<h2>ท่ามกลางความต้องการโลหะสำหรับใช้ในงานไฟฟ้า เช่น ทองแดงและนิกเกิลที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเจ้าพ่อเหมืองแร่ Robert Friedland ทะยาน 17% มาอยู่ที่ 2.7 พันล้านเหรียญ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Robert Friedland&nbsp;วัย 73 ปี คือเศรษฐีผู้มั่งคั่งอันดับ 16 ของสิงคโปร์&nbsp;เขาคือ&nbsp;ผู้ก่อตั้ง Ivanhoe Mines&nbsp;ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Toronto และ Ivanhoe Electric ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ New York เขาเป็นชาวอเมริกันแต่กลายเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในสิงคโปร์มายาวนาน และยังรับหน้าที่บริหารการลงทุนในสำนักงานครอบครัวด้วย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในรอบปีที่ผ่านมาบริษัททั้งสองแห่งต่างมีราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มการผลิต โดยมีเป้าหมายที่จะตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนและผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เมื่อปีที่แล้ว Ivanhoe Mines ขยายกำลังการผลิตของเหมืองทองแดง Kamoa-Kakula ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก 3 เท่าตัว จนมีกำลังการผลิตกว่า 330,000 ตัน และสามารถทำกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 434 ล้านเหรียญเมื่อปี 2022 จาก 45 ล้านเหรียญในปีก่อนหน้า โดยมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตเป็นปีละกว่า 620,000 ตันภายในปีหน้าด้วยความร่วมมือกับ Zijin Mining ของจีนและรัฐบาลคองโก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/12/kSC6FVgmv4hcLHVjarmJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="kSC6FVgmv4hcLHVjarmJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Friedland ทำรายได้มหาศาลจากนิกเกิลแคนาดา นอกจากนี้ ยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการค้นพบทองแดงจำนวนมากในมองโกเลียและคองโก ในปี 2022 Friedland นำ Ivanhoe Electric บริษัทสำรวจทองแดง นิกเกิล และโลหะอื่นๆ ที่หลายคนมองว่าเป็นรากฐานของเศรษฐกิจสีเขียวนั้นเข้าจดทะเบียนในตลาดทรัพย์ และเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Maaden บริษัทเหมืองแร่ของรัฐซาอุดีอาระเบียเข้าซื้อหุ้น Ivanhoe Electric ไป 9.9% ในราคา 127.1 ล้านเหรียญ โดยบริษัททั้งสองแห่งมีแผนที่จะร่วมกันพัฒนาโครงการเหมืองแร่ในซาอุดีอาระเบีย ปัจจุบันเขามีอายุ - J. B. &nbsp; เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/world/asia/vikrom-kromadit-2023-heroes-of-philanthropy" alt="“วิกรม กรมดิษฐ์” ติดทำเนียบมหาเศรษฐีใจบุญแห่งปี 2023">“วิกรม กรมดิษฐ์” ติดทำเนียบมหาเศรษฐีใจบุญแห่งปี 2023</a>​​<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/e05f13b4-8402-40df-acea-d1073274e800" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine</a>

"เศรษฐีสิงคโปร์อันดับ 16 " เจ้าพ่อเหมืองแร่ Robert Friedland 

<h2>แม้ว่า Kwee Liong Tek ประธานคณะกรรมการ Pontiac Land จะผูกพันกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจบริการแบบมีหน้าร้านมายาวนาน แต่เวลานี้เขากำลังเดิมพันครั้งใหม่กับธุรกิจชำระเงินออนไลน์และเทคโนโลยีบล็อกเชน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“มันคืออนาคต ผมเชื่อว่าอย่างนั้น AI และฟินเทคจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกและการบริหารธุรกิจของหลายๆ คน” Kwee วัย 76 ปีกล่าวในการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Kwee นำการระดมทุนรอบก่อนซีรี่ส์ A จำนวน 16.5 ล้านเหรียญให้กับ Dtcpay น้องใหม่แห่งธุรกิจชำระเงินออนไลน์ของสิงคโปร์ ซึ่งจะนำไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายกิจการสู่ตลาดโลก เริ่มจากสำนักงานแห่งใหม่ในฮ่องกงและอีกแห่งที่ดูไบในปี 2024&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Kwee ยังเป็นนักลงทุนรายสำคัญใน ChainUp ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เทคโนโลยีบล็อกเชนในประเทศบ้านเกิด แม้ว่าเขาจะไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนเงินลงทุน แต่เพียงเข้ามามีส่วนร่วมก็สามารถดึงดูดผู้มีเกียรติมากมายเข้าสู่คณะกรรมการ ChainUp ซึ่งในเวลานี้มีทั้ง Ooi Sang Kuang อดีตประธานกรรมการ OCBC Bank (ในฐานะประธานคณะกรรมการที่ไม่ใช่ผู้บริหาร) Jean-Marc Poullet อดีตหุ้นส่วนอาวุโสของ McKinsey &amp; Company และ David Tung อดีตกรรมการผู้จัดการ Carlyle Group&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Kwee พร้อมด้วยพี่น้องอีก 3 คน ครองอันดับ 10 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 6.3 พันล้านเหรียญ โดยพิจารณาจากการเป็นเจ้าของบริษัทเอกชน Pontiac Land ซึ่ง Henry (เศรษฐีพ่อค้าสิ่งทอจากอินโดนีเซียที่ย้ายมาอยู่สิงคโปร์เมื่อปี 1961) บิดาผู้ล่วงลับ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1961 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน Pontiac Land เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่มีชื่อเสียงหลายรายการไม่ว่าจะเป็น Millenia Singapore (ที่มีทั้งโรงแรม Ritz-Carlton และโรงแรม Conrad Centennial) และแบรนด์โรงแรมหรูอย่าง Capella ที่ซื้อกิจการมาจากผู้บริหารกิจการโรงแรมในตำนาน Horst Schulze เมื่อปี 2017&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในเดือนมีนาคมพี่น้องตระกูล Kwee เปิดตัว Capella Sydney โรงแรมหรูขนาด 192 ห้องตั้งอยู่ในอาคารหินทรายที่มีชื่อในประวัติศาสตร์ 2 หลังในย่านศูนย์กลางธุรกิจของ Sydney&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถัดไปคือ โรงแรม Capella แห่งใหม่ที่รอเปิดตัวที่ Taipei ในปี 2024 ต่อด้วยโรงแรมอีก 6 แห่งในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน ซาอุดีอาระเบีย และมัลดีฟส์ในปี 2027 ในเวลานี้โครงการขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อพิจารณาจากขนาดที่ดินคือ Fari Islands โครงการพัฒนารีสอร์ตมูลค่า 400 ล้านเหรียญในมัลดีฟส์ ในความรับผิดชอบของ Evan บุตรชาย ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2021 ​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.forbesthailand.com/world/asia/eduardo-saverin-cofounder-meta-richest-singapore" alt="Eduardo Saverin ผู้ร่วมก่อตั้ง Meta ขึ้นแท่นอันดับ 1 เศรษฐีสิงคโปร์">Eduardo Saverin ผู้ร่วมก่อตั้ง Meta ขึ้นแท่นอันดับ 1 เศรษฐีสิงคโปร์</a>​ <a target="_blank" href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/e05f13b4-8402-40df-acea-d1073274e800" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 566 ในรูปแบบ e-magazine&nbsp;พิเศษ! ฉบับนี้แถมฟรี Forbes Life">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine&nbsp;พิเศษ! ฉบับนี้แถมฟรี Forbes Life</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/Er7HraheAfv3FQKxy2FJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="Er7HraheAfv3FQKxy2FJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="0" origin-size="320,420"></figure></div>

เศรษฐีสิงคโปร์ Kwee Liong Tek จากอสังหาฯ ก้าวสู่โลกดิจิทัล

<h2>ผลสำรวจจากธนาคารลอมบาร์ดแห่งสวิตเซอร์แลนด์ พบว่า เศรษฐีสิงคโปร์มีความพึ่งพอใจน้อยที่สุดในเรื่อง Work-Life Balance ในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมีเศรษฐีสิงคโปร์ หรือผู้ที่มีทรัพย์สินรวมมากกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพียง 30% เท่านั้นที่พบว่าตนเองพอใจกับความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ซึ่งต่ำที่สุดในบรรดาเศรษฐีในภูมิภาคนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ประเทศไทยรั้งอันดับหนึ่งด้วยจำนวน 72.7% ตามมาด้วยออสเตรเลีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานระบุว่ากลุ่มเศรษฐีบางส่วนอธิบายว่าไม่มีความสุขเนื่องจากระยะเวลาที่ใช้ในการทำงาน โดย 26% บอกว่าพวกเขาต้องทำงานล่วงเวลาบ่อยครั้ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ตามการวิจัยของ The Instant Group พบว่าหากเทียบใน 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สิงคโปร์มีชั่วโมงการทำงานยาวนานที่สุด คือ 45 ชั่วโมง/สัปดาห์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม รายงานของลอมบาร์ดระบุว่า แนวคิดว่า “งานคือชีวิต/ชีวิตคืองาน” จะเริ่มค่อยๆ น้อยลงในคนรุ่นใหม่ เมื่อมีการถ่ายโอนความมั่งคั่งจำนวนมหาศาลในเอเชียไปยังคนรุ่นถัดไป แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.businesstimes.com.sg/international/singapores-rich-are-most-unhappy-asia-work-life-balance" alt="Singapore’s rich are the most unhappy in Asia with work-life balance">Singapore rich are the most unhappy in Asia with work-life balance</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ:&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/world/asia/%E0%B8%AE%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A2-%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%93-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%8C" alt="ฮวงจุ้ย ศาสตร์พยากรณ์โบราณกับบทบาทในธุรกิจสิงคโปร์">ฮวงจุ้ย ศาสตร์พยากรณ์โบราณกับบทบาทในธุรกิจสิงคโปร์</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“เศรษฐีสิงคโปร์” ไม่มีความสุขสุดในเอเชีย เพราะไม่มี Work-Life Balance ส่วน “เศรษฐีไทย” แฮปปี้สุด

5 มหาเศรษฐีสิงคโปร์ ธุรกิจทะยานท่ามกลางสถานการณ์โควิด

<h2 class="p1">ในเดือนสิงหาคม 2018 Daryl Ng ประธานกรรมการ Hong Kong Innovation Foundation ได้พบปะกับ Toby So ผู้ก่อตั้ง Film Players สตาร์ทอัพอายุ 1 ปี ในช่วงมื้อกลางวันระหว่างงานประกาศรางวัลที่มีรัฐบาลฮ่องกงเป็นสปอนเซอร์ แล้วทั้งคู่ก็กลายเป็นหุ้นส่วนกันในอีก 2 เดือนต่อมา</h2>
บริษัทของ So กำลังพัฒนา “ฟิล์มอัจฉริยะ” ซึ่งเป็นแผ่นฟิล์มพร้อมกาวในตัว หนา 0.3 มม. ที่สามารถเปลี่ยนให้แผ่นกระจกกลายเป็นหน้าจอดิจิทัลแบบอินเทอร์แอ็กทีฟได้เมื่อเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ด้วยคำแนะนำจากทีมงานของ Daryl Ng ทาง Film Players ได้เพิ่ม “สวิตช์หรี่ไฟ” ลงไปด้วย เพื่อสะท้อนการมองเห็นแสงที่แตกต่างกัน ซึ่งสร้างเอฟเฟกต์ม่านหน้าต่างแบบปรับเปลี่ยนได้ และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับโรงแรมและเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ของครอบครัว Ng
Ng เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะทายาทวัย 41 ปี ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สิงคโปร์ Far East Organization ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 57 ปีก่อน โดยปู่ผู้ล่วงลับไปแล้วของ Ng และทุกวันนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มพัฒนารายใหญ่ที่สุดของเอเชีย
ในทางปฏิบัติแล้ว Ng ดำรงตำแหน่งซีอีโอของกลุ่ม Sino บริษัทสาขาของ Far East ในฮ่องกง ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการ และผู้เป็นพ่อ Robert Ng นั่งเก้าอี้ประธานกรรมการบริษัท Sino Land บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ในฮ่องกง ยังติดอยู่ในทำเนียบ Best Over A Billion ด้วย


<figure><img class="size-full wp-image-22528" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/daryl03.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Daryl Ng ภาพจาก COURTESY OF SINO LAND</figcaption></figure>
ความมั่งคั่งของครอบครัว Ng ยังคงได้อานิสงส์จากอสังหาริมทรัพย์ไฮเอนด์ราคาสูงของตระกูล ซึ่งยังไม่ได้รับผลกระทบจากความแตกแยกทางการเมืองในฮ่องกงหรือการชะลอตัวของเศรษฐกิจสิงคโปร์ ทรัพย์สินสุทธิโดยรวมของ Ng ขยับขึ้นไปแตะที่ 1.21 หมื่นล้านเหรียญจาก 1.19 หมื่นล้านเหรียญ
หลังอยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มา 16 ปี Ng รุ่นเยาว์ได้เข้าไปสู่คลื่นดิจิทัลที่ซัดสาดมาถึงเจ้าของธุรกิจรุ่นถัดไปของเอเชีย ขณะที่กำลังเร่งเสาะหาความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ เพื่อใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงทำนาย 5G หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีเกิดใหม่อื่นๆ Ng กำลังเปลี่ยนเครือข่ายโรงแรม การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และโครงการลงทุนต่างๆ มากมายที่กระจัดกระจายของครอบครัว ให้กลายเป็นศูนย์กลางบ่มเพาะด้านดิจิทัลขนาดยักษ์ เพื่อสำรวจ (และแสวงหาประโยชน์) ในตลาดสมาร์ทโฮมและสำนักงานอัตโนมัติ
Ng เปิดตัวสถาบันขึ้นเมื่อต้นปีที่แล้ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามดังกล่าว การเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการของสถาบันที่ว่าเมื่อไม่นานนี้ในเขตอุตสาหกรรมเก่าแก่ของฮ่องกง เผยให้เห็นนวัตกรรมกว่าสิบอย่างที่กลุ่ม Sino ของ Ng กำลังพิจารณาเอามาปรับใช้หรือกำลังลงทุนอยู่
ในจำนวนนั้นประกอบด้วย ตัวชาร์จไฟไร้สายที่สามารถถ่ายโอนพลังงานผ่านพื้นผิวที่ไม่ใช่ตัวนำไฟฟ้า โดยไม่จำเป็นต้องเจาะรูในเฟอร์นิเจอร์หรือบนผนัง การวางแผนผังแบบอินเทอร์แอ็กทีฟ 3 มิติสำหรับการออกแบบภายใน และระบบรวมศูนย์สำหรับใช้ตรวจดูคุณภาพอากาศภายในอาคาร ปริมาณการใช้ไฟฟ้า จำนวนผู้เข้ามาในอาคาร และแม้กระทั่งการใช้ห้องน้ำและถังขยะ
นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมที่ธุรกิจของกลุ่ม Sino ที่ได้นำเอามาใช้จริงแล้ว เช่น ระบบไฟลานจอดรถขับเคลื่อนด้วยเอไอ ที่ประหยัดพลังงาน เก็บข้อมูล และส่งการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัยและการซ่อมบำรุง “นี่คือ สถานการณ์ที่ทุกคน วิน-วิน-วิน เป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ผลิต ผู้ขาย และลูกค้า” Ng กล่าว
“ด้วยการจัดหาแพลตฟอร์มทดลองสำหรับสตาร์ทอัพเหล่านี้ โครงการอสังหาริมทรัพย์ของเราได้ประโยชน์จากแนวคิดสดใหม่ของพวกเขา ขณะที่สตาร์ทอัพเองก็ได้ทดลองและบ่มเพาะนวัตกรรมเทคโนโลยีของตัวเอง และยังได้แนะนำให้เพื่อนร่วมงานและลูกค้าของเราไปพบกับความเป็นไปได้และโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ในเวลาต่อไป”-- Shu-Ching Jean Chen
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/asia/10-%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a-%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b9%82%e0%b8%9b.html">10 อันดับ “มหาเศรษฐีสิงคโปร์” ประจำปี 2019</a></li>
</ul>
&nbsp;
(จากภาพปก ซ้าย: Daryl Ng, ขวา: Robert Ng)
ภาพ: Jonathan Wong/South China Morning Post/Getty Image


<hr />

<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/b10a4bd1-2701-4112-b9eb-5353382560ea">คลิกอ่านเรื่องราวของ 50 อันดับเศรษฐีสิงคโปร์ ประจำปี 2019 ได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2562 ได้ในรูปแบบ e-magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-15976" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/COVER-76-SEPTEMBER-.jpg" alt="" width="301" height="395" />

Daryl Ng หาชัยภูมิ มุ่งสู่ดิจิทัล

หลังคว้าสิทธิแปรสภาพ OSIM International ให้เป็นบริษัทเอกชนเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Ron Sim ก็วางตัวเงียบๆ โดยกระบวนการดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมีนาคมและมีข้อเสนอเบื้องต้นอยู่ที่ 1.32 เหรียญสิงคโปร์ต่อหุ้น ก่อนที่เขาจะเพิ่มราคาเป็น 1.39 เหรียญในเวลาต่อมา อย่างไรก็ดี ผู้ถือหุ้นยังมองว่า จำนวนเงินที่ได้รับยังน้อยเกินไป เนื่องจากข้อเสนอครั้งสุดท้ายยังมีมูลค่าไม่ถึงครึ่งของราคา OSIM ที่ทะยานแตะ 2.90 เหรียญต่อหุ้นเมื่อปี 2014 ด้วยซ้ำ (หาก Sim เข้าซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยได้ถึงเกณฑ์ตามที่กฎหมายสิงคโปร์กำหนดเมื่อไร ผู้ถือหุ้นรายย่อยจะต้องขายหุ้นทั้งหมดทันที)

มหาเศรษฐี Ron Sim บอกว่า เขาต้องการแปรสภาพ OSIM ให้เป็นบริษัทเอกชนเพื่อที่จะขยายตัวได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ เขายังไม่ต้องแบกรับความกดดันจากนักลงทุนในด้านผลประกอบการของบริษัทอีกต่อไป หลังจากที่ผลประกอบการในระยะหลังๆ ไม่ค่อยน่าพิศมัยนัก ในปี 2015 บริษัทมีกำไรสุทธิลดลงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากความต้องการเก้าอี้นวด อาหารเสริม GNC (ซึ่ง OSIM ถือสิทธิ์แฟรนไชส์อยู่ในหลายภาคส่วนของทวีปเอเชีย) และชาชั้นดีอย่าง TWG ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดจีนนักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่า รายได้และกำไรของบริษัทจะลดลงไปอีก เนื่องจาก margin ที่ลดลง จำนวนร้านค้าก็น้อยลง ขณะที่ต้นทุนการดำเนินงานกลับเพิ่มสูงขึ้น “OSIM ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแล้วครับ” Gregory Yapนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ของ Maybank กล่าว โดยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาเขาถึงกับแนะนักลงทุนให้ขายหุ้นออกไปให้หมดด้วยซ้ำ Yap บอกว่า สถานการณ์ของ OSIM น่าจะดีขึ้นหากพวกเขากลายมาเป็นบริษัทเอกชน “พวกเขาต้องมีใครสักคนที่พร้อมจะฝ่าฟันช่วงเวลาทั้งดีและร้ายของธุรกิจนี้ นั่นก็มีเพียงผู้ก่อตั้งบริษัทเท่านั้นแหละครับ”

ก่อนหน้าที่จะเป็น Sim บุคคลที่ติดโผการจัดอันดับเศรษฐีสิงคโปร์คนอื่นๆ ต่างเคยนำบริษัทออกจากตลาดหุ้นกันมาแล้วเช่นกัน เมื่อเดือนมิถุนายน Wee Kit Tang (อันดับ 18) กับพี่ชายของเขา เพิ่งจะนำเครือห้างสรรพสินค้า C.K. Tang เข้ามาอยู่ภายใต้บริษัทเอกชนของตนเองที่มีชื่อว่า Tang Holdingsหลังจากที่นำ C.K. Tang ออกจากตลาดหุ้นเมื่อปี 2009 ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้ C.K. Tangดึงดูดข้อเสนอซื้อหุ้นประมาณ 2% ของที่เหลืออยู่ซึ่งมีนักลงทุนถือหุ้นร่วมกันราว 500 คน ในปี 2013 Simon Cheong นำ SC Global บริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับสูงออกจากตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน หลักๆ แล้วก็เพื่อเลี่ยงบทลงโทษแสนสาหัสของรัฐบาล ซึ่งบริษัทจดทะเบียนที่มีนักลงทุนเป็นชาวต่างชาติจำเป็นต้องจ่าย โดยคำนวณจากมูลค่าอสังหาริมทรัพย์หน่วยที่ยังขายไม่ออกนั่นเอง

บรรดานักวิเคราะห์มองว่า ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นสิงคโปร์กำลังตกต่ำอยู่นี้เองเป็นโอกาสอันดีที่บริษัทจะแปรสภาพมาเป็นเอกชน หนึ่งในบรรดาตัวเต็งเวลานี้คือ CWT บริษัทโลจิสติกส์ที่กำลังเปิดเจรจาขายหุ้นวาระพิเศษกับ HNA Group กลุ่มธุรกิจจีน สำหรับผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจควบคุม CWT คือ C&amp;P Holdings ที่มี Loi Kai Meng (อันดับ 47) เป็นเจ้าของ ขณะเดียวกันตลาดยังกำลังจับตามอง Wing Tai บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของ Cheng Wai Keung (อันดับ 37) และ Ho Bee Land ของ Chua Thian Poh(อันดับ 23) ด้วยเช่นกัน  — เรื่อง: Jane A. Peterson

มหาเศรษฐีสิงคโปร์อันดับที่ 27: Ron Sim 57 ปี
มูลค่าทรัพย์สิน: 1.11 พันล้านเหรียญ
แหล่งที่มาของรายได้: ค้าปลีก
สถานภาพ: สมรส บุตร 3 คน
ผู้ก่อตั้ง OSIM International

<hr />

<a href="http://goo.gl/5ixXvJ">คลิ๊กอ่าน "Singapore's 50 richest" เพิ่มเติมได้ที่ Fobes Thailand Magazine ฉบับ SEPTEMBER 2016</a>
<a href="http://goo.gl/5ixXvJ"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d18fffd2a6e14edc4fb9936f32a1d320.png" alt="" width="297" height="388" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events