"วายดีเอ็ม" ชูกลยุทธ์ “มาร์เก็ตติ้ง ทรานส์ฟอร์เมชัน” ตั้งเป้าโต 1,000 ล้าน พร้อม IPO

<h2>เอ็มไอ กรุ๊ป ส่องอุตสาหกรรมโฆษณาปี 2566 เติบโตร้อยละ 4.2 ท่ามกลางวิกฤตพลังงาน ต้นทุนพุ่ง สื่อโซเชียลมีเดียยังมาแรง คนสูงวัยเริ่มใช้ออนไลน์มากขึ้น นักการตลาดต้องเสาะหาคอนเทนต์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแบบแยกย่อย ด้านมหาวิทยาลัยหอการค้าระบุ “ธุรกิจคอนเทนต์” ดาวรุ่ง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่มบริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์ จำกัด (MI) เปิดเผยผลการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคและภูมิทัศน์ของสื่อในปี 2565 ที่ผ่านมา พร้อมจัดทำเป็น "2023 Handbook: Post-Pandemic" รวบรวมผลกระทบในเชิงบวกและลบต่อตลาดและอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาในประเทศไทย การใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียลต่างๆ โดยเฉพาะ TikTok ที่ร้อนแรงในขณะนี้ และอัพเดทพฤติกรรมของคนไทยในแต่ละเจนเนอเรชันที่เปลี่ยนแปลงไปหลังวิกฤตโรคระบาด เพื่อเป็นข้อมูลสำคัญให้นักการตลาดร่วมมองหาโอกาสใหม่ๆ ต่อไป<h3>​ </h3><h3>อุตสาหกรรมโฆษณาปี 66 เติบโตร้อยละ 4.2</h3> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมสื่อและโฆษณาในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ MI GROUP คาดการณ์เม็ดเงินโฆษณาอยู่ที่ 82,300 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 8.1 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp; ชัดเจนว่าเม็ดโฆษณากว่าร้อยละ 90 ยังคงอยู่กับ 3 สื่อหลัก คือ สื่อโทรทัศน์ สื่อออนไลน์ และสื่อนอกบ้านตามลำดับ จากพฤติกรรมผู้บริโภคและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของสื่อออนไลน์ทำให้สัดส่วนเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์สูงถึงร้อยละ 33 เข้าใกล้สื่อโทรทัศน์ ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 45.8&nbsp;&nbsp;&nbsp; ขณะที่ปี 2566 MI GROUP คาดว่าอุตสาหกรรมโฆษณาจะขยายตัวร้อยละ 4.2 หรือมีมูลค่า 85,790 ล้านบาท ชะลอตัวจากปี 2565 สอดคล้องกับการคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพีของไทยที่จะขยายตัวร้อยละ 3–3.5 เนื่องจากมีปัจจัยลบทั้งจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนสินค้าและอัตราเงินเฟ้อ ทำให้นักการตลาดมีแนวโน้มปรับลดการใช้เม็ดเงินในการโฆษณา แทนการปรับขึ้นราคาสินค้า&nbsp;&nbsp;&nbsp; “สำหรับกระแสบอลโลก FIFA WORLD CUP QATAR 2022 ที่เพิ่งปิดฉากลงไป แม้จะร้อนแรงและเป็นที่สนใจของแฟนบอลชาวไทย แต่เม็ดเงินโฆษณาของแบรนด์และผู้ประกอบการต่างๆ ที่คาดว่าจะสะพัดในช่วงไตรมาส 4 กลับไม่ร้อนแรงไปตามกระแส เนื่องจากความล่าช้า ความไม่ชัดเจนของรายละเอียดและเงื่อนไขต่าง ๆ ในการถ่ายทอดสด มีเม็ดเงินโฆษณาสะพัดในสื่อโทรทัศน์ซึ่งถือเป็นสื่อหลักในการรับชมไม่ถึง 200 ล้านบาท” ภวัตกล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/12/uDVm2SByYmFxrgy4YUZ8.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="uDVm2SByYmFxrgy4YUZ8.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-percentage="auto,auto"></figure></div> <h3>โซเชียลมีเดียเติบโตต่อเนื่อง </h3> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากผลการศึกษาของ MI GROUP กลุ่มโซเชียลมีเดียยังคงเป็นสื่อหลัก โดยแอปพลิเคชั่น LINE มีการใช้งาน 50 ล้านคน เฟซบุ๊ค 44 ล้านคน ยูทูป 38 ล้านคน และ TikTok 27 ล้านคน โดยเฉพาะ TikTok เป็นสื่อที่มีอัตราการเติบโตสูง โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564-2565 ขยายตัวร้อยละ 91 ถือเป็นสื่อที่เติบโตในช่วงโควิดอย่างแท้จริง และสอดรับกับพฤติกรรมการบริโภคสื่อของคนไทยที่ชอบความบันเทิงแบบสั้นๆ ง่ายๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยปัจจุบัน TikTok กำลังก้าวสู่การเป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการอีมาร์เก็ตเพลสควบคู่ไปด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่นักการตลาดต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่หากพิจารณาจากจำนวนประชากรในประเทศไทย ปัจจุบันได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แล้ว และภายในปี 2040 คาดว่าจำนวนประชากรผู้สูงอายุจะมีสัดส่วนร้อยละ 33 ส่วนอัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าในปี 2050 จำนวนประชากรในประเทศไทยจะมีจำนวน 61.7 ล้านคน จากปัจจุบันมีจำนวน 67 ล้านคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้สูงอายุที่หันมาเสพสื่อออนไลน์เพิ่มขึ้น เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สื่อโซเชียลมีเดียเติบโต&nbsp;&nbsp;&nbsp; ทั้งนี้ หากแบ่งกลุ่มประชากรเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ ยังคงเสพสื่อทีวีเป็นสื่อหลัก ร้อยละ 83 แต่การบริโภคสื่อออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก 2. กลุ่มเจนเอ็กซ์ บริโภคสื่อทีวีและสื่อออนไลน์ ในสัดส่วนร้อยละ 78 และ 91 ตามลำดับ กลุ่มสื่อใช้ไลน์และเฟซบุ๊คเป็นหลัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. กลุ่มเจนวาย บริโภคสื่อออนไลน์ร้อยละ 97 และทีวี ร้อยละ 68 เจนวาย ถือเป็นกลุ่มหลักที่บริโภคสื่อนอกบ้าน (OHH) เนื่องจากเป็นวัยทำงานทีใช้ชีวิตนอกบ้านเป็นหลัก 4. เจนซี บริโภคสื่อออนไลน์ร้อยละ 99 และสื่อทีวีร้อยละ 54 และ 5. เจนอัลฟ่า บริโภคสื่อออนไลน์ร้อยละ 99 และสื่อทีวีร้อยละ 58 และเป็นกลุ่มที่เล่นเกมออนไลน์ถึงร้อยละ 61.4 <h3>“คอนเทนต์-โซเชียลมีเดีย” ธุรกิจดาวรุ่ง</h3> &nbsp;&nbsp;&nbsp; ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยว่า ได้จัดอันดับ 10 ธุรกิจดาวรุ่งดาวร่วง ในปี 2566 โดยพิจารณาจากปัจจัย 5 ด้าน ได้แก่ ยอดขาย ต้นทุน กำไรสุทธิ ผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงและภาวะแข่งขัน และความต้องการสอดคล้องกับกระแสนิยม พบว่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธุรกิจดาวเด่นอันดับ 1 ได้แก่ การแพทย์และความงาม จากการเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ ความต้องการด้านความสวยงามและการดูแลสุขภาพ อันดับ 2 ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อันดับ 3 ธุรกิจโซเชียล มีเดีย ออนไลน์ เอนเตอร์เทนเมนต์ ฟินเทค และงานอีเวนต์ต่างๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 4 ธุรกิจจัดทำคอนเทนต์ ธุรกิจยูทูบเบอร์ การรีวิวสินค้า และอินฟลูเอนเซอร์ รวมถึงธุรกิจโฆษณาและสื่อออนไลน์ ตามการเสพสื่อออนไลน์ของคนยุคใหม่ที่มีมากขึ้น อันดับ 5 ธุรกิจแพลตฟอร์ม และธุรกิจแมชชิ่ง เช่น หาคู่ สั่งอาหาร บริการรถขนส่ง อันดับ 6 ธุรกิจประกันชีวิต ประกันภัย รวมถึงธุรกิจบันเทิงยามค่ำคืน ผับ บาร์ คาราโอเกะ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 7 ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ทัวร์ รวมถึงธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่ หลังรัฐบาลเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว อันดับ 8 ธุรกิจโลจิสติกส์ เดลิเวอรี่ คลังสินค้า และธุรกิจตู้หยอดเหรียญ เช่น น้ำ เครื่องซักผ้า อาหาร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 9 ธุรกิจอาหารเสริม ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (ไม่มีแอลกอฮอล์) และอันดับ 10 ธุรกิจยานยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจบันเทิง เช่น ละคร หนัง ซีรีส์วาย ธุรกิจเกี่ยวกับกัญชาและใบกระท่อม อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/travel/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B9%82%E0%B8%AE%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A5-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%8A%E0%B8%9B-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99-radisson-red-%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88" alt="เรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป เร่งเครื่อง แผนการเติบโตในไทย ปั้น “Radisson Red” รองรับตลาดคนรุ่นใหม่">เรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป เร่งเครื่อง แผนการเติบโตในไทย ปั้น “Radisson Red” รองรับตลาดคนรุ่นใหม่</a>​<hr class="__se__solid">​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine​ &nbsp;

ส่องโฆษณาหลังโควิด โซเชียลมีเดีย ยังแรง ธุรกิจคอนเทนต์ดาวรุ่ง

<h2>สร เกียรติคณารัตน์ ได้รับการแต่งตั้งเป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย (Initiative Thailand) อย่างเป็นทางการสานต่อความสำเร็จด้วยผลงานคุณภาพ</h2>
IPG Mediabrands ประกาศแต่งตั้ง สร เกียรติคณารัตน์ เข้ารับตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย (Initiative Thailand) อย่างเป็นทางการ เพื่อสานต่อความสำเร็จล่าสุดของ อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย ในฐานะมีเดีย เอเยนซี่ ด้านคุณภาพอันดับ 1 ของประเทศไทยในปี 2020 ซึ่งจัดอันดับโดย RECMA บริษัทวิจัยระดับโลกที่ประเมินผลงานเชิงคุณภาพการให้บริการของมีเดีย เอเยนซี่ในระดับโลก ระดับภูมิภาคและระดับประเทศ

โดยการแต่งตั้ง สร เกียรติคณารัตน์ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย เพื่อเป็นแม่แรงสำคัญในการขับเคลื่อนและขยายขีดความสามารถของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย ในยุคที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัลและเทคโนโลยี รวมถึงการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19

โดยจุดยืนที่ชัดเจนของ อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย ในเรื่องการเป็นพาร์ตเนอร์ในการเติบโตทางธุรกิจให้กับลูกค้าผ่านกรอบการทำงานแบบ Cultural Velocity - การเข้าใจวัฒนธรรมการใช้ชีวิต และความเป็นตัวตนของผู้บริโภค ผ่านดาต้าและเครื่องมือต่างๆ ที่ทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว ช่วยให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนธุรกิจและการสื่อสารให้เข้ากับยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของวัฒนธรรมการใช้ชีวิตได้ตลอดเวลา

จากประสบการณ์มากกว่า 23 ปี ในแวดวงสื่อและโฆษณา รวมทั้งการให้คำปรึกษาด้านแบรนด์ ของสร ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวเรือใหญ่ของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทยนั้น เคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกลยุทธ์ ให้กับไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย และนับตั้งแต่ที่เขาเข้าร่วมไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย ในปี 2555 เขากลายเป็นนักกลยุทธ์สำคัญในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

โดยเป็นผู้นำทางความคิด ในการพัฒนาแนวคิดและกลยุทธ์ให้กับสินค้าและบริษัทชั้นนำของประเทศไทย จึงได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันธุรกิจของเครือข่าย ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งจนถึงปัจจุบัน

เอมี่ อาร์มสตรอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสูงสุด อินิชิเอทีฟ โกลบอล (Global CEO) กล่าวว่า “ด้วยการเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล และมีความเฉียบแหลมทางด้านธุรกิจ ทำให้เขาเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย และฉันรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นการนำทัพ ขับเคลื่อนสร้างการเติบโตและนำความสำเร็จมาสู่ อินิชิเอทีฟ ประเทศไทยในอนาคต”

ด้าน ลีห์ เทอร์รี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก (IPG Mediabrands APAC) และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอินิชิเอทีฟภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก (Initiative APAC) กล่าวเพิ่มเติมว่า ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการเข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย ด้วยเฉพาะความเป็นผู้เชี่ยวชาญและรักในงานวางแผนกลยุทธ์ และยังมีความผู้นำในการสร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจอย่างแท้จริง มีผลงานโดดเด่นในการขับเคลื่อนการพัฒนาธุรกิจและวิธีแก้ปัญหาโดยสร้างวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในตลาดประเทศไทย

"ผมรู้สึกยินดีที่ได้เห็นพัฒนาการด้านความสามารถอันยอดเยี่ยมของเขา จนตัวเขาได้รับการแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งผู้นำสำคัญที่สุดคนหนึ่ง และจากผลงานที่ผ่านมา เป็นแรงผลักดันสำคัญ ผู้อยู่เบื้องหลังกลยุทธ์ที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับเอเยนซี่ ในเครือไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย ผมเชื่อว่าเขาจะสานต่อแรงผลักดันที่แข็งแกร่งนี้ให้กับอินิชิเอทีฟ ประเทศไทยต่อไปได้อย่างแน่นอน”

ขณะที่ ธราภุช จารุวัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย กล่าวถึงผู้นำอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย คนใหม่ว่า จากบทบาทก่อนหน้านี้ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกลยุทธ์ ได้พิสูจน์แล้วว่า เขาเป็นนักวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับบริษัทต่างๆ ในเครือไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย

ด้วยการสร้างสรรค์ผลงานเชิงกลยุทธ์ที่สร้างการเติบโตทางธุรกิจให้กับลูกค้า ในขณะเดียวกันยังมีส่วนสำคัญในการสร้างผลงานให้กับลูกค้าจนได้รับรางวัลทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศอย่างมากมาย

ทั้งนี้ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย เชื่อมั่นว่าเขาจะเดินหน้าสร้างความสำเร็จในทศวรรษที่ 3 ให้กับอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย ต่อจาก วรรณี รัตนพล ผู้ก่อตั้งและเป็นตำนานของอินิชิเอทีฟ และ มาลี กิตติพงศ์ไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย คนก่อนหน้า

<img class="alignnone size-full wp-image-48978" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/อินิชิเอทีฟ-ประเทศไทย.jpg" alt="" width="600" height="253" />

ทั้งนี้ สร เกียรติคณารัตน์ ยืนยันถึงการสานต่อความสำเร็จให้กับอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย ในทศวรรษที่ 3 นี้ว่า “ความก้าวหน้าและวัฒนธรรมเป็นรากฐานสำคัญของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย มาโดยตลอด ผมมุ่งมั่นที่จะยกระดับจากการแก้ปัญกาเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ พร้อมพัฒนานวัตกรรมการบริการที่จะช่วยให้ลูกค้าของเรานำหน้าคู่แข่งทางธุรกิจอยู่เสมอ

โดยผมจะเน้นเรื่องการทำงานอย่างใกล้ชิดกับคู่ค้าทางธุรกิจ และเน้นการสร้างความสุขและพัฒนาศักยภาพพนักงานของเราให้เติบโต มีความคล่องตัวและก้าวนำสถานการณ์โลก การสร้างความสุขในการทำงานจะเป็นตัวจุดประกายสำคัญที่จะช่วยสร้างสรรค์ผลงานที่ดีในฐานะพาร์ตเนอร์ทางความคิดเชิงรุกให้กับลูกค้า

ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายหลักของผม คือ การทำให้ อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย เป็นสถานที่ทำงานที่ดีที่สุดสำหรับคนที่รักความก้าวหน้า เป็นเอเยนซี่ที่ดีที่สุดของลูกค้าที่รักและพันธมิตรทางธุรกิจ เรามุ่งมั่นที่จะช่วยให้แบรนด์สร้างสิ่งใหม่ๆ ที่โดนใจในวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภค – we help brand takes initiative into the culture”

ด้าน มาลี กิตติพงศ์ไพศาล อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย หนึ่งในผู้สร้างความสำเร็จให้กับอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย จะยังคงดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านธุรกิจฝ่ายบริหาร ให้กับไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย ต่อไปในปี 2021

&nbsp;

IPG Mediabrands แต่งตั้ง สร เกียรติคณารัตน์ แม่ทัพคนใหม่ อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย

<h2 class="p1">YDM Thailand เผยโควิด-19 มุ่งโฟกัสยอดขายแทนสร้างแบรนด์มากขึ้น พร้อมแนะนำกลยุทธ์ใหม่ล่าสุด ใช้เทคโนโลยี Data และ AI ในการวางแผนและซื้อสื่อดิจิทัล</h2>
ธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ ซีอีโอ YDM Thailand กลุ่มบริษัทผู้ให้บริการดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งรายใหญ่ในไทย กล่าวว่า วิกฤตการณ์โควิด-19 ส่งผลให้นักการตลาดหลายคนต้องเปลี่ยนแนวคิดการลงโฆษณาในสื่อดิจิทัลไป โดยจากเดิมที่มองแต่การสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ เป็นคาดหวังการสร้างยอดขายในทุกๆ สื่อที่ใช้
“เราเชื่อว่าสื่อดิจิทัล ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือที่ใช้ในการสร้างการรับรู้ให้คนเห็น แต่เป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ในการสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้จริง เราจึงได้พัฒนากลยุทธ์ใหม่ล่าสุด Data &amp; AI Technology ที่จะมาช่วยตอบโจทย์ให้ลูกค้าสามารถวางแผนซื้อสื่อได้อย่างคุ้มค่า และยังสามารถเก็บข้อมูลได้อย่างเป็นระบบ”
ณัฐพล เกียรติสารพิภพ Media Director กล่าวว่า เทคโนโลยีของเราสามารถติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภคในทุกๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Google, เว็บไซต์, โซเชียลมีเดีย และแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ และนำมารวมศูนย์อยู่ในที่เดียว เพื่อใช้ในการ Re-Marketing ในเชิงการวางกลยุทธ์มีเดีย
“ตัวอย่างบนโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook เราอาจจะเก็บข้อมูลตั้งแต่การมีส่วนร่วมของผู้บริโภค แล้วนำมารวมกับข้อมูลพฤติกรรมบนเว็บไซต์ จากนั้น AI จะ identify ได้ว่าผู้บริโภคชอบคอนเทนต์แบบไหน นำไปสู่การสร้างข้อความที่ตรงกับผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม และยิงคอนเทนต์ได้ตรงเป้าหมายมากขึ้น”
ณัฐพล กล่าวว่า จุดเด่นของการนำ “Data &amp; AI Technology” มาใช้ นอกจากจะช่วยสร้างยอดขายให้กับลูกค้าได้จริงแล้ว ยังมีส่วนช่วยสร้างแบรนดิ้งไปพร้อมๆ กันด้วย เพราะ เทคโนโลยีสามารถช่วยให้นักการตลาดเข้าใจกลุ่มผู้บริโภคได้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยสามารถรู้ได้ทันทีว่าลูกค้าอยู่ในเซกเมนต์ย่อยไหน อยู่ในช่วงไหนของการตัดสินใจซื้อ
“นั่นหมายความว่า นักการตลาดจะสามารถวางแผนการสื่อสารได้ตรงใจผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดยอดขายได้มากขึ้นกว่าเดิม” ณัฐพล กล่าว
“อาจมีคำถามว่าจะมั่นใจได้อย่างไรว่า AI เลือกเป้าหมายได้ตรงกลุ่ม ต้องบอกว่าท้ายที่สุดเราไม่ได้ดูว่า AI เลือกเป้าหมายได้ถูกหรือไม่ แต่จะไปดูว่าสุดท้ายแคมเปญนี้สร้าง ROI (Return on Investment) หรือผลตอบแทนจากการลงทุนได้เท่าไหร่”
ทั้งนี้ YDM Thailand ได้สร้างฐานข้อมูลพร้อมใช้ที่พัฒนาขึ้นมาเอง เพื่อลูกค้าจะไม่ต้องเสียเวลาสร้างขึ้นใหม่ เช่น ฐานข้อมูลของผู้ที่จะซื้อรถยนต์ โดยเก็บข้อมูลจากงานมอเตอร์โชว์ครั้งก่อน, ฐานข้อมูลของผู้ที่ใช้เครื่องสำอาง, ฐานข้อมูลของกลุ่มคนเล่นเกม เป็นต้น โดยทุกๆ ดาต้าที่ทางเก็บ ได้เก็บอย่างถูกต้องตาม พ.ร.บ. PDPA ที่จะประกาศใช้งานเร็วๆ นี้ด้วย
“ส่วนแพลตฟอร์มแบบใดเหมาะกับลูกค้าแบบไหนนั้น เราไม่ได้ยึดติด เราดูคอนเทนต์มากกว่าว่าเหมาะสมกับแพลตฟอร์ม หรือทาร์เก็ตที่ตั้งสมมติฐานไว้หรือไม่ และจะทำการ Optimize มีเดียตาม Performance ที่เกิดขึ้นจริงๆ ในระหว่างที่มีเดียกำลังทำงานอยู่” ณัฐพล ระบุ
&nbsp;
<h2 class="p1">มองตลาดโฆษณาดิจิทัลกลางสถานการณ์โควิด-19</h2>
ด้าน ธนพล ระบุว่า ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ลูกค้าของเราหลายรายชะลอการใช้มีเดียออกไป อย่างไรก็ตาม มองว่านั่นไม่ใช่กลยุทธ์ที่ฉลาดนัก เพราะช่วงเวลานี้ก็ยังมีอีกหลายธุรกิจที่สามารถช่วงชิงยอดขายได้โดยเฉพาะสินค้าจำเป็น ดังนั้น การลงโฆษณาในสื่อจะต้องไม่ลงแบบเดิม จึงจะสามารถช่วยสร้างยอดขายได้
ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าที่เริ่มใช้เม็ดเงินไปกับการโฆษณาดิจิทัลแล้ว ได้แก่ กลุ่มที่ปรับตัวรับกับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที เช่น กลุ่ม FMCG (Fast-moving consumer goods) หรือสินค้าอุปโภคที่มีการจำหน่ายเร็วและมีต้นทุนต่ำ โดยเข้าไปลุยในตลาดอี-คอมเมิร์ซแทนการขายแบบเดิม
ขณะที่ธุรกิจที่ยังไม่ใช้งบส่วนนี้คือกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย เพราะผู้บริโภคเองก็ยังรัดเข็มขัดอยู่พอสมควร การลงเม็ดเงินช่วงนี้จึงอาจไม่สร้างผลดีนัก
“สถานการณ์ตอนนี้การใช้เม็ดเงินโฆษณาดร็อปลง และหากการระบาดของโควิด-19 เลวร้ายมากขึ้น ภาพรวมโฆษณาดิจิทัลก็อาจติดลบได้ เพราะคนไม่มีกำลังซื้อ การทุ่มเงินโฆษณาไปก็ไม่สามารถสร้างยอดขายได้”


<figure><img class="size-full wp-image-29756" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/05/YDM-03.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> ธนพล ทรัพย์สมบูรณ์</figcaption></figure>
ธนพล ชี้ว่า อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์กลับมาได้ในช่วงกลางปี เชื่อว่าการใช้เงินโฆษณาจะเพิ่มเป็นเท่าตัว เพื่อรับกับความต้องการของผู้บริโภคที่คาดว่าช่วงนี้แม้จะระมัดระวังการใช้จ่าย แต่ก็พร้อมใช้จ่ายทันทีหากสถานการณ์ดีขึ้น
“สถานการณ์โควิด-19 จะส่งผลให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมและทัศนคติที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะพฤติกรรมการซื้อสินค้า จะหันมาซื้อสินค้าผ่านสื่อออนไลน์กันเพิ่มขึ้น ในขณะที่ภาคธุรกิจก็ต้องมีการปรับตัวตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป อาจจะต้องหันมาโฟกัสการทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น หรือนำสินค้าขึ้นอี-คอมเมิร์ซให้มากขึ้น
“และที่สำคัญ การใช้งบทางการตลาดจะต้องทำอย่างรัดกุม มองในเรื่อง ROI ให้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในส่วนนี้การนำ Data Technology มาช่วยในการลงมีเดียนั้น จะช่วยธุรกิจสามารถเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง ไม่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำแบบในอดีตอีกต่อไป” ธนพล กล่าวทิ้งท้าย
&nbsp;
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94-%e0%b8%9e%e0%b8%a4%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2.html">เมืองปิด พฤติกรรมเปลี่ยน กระทบหนัก “อุตสาหกรรมโฆษณา”</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

<article id="post-29253" class="post-29253 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-marketing category-news tag-covid-19 tag-11199 tag-11378">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail"><article id="post-28930" class="post-28930 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-news category-other tag-covid-19 tag-2543 tag-3025 tag-11235">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail">

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</article></div>
</article>

โควิด-19 พลิกมุมมองโฆษณาดิจิทัล YDM แนะกลยุทธ์ใหม่ใช้ Data และ AI วางแผนซื้อสื่อ

<h2>"วันเดอร์แมน ธอมสัน ประเทศไทย" เผยหลังการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท 2 บริษัทในกลุ่ม WPP อันได้แก่ บริษัท เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน และ บริษัทวันเดอร์แมน เป็นวันเดอร์แมน ธอมสัน</h2>
ภายหลัง เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน เอเจนซี่โฆษณาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และ บริษัท วันเดอร์แมน เอเจนซี่ ชั้นนำด้านดิจิทัล ควบรวมกิจการ เพื่อนำเสนอบริการแบบครบวงจรวันเดอร์แมน ธอมสัน ประเทศไทย เปิดตัว “คามิลเลี่ยน”

กลุ่มธุรกิจใหม่ล่าสุดที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อสร้าง ผลิต และส่งคอนเทนท์ต่างๆ ของลูกค้าไปสู่ผู้บริโภคอย่างตรงจุดครบทุกทัชพอยท์ในยุคที่ดิจิทัลและโซเชียลเน็ตเวิร์คแพร่หลาย พร้อมนำพาให้ผู้บริโภคเข้าสู่วงจรของการซื้อสินค้าหรือบริการ (Purchase Funnel) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Maureen Tan ซีอีโอ เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน ประเทศไทย กล่าวว่า การเปิดตัวกลุ่มธุรกิจใหม่ของวันเดอร์แมน ธอมสันในวันนี้เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง เชื่อว่าธุรกิจใหม่ล่าสุดของเรานี้จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับวันเดอร์แมน ธอมสัน เนื่องจากคามิลเลี่ยนมีผู้บริหารและทีมงานที่สามารถสร้างสรรค์งานด้านโซเชียล &amp; ดิจิทัลคอนเทนท์ และโปรดักชั่นได้อย่างเยี่ยมยอด ครอบคลุมทั้งด้านการสร้างสรรค์และการผลิต

ภายหลังการก่อตั้ง “คามิลเลี่ยน” ในฐานะกลุ่มธุรกิจใหม่ล่าสุดแล้วนั้นวันเดอร์แมน ธอมสัน ประเทศไทย พร้อมที่จะให้บริการด้านการผลิตและสร้างสรรค์คอนเทนท์ต่างๆ ของลูกค้าร่วมกับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ในเครือวันเดอร์แมน ธอมสัน ประเทศไทย อันได้แก่  Degree, Mirum, GTB และ เวิรฟ Verve Public Relations Consultancy

ต่อไปเราทำหน้าที่เป็น ‘The Content Station’ ซึ่งมีหน้าที่ให้บริการลูกค้าตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ด้วย 4 ด้านหลัก อันได้แก่  1) การสร้างคอนเทนท์ 2) การผลิตคอนเทนท์ 3) การกระจายคอนเทนท์ 4) การบริหารจัดการคอนเทนท์

ซึ่งที่ผ่านมาก่อนการเปิดตัวกลุ่มคามิลเลี่ยนแล้วนั้น ลูกค้าที่ใช้บริการครบวงจรได้แก่ มันฝรั่ง Tasto เป็นต้น

“เราเองเชื่อว่าการสร้างคอนเทนท์ในรูปแบบเดียวสำหรับทุกกลุ่มผู้บริโภคไม่ได้ผลอีกต่อไป เราจึงเริ่มต้นการทำงานและสร้างคอนเทนท์ของแบรนด์ตามความต้องการของลูกค้า ด้วยการสรุปวงจรพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่าย โดยใช้แผนภาพของทั้งฝั่งผู้บริโภคและแบรนด์เพื่อช่วยให้แบรนด์มองเห็นวิธีการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้บริโภคผ่านสื่อในช่องทางต่างๆ ทั้ง Paid, Owned, Earned อย่างชัดเจน"

&nbsp;

<figure><img class="wp-image-3918 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/กฤชญา-กู้ธนวัฒน์-02.jpg" alt="กฤชญา กู้ธนวัฒน์ Head of Social &amp; Content คามิลเลี่ยน" width="638" height="425" /><figcaption> กฤชญา กู้ธนวัฒน์ Head of Social &amp; Content คามิลเลี่ยน</figcaption></figure>

ด้าน กฤชญา กู้ธนวัฒน์ Head of Social &amp; Content คามิลเลี่ยน เผย “ในโอกาสที่คามิลเลี่ยนเริ่มต้นดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเป็นปีแรก ในฐานะธุรกิจหนึ่งของวันเดอร์แมน ธอมสัน  เราจึงคาดหวังว่าจะช่วยสร้างรายได้ร้อยละ 10 ให้กับวันเดอร์แมน ธอมสันได้ในปี 2562 นี้ และคาดมีอัตราการเติบโตร้อยละ 10-15 ในปีต่อๆ ไป"

“Content is a King เป็นสิ่งสำคัญที่สุดแต่อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ Context หรือการสร้างบริบท โดยเฉพาะในโลกอินเตอร์เน็ทมีส่วนสำคัญ เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันฉลาดในการเลือกซื้อสินค้าและบริโภคเส้นทางการบริโภคในปัจจุบันจึงมีจุดต่างๆ ที่ผู้บริโภคที่เขาเลือกเสพ ดึงนั้นการกระจายเนื้อหาไปให้เหมาะสมกับสื่อต่างๆ จึงมีความสำคัญไม่แพ้กัน”

กฤชญา กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า 4 สื่อโซเชียลหลัก ได้แก่ เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม และ ยูทูป ก็ยังคงมีความสำคัญเช่นเดิม ในปีนี้เราอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนอัลกอลิธิ่มของเฟสบุ๊คอีกหลายครั้งซึ่งถือเป็นอีกเรื่องสำคัญที่คนทำงานที่เกี่ยวข้องต้องระวัง”

วันเดอร์แมน ธอมสัน เปิดตัว “คามิลเลี่ยน” กลุ่มธุรกิจใหม่

<h2 class="p3">ปับลิซีส กรุ๊ป เครือเอเจนซี่โฆษณา ประกาศควบรวมกิจการ บริลเลียนแอนด์มิลเลียน ดิจิทัลเอเจนซี่ไทย เบ่งพอร์ตรายได้เพิ่ม 20% เร่งเครื่องรับงาน การตลาดดิจิทัล สองผู้บริหารชี้ทิศตลาดสื่อโฆษณาไทยปี 2562 เติบโตต่อเนื่อง 5-7%</h2>
สงกรานต์ เศรษฐสมภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปับลิซีส กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทมีความยินดีในการเป็นพันธมิตร ต้อนรับ บริษัท บริลเลียนแอนด์มิลเลียน จำกัด เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของปับลิซีส กรุ๊ป ประเทศไทย โดยดีลการควบรวมกิจการนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการพูดคุยและทดลองร่วมงานกันมาแล้วระยะหนึ่ง
สำหรับปับลิซีส กรุ๊ป เป็นเอเจนซี่การตลาดระดับโลก ในส่วนเฉพาะประเทศไทย ประกอบด้วย ลีโอ เบอร์เนทท์, ซาทชิแอนด์ซาทชิ, ปับลิซีส, อัลฟ่า 245, อาร์ค, เรเชอร์ฟิช, เอ็มเอสแอล, ดิจิทาส, สตาร์คอม และสปาร์ค ฟลาวดรี้ ส่วนบริลเลียนแอนด์มิลเลียน เป็นดิจิทัลเอเจนซี่สัญชาติไทยที่อยู่ในวงการโฆษณาดิจิทัลมานาน 10 ปี


<figure><img class="size-full wp-image-3559" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/สงกรานต์-เศรษฐสมภพ-ปับลิซีส-กรุ๊ป-ประเทศไทย.jpg" alt="" width="800" height="649" /><figcaption> สงกรานต์ เศรษฐสมภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปับลิซีส กรุ๊ป ประเทศไทย</figcaption></figure>
สงกรานต์กล่าวว่า การตัดสินใจเข้าซื้อกิจการทั้งหมดเกิดจากนโยบาย Power of One เพื่อจัดโครงสร้างองค์กรของปับลิซีส กรุ๊ป ในระดับโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย โดยบริษัทมีการจัดผังองค์กรใหม่ไปตั้งแต่ปี 2559 เพื่อให้การทำงานครบวงจรตอบสนองลูกค้าได้ดีขึ้น
“มาถึงตอนนี้น่าจะเรียกว่าเป็นเฟส 2 ขององค์กร เราต้องหาจิ๊กซอว์ตัวใหม่เพราะโลกกำลังหมุนไปทางการตลาดดิจิทัล เราต้องหาหน่วยงานที่เข้ามาทำงานด้านดิจิทัลได้รวดเร็ว ถึงแม้ว่าเราจะพัฒนาหน่วยงานภายในมาตลอด แต่ความท้าทายของยุคนี้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับ ‘speed’ เพราะไม่ว่าจะพยายามพัฒนาแค่ไหนก็ไม่เร็วเท่าคนที่อยู่ในวงการมา 10 ปีอย่างบริลเลียนแอนด์มิลเลียน”
&nbsp;
<h2 class="p3">ปับลิซีส กรุ๊ปขยายพอร์ตรายได้ขึ้น 20%</h2>
สงกรานต์เปิดเผยว่า มูลค่าจากบริลเลียนแอนด์มิลเลียนทำให้ทั้งเครือมีพอร์ตรายได้ขยายขึ้น 20% ทันที ขณะที่การเติบโตของรายได้ทั้งเครือปับลิซีส กรุ๊ป ประเทศไทย ปี 2561 เติบโตเกือบ 10% ปี 2562 หลังจากมีบริษัทใหม่เข้ามาร่วมจึงตั้งเป้ารายได้เติบโต 12%
ด้าน โศรดา ศรประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริลเลียนแอนด์มิลเลียน จำกัด กล่าวว่า บริษัทสามารถตอบโจทย์ของปับลิซีส กรุ๊ปได้ด้วยทีมงาน 130 คนที่เชี่ยวชาญการทำงานกับดาต้าและสื่อโซเชียล ขณะเดียวกัน สิ่งที่บริลเลียนแอนด์มิลเลียนได้คือองค์ความรู้เกี่ยวกับชิ้นงานโฆษณาที่แข็งแรงด้านความคิดสร้างสรรค์ อันเป็นสิ่งที่ปับลิซีส กรุ๊ปมีความเชี่ยวชาญ


<figure><img class="size-full wp-image-3560" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/โศรดา-ศรประสิทธิ์-บริษัท-บริลเลียนแอนด์มิลเลียน-จำกัด.jpg" alt="" width="800" height="621" /><figcaption> โศรดา ศรประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริลเลียนแอนด์มิลเลียน จำกัด</figcaption></figure>
ซีอีโอหญิงกล่าวต่อว่า การควบรวมครั้งนี้มีการพูดคุยมานาน 2 ปี และเป็นการเข้าซื้อหุ้นแบบ 100% แต่เธอยังคงได้รับเกียรติในการบริหารบริษัทเช่นเดิม โดยเมื่อปี 2561 บริลเลียนแอนด์มิลเลียนมีรายได้รวม 205 ล้านบาทเติบโตขึ้น 20% จากปี 2560
&nbsp;
<h2 class="p3">ไม่หวั่นเศรษฐกิจ: เม็ดเงินโฆษณาโตต่อเนื่อง 5-7%</h2>
สำหรับการเติบโตของมูลค่าตลาดการใช้สื่อโฆษณาปี 2562 สงกรานต์มองว่ายังมีโอกาสโต โดยปี 2561 เม็ดเงินโฆษณาในไทยเติบโตราว 5-6% ปีนี้น่าจะเติบโตต่อเนื่อง 5-7%

<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="http://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/9-%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5.html">9 แนวโน้มการตลาดเอเชียที่น่าจับตามองปี 2562</a></li>
</ul>
แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมมีแนวโน้มชะลอตัว แต่เชื่อว่าการใช้งบการตลาดเพิ่มขึ้นหรือน้อยลงขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม โดย Top 3 วงการธุรกิจที่เชื่อว่าจะมีการใช้งบการตลาดสูงขึ้น ได้แก่ ธนาคาร, ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ประจำวัน (Personal Care) และ ยานยนต์ ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มลดงบโฆษณาลงคือ อสังหาริมทรัพย์ และรีเทลประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ต
“ธนาคารพาณิชย์เป็นอุตสาหกรรมที่ยังต้องใช้งบโฆษณาแน่นอน เพราะยังมีสิ่งที่ต้อง educate ผู้บริโภคอีกมาก” สงกรานต์กล่าว นอกจากนี้ เขายังมองว่าการเลือกตั้งจะมีผลบวกต่อบรรยากาศโดยรวมทางธุรกิจ ซึ่งส่งผลเกี่ยวเนื่องมาถึงการโฆษณาด้วย
&nbsp;
<h2 class="p3">การตลาดดิจิทัล ยังคงเป็นขาขึ้น</h2>
เจาะลึกเฉพาะเม็ดเงินโฆษณาในสื่อดิจิทัล โศรดา กล่าวว่า สื่อดิจิทัลเป็นดาวรุ่งติดต่อกันมาหลายปี โดยปีที่ผ่านมามีการเติบโต 20-25% และยังไม่มีแนวโน้มชะลอตัว เชื่อว่าปีนี้จะยังเติบโตได้อีก 20-25% 
“ผู้บริโภคยังใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งถังรวมกันยังโต แต่อยู่ที่ว่าผู้บริโภคจะไปใช้งานในส่วนไหน เช่น เทรนด์เด็กรุ่นใหม่อาจจะเริ่มอิ่มตัวกับการใช้ Facebook และหันมาใช้ Twitter แทน นอกจากนี้จะมีเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นจากเทคโนโลยี ที่น่าสนใจ เช่น IoT (Internet of Things) ที่น่าจะมามีบทบาทในการเก็บดาต้าชัดเจนขึ้นในรูปแบบ In-Store Experience” โศรดากล่าว
&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events