เปิดประสบการณ์เครือข่ายมือถือทุกค่ายของไทย ปี 2565

<h2>การ์ทเนอร์ อิงค์ บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี เผยเศรษฐกิจตกต่ำกระทบยอดการจัดส่งอุปกรณ์ไอทีทั่วโลกปี 2566 ลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากเดิมยอดจัดส่งอุปกรณ์ทั้งเครื่องพีซี แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือ ปี 2565 มีการขยายตัว 11.9% คาดการณ์ปีนี้จะขยายตัวเพียง 4.4%<br></h2><p><br></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;<strong>&nbsp;รันจิต อัตวาล</strong> ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า <span style="color: rgb(153, 56, 0);">“ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจะยังคงส่งผลทำให้ความต้องการอุปกรณ์เติบโตลดลงต่อเนื่องในปี 2566 สอดคล้องกับปริมาณการใช้จ่ายในกลุ่มอุปกรณ์ไอทีของผู้ใช้ปลายทางที่ลดลง 5.1% ในปีนี้ ขณะที่ความเชื่อมั่นทางธุรกิจเริ่มฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่จากวันนี้จนถึงไตรมาสที่สี่เรายังคาดการณ์ไม่ได้ว่าการผ่อนคลายของอัตราเงินเฟ้อและจุดต่ำสุดของภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะปรับตัวดีขึ้น”</span></p><p><span style="color: rgb(153, 56, 0);"><br></span></p><div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/02/VrXMVAJWB3P7wm6Tt6pE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="VrXMVAJWB3P7wm6Tt6pE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"><figcaption>รันจิต อัตวาล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์</figcaption></figure></div><p><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);"><strong><br></strong></span></p><p><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);"><strong>ยอดพีซีคงคลังจะกลับมาเป็นปกติภายในครึ่งปีหลัง 2566</strong></span></p><p><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp; &nbsp; ยอดการจัดส่งพีซีในปี 2566 จะยังคงลดลงต่ำสุดจากทุกกลุ่มอุปกรณ์ โดยคาดว่าจะลดลง 6.8% จากเดิมที่ลดลงถึง 16%&nbsp;<span style="color: rgb(68, 68, 68);">ในปี 2565&nbsp;</span></span></p><p><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้จำหน่ายพีซีจะลดจำนวนสินค้าคงคลังตลอดปี 2566 ซึ่งนักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ยอดพีซีคงคลังจะกลับมาเป็นปกติในช่วงครึ่งหลังของปีนี้หลังจากที่มียอดเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีที่แล้วเนื่องจากผู้จำหน่ายประเมินความต้องการของตลาดสูงเกินไปประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคตกต่ำรวมทั้งอุปสงค์ที่ลดลงอย่างมาก&nbsp;</span></p><p><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);"><br></span></p><div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 569px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/02/LZK8mVMbquSM9sjh324q.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="569px,160px" data-align="center" data-file-name="LZK8mVMbquSM9sjh324q.jpg" data-file-size="0" origin-size="650,183" data-origin="569px,160px" style="width: 569px; height: 160px; transform: rotate(0deg);" data-index="1"><figcaption style="margin-top: 0px;"><span style="font-size: 30px;background-color: rgb(249, 249, 249)">ยอดการจัดส่งอุปกรณ์ไอทีทั่วโลก ระหว่างปี 2565-2566 (หน่วย: ล้านยูนิต)</span></figcaption></figure></div><p><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);"><br></span></p><p><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ในปี 2565 พีซีสำหรับธุรกิจจำนวนมากสามารถอัปเกรดเป็นระบบปฏิบัติการ Windows 10 (OS) แต่ยังมีอีกมากที่อัปเกรดไม่ได้ การ์ทเนอร์คาดว่ากว่า 25% ของพีซีสำหรับธุรกิจจะอัปเกรดเป็น Windows 11 ในปี 2566 แต่ Windows 11 ไม่สามารถกระตุ้นยอดจำหน่ายให้กลับมามีปริมาณเท่าในช่วงปี 2563 - 2565&nbsp;</span></p><p><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ผลของอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นและภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังคืบคลานเข้ามาจะส่งผลให้เกิดการลดการใช้จ่ายและการจัดสรรงบประมาณตามความเหมาะสมยิ่งขึ้น การ์ทเนอร์คาดว่า ภายในสิ้นปี 2566 กลุ่มผู้บริโภคและธุรกิจจะปรับขยายรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์พีซีและแท็บเล็ตออกไปเป็นมากกว่า 9 เดือน</span></p><p><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);"><br></span></p><div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/02/NaaZjrYRHUR5yMfoZ9jJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="NaaZjrYRHUR5yMfoZ9jJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div><p><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);"><strong><br></strong></span></p><p><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);"><strong>รอบการเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือจะยืดออกไปในปี 2566</strong></span></p><p>&nbsp; &nbsp; การ์ทเนอร์คาดว่ายอดจัดส่งสมาร์ทโฟนทั่วโลก<span style="color: rgb(68, 68, 68)">ในปี 2566&nbsp;</span>จะลดลง 4% โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 1.23 พันล้านยูนิต ลดลงจาก 1.28 พันล้านยูนิต ในปี 2565 <span style="color: rgb(153, 56, 0);">“ผู้บริโภคจะใช้โทรศัพท์ตัวเองนานกว่าที่คาดไว้ จาก 6 เดือนเป็น 9 เดือน และเปลี่ยนจากการใช้สัญญาแบบตายตัวไปเป็นบริการที่ยืดหยุ่นในช่วงที่ยังไม่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จำเป็นออกมา นอกจากนี้ ผู้ขายยังผลักต้นทุนส่วนประกอบที่เพิ่มสูงขึ้นไปยังผู้ใช้ ซึ่งทำให้ความต้องการลดลงไปอีก โดยปริมาณการใช้จ่ายกับโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้คาดว่าจะลดลง 3.8% ในปี 2566”</span> อัตวาล กล่าวเพิ่มเติม <br><br></p><p><br></p><p>อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/news/it/%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%84-%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A5-8-%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%AA-%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%87-jv-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%81-green-tech-%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94-net-zero-%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8" alt="“บลูบิค - เบริล 8 พลัส” บรรลุข้อตกลง JV จัดตั้งบริษัทรุก Green Tech ลุยตลาด Net Zero ไทย-เทศ">“บลูบิค - เบริล 8 พลัส” บรรลุข้อตกลง JV จัดตั้งบริษัทรุก Green Tech ลุยตลาด Net Zero ไทย-เทศ</a>​</p><hr class="__se__solid"><p>ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine?mibextid=LQQJ4d" alt="Forbes Thailand Magazine">Forbes Thailand Magazine</a>​</p>

การ์ทเนอร์ เผยเศรษฐกิจกระทบยอดจัดส่งอุปกรณ์ไอทีทั่วโลกปีนี้ลด 4.4% 

<h2>เอชเอ็มดี โกลบอลเปิดตัว Nokia G50 สมาร์ทโฟน 5G ใหม่ ชิปเซ็ต Snapdragon 480 5G จาก Qualcomm รองรับเครือข่าย 5G หน้าจอ HD+ ขนาด 6.82 นิ้วพร้อม Android เวอร์ชั่นล่าสุด โดยมี YAS จัดหนักจับมือทรู 5G รุกขยายฐานลูกค้าเจนใหม่ และกลุ่มคนรักเทคโนโลยี <strong> </strong></h2>
<strong>ภราดร รามบุตร</strong> ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอชเอ็มดี โกลบอล จำกัด (HMD) เปิดเผยว่า HMD พร้อมเปิดตัวและจัดจำหน่าย Nokia G50 สมาร์ทโฟน 5G รุ่นแรกของ Nokia เปิดตลาดในประเทศไทยตาม 4 กลยุทธ์การตลาดในประเทศไทย ซึ่งจะเข้มข้นมากขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ได้แก่ การแบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ มุ่งพัฒนาให้ตอบโจทย์การใช้งานครอบคลุมทุกกลุ่มอย่างชัดเจน การขยายช่องทางการจำหน่าย การบริการหลังการขายที่เน้นสร้างความอุ่นใจ ประทับใจตลอดระยะเวลาการใช้งานกับผู้บริโภค และกลุ่มพันธมิตร ด้วยตัวแทนจำหน่ายที่แข็งแกร่ง พร้อมขยายตลาดในทุกช่องทาง เพื่อเป้าหมายสำคัญสู่การเข้าไปนั่งในใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง ภายใต้แนวคิด Love it. Trust it. Keep it.

สำหรับ Nokia G50 เป็นสมาร์ทโฟนในกลุ่ม G-series ​ล่าสุด ด้วยจอแสดงผลระดับ HD + ขนาด 6.82 นิ้ว คมชัดทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ กล้อง AI ที่มาพร้อมกับกล้อง 3 เลนส์ ความละเอียด 48MP โดยมีชิปเซ็ต Snapdragon 480 5G จาก Qualcomm ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเทคโนโลยี รองรับ 5G ในปัจจุบันและอนาคต

พร้อม Android เวอร์ชั่นล่าสุด ซึ่งรองรับการอัพเกรด Android 12 และในอนาคต โดยการันตีการอัปเดตความปลอดภัยรายเดือนเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี อายุการใช้งานแบตเตอรี่นาน 2 วัน ตัวเครื่องรองรับการชาร์จไวด้วยอแดปเตอร์ชาร์จ 18W พร้อม Spotify แอปพลิเคชันฟังเพลงที่สามารถเข้าถึงเพลง 70 ล้านเพลง รวมทั้ง 2.9 ล้านพอดแคสต์ไม่มีค่าใช้จ่าย

<img class="alignnone size-large wp-image-51663" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/14DFEDF6-D905-463C-A675-8B4BAE8B99AC-1024x1024.png" alt="" width="640" height="640" />

ขณะที่บริษัทได้ทำงานร่วมกับ บริษัท วายเอ เซลส์ แอนด์ เซอร์วิสเซส จำกัด หรือ YAS ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญด้านการจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ เพื่อกระจายและจัดส่งโทรศัพท์ Nokia ในประเทศไทย ผ่านช่องทางการจำหน่ายโทรศัพท์มือถือต่างๆ

ทั้งในช่องทางหน้าร้านค้า ทางแพลตฟอร์ม E-commerce ต่างๆ และช่องทางใหม่ๆ ในอนาคต ตามกลยุทธ์ด้านการกระจายโทรศัพท์ Nokia ของ HMD รวมถึงการหาพันธมิตรเพื่อกระจายสินค้าในรูปแบบเอ็กซ์คลูซีฟ อย่างการจับมือกับ TRUE 5G ในการจำหน่าย Nokia G50

“Nokia G50 จำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟผ่านทางช่องทางการขายของ TRUE บนเครือข่ายอัจฉริยะ TRUE 5G ซึ่งการจับมือกับพันธมิตรที่มีความพร้อมทั้งด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านเครือข่ายอัจฉริยะครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนดิจิทัลไลฟ์ของผู้บริโภคชาวไทยในยุคนิวนอร์มอลที่ต้องทำงานจากที่บ้าน เรียนออนไลน์ ใช้จ่ายทำธุรกรรมบนออนไลน์ทุกที่ทุกเวลา

ทั้งยังมีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มเจเนอเรชั่นใหม่และคนรักเทคโนโลยี รวมถึงมีช่องทางจัดจำหน่ายที่มีศักยภาพ ทั้งในออนไลน์และออฟไลน์ ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยนำ Nokia G50 เข้าไปตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์ พร้อมทั้งขยายฐานลูกค้าเข้าไปในกลุ่มคนรุ่นใหม่และคนรักเทคโนโลยีได้มากขึ้น โดยจะช่วยเพิ่มสัดส่วนการเติบโตของ Nokia ในประเทศถึง 50% ในปี 2564”

<img class="alignnone size-full wp-image-51666" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/ปภาพรต-ภู่ประเสริฐ.jpg" alt="" width="600" height="422" />

ส่วน <strong>ปภาพรต ภู่ประเสริฐ </strong>กรรมการผู้จัดการ บริษัท วายเอ เซลล์ แอนด์ เซอร์วิสเซส จำกัด หรือ YAS บริษัทในกลุ่มเบญจจินดา ผู้จัดจำหน่ายและจัดส่งโทรศัพท์มือถือ ทั้งฟีเจอร์โฟน สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์เสริมให้กับ Nokia อย่างเป็นทางการ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี ที่ YAS ร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับทาง HMD ในฐานะผู้จัดจำหน่าย Nokia ที่ครอบคลุมช่องทางการจำหน่ายทั่วประเทศทั้งทางหน้าร้านขายโทรศัพท์มือถือ กว่า 3,000 ร้านค้า และในช่องทางโมเดิร์นเทรด อย่างบิ๊กซี ซูเปอร์มาร์เก็ต และ TG Fone รวมทั้งช่องทางออนไลน์ มาร์เก็ตเพลส ได้แก่ Shopee, Lazada และ JD central

สำหรับในฐานะผู้จัดจำหน่ายที่ใกล้ชิดผู้บริโภคและคร่ำหวอดในวงการเทคโนโลยี YAS เห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศที่กำลังก้าวสู่ยุคเทคโนโลยี 5G ทั่วประเทศ หลายพื้นที่สามารถรองรับการใช้งาน 5G ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนช่องทางจำหน่ายผ่านพันธมิตร โดยมีเป้าหมายในการเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ พร้อมเครือข่ายโทรศัพท์ 5G ที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมทั่วประเทศอย่าง TRUE 5G จะช่วยกระตุ้นตลาดสมาร์ทโฟน 5G ในโค้งสุดท้ายของปี และช่วยเร่งการกระจายโทรศัพท์ของ Nokia ให้ได้เพิ่มขึ้น 50% จากช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา ซึ่งคาดการณ์ตลาดสมาร์ทโฟน 5G ในประเทศไทยจะขยายตัวขึ้น 42% ภายในปี 2564

ภราดรปิดท้ายถึงทิศทางการเติบโตช่วงโค้งสุดท้ายและสมาร์ทโฟน 5G “เราเชื่อว่า ในช่วงไตรมาส 4 จะมีการเติบโตสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะถ้าเราทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าได้ ด้วยกำลังซื้อและความต้องการของผู้บริโภคยังมีสูงมาก รวมถึงการใช้สมาร์ทโฟนเรียนออนไลน์ ซึ่งแนวโน้มการเติบโตสมาร์ทโฟนปีนี้เทียบกับปีที่ผ่านมาน่าจะเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 50% และสมาร์ทโฟน 5G จะเป็นการปูทางสำหรับโนเกียเข้าสู่ตลาดและการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ โอเปอร์เตอร์เตอร์หรือผู้บริโภคในอนาคต”

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/america/meng-wanzhou-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-huawei-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B1.html">Meng Wanzhou ผู้บริหาร Huawei เดินทางกลับจีน หลังบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ในคดีฉ้อโกง</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

&nbsp;

&nbsp;

&nbsp;

Nokia G50 ส่ง 5G รุ่นแรกแชร์ส่วนแบ่งโค้งสุดท้าย

<div><strong>30 มกราคม 2558 - หลังผ่านพ้นไตรมาสสุดท้ายปี 2014 ส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกของ Samsung ร่วงลงถึง 25% นับว่าเป็นการถดถอยครั้งแรกในรอบ 3 ปี  ขณะที่หนทางสร้างกำไรในอนาคตก็ไม่สดใสนัก หากเทียบกับผลกำไรของ<a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=299"> Apple ที่สร้างกำไรรายไตรมาส สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของธุรกิจ</a></strong></div>
<div>
</div>
<div>กำไรในไตรมาส 4 ของ <span style="color: #b22222;">Samsung </span> ยังลดลง 27% เหลือ 4.9 พันล้านเหรียญ ทั้งที่ยอดจำหน่ายสมาร์ตโฟนช่วงเดียวกัน อยู่ระหว่าง 72.2 ถึง 75.1 ล้านเครื่อง แทบจะไม่ต่างไปจาก Apple ในไตรมาสเดียวกัน ที่ 74.8 ล้านเครื่องเลย  ทว่า <span style="color: #b22222;">Samsung </span>ไม่สามารถทำอัตรากำไรขั้นต้น (gross margin) ได้ 39% อย่างที่ Apple ทำได้</div>
<div></div>
<div>ขณะที่ผลกำไรจากการดำเนินงานลดลง 10% จากปีก่อน ขณะที่กำไรก่อนหักภาษีก็ร่วงลง 18% จากของปีก่อนที่ 21%  ส่วนกำไรจากการดำเนินงานเฉพาะแผนกโทรศัพท์มือถือ ลดลงจาก 5 พันล้านเหรียญ เหลือ1.8 พันล้านเหรียญในไตรมาสที่สี่</div>
<div></div>
<div>ทาง<span style="color: #b22222;"> Samsung </span>แจ้งอีกว่า จำต้องหั่นค่าใช้จ่ายในงานบ้างด้านเช่นงบการตลาด เพื่อชดเชยกับยอดขายที่ลดลง ซึ่งทางบริษัทคาดการณ์ว่าการแข่งขันในตลาดจะยังเข้มข้นต่อไปในปี 2015</div>
<div></div>
<div>ในวันนี้ <span style="color: #b22222;">Apple</span> ท้าทาย Samsung ในเกมของตัวเอง หลังยุติข้อพิพาทที่ว่า <span style="color: #b22222;">Samsung</span> ลอกเลียนงานออกแบบอุปกรณ์พกพาของตน  แต่ Apple กลับหันมาย้อนรอยจับคุณสมบัติบางอย่าง จนทำให้รุกตลาดในจีนได้สำเร็จ นั่นคือ โทรศัพท์หน้าจอใหญ่ กล่าวกันว่าทาง Samsung คือผู้จุดประกายสไตล์การออกแบบแนวนี้ให้แพร่หลาย ด้วยแนวคิด <span style="color: #b22222;">phablet</span> ในชื่อ <span style="color: #b22222;">Galaxy Note</span> และสมาร์ตโฟนหน้าจอยักษ์ตระกูล <span style="color: #b22222;">Galaxy</span> ทั้งหลาย</div>
<div></div>
<div>Apple กลับมาเดินทางนี้ด้วย <span style="color: #b22222;">iPhone 6</span> และ <span style="color: #b22222;">iPhone 6 Plus</span> จนลูกค้าในจีนเบือนหน้าจาก Samsung หันมามอง iPhone ด้วยความนิยมใน iPhone จอยักษ์ ทำให้เบอร์สี่ในตลาดสมา 7 ไตรมาสติดต่อกัน ก้าวขึ้นเป็นเจ้าตลาดสมาร์ตโฟนของจีน ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2014 ตามข้อมูลการวิจัยตลาดของ Canalys</div>
<div></div>
<div>อาการถดถอยเช่นนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า Samsung อาจจะเดินตามรอยเท้าอันเจ็บปวดของ Nokia ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้ว บริษัทจากเกาหลีกำลังถูกขนาบจากคู่แข่งรายสำคัญ ทั้งตลาดไฮเอนด์ (Apple) และโลว์เอนด์ (Xiaomi)  เริ่มประจักษ์ชัดได้ในไตรมาส 2 ของปี 2014  Xiaomi ที่เติบโตอย่างรวดเร็วได้แซงหน้า Samsung ขึ้นเป็นอันดับสองในตลาดสมาร์ตโฟนของจีนสำเร็จ</div>
<div></div>
<div>ความหวังของ <span style="color: #b22222;">Samsung</span> ยามนี้อาจอยู่ที่ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเกิดมาก่อนจะเกิดตลาดสมาร์ตโฟน และยังเป็นหน่วยธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับ Samsung ด้วยยอดขายเติบโต 6% ขณะที่ยอดขายหน่วยความจำพุ่งถึง 24% ในไตรมาส 4 (ขณะที่หน่วยงานอื่นทำยอดขายตกลง)</div>
<div></div>
<div>“Samsung ได้รายงานอย่างมีเหตุผล” Richard Windsor แห่ง Edison Investment Research ระบุ</div>
<div></div>
<div>ทว่า Samsung ต้องถูกกดดันให้รักษากำไรพื้นฐานด้วยยอดขายโทรศัพท์ ที่กำไรร่วงลงอย่างรุนแรง <span style="color: #b22222;">“เป็นที่ชัดเจนว่าจะต้องตัดราคาผลิตภัณฑ์ของตัวเอง เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลอดเอาไว้ให้ได้”</span> Windsor กล่าว</div>
<div></div>
<div>“ผู้บริหารระดับสูงยังคงคาดหวังไว้สูง ในระยะยาว พวกเขายังเชื่อว่าจะกลับมาในธุรกิจนี้อีกได้” แต่เขาอธิบายว่าไม่น่าจะใช่เรื่องง่ายนัก เพราะโทรศัพท์มือถือกำลังค่อยๆ กลายเป็น<span style="color: #b22222;">สินค้าโภคภัณฑ์ (commodity)</span> หมายความว่าหนทางการต่อสู้ของ Samsung คงเหลือไม่มากนัก นั่นคือ ฮาร์ดแวร์ ดีไซน์ และราคา</div>
<div></div>
<div>“คู่แข่งขันทุกรายเหมือนลงเรือลำเดียวกัน โดยทั้งหมดมีโอกาสที่จะสร้างมาร์จิ้นได้สัก 2-4%  เราประเมินว่าเก่งดีที่สุดก็ 10-11%” Windsor กล่าว&nbsp;

<hr />

เรียบเรียงจาก <a href="http://www.forbes.com/sites/parmyolson/2015/01/29/samsung-smartphone-earnings-decline-iphone/">Samsung Struggles To Return To Its Glory Days As Smartphone King</a> โดย Parmy Olson

</div>
&nbsp;

Samsung รับศึกหนักทั้งบน-ล่าง กำไรทรุดในรอบ 3 ปี

<h2>การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งเมื่อ 10 ปีก่อนถูกมองเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย แต่ในวันนี้กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านการใช้โทรศัพท์มือถือ โดยถือเป็นจุดเริ่มต้นในการยกเครื่องระบบเศรษฐกิจยุคดิจิตอลของประเทศอีกด้วย</h2>
ด้วยสมาร์ตโฟนราคาถูกและอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ทั้งคู่กำลังช่วยผลักดันให้อินเดียเข้าสู่จุดเริ่มต้นแห่งการปฏิวัติดิจิตอล ในวันนี้ คนอินเดียใช้งานอินเตอร์เน็ตถึง 243 ล้านยูสเซอร์ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าสหรัฐอเมริกา และเป็นรองแค่จีนเพียงประเทศเดียว

สังคมอินเดียกำลังก้าวกระโดดจากเทคโนโลยีดิจิตอลแบบเก่า ที่ต้องนั่งติดกับโต๊ะทำงาน เห็นได้ชัดจากตัวเลขการเข้าถึงเครือข่าย Facebook ผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่มีถึง 84 ล้านยูสเซอร์ จากทั้งหมดทั่วอินเดียกว่า 100 ล้านยูสเซอร์ จนอาจกล่าว ณ เวลานี้ เป็นจุดเริ่มต้นของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในยุค "mobile first"

อินเดียกำลังมีคนรวยเพิ่มขึ้น ทว่าโทรศัพท์กลับราคาถูกลง ผู้ผลิตในประเทศสามารถขายสมาร์ตโฟนได้ในราคาต่ำกว่า 70 เหรียญ ซึ่งเป็นราคาที่กินส่วนแบ่งการตลาดเกือบจะ 50% พวกเขาขายอุปกรณ์พกพาในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ในหมู่บ้านที่ห่างไกลได้ ทั้งที่ชาวบ้านยังต้องเผชิญกับปัญหาความต้องการขั้นพื้นฐาน เช่นการขาดแคลนน้ำกินน้ำดื่มที่สะอาดเป็นปัญหาหลัก

ในอดีต ความขาดแคลนโครงข่ายบรอดแบนด์ความเร็วสูง และราคาเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นอุปสรรคขวางกั้นการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตในอินเดีย นอกจากนี้ ความเข้มแข็งของสื่อกระแสหลัก ยังจูงใจให้ผู้คนยังคงติดตามข้อมูลข่าวสาร และเสพความบันเทิงจากหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ มากกว่าจะหันมาบริโภคเนื้อหาในรูปแบบดิจิตอล

กระนั้นก็ตามที ความแพร่หลายอย่างรวดเร็วในการส่งข้อมูลความเห็นสูงผ่านโทรศัพท์มือถือ สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับไว บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก McKinsey ประเมินว่า การใช้อินเตอร์เน็ตในอินเดียสร้างคุณูปการต่อ GDP ประเทศ จากตัวเลขการเติบโตในปี 2012 ที่ 1.6% ขยับเพิ่มเป็น 2.8-3.3% ในปี 2015

อีกทั้งการใช้ภาษาอังกฤษอย่างแพร่หลายในเว็บไซต์ของคนอินเดีย ทำให้ง่ายที่บริษัทระดับโลกจนก้าวเข้าสู่ตลาดภายใน ผู้บริโภคจึงมีทางเลือกอย่างมากในการใช้ประโยชน์จาก application ต่างๆ และยังเป็นการกระตุ้นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในบ้าน รวมทั้งการริเริ่มสร้างสรรค์เทคโนโลยีอีกด้วย

ความเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมออนไลน์ในอินเดีย ยังถูกขับเคลื่อนด้วยการกลับคืนมาตุภูมิของเหล่าอัจฉริยะที่ไปทำงานยังต่างแดน วิศวกรเลือดอินเดียมากมายได้แสดงบทบาทอันโดดเด่นที่ Silicon Valley  จนหลายคนเริ่มหันกลับมามองบ้านเกิดตัวเอง ซึ่งนับว่าเป็นการลงทุนทางทรัพยากร และผู้เชี่ยวชาญในตลาดการค้าออนไลน์ ที่เติบโตรวดเร็วที่สุดบนพื้นพิภพ

ยิ่งคนอินเดียหันมาใช่้งานอินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือมากเท่าใด พวกเขาจะยิ่งมีโอกาสเข้าถึงสินค้าและบริการ อย่างที่ชนชาติอื่นๆ ไม่อาจจะเทียบเคียงได้ อินเตอร์เน็ตได้ปฎิวัติการเดินทาง การศึกษา ค้าปลีก และกสิกรรม ไปทั่วโลก หากแต่ความผสมผสานระหว่างลักษณะเฉพาะอันโดดเด่นของสังคมอินเดีย และการก้าวกระโจนสู่ยุคมือถือ เป็นแรงเร่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างลุ่มลึกและเฉพาะตัว ภายในอนุทวีปแห่งนี้

ตัวอย่างช่น การจองตั๋วรถไฟหรือเครื่องบินที่แต่ก่อนต้องต่อคิวกันนานนับชั่วโมง หรือต้องไปจ่ายเงินซื้อที่บริษัทนายหน้า แต่ในวันนี้ เว็บไซต์จองตั๋วรถไฟของรัฐบาลเป็นเว็บ e-commerce ใหญ่สุดของประเทศ

การเรียนการสอนจำนวนมากและสถาบันฝึกอบรมคอมพิวเตอร์หลายแห่ง ต่างพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ของตนเพื่อรองรับนักศึกษา ที่ไม่ต้องการเดินทางเข้ามาเรียนหรือฝึกอบรมในเมืองใหญ่ อินเตอร์เน็ตยังช่วยกสิกรอินเดีย ให้ใช้โทรศัพท์มือค้นหาข้อมูลราคาสินค้าได้อย่างฉับไวทันเวลา จนทำให้จัดส่งสินค้าได้ถูกตลาด เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้กับตัวเอง

ด้วยโอกาสที่เปิดในตลาดแห่งนี้ บริษัทจากต่างแดนต้องหันมาให้ความสนใจ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจค้าปลีก  แม้ว่าจะมีข้อจำกัดในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ เฉพาะกิจการด้านนี้ก็ตาม แต่ eBay ได้ลงทุนเปิดเว็บ Snapdeal แล้ว ขณะที่ Amazon ก็เพิ่งเปิดตลาดออนไลน์ไปเมื่อปีกลาย

ยิ่งคนอินเดียเข้าถึงอินเตอร์เน็ตมากเท่านั้น การปฏิวัติด้วยการเชื่อมโยงเครือข่ายจะยิ่งสร้างแรงเหวี่ยง ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ พร้อมทั้งช่วยลดต้นทุน และปรับปรุงทางเลือกให้เกิดกับผู้บริโภค

<strong>ประเทศอินเดียคือแนวสมรภูมิรบด้านอิเล็กทรอนิกส์ (e-frontier) ในมือของชนชั้นกลางที่้กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว พวกเขากำสมาร์ตโฟน พร้อมกับพกเงินสดในกระเป๋าเสื้อ ต่างกำลังมองไปยังอนาคต ที่ค้นหาได้ในโลกออนไลน์ </strong>
<div>

<hr />

เรียบเรียงจาก <a href="http://www.forbes.com/sites/afontevecchia/2014/07/07/indias-massive-e-commerce-opportunity-and-the-explosion-of-mobile/?utm_campaign=forbestwittersf&amp;utm_source=twitter&amp;utm_medium=social">India's 243 Million Internet Users And The Mobile E-Commerce Revolution</a>โดย Tarun Balram หัวหน้าฝ่าย Capital Financing, HSBC India

</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events