ช่วงที่ผ่านมา หลายฝ่ายต่างติดตามข่าวคราวเรื่อง Entertainment Complex ซึ่งกลายเป็นช่องทางที่รัฐบาลอาจเปิดให้ไทยมีธุรกิจกาสิโนบนดินอย่างถูกกฎหมาย โดย 4 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการคลังเร่งรัดพิจารณาแนวทางในการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรซึ่งเป็นชื่อเต็มของ Entertainment Complex นั่นเอง
ดังนั้น หากจะเกิดกาสิโนขึ้นในไทย รัฐต้องมีการแก้ไขกฎหมาย และศึกษาผลกระทบในหลายด้าน ว่าแต่ความคืบหน้าเรื่องนี้เป็นอย่างไร
พลิก 'บ่อนใต้ดิน' สู่ 'กาสิโนถูกกฎหมาย' ไม่ใช่เรื่องใหม่
แม้จะไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่า ไทยมีบ่อนการพนันมากเพียงใด แต่เราต่างรับรู้ว่า แหล่งการพนันผิดกฎหมายในไทยยังคงเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ และมีเม็ดเงินสะพัดอยู่ไม่น้อย จนกลายเป็นเศรษฐกิจสีเทาที่สร้างปัญหาด้านอื่นๆ ตามมา
(จากการสืบค้นพบว่า มักมีรายงานสถานการณ์การพนันในสังคมไทยที่เจาะจงพฤติกรรมบุคคลมากกว่าข้อมูลสถิติด้านบ่อนการพนันที่เกิดขึ้น)
ดังนั้น การทำกาสิโนอย่างถูกกฎหมายจึงเป็นอีกแนวคิดที่รัฐบาลของไทยที่เคยยกขึ้นมาถกเถียงและศึกษากันหลายครั้ง ทั้งปี 2546 ยุครัฐบาลที่นำโดยพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ณ ขณะนั้นและ ปี 2551 รัฐบาลยุคนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช มาจนถึงปี 2564 ที่แผนการศึกษา Entertainment Complex ถูกดึงกลับมาอีกครั้ง
ทำไมรัฐบาลอยากปั้น Entertainment Complex กาสิโนไทยจะเป็นแบบไหน?
Entertainment Complex หรือ สถานบันเทิงครบวงจร ที่รัฐบาลอยากจะปั้นนั้นเรียกว่าต่อยอดจาก สถานบันเทิงแบบเดิมที่มีกฎหมายอยู่แล้วในหลายฉบับ เช่น ผับ บาร์ อาบอบนวด ไปจนถึงร้านอาหารที่มีจำหน่ายสุรา ซึ่งน่าจะต้องเพิ่มส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ‘กาสิโน’ หรือบ่อนการพนันเข้าไป โดยรัฐบาลมองว่า การปรับกฎหมายรอบนี้จะมาสนับสนุนการท่องเที่ยวในกลุ่ม Fun Economy เพื่อกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ และทำให้รัฐจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น รวมถึงยังดึงเม็ดเงินจากนักเล่นพนันที่บินไปเล่นในต่างประเทศให้กลับมาที่ไทย
ยิ่งถ้ามองถึงคำว่า ‘ครบวงจร’ ตามที่รัฐบาลอยากจะทำ ย่อมมีทั้งโรงแรม ศูนย์การประชุม ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล ธนาคาร สวนสนุก สนามกีฬา และอื่นๆ รวมเข้าไปด้วย โดยโมเดลเหล่านี้เกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่น สหรัฐ สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา ฯลฯ ซึ่งเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้กับประเทศ แต่ก็มาพร้อมกับผลกระทบในหลายด้านโดยเฉพาะด้านสังคม การฟอกเงิน และปัญหาอื่นๆ ดังนั้นการวางแผนในธุรกิจนี้จึงต้องระมัดระวังในหลายด้าน
ทำให้ช่วงที่ผ่านมา สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... (ร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงฯ) และเสร็จสิ้นไปเมื่อ 18 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา
สรุป Public Hearing ‘เปิดกว้างต่างชาติลงทุน-กำหนดค่าเข้าบ่อนคนไทย’
จากการเปิดรับฟังความคิดเห็นร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงฯ พบว่า มีหลายความคิดเห็นในหลายประเด็น ซึ่งทาง สศค. จะนำไปประกอบการพิจารณาร่างฯ นี้ เช่น
ด้านกฎหมาย และอำนาจหน้าที่ของผู้มีบทบาทเกี่ยวข้อง อาทิ
- กรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร (คณะกรรมการนโยบายฯ) ควรมาจากการสรรหาทั้งหมด
- คณะกรรมการนโยบายฯ มีอำนาจมากเกินไป ควรกำหนดให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการบริหาร หรือกำหนดหลักเกณฑ์ของการประกอบสถานบันเทิงครบวงจรระบุในร่าง พ.ร.บ.
- ฯลฯ
ด้านการทำธุรกิจคาสิโน อาทิ
- ควรมีการจำกัดจำนวนใบอนุญาตฯ หรืออาจจำกัดในแต่ละพื้นที่
- ควรเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน
- การกำหนดสัดส่วนผู้ถือหุ้นไทย เช่น ไม่ต่ำกว่า 30-51%
- การกำหนดอายุใบอนุญาตฯ มองว่า 30 ปี ยาวเกินไปควรเหลือ 10 ปี
- การกำหนดอัตราภาษีที่ชัดเจน ควรยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
- ควรให้มีการพนันออนไลน์, เล่นมวย หรือม้า
- ควรกำหนดสัดส่วนพนักงานคนไทยไม่น้อยกว่า 80%
- อื่นๆ
ด้านผู้เล่นในกาสิโน อาทิ
- ควรกำหนดค่าธรรมเนียมคนไทยเข้าเล่นพนันไว้ที่ 1,000 - 2,000 บาท ค่าเข้าเล่นรายปีที่ราว 20,000 - 40,000 บาท
- ควรกำหนดให้เฉพาะคนต่างชาติหรือคนไทยที่กำลังจะเดินทางออกนอกประเทศหรือกลับเข้ามาในประเทศไทย เข้าเล่นในสถานประกอบการกาสิโนเท่านั้น
- ควรกำหนดให้ผู้เข้าเล่นพนัน แสดงรายการบัญชีหรือเงินสด
- ควรมีบริการสินเชื่อให้ผู้เข้าเล่นพนันในกาสิโน ทั้งคนไทยและต่างชาติ
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนหนึ่งในการรับฟังความเห็นครั้งล่าสุดผ่านทาง สศค. แต่หากถามถึงความเห็นของประชาชน ยังมีอีกผลสำรวจจาก ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งสอบถามทัศนคติของคนไทยต่อการพนันว่า “ประเทศไทยควรเปิดบ่อนคาสิโนอย่างถูกกฎหมายหรือไม่” พบว่า ในปี 2560, 2562 และ 2564 มีผู้ไม่เห็นด้วยเกินกว่า 50% และมีผู้เห็นด้วยราว 29-30% และมีคำตอบว่าไม่แน่ใจ อยู่ที่ราว 16.2-19.6%
ถ้าไทยมี Entertainment Complex จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจแค่ไหน
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าสายงานวิจัย บล. กรุงศรี กล่าวว่า กรณีของ Entertainment Complex ประเมินว่าจะเป็น 1 ใน 2 ของ Mega theme ที่ภาครัฐหนุน ซึ่งคาดว่าจะหนุนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น และจะเพิ่มแรงส่งให้ภาคบริการได้
ทั้งนี้ Entertainment Complex ถือเป็นการนำธุรกิจนอกระบบเข้าสู่ในระบบ (ช่วยดึงภาษีนอกระบบสู่ในระบบ) ซึ่งเบื้องต้นในด้านการลงทุนภาครัฐวางแนวทางลงทุนในกรุงเทพฯ และพื้นที่นอกกรุงเทพฯ รวม 3-4 แห่ง อย่างไรก็ตามมองว่า ในการปรับ/ออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ Entertainment Complex ยังต้องใช้เวลาราว 1-1.5 ปี อีกทั้งการคัดเลือกผู้ประกอบที่ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม หากภาครัฐฯเปิด Entertainment Complex ได้ตามเป้าหมาย ราว 3-4 แห่ง ทาง บล.กรุงศรี ประเมินน่าจะช่วยเพิ่มนักท่องเที่ยวได้แห่งละ 2 - 2.5 ล้านคน ซึ่งจะหนุนภาคบริการในระยะกลางและยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน อาจส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่ม Value Chain ของ Entertainment Complex จึงให้น้ำหนักจิตวิทยาทางบวกต่อกลุ่มต่างๆ เช่น
1. หุ้นกลุ่มที่มีฐานทุนสูง และมีกระแสข่าวว่าจะเข้าร่วมโครงการ อาทิ AWC, กลุ่มบ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ UTA (BA, BTS, STEC), กลุ่ม CP และกลุ่มเดอะมอลล์
2. หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะมีโอกาสจาก Mega Projects ขนาดใหญ่ เน้น STEC ที่มีโอกาสเดินหน้าไปกับกลุ่ม UTA
3. หุ้นธนาคารที่คาดมีการปล่อยสินเชื่อขนาดใหญ่สนับสนุนโครงการ อาทิ BBL, KBANK, KTB
4. หุ้นภาคบริการ เน้น AOT, MINT, BDMS
แต่ผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจยังคงต้องติดตามความคืบหน้าว่า เงื่อนไขในการทำธุรกิจของ Entertainment Complex จะมีการปรับเปลี่ยนอย่างไร ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดเก็บภาษี และอื่นๆ
กาสิโน จะส่งผลต่อสังคมไทยอย่างไร
แม้บ่อนการพนันจะยังไม่ถูกกฎหมายในไทย แต่เมื่อประเทศรอบบ้านของไทยมีบ่อนการพนันหลากหลายรูปแบบให้เลือก คนไทยบางส่วนจึงหลั่งไหลไปยังบ่อนแนวชายแดน
โดยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ระบุว่า ในปี 2544 มีบ่อนการพนันในบริเวณชายแดนรวม 23 แห่ง (กัมพูชา, เมียนมา, มาเลเซีย, สปป.ลาว และ) โดยในแต่ละเดือนมีคนไทยข้ามไปเล่นการพนันรวมทั้งสิ้นหลายหมื่นคน โดยรวมแล้วคาดว่ามีเงินไหลออกไปยังบ่อนแนวชายแดนเฉลี่ยทั้งปีที่ราว 40,000 ล้านบาท
ขณะที่ปัญหาด้านสังคม มองว่า บ่อนการพนันอาจสร้างปัญหาด้านหนี้สิน และปัญหาครอบครัว รวมถึงอาจเป็นแหล่งฟอกเงินของมิจฉาชีพ หรือกลุ่มที่มีรายได้มาจากแหล่งที่ผิดกฎหมาย คอร์รัปชันต่างๆอาจทวีความรุนแรงขึ้น และอาจนำสู่ธุรกิจนอกกฎหมายในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาสังคมที่รุนแรงตามมา
สุดท้ายนี้ Entertainment Complex อาจเป็นทั้งโอกาสที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ ไม่ว่าจะสร้างการจ้างงาน สร้างรายได้ รวมถึงสร้างธุรกิจใหม่ในไทย แต่ขณะเดียวกันยังต้องศึกษาแนวทางเพื่อปิดช่องโหว่ และลดผลกระทบต่อปัญหาสังคมในด้านอื่นๆ ที่อาจตามมา ซึ่งการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อาจต้องใช้เม็ดเงินและเวลามหาศาล ซึ่งบางครั้งคนไทยอาจต้องจ่ายมากกว่ารายได้ที่เข้ามา
อ้างอิงข้อมูล: สภาพัฒน์, บล.กรุงศรี, กระทรวงการคลัง, ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน
Photo by Kaysha on Unsplash, Michal Parzuchowski on Unsplash
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : YLG เปิดสถิติทองย้อนหลัง 8 ปี ถ้าถือยาวได้ผลตอบแทน 124%
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine