Min-Han Tan ผู้ก่อตั้งบริษัทอุปกรณ์ตรวจหาโรคมะเร็งสัญชาติสิงคโปร์ ตั้งเป้าถึงจุดคุ้มทุนในปี 2024 - Forbes Thailand

Min-Han Tan ผู้ก่อตั้งบริษัทอุปกรณ์ตรวจหาโรคมะเร็งสัญชาติสิงคโปร์ ตั้งเป้าถึงจุดคุ้มทุนในปี 2024

FORBES THAILAND / ADMIN
20 Nov 2024 | 09:00 AM
READ 234

Min-Han Tan ผู้ก่อตั้ง Lucence Life Sciences ได้รับการหนุนหลังจากน้องชายผู้เป็นเศรษฐีพันล้าน อีกทั้งอุปกรณ์ทดสอบเลือดเพื่อตรวจหาโรคมะเร็งของเขาก็ได้รับการอนุมัติจาก Medicare และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ยังมีความท้าทายอีกหลายอย่างข้างหน้าที่จะนำไปสู่การทำกำไร


    การระดมทุนนี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากเขาก่อตั้งบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพสัญชาติสิงคโปร์ Lucence Life Sciences ผู้คิดค้นพัฒนาอุปกรณ์ทดสอบเลือดที่กำลังพลิกโฉมการวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งไปอย่างสิ้นเชิง “ผมได้ให้สัญญาไว้ 3 ข้อ” Tan ผู้ควบตำแหน่งประธานกรรมการและซีอีโอของ Lucence เล่าถึงเหตุการณ์ในอดีตขณะนั่งอยู่ ณ สำนักงานภายในเขตนิคมอุตสาหกรรมโซนรอบนอกศูนย์กลางธุรกิจของสิงคโปร์ 

    ข้อแรกคือ การทำให้ผลิตภัณฑ์เรือธงตัวแรกของบริษัทได้รับอนุมัติจาก Medicare ระบบประกันสุขภาพของสหรัฐฯ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวคืออุปกรณ์ตรวจเลือดที่สามารถบ่งชี้ข้อมูลโรคมะเร็ง 15 ชนิด ซึ่งรวมถึงมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ เพื่อช่วยให้การเลือกวิธีรักษาผู้ป่วยมะเร็งมีประสิทธิภาพกว่าเดิม ข้อที่ 2 คือ ดำเนินการวิจัยทดลองทางคลินิกให้เสร็จสิ้นเพื่อเปรียบเทียบเทคโนโลยีของบริษัทกับคู่แข่ง ส่วนข้อที่ 3 คือ พัฒนาการตรวจหาเซลล์มะเร็งที่ครอบคลุมโรคมะเร็งหลายชนิดตั้งแต่ก่อนแสดงอาการ


    หลังจากนั้น 6 ปีสัญญาที่ให้ไว้ทั้ง 3 ข้อก็บรรลุเป้าหมาย ผู้เชี่ยวชาญสาขามะเร็งวิทยาและทีมงานของเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในเดือนกุมภาพันธ์ปีที่ผ่านมาเมื่อ LiquidHallmark อุปกรณ์ตรวจเลือดคัดกรองมะเร็งระยะสุดท้ายได้รับการอนุมัติจาก Medicare ซึ่ง Tan กล่าวว่า บริษัทเป็นเอเชียรายแรกที่สามารถเจาะเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพของสหรัฐฯ เมื่อผู้รับสิทธิ์ประกันสามารถเบิกค่าตรวจวินิจฉัยได้สิ่งนี้จะเป็นกุญแจสำคัญที่นำพาบริษัทสู่เส้นทางในการทำกำไร เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2023 บริษัทได้วางตลาดผลิตภัณฑ์เรือธงตัวที่ 2 ในภูมิภาคเอเชีย LucenceInsight อุปกรณ์ตรวจโรคมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้น สามารถคัดกรองมะเร็งกว่า 50 ชนิด ต่อมาในเดือนธันวาคมบริษัทนำเสนอผลวิจัยทางคลินิกที่ระบุว่า เทคโนโลยีที่ใช้ใน LiquidHallmark สามารถตรวจหาสารบ่งชี้ทางชีวภาพสำหรับมะเร็งปอดได้ตรงตามข้อแนะนำมากกว่าผลิตภัณฑ์จากคู่แข่ง

    ทว่า Tan วัย 49 ปี รู้ดีว่าภาระอันหนักหน่วงเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น การแข่งขันจะเข้มข้นยิ่งขึ้นเมื่อบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ตบเท้าเข้าสู่ตลาด ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเผยว่า ขณะนี้มีบริษัทมากถึง 50 แห่งจากทั่วโลกที่กำลังแข่งขันอยู่ในสมรภูมิผลิตภัณฑ์ตรวจทดสอบโรคมะเร็ง Tan ยอมรับว่าความปลาบปลื้มจากการผ่านเข้าสู่ระบบของ Medicare และธุรกิจเพิ่มเติมที่จะตามมาถูกแทนที่อย่างรวดเร็วด้วยความกังวลเกี่ยวกับอนาคต เส้นทางสู่การสร้างตัวเลขกำไรนั้นยาวนานและเต็มไปด้วยอุปสรรคจากกฎระเบียบการขออนุญาตหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอันสลับซับซ้อน การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาที่กินเวลาหลายปี การรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการวางแผนกลยุทธ์เพื่อเจาะตลาด Tan กล่าวว่า ในธุรกิจนี้ “มีอุปสรรคท้าทายมากมายที่กระหน่ำเข้ามาไม่จบไม่สิ้น”

    อย่างไรก็ดีการมีน้องชายผู้รั้งตำแหน่งเศรษฐีพันล้านหนุนหลังนับเป็นเรื่องที่ช่วยได้มาก Min-Liang Tan (หรือที่เพื่อนๆ มักเรียกเขาว่า Min) ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Razer บริษัทไลฟ์สไตล์ด้านเกมชั้นนำระดับโลกซึ่งอายุน้อยกว่า Tan 2 ปี ประสบความสำเร็จมาก่อนจากการสร้างตลาดเฉพาะในทั่วโลกโดยเริ่มจากการเจาะตลาดสหรัฐฯ อดีตนักกฎหมายผันตัวมาก่อตั้ง Razer ในปี 2005 และมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิตามการประเมินราว 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปัจจุบันเขาเป็นนักลงทุนรายหลักของ Lucence และตัวแทนจากสำนักงานครอบครัว Chen Capital ของเขานั่งตำแหน่งกรรมการบริษัท เมื่อรวมกัน 2 พี่น้อง Tan ถือครองหุ้นสัดส่วนใหญ่ในบริษัท

    เส้นทางการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมามีความหมายลึกซึ้งกับพี่น้องคู่นี้ “เราตั้งใจพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยผู้ป่วย แต่ผมไม่คาดคิดว่า ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์คนแรกจะเป็นแม่ (ของเรา)” Tan กล่าวถึงผู้ใช้อุปกรณ์ทดสอบ LiquidHallmark คนแรกในปี 2007

    “ท้ายที่สุดอุปกรณ์ทดสอบเลือดก็ได้แสดงประสิทธิผล ผลตรวจช่วยให้เราเลือกวิธีรักษาที่ดีที่สุดสำหรับแม่” ทั้งนี้แม่ของพวกเขาซึ่งป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 4 และมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น เสียชีวิตในเวลาถัดมาของปีดังกล่าว Min-Liang เล่าในการให้สัมภาษณ์เดี่ยว ณ สำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ของ Razer ว่า เรื่องนี้ “เป็นหนึ่งในแรงผลักดันของเรา” เขาเสริมว่า พี่ชายของเขา “ช่วยได้ในเรื่องมันสมอง และผมสามารถช่วยได้ในด้านเงินทุน”


    อย่างไรก็ดี Tan และน้องชายของเขาวางเป้าหมายธุรกิจในระยะยาว Min-Liang กล่าวว่า “ผมมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าต่อวิสัยทัศน์และพันธกิจของ Lucence และผมมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการระดมทุนในรอบต่อๆ ไปของบริษัท” Tan เสริมว่า “เรามาถึงจุดที่เทคโนโลยีไม่เพียงช่วยให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายเลือกวิธีรักษาได้เหมาะสมที่สุด แต่ยังสามารถตรวจพบโรคมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเพื่อให้ผู้ป่วยตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง”

หมายเหตุ: Lucence ติดทำเนียบ Forbes Asia 100 to Watch ปี 2023 และ ได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันธุรกิจ FedEx Small Business Grant Contest ซึ่งจัดขึ้นระหว่างการจัดงาน Forbes Asia 100 to Watch Forum เมื่อเดือนเมษายนปีที่ผ่านมา บทความนี้เขียนขึ้นโดยไม่เกี่ยวข้องกับการแข่งขัน



เรื่อง: JESSICA TAN เรียบเรียง: นวตา สันติวัฒนา ภาพ: MUNSTER CHEONG



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Mark Taira ผู้เปลี่ยนร้านเบเกอรี่ครอบครัว ให้เติบโตสู่ทรัพย์สินกว่า 2,000 ล้านเหรียญ

คลิกอ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine