487f4b4b3a662.jpg" />

จุดที่ทำให้ BEAUTY ประสบความสำเร็จและมีรายได้เติบโตมาอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยที่ 35% และมีกำไรเติบโตเฉลี่ย 37% นั้น สุวินยอมรับว่าต้องยกให้ 3 กลยุทธ์หลักคือ multi-brand, multi-product และ multichannel ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายสำนัก เช่น ที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองว่าต่อไป BEAUTY ต้องเผชิญการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจนไม่สามารถทำรายได้พีคเท่าก่อนนี้แล้ว

&nbsp;
<h3>เจาะใจสาวจีนผ่านออนไลน์</h3>
แม้ขณะนี้รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากช่องทางร้านค้าปลีกในเมืองไทยที่มากถึง 70% ของรายได้รวม ขณะที่อีก 30% มาจากตลาดต่างประเทศและออนไลน์ แต่ด้วยนโยบายที่ต้องการขยับรายได้จากทั้งต่างประเทศและออนไลน์เพิ่มขึ้น จึงคาดว่าใน 3 ปีและ 5 ปีข้างหน้า จะมีอัตราส่วนรายได้จากทั้งต่างประเทศและออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็น 35% และ 40% ของรายได้รวม

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/31198934c96acdf52b48506dc1447e46.jpg" />

แผนงานขยายตลาดไปยังต่างประเทศนั้น สุวินเปิดเผยว่าบริษัทเริ่มจากประเทศรอบบ้านอย่างกลุ่ม CLMV จากนั้นจะเริ่มไปเปิดตลาด AEC จนปัจจุบันเริ่มตีวงล้อมไปทั่วภูมิภาคเอเชียแล้ว ซึ่งขณะนี้ได้เปิดสาขาในหลายประเทศ ได้แก่เวียดนาม 12 สาขา, ฟิลิปปินส์ 4 สาขา, ฮ่องกง 93 สาขา, อินโดนีเซีย 19 สาขา, ไต้หวัน 19 สาขา, สปป.ลาว 5 สาขา, เมียนมา 5 สาขา ขณะเดียวกันก็เริ่มมีผู้ค้ารายใหญ่ที่นำผลิตภัณฑ์ของบริษัทไปขายยังประเทศจีน ซึ่งสุวินยอมรับว่าประเทศจีนถือว่าเป็นตลาดที่บริษัทคาดหวังมากที่สุด และสำหรับเป้าหมายในอนาคตจะเป็นกลุ่มประเทศขนาดใหญ่ คือ ประเทศอินเดียและรัสเซีย

สำหรับวิชาที่ได้จากการไปโตนอกบ้านนั้นทำให้สุวินต้องมีการปรับกระบวนยุทธ์ให้สอดคล้องกับแต่ละท้องถิ่น หรือ localizeเพราะผู้บริโภคแต่ละพื้นที่มีความนิยมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางต่างกันไป ซึ่งด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของบริษัททำให้การ localize ไม่ใช่เรื่องยากนัก

อีกช่องทางสำคัญ คือการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย cross-border e-commerce โดยล่าสุดได้ทำสัญญากับตัวแทนจำหน่าย 2 ราย เพื่อดำเนินการจำหน่ายผ่าน 4 แพลตฟอร์ม ได้แก่ TMALL, KAOLA, VIP และ YUNJI โดย cross-border e-commerce ถือเป็นโอกาสใหม่ของการค้าออนไลน์แดนมังกรที่รัฐบาลจีนมีมาตรการสนับสนุนชัดเจน

https://www.youtube.com/watch?v=v_91mx3JLz4&amp;t=168s

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/6f568ebc81dca5e1877e0ccbfdd52e45.jpg" />

ภาพ: กิตติเดช เจริญพร

<hr />

<a href="http://bit.ly/2KBKIko">คลิกอ่านฉบับเต็มของ "สุวิน-ธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ มั่งคั่งอย่าง BEAUTY สวยสะพรั่งถึงหมื่นล้านใน 5 ปี" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ กรกฎาคม 2561 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://bit.ly/2KBKIko"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a6c991f2a6aeac318115eabc06469951.png" alt="" /></a>

สุวิน-ธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ มั่งคั่งอย่าง BEAUTY สวยสะพรั่งถึงหมื่นล้านใน 5 ปี

https://www.youtube.com/watch?v=v_91mx3JLz4

จากจุดเริ่มต้นของธุรกิจร้านเครื่องสำอางขนาดเล็กที่ สุวิน และ ธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ สู้สร้างและทำงานหนัก กระทั่งสั่งสมประสบการณ์จนสบช่องทางธุรกิจค้าความงามเมื่อปี 2540 ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญในการสร้าง บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ ธุรกิจค้าปลีกผลิตภัณฑ์เพื่อความงามประเภทเครื่องสำอางและบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ สู่มาร์เก็ตแคปราว 5.5 หมื่นล้านบาทและทำให้ทั้งสองติดอันดับ 50 มหาเศรษฐีไทยเป็นครั้งแรกด้วยอันดับที่ 40 จากการจัดโดย FORBES ประจำปี 2561

อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม <a href="http://forbesthailand.com/people/cover-story/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C-%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%A8.html">คลิกที่นี่</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events