<h2>ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ซบเซายังคงมีเครื่องยนต์หลักอย่างภาคท่องเที่ยวที่พยุงให้ไปได้ ทว่าในปี 2568 หลายฝ่ายกลับมองว่า ภาคท่องเที่ยวไทยอาจไม่ได้ฟื้นตัวอย่างที่คิด ทั้งจากนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่จากจีนที่กังวลต่อความปลอดภัยในการมาเที่ยวไทย จนถึงสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เพิ่งเกิดขึ้น</h2> ต่างชาติเที่ยวไทยต่ำ 37 ล้านคน แต่อาจเท่าปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธีระศิลป์ เทเพนทร์ รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน&nbsp;การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยในงานโครงการตลาดทุนพบภาครัฐ ครั้งที่ 3/2568 ว่า ปี 2568 นี้ทางททท. ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมีจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 37.46 ล้านคน แต่อาจไปไม่ถึงเป้าหมาย (ยังไม่มีการประกาษปรับลดเป้าหมาย) เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่อย่าง ตลาดจีนลดลงกว่า 30% ซึ่งต่อให้มีการเติบโตในช่วงที่เหลืออาจยังมาแทนที่ไม่ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ช่วง 4 เดือนแรกปี 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติติดลบ 0.2% โดยหดตัวจากตลาดเอเชีย ตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจีนลดลง 30% แต่นักท่องเที่ยวจากตลาดระยะกลาง-ไกล เช่นยุโรป ยังเติบโตได้ดี ซึ่งกลุ่มนี้มักใช้จ่ายในกลุ่ม Wellness โรงแรม อาจไม่ได้เน้นการซื้อสินค้ามากนัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้นช่วงที่เหลือของปีมองว่า การท่องเที่ยวไทยความถี่หรือจำนวนครั้งอาจใกล้เคียงเดิม แต่พบว่าการใช้จ่ายในทริปอาจปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยในปี 2568 ยังจะไม่ต่ำกว่า 35 ล้านคนใกล้เคียงกับปี 67 และเชื่อว่าในด้านรายได้ยังอาจเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ราว 2.97 ล้านล้านบาท เพราะททท. จะหันมาเน้นกลุ่มที่น่าจะมีการใช้จ่ายสูงขึ้น เช่น ตะวันออกกลาง คูเวท เยเมน ตลาดกลุ่มนี้ยังดูสดใส&nbsp; &nbsp; จากข้อมูล ททท. พบว่า เป้าหมายด้านรายได้การท่องเที่ยวในปี 2568 ยังอยู่ที่ 3.4 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นตลาดต่างชาติ 2.23 ล้านล้านบาท (39 ล้านคน) และตลาดในประเทศ 1.17 ล้านล้านบาท (205 ล้านคน-ครั้ง) ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/05/hjdZmxhbGpQg4KdZxVCj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="hjdZmxhbGpQg4KdZxVCj.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,404" style="" data-index="0"><figcaption><div>ที่มา ททท.</div></figcaption></figure></div> ต่างชาติ-คนจีนหายไปไหน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธีระศิลป์ กล่าวว่า ในช่วง 4 เดือนแรกปี 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติติดลบ 0.2% ต้องยอดรับว่าฐานนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงราว 30% ถือเป็นฐานที่ใหญ่ แต่อยากให้ดูรายละเอียด ว่ามีบางกลุ่มที่ยังโต เช่น ตลาดยุโรปที่เติบโต 16% ซึ่งสะท้อนว่ากลุ่มตลาดไกลยังไปได้ ซึ่งนักลงทุนต้องดูให้ดี ว่ากลุ่มโรงแรมหรือการลงทุนที่พึ่งพาตลาดระยะใกล้กับระยะไกล Profile ต่างกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อเจาะลงไปถึงปัจจัยลบที่ทำให้นักท่องเที่ยวลดลงมองว่า เรื่องหลักคือ ความกังวลเรื่องความปลอดภัยของไทย อาทิ กรณีกระแสข่าวการลักพาตัว การประกอบธุรกิจที่ไม่โปร่งใสของจีนที่เข้ามาในไทย ที่ส่งผลกระทบถึง Sentiment ของนักท่องเที่ยวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ ที่อาจเลือกเปลี่ยนประเทศที่จะเดินทางไปเที่ยว และอาจมีแนวโน้มเลือกเดินทางมาไทยน้อยลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของนักท่องเที่ยวจีนพฤติกรรมเปลี่ยนไปมาก จากก่อนโควิดที่มาในลักษณะทัวร์ขณะใหญ่ แต่หลังโควิดที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มท่องเที่ยวด้วยตนเอง หรือ Free Independent Travelers (FIT) มีมากขึ้นและสูงถึง 80% แม้จะเป็นทัวร์ก็เป็นกลุ่มที่ไม่ใหญ่มาก แต่อาจมีการใช้จ่ายที่สูงขึ้น และเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนจากเมืองใหญ่ยังมาไทยค่อนข้างสูง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ปี 2567 นักท่องเที่ยวจีนมาไทยสูงที่สุดในเอเชีย อยู่ที่ 6.73 ล้านคน รองลงมาญี่ปุ่น 5.83 ล้านคน เกาหลีใต้ที่ 4.6 ล้านคน และเวียดนาม 3.74 ล้านคน แต่จากต้นปีนี้นักท่องเที่ยวจีนไหลไปประเทศอื่นมากกว่า สะท้อนได้จาก ช่วง 3 เดือนแรก (ม.ค.-มี.ค.) ปี 2568 พบว่า อันดับ 1 เดินทางไป ญี่ปุ่น 1.7 ล้านคน (ม.ค.-ก.พ.) มาจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่า โครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่า รองลงมาคือเวียดนามที่ 1.6 ล้านคน ซึ่งพบว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวบางส่วนที่มักเดินทางมาไทยแต่เลือกไปเวียดนามแทน โดยไทยตกลงมาอยู่อันดับที่ 3 อยู่ที่ 1.3 ล้านคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมีเรื่องภัยธรรมชาติและฝุ่น PM 2.5 ที่อาจกระทบต่อความรู้สึกในการตัดสินใจที่จะวางแผนท่องเที่ยวต่างๆ เพราะเมื่อเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นในช่วงนั้นจะเห็นว่ามีการยกเลิกต่างๆ (ที่พัก-เที่ยวบิน) ขณะเดียวกันมองว่าเรายังต้องติดตามติดตามผลกระทบ สงครามการค้า สหรัฐฯ-จีน รวมถึงผลกระทบจากมาตรการทางภาษีที่เกิดขึ้นทั่วโลก ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/05/i1LJnSYES3FfDJMFiAps.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="i1LJnSYES3FfDJMFiAps.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,405" style="" data-index="1"><figcaption><div>ที่มา ททท.</div></figcaption></figure></div> ททท. เร่ง 4 มาตรการเร่งแก้ปัญหา มั่นใจคนละครึ่งเริ่ม มิ.ย. นี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อการท่องเที่ยวไทยจะมีความท้าทายสูง ททท. จึงเร่งออกมาตรการเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ โดยให้น้ำหนักที่ 1) รักษาการเติบโตตลาด ผ่านการแก้ไขด้านภาพลักษณ์ของไทย 2) การหาตลาดทดแทน ในการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากเอเชียใต้ สิงคโปร์อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ อินเดีย ศรีลังกาใต้ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาเป็นกลุ่มที่เติบโตขึ้นอยู่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และ 3) ขยายตลาดกลุ่ม High value มุ่งกลุ่ม Health, wellness, Yacht, Sport และ Digital Nomad รวมถึง 4) สื่อสารให้รอบด้านทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยขั้นตอนและแผนงานยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังมีโครงการคล้ายๆ กับคนละครึ่งที่รัฐจะเข้าไปซับซิไดซ์บางส่วน (จะมีการเปลี่ยนชื่อ) โดยนักท่องเที่ยวไทยหากเข้าพักวันธรรมดาจะได้ราคาที่ดีกว่าการเที่ยวในวันหยุด คาดว่าจะเริ่มเปิดโครงการในช่วงเดือน มิ.ย. ในช่วงหน้าฝนซึ่งครอบคลุมช่วงปิดเทอมของเด้กนักเรียน ยาวไปถึงช่วงก.ย. ต.ค. ซึ่งหลังจากนั้นเป็นช่วงเทศกาลคนเดินทางอยู่แล้วจะไม่มีมาตรการเติมเพิ่ม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว ททท. เป็นหน่วยงานในการรับงบประมาณ เบื้องต้นน่าจะใช้งบราว 2,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยจะเน้นให้รายได้กระจายลงไปในแต่ละกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และจะออกกฎให้ครอบคุลมถึงปัญหาของโครงการในอดีต เช่น กรณีคนอัพราคาห้องพักขึ้น หรือ กรณีการฉ้อโกง เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุดท้ายนี้ ยังเชื่อว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 จะใกล้เคียงกับปีก่อน แต่รายได้ยังเพิ่มขึ้น โดยมองว่าสถานการณ์จะไม่แย่ไปกว่านี้ และมีการติดตามอย่างต่อเนื่องทำให้มีมาตรการออกมาได้เร็ว คิดว่าน่าจะพยุงสถานการณ์ได้ และขึ้นอยู่ที่การแก้ปัญหาภาพลักษณ์ที่หลายหน่วยงานต้องร่วมมือกัน ส่วนในระยะยาวยังต้องสร้างสมดุลของนักท่องเที่ยวในแต่ละกลุ่ม และเพิ่ม Man-made Attraction ที่เมกะโปรเจคต่างๆ ในไทยยังมีน้อย ภาพ: ททท.,&nbsp;<a href="https://unsplash.com/@bacon3floors?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px;">Bacon3floors</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/a-crowd-of-people-on-a-street-C7PPPA8Wnlg?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px;">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/travel/amari-vientiane-a-new-landmark-in-lao-prd" alt="'อมารี เวียงจันทน์' แลนด์มาร์กแห่งใหม่ สปป.ลาว"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/scb-eic-afftershock-impact-tourism-apr-2025" alt="SCB EIC ชี้แผ่นดินไหวฉุดนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 2-7 แสนคน จากทั้งปี 68 คาดการณ์เดิม 38.2 ล้านคน">SCB EIC ชี้แผ่นดินไหวฉุดนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 2-7 แสนคน จากทั้งปี 68 คาดการณ์เดิม 38.2 ล้านคน</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ทำไมยอดต่างชาติเที่ยวไทยปี 68 อาจต่ำเป้า 37 ล้านคน แต่ททท. ยังมั่นใจรายได้ฯ ยังโตได้

รับเทรนด์ ‘ท่องเที่ยวเชิงอาหาร’ โตพุ่ง และดัน ‘ทุเรียน’ สู่ซอฟต์พาวเวอร์ ‘ไฮแอท รีเจนซี่ฯ’ จัดแคมเปญพิเศษ ชุดน้ำชายามบ่ายธีมทุเรียนหมอนทอง

‘Entertainment Complex’ กาสิโนไทย โอกาสหรือความเสี่ยงของคนไทย

<h2>อโกด้า จัดทำผลสำรวจพบว่า 5 อันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมในเอเชียของนักท่องเที่ยวสายกิน ได้แก่ 1. เกาหลีใต้ 2. ไต้หวัน 3. ไทย 4. ญี่ปุ่น 5. มาเลเซีย แต่สำหรับไทย ญี่ปุ่นยังเป็นที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับ 1 เสมอ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการท่องเที่ยว เปิดเผยผลสำรวจจากผู้ใช้แพลตฟอร์มกว่า 4,000 ราย ใน 10 ประเทศ หนึ่งในข้อมูลที่น่าสนใจพบว่า อาหาร เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวเลือกจะเดินทางไปท่องเที่ยว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอนริก คาซาลส์, Associate Vice President, Southeast Asia, อโกด้า กล่าวว่า อาหารไม่ได้เป็นแค่สิ่งหล่อเลี้ยงร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ทางวัฒนธรรมอีกด้วย นักท่องเที่ยวบางคนหลงใหลในอาหารมากถึงขนาดจองร้านอาหารในต่างประเทศก่อนจองตั๋วเครื่องบินเสียอีก ข้อมูลการสำรวจของอโกด้าแสดงให้เห็นชัดเจนว่านักท่องเที่ยวกำลังมองหาจุดหมายปลายทางที่สามารถไปดื่มด่ำกับอาหาร และประเพณีท้องถิ่นได้ ไม่ใช่แค่ไปเดินชมสถานที่ท่องเที่ยว<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/NGU1ZV32Z3oczaa5mT3L.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="NGU1ZV32Z3oczaa5mT3L.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ มี 5 อันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับสายกิน ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. เกาหลีใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลการสำรวจที่อโกด้าจัดทำขึ้นพบว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเกาหลีใต้มากกว่า 64% ระบุว่า อาหารคือเหตุผลหลักในการเดินทางไปเที่ยวที่นี่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนหนึ่งอาจเพราะกระแสอาหารเกาหลีใต้เกิดจากละคร และภาพยนตร์เกาหลีที่มักจะนำเสนอประสบการณ์การกินอาหารที่น่าสนใจ เช่น กิมจิ, บาร์บีคิวสไตล์เกาหลี, ไก่ทอด, อาหารทะเลสดบนเกาะเชจู, ปูดองเกาหลี,โชดังซุนดูบู (เต้าหู้เนื้อนุ่มในซุปร้อน) ไปจนถึง Street Food ตลาดแบบดั้งเดิม เช่น ตลาดควังจางในกรุงโซล ต็อกโบกี (เค้กข้าวรสเผ็ด) และบินเดต็อก (แพนเค้กถั่วเขียวสไตล์เกาหลี)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. ไต้หวัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไต้หวันกว่า 62% ระบุเหตุผลหลักในการเดินทางคือ อาหาร โดยมีวัฒนธรรมอาหารที่หลากหลาย อาทิ เต้าหู้เหม็น ชาไข่มุก บะหมี่ตันไซ และซุปปลานวลจันทร์ทะเล ซึ่งสะท้อนมรดกภูมิปัญญาอาหารของเกาะ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. ไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นักท่องเที่ยวกว่า 55% ให้เหตุผลหลักที่เดินทางมาท่องเที่ยวคือ อาหาร ที่ขึ้นชื่อทั้งความหลากหลายในแต่ละภูมิภาค และ Street Food ที่น่าสนใจ เช่น แผงขายอาหารแบบดั้งเดิมในเยาวราช (ไชนาทาวน์ในกรุงเทพฯ) ข้าวซอยของภาคเหนือ อาหารรสจัดจ้านของภาคใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. ญี่ปุ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากผลสำรวจพบว่า นักท่องเที่ยวกว่า 52% ระบุว่า อาหารเป็นเหตุลผลหลักในการเดินทางไปเยือนญี่ปุ่น ทั้งจากอาหารที่มีให้เลือกหลากหลาย เช่น อาหารทานเล่นแบบอิซากายะ และอาหารไคเซกิแบบฟูลคอร์ส หรือการท่องเที่ยวชิมอาหารท้องถิ่น อาทิ ตลาดสึกิจิรอบนอกของกรุงโตเกียว (ซูชิ และซาซิมิ) ทาโกะยากิ (ลูกชิ้นปลาหมึก) และยากิโทริ (ไก่เสียบไม้ย่าง) ราเมง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5. มาเลเซีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากผลสำรวจพบว่า นักท่องเที่ยวกว่า 49% ระบุอาหารเป็นเหตุลผลหลักในการเดินทางไปเยือนมาเลเซีย ซึ่งอาหารมีความเฉพาะตัวในแต่ละวัฒนธรรม เช่น กัวลาลัมเปอร์ มีนาซิเลอหลากหลายแบบ เช่น นาซิเลอมักบุงกุส (ข้าวแช่กะทิห่อ เสิร์ฟพร้อมน้ำพริก และผัก) และนาซิเลอมักอายัมโกเร็งเบเรมปาห์ (ไก่รสเผ็ด) ส่วนรัฐปีนัง ยังมี Street Food อย่าง ฉ่าก๋วยเตี๋ยว (ก๋วยเตี๋ยวผัด) หมี่ฮกเกี้ยน (เส้นหมี่เหลืองผัด) และเซ็นดอล (น้ำแข็งไสหวานเย็น) ในมาเลเซียตะวันออก โคตาคินาบาลูมีอาหารท้องถิ่น เช่น ฮินาวา (สลัดปลาดิบ) และหมี่ตัวรัน หรือ Tuaran Mee ส่วนที่กูชิงก็มีจานเด็ดขึ้นชื่อมานอกปันโซห์ หรือ Manok Pansoh ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองของชาวอีบันที่ทำจากไก่ที่ปรุงด้วยสมุนไพรในไม้ไผ่<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/bZLHFdrNga8yWrY6LaCD.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,405px" data-align="center" data-file-name="bZLHFdrNga8yWrY6LaCD.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,405" data-origin="720px,405px" style="width: 720px; height: 405px;" data-index="1"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย จากผลสำรวจพบว่า ‘ญี่ปุ่น' คือจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับ 1 สำหรับด้านอาหาร ตามมาด้วยเวียดนามและลาว (อันดับ 2) และจีน (อันดับ 3) สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ระบุว่าอาหารคือเหตุผลหลักในการเดินทางมาเที่ยวไทย ส่วนใหญ่มาจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และเวียดนาม (ตามลำดับ) เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bay-flood-2024-sep-2024" alt="วิจัยกรุงศรี ชี้ช่วงปลายปี 67 เสี่ยงน้ำท่วมสูงขึ้น แต่ไม่หนักเท่าปี 54 คาดเสียหาย 46,500 ล้าน"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/kr-home-loan-banking-thailand-sep-2024" alt="ศูนย์วิจัยฯ ประเมินสินเชื่อบ้านโตต่ำสุดในรอบ 23 ปี ผลเศรษฐกิจฟื้นไม่ทั่ว-หนี้เสียสูง"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/travel/bangkok-ranks-4th-among-top-5-destinations-for-chinese-national-day" alt="กรุงเทพฯ ครองใจนักท่องเที่ยวจีน 2 ปีซ้อน! ติดอันดับ 4 ใน 5 จุดหมายปลายทางยอดฮิตช่วงวันชาติจีน">กรุงเทพฯ ครองใจนักท่องเที่ยวจีน 2 ปีซ้อน! ติดอันดับ 4 ใน 5 จุดหมายปลายทางยอดฮิตช่วงวันชาติจีน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไทยติดอันดับ 3 เมืองที่สายกินต้องมาเยือนในเอเชีย รองจาก ‘เกาหลีใต้ - ไต้หวัน’

<h2>ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2567 นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยฟื้นตัวดีกว่าที่คาด ด้วยจำนวน 6.4 ล้านคน หรือเติบโตกว่า 50% (YoY) มองไปข้างหน้า จากปัจจัยสนับสนุนที่ดีขึ้น ทั้งมาตรการวีซ่าชั่วคราวและถาวร การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน แผนการจัดงานประชุมสัมมนาระดับโลก รวมถึงสายการบินระหว่างประเทศที่มาไทยเพิ่มขึ้น ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยปี 2567 มาอยู่ที่ประมาณ 36 ล้านคน </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยมากขึ้นในปี 2567 โดยสาเหตุหลักๆ มาจาก 4 ปัจจัยหลัก ดังนี้&nbsp; &nbsp; 1.นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายประเทศฟื้นตัวดีกว่าที่คาดและกลับมาเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยจากข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในช่วง 2 เดือนแรกปี 2567 นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยมีจำนวน 6.4 ล้านคน เติบโตกว่า 50% (YoY) และนักท่องเที่ยวหลายประเทศกลับมาเติบโตกว่าปี 2562 เช่น มาเลเซีย รัสเซีย เกาหลีใต้ อินเดีย เยอรมัน ฝรั่งเศส ซาอุดีอาระเบีย อินโดนีเซีย เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ คาดว่าในไตรมาส 1 ของปี 2567 นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 9.32 ล้านคน เติบโต 42.7% (YoY) ซึ่งนับเป็นสัญญาณบวกต่อทิศทางในช่วงที่เหลือของปีน <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/KSYGrnuEWx6kCJjNa5bW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="KSYGrnuEWx6kCJjNa5bW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.มาตรการวีซ่าฟรีชั่วคราวกับหลายตลาด และวีซ่าถาวรสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้รับปัจจัยจากมาตรการวีซ่าชั่วคราว ได้แก่ นักท่องเที่ยวชาวคาซัคสถาน (ทางการต่ออายุมาตรการเริ่มวันที่ 1 มี.ค.- 31 ส.ค. 2567 และอยู่ระหว่างการทำข้อตกลงวีซ่าฟรีถาวร) อินเดียและไต้หวัน (10 พ.ย. 66 - 10 พ.ค. 2567) มาตรการขยายระยะเวลาพำนักของนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย (1 พ.ย. 66 - 30 เม.ย. 2567) รวมถึงวีซ่าฟรีถาวรระหว่างไทย-จีน เริ่มวันที่ 1 มี.ค. 2567 ซึ่งช่วยหนุนการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงที่เหลือของปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3.ธุรกิจสายการบินเปิดเส้นทางการบินใหม่ระหว่างประเทศมาไทยและเพิ่มความถี่เที่ยวบิน จากข้อมูลของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ในช่วง 2 เดือนแรกของปี2567 ปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 34.0% (YoY) หรือมีประมาณ 6.8 หมื่นเที่ยวบิน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เที่ยวบินระหว่างประเทศกลับมาแล้ว 78% ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปีนี้สายการบินทั้งไทยอย่างกลุ่มสายการบิน Low Cost มีการขยายเส้นทางการบินระหว่างประเทศมากขึ้น อาทิ จีน ญี่ป่น และเกาหลีใต้ นอกจากนี้สายการบินต่างชาติ อาทิ สายการบินจากกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ขยายระยะเวลาการบินนถึงในช่วงฤดูร้อนของยุโรป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4.การจัดงานสัมมนาและประชุมระดับโลก ได้แก่ การเป็นเจ้าภาพการจัดงานประชุมใหญ่สามัญของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติครั้งที่ 74 (FIFA Congress 2024) การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งกีฬาระดับนานาชาติและงานอื่นๆ ช่วยหนุนการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยปี 2567 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 36 ล้านคน (เพิ่มจากประมาณการที่ 30.6 ล้านคน ณ เดือน ธ.ค. 2566) โดยการปรับขึ้นส่วนสำคัญมาจากการมาตรการวีซ่าฟรีถาวรจีน ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกสบายต่อการเดินทางของท่องเที่ยวจีน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/8GPpdoiXJQsFdFBiNTkp.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="8GPpdoiXJQsFdFBiNTkp.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกทั้งตลาดหลักอย่างเกาหลีใต้ (ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากความร่วมมือในการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างไทยและเกาหลีโดยปี 2566-2567 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวระหว่างไทยและเกาหลีใต้) มาเลเซีย อินเดีย และรัสเซีย เติบโตดี รวมถึงตลาดรองอย่างอินโดนีเซียและยุโรปตะวันออก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวและปริมาณนักท่องเที่ยวมีจำนวนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึง นักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงเน้นการเดินทางเมืองท่องเที่ยวหลัก โดยกว่า 49% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวใน 3 จังหวัดหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต ซึ่งคงต้องอาศัยหน่วยงานท่องเที่ยวภาครัฐในการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในเมืองรอง การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อเมืองท่องเที่ยวรองมากขึ้น เพื่อลดปัญหาความหนาแน่นของเมืองท่องเที่ยวและกระจายรายได้ท่องเที่ยวเป็นวงกว้างมากขึ้น เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/travel/centara-business-plan-2024" alt="‘เซ็นทารา’ ฟื้นกลับมามีกำไร! ปีนี้เตรียมเปิดโรงแรมอีก 6 แห่ง">‘เซ็นทารา’ ฟื้นกลับมามีกำไร! ปีนี้เตรียมเปิดโรงแรมอีก 6 แห่ง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ฟรีวีซ่า-นักท่องเที่ยวจีนคัมแบ็ก คาดปีนี้ต่างชาติเที่ยวไทยแตะ 36 ล้านคน

<h2>Amadeus เผยรายงาน “ประเทศไทยสู่ปี 2030: จับกระแสอนาคตอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” ยก 4 ประเด็นหลักยกระดับการท่องเที่ยว พร้อมจับมือร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DIPA) และสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (PATA) เน้นย้ำถึงความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะยกระดับ "อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย"</h2>
Simon Akeroyd รองประธานกรรมการ ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ Amadeus หนึ่งในผู้เขียนรายงานเผยว่า “ประเทศไทยสู่ปี 2030: จับกระแสอนาคตอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” เป็นความร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DIPA) และสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (PATA) ระบุ ประเทศไทยจำเป็นต้องวางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวให้มีความชาญฉลาดยิ่งขึ้น เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตด้านรายได้ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในทศวรรษหน้า

“แม้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยเติบโตขึ้นถึงร้อยละ 6  ในปี 2561 แต่จากรายงานดังกล่าวเผยว่าความสามารถในการรองรับจำนวนผู้โดยสารของสนามบินต่างๆ ในประเทศกำลังจะถึงเพดานสูงสุด ในขณะที่จุดหมายปลายทางยอดนิยมเริ่มได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากเกินไป” Simon Akeroyd กล่าวและเสริมว่า

“หากการท่องเที่ยวยังคงเติบโตต่อเนื่องในอัตราเท่ากับปัจจุบัน สนามบินในประเทศไทยจะถูกใช้งานเต็มความจุเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ การขยายอาคารสนามบินอาจเข้ามาช่วยลดปัญหานี้ได้บางส่วน แต่เทคโนโลยีอัจฉริยะจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเพิ่มศักยภาพในการรองรับจำนวนผู้โดยสารของท่าอากาศยานในประเทศไทยได้ในอนาคต”

<img class="alignnone wp-image-15880 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/ไซมอน-เอครอย์-อมาเดอุส-01.jpg" alt="อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย " width="800" height="429" />

โดยรายงาน “ประเทศไทยสู่ปี 2030” ยังได้นำเสนอ 4 ประเด็นหลักที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญในทศวรรษหน้า ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของสนามบิน, การพัฒนาระบบการเชื่อมต่อระหว่างท่าอากาศยานและเมือง, การผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อยกระดับประสิทธิภาพเครือข่ายการคมนาคมในเขตเมือง และ การป้องกันไม่ให้เกิดภาวะนักท่องเที่ยวล้นเมือง

การนำเทคโนโลยีอัจฉริยะไปประยุกต์ใช้ รองรับการพัฒนาระบบการจัดการผู้โดยสารในปี 2561 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนประเทศไทยถึง 38.27 ล้านคน  และกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาคาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องในปี 2562 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรายได้ที่เพิ่มขึ้นของผู้คนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ทั้งนี้ Simon Akeroyd กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่าการขยายการเชื่อมต่อระหว่างท่าอากาศยานสู่เมือง เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ MICE ซึ่งมีนักธุรกิจ 2 กลุ่มที่น่าจับตาได้แก่ กลุ่มนักธุรกิจท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เกี่ยวข้องกัน คือกลุ่ม “bleisure” หรือผู้ที่เดินทางมาเพื่อธุรกิจแล้วอยู่ท่องเที่ยวพักผ่อนต่อ โดยตลาดทั้งสองนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ในการสร้างรายได้ที่หลากหลายยิ่งขึ้นในทศวรรษหน้า

“ในอนาคตอันใกล้นี้ จุดหมายปลายทางยอดนิยมในกลุ่ม MICE ในภูมิภาคจะหันมาแข่งขันกันที่ความสะดวกและความรวดเร็วในการเดินทาง ดังนั้น เมืองเหล่านี้จึงจำเป็นต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีที่จะช่วยมอบความสะดวกสบายให้นักท่องเที่ยว เช่น บริการเช็คอินและดร็อปกระเป๋า ณ สถานที่จัดประชุม ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยีที่นำมาใช้ยังต้องมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะจุดหมายปลายทางในตลาด MICE ข้างต้นไม่ได้แข่งขันกับเพียงจังหวัดอื่นๆ ในประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเมืองอื่นๆ ในภูมิภาคอีกด้วย” Simon Akeroyd กล่าวทิ้งท้าย

<img class="alignnone wp-image-15882 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/Amadeus_Infographic_ThailandTowards2030_TH-01.jpg" alt="อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย " width="350" height="521" />

ด้าน ประชา อัศวธีระ ผู้จัดการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ SIPA สาขาภูเก็ต เผยถึงภาพรวมการพัฒนาภูเก็ตสู่เมืองอัจฉริยะ (Smart City) ภายหลังดำเนินการผลักดันความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับระบบขนส่งในเขตเมือง

โดยสิ่งที่ SIPA เตรียมยกระดับใน 4 ด้าน ภายในปี 2020 คือ ความปลอดภัย เศรษฐกิจ สุขภาพ และ สิ่งแวดล้อม ซึ่งโครงการ Smart City ของภูเก็ตนั้น ประชา เผยว่า เตรียมพัฒนาเป็น 3 ส่วน ด้านอุตสาหกรรม ซึ่งภูเก็ตปัจจุบันเติบโตด้วยการท่องเที่ยวเป็นหลัก การนำเทคโนโลยี Smart Economy จะช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเติบโตได้อย่างยั่งยืน ผ่านการรวมมือจากนักพัฒนาต่างๆ ในศูนย์  Research Center หรือ Innovation Center

ด้านที่สอง ด้านความเป็นอยู่ หรือ Smart Living Community ประชาเผยว่า กล้อง CCTV ราว 1,700 ตัว แต่ไม่มีการรวมศูนย์การทำงานร่วม ซึ่งต่อไปจะเกิดศูนย์กลางพร้อมยกระดับ การใช้กล้อง CCTV ทั้งด้านความปลอดภัยและการเป็นเดินทางที่ดีขึ้น “เราเตรียมระบบ face recognition หรือระบบตรวจจับและวิเคราะห์ใบหน้า เข้ามาใช้ร่วมกับระบบฐานข้อมูลด้วย ซึ่งการดำเนินการจะนำร่องใน 2 พื้นที่สำคัญ ได้แก่ เทศบาลป่าตอง กับเทศบาลนครภูเก็ต”

<img class="alignnone wp-image-15881 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/ประชา-อัศวธีระ-ดีป้า-01.jpg" alt="อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย " width="800" height="470" />

ด้านที่สามคือเรื่อง Smart Sensor เป็นเซนเซอร์สำหรับการตรวจสอบสภาพอากาศ ตรวจเช็คสภาพของน้ำทะเล “ที่ผ่านมาเราได้แจกฟรีไวไฟให้กับประชาชนรวมถึงนักท่องเที่ยวภายในภูเก็ต ซึ่งทำให้เราสามารถตรวจสอบความหนาแน่นและจำนวนนักท่องเที่ยว เพื่อแก้ไขปัญหาการกระจุกตัวในท่าเทียบเรือหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ให้กับนักท่องเที่ยวแบบเรียลไทม์ โดยข้อมูลจะวิ่งไปที่มีศูนย์กลางเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป” ประชา อัศวธีระ กล่าว
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/travel/%e0%b8%97%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%a7-%e0%b8%a0%e0%b8%b9%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b9%87%e0%b8%95.html">PHIST 2019 แรงสู้ของภาคธุรกิจเพื่อการท่องเที่ยว “ภูเก็ต” อย่างยั่งยืน</a></li>
</ul>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events