<h2>ความรวยมหาศาลของ Bernard Arnault มหาเศรษฐีเจ้าของอาณาจักร LVMH สินค้าลักชัวรีจากฝรั่งเศส คือ บทพิสูจน์การเติบโตของธุรกิจสินค้าฟุ่มเฟือยในยุคโควิด-19 </h2>
<figure><img class="wp-image-44270" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/5c77eea8262898370b46c887.jpg" alt="Bernard Arnault" width="720" height="540" /><figcaption> Alexandre และ Bernard Arnault</figcaption></figure>

แม้ว่าในปี 2020 ที่ผ่านมา รายได้และกำไรของกลุ่มบริษัท<a href="https://www.lvmh.com/news-documents/press-releases/good-start-to-the-year-for-lvmh/"> LVMH</a> ผู้ถือครองลิขสิทธิ์แบรนด์แฟชั่นไฮเอนด์ระดับโลกจำนวนมากจะลดลงในอัตราร้อยละ 17 และ 28 ตามลำดับ แต่ด้วยมูลค่าหุ้นของบริษัทที่กลับปรับตัวสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึงร้อยละ 107 นับตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2020 เป็นต้นมา ได้ส่งผลให้ Bernard <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/bernard-arnault/?sh=4d5586c866fa">Arnault</a> มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งอันดับ 3 ของโลก มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้น 9.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ มาอยู่ที่ 1.71 แสนล้านเหรียญ ขณะที่ผู้ถือหุ้นต่างมองว่า รายได้และกำไรของบริษัทจะกลับมาโตอีกครั้งหนึ่ง

ล่าสุด ทางบริษัทรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสแรกของปี 2021 ว่ามีรายได้อยู่ที่ 1.67 หมื่นล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้าราวหนึ่งในสาม โดยได้รับอานิสงส์มาจากรายได้ของกลุ่มธุรกิจประเภทนาฬิกา อัญมณี สินค้าแฟชั่น และเครื่องหนังเป็นหลัก

ปัจจุบัน Arnault วัย 73 ปี มีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ใน LVMH อยู่ที่ร้อยละ 47 ซึ่งมีบริษัทในเครือตั้งแต่ Louis Vuitton, Fendi ไปจนถึงแบรนด์วอดก้าพรีเมี่ยมอย่าง Belvedere และแชมเปญ Dom Pérignon ขณะที่อีกร้อยละ 2 ของทรัพย์สินส่วนตัวมาจากแบรนด์เครื่องหนังอย่าง Hermes และร้อยละ 6 จาก Carrefour ธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่สัญชาติฝรั่งเศส รวมกับเงินสดและการลงทุนอีกกว่า 1 พันล้านเหรียญ

เช่นเดียวกับทุกอุตสาหกรรมที่ปี 2020 ได้กลายเป็นปีแห่งความท้าทายขององค์กร เริ่มตั้งแต่ในช่วงต้นเดือนมีนาคม หุ้นของ LVMH ได้ปรับตัวลงราวร้อยละ 25 หรือคิดเป็นมูลค่า 343 เหรียญต่อหุ้นเป็นระยะเวลากว่า 2 สัปดาห์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ไม่นานหลังจากนั้นทางบริษัทได้ออกมาประกาศว่าจะลดอัตราการทำงานของพนักงานลง เพื่อเข้าสู่โครงการเงินอุดหนุนของรัฐบาลฝรั่งเศสก่อนที่จะ<a style="color: #333333;" href="https://www.spglobal.com/marketintelligence/en/news-insights/latest-news-headlines/lvmh-kering-reverse-plans-to-put-workers-on-state-aid-scheme-8211-ft-57934743">ยกเลิกการตัดสินใจดังกล่าวไป</a>

ต่อมาในเดือนมิถุนายน หุ้นของบริษัทได้ปรับตัวขึ้นสูงเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดในเดือนพฤศจิกายนก็ได้ทำลายสถิติในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 ที่ 589 เหรียญต่อหุ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ LVMH อยู่ระหว่างการเดินหน้าเข้าซื้อกิจการ <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/sites/giacomotognini/2021/04/13/how-lvmh-chief-bernard-arnault-got-nearly-100-billion-richer-over-the-past-year/?sh=7c3f0fb9692f&amp;utm_source=FBPAGE&amp;utm_medium=social&amp;utm_content=4728135093&amp;utm_campaign=sprinklrForbes+Asia">Tiffany &amp; Co.</a> ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในเดือนมกราคม 2021 ที่ผ่านมาที่มูลค่า 1.58 หมื่นล้านเหรียญ

โดยดีล Tiffany &amp; Co. นี้ไม่เพียงแต่จะเสริมความแข็งแกร่งด้านการตลาดให้กับบริษัทเท่านั้น หากยังเป็นการขยายตลาดกลุ่มลูกค้า ที่พร้อมจะสร้างเม็ดเงินมหาศาลให้หมุนเวียนในองค์กร LVMH มากขึ้นอีกด้วย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา สินค้ากลุ่มจิวเวลรีและรองเท้า เป็นสินค้าที่มียอดขายเติบโตมากกว่าตลาดเสื้อผ้าแฟชั่นเสียอีก

<figure><img class="wp-image-44271" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/MSSVUUZ7GNG5TKD4LXJUG5M2CM.jpg" alt="Bernard Arnault" width="720" height="540" /><figcaption> aR Ace of Spades</figcaption></figure>

และภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือน LVMH ก็ได้ประกาศเข้าถือหุ้นร้อยละ 50 ที่ 300 ล้านเหรียญในบริษัท Armand de Brignac ของ <a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/world/america/jay-z-แร็ปเปอร์มหาเศรษฐี.html">Jay-Z</a> แรปเปอร์ชื่อดัง

อย่างไรก็ดี แม้ว่าดีลครั้งนี้จะทำให้ Moet Hennessy ซึ่งอยู่ในเครือ LVMH ได้เป็นพันธมิตรจัดจำหน่ายแบรนด์แชมเปญ Ace of Spades ทั่วโลก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ธุรกิจในภาคส่วนนี้ได้รับผลกระทบจากการ<a style="color: #333333;" href="https://www.lvmh.com/news-documents/press-releases/lvmh-showed-good-resilience-against-the-pandemic-crisis-in-2020/">ปิดตลาดในจีนและยุโรป</a>ในช่วงต้นปี 2020 ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้งในสหรัฐฯ และจีนในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี เช่นเดียวกับตลาดอุตสาหกรรมแฟชั่นและเครื่องหนังที่มีแบรนด์สำคัญๆ อย่าง Louis Vuitton และ Givenchy ที่ค่อยๆ มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ด้าน L Catterton บริษัทร่วมทุนของ LVMH ก็ได้เข้าซื้อกิจการในอุตสาหกรรมต่างๆ ตั้งแต่ธุรกิจสุขภาพไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์ โดยหนึ่งในดีลที่ใหญ่ที่สุด คือ การเข้าถือหุ้นร้อยละ 70 หรือคิดเป็นมูลค่า 3.4 พันล้านใน <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/sites/laurendebter/2021/03/02/birkenstock-billionaires-unveiled-after-german-sandal-maker-agrees-to-sale/?sh=30791b4b48d7">Birkenstock</a> บริษัทรองเท้าแตะสุขภาพสัญชาติเยอรมันจนส่งผลให้คู่พี่น้อง <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/alex-birkenstock/?list=rtb&amp;sh=5cd9c62a72d3">Alex</a> และ <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/christian-birkenstock/?list=rtb&amp;sh=16c97e25520f">Christian Birkenstock</a> ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีหน้าใหม่แห่งปี

นอกจากนี้ L Catterton ยังได้ลงทุนอีก 250 ล้านเหรียญใน Jio Platforms ธุรกิจโทรคมนาคมและเทคโนโลยีในเครือ Reliance Industries ของ Mukesh Ambani มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของเอเชีย และอีก 400 ล้านเหรียญในธุรกิจเรือสำราญอย่าง Norwegian Cruise Line ซึ่งนับเป็นดีลที่คุ้มค่าอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากที่ทาง Norwegian ได้ซื้อหุ้นดังกล่าวคืนในมูลค่าที่มากกว่า 1 พันล้านเหรียญเสียอีก

สำหรับภาพรวมตลอดปี 2020 ที่ผ่านมา จึงกล่างได้ว่า L Catterton ได้ลงทุนเป็นมูลค่ามากกว่า 2.3 พันล้านเหรียญใน 20 บริษัท และได้สร้างรายได้ก่อนหักภาษีใน 12 ธุรกิจที่ได้ถอนตัวออกมาแล้วเป็นจำนวนกว่า 4 พันล้านเหรียญ

แปลและเรียบเรียงจากบทความ How LVMH Chief Bernard Arnault Got Nearly $100 Billion Richer Over The Past Year เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/world/global-world/การจัดอันดับ-อภิมหาเศรษ.html">การจัดอันดับ อภิมหาเศรษฐีโลก ประจำปี 2021</a>

ความรวยมหาศาลของ Bernard Arnault ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19

<h2>การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2016 พวกเขาคงงงงวยไม่น้อย ว่าเหตุใดประเทศมหาอำนาจอันรุ่งเรืองและมีสติสัมปชัญญะเพียบพร้อม จึงมาลงเอยที่ 2 ผู้สมัครชิงตำแหน่งฯ มาฟังอภิมหาเศรษฐี แห่ง Forbes 400 กับสื่ออย่างชัดเจนกันดีกว่า</h2>
"คุณเอาปืนมาจ่อหัวผมเลยดีกว่า ถ้าต้องให้เลือกระหว่างมะเร็งกับหัวใจวายเนี่ย มันไม่น่าเลือกเลยทั้งสองอย่าง”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d40eed6e3d97f91f02a2946be970b1b2.png" alt="" width="238" height="238" />
CHARLES KOCH (4.2 หมื่นล้านเหรียญ)

&nbsp;

“Donald Trump ไม่ต่างอะไรจาก ISIS”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/15a2d4ca28e5bca21b2f0d51c384c2d6.png" alt="" width="258" height="258" />
GEORGE SOROS (2.49 หมื่นล้านเหรียญ)

&nbsp;

“ถ้า Hillary Clinton ได้เป็นเธอคงจะยกเลิกการพัฒนาเชื้อเพลิงจากฟอสซิล และทำให้อัตราการจ้างงานหด ราคาน้ำมันคงสูงขึ้น และเธอก็คงจะเพิ่มการนำเข้าน้ำมันจากปรปักษ์ของเรา”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0689fcba76168bab00f9557c85b8edd1.png" alt="" width="279" height="279" />
HAROLD HAMM (1.31 หมื่นล้านเหรียญ)

&nbsp;

“ผมเป็นชาว New York นะครับ เรารู้ไต๋หมดแหละว่าใครโกหก ผมว่าสิ่งที่ Donald Trump มีอู้ฟู่ที่สุดก็คือความเจ้าเล่ห์”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8ede1b1ab65ebfa9d2751f269989c474.png" alt="" width="282" height="282" />
MICHAEL BLOOMBERG (4.5 หมื่นล้านเหรียญ)

&nbsp;

“ถ้ามองไปยังอีก 3 ปีข้างหน้า เศรษฐีจะดีกว่านี้แน่ถ้า Trump ได้รับการเลือกตั้ง”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/9f1f3407ca0019dbb48f89b33ae96224.png" alt="" width="256" height="256" />
CARL ICAHN (1.57 หมื่นล้านเหรียญ)

เสียงตอบรับช่วงหาเสียง

แปดเท่าครึ่ง

<h2>บางคนอาจจะเรียกโครงการเหล่านี้ว่าเป็นความเพ้อฝัน ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงหรือล้ำยุคเกินไป แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นก็มีบทสรุปไม่ต่างกัน บางครั้งแม้แต่อภิมหาเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จอย่างล้ำเลิศในโลกธุรกิจก็พยายามผลักดันโครงการที่จะทำอะไรดีๆ ให้สังคมแต่ปรากฏว่าไม่ประสบผลอย่างที่ตั้งใจไว้ ต่อไปนี้คือบางตัวอย่างของอภิมหาเศรษฐีที่พยายามจะทำโครงการเพื่อสังคมแต่กลับล้มเหลว</h2>
<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/APRIL%202016/001.png" alt="" />
Bill Gates
ด้วยความเชื่อว่าโรงเรียนมัธยมปลายไม่ควรจะใหญ่จนเกินไป ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft จึงใช้เงิน 2 พันล้านเหรียญจากมูลนิธิของเขาเพื่อสร้างโรงเรียนที่มีขนาดเล็กลงทั่วทั้งสหรัฐฯ แต่ในจดหมายของมูลนิธิที่เขียนถึงสาธารณชนในปี 2009 Gates ยอมรับว่า “โรงเรียนขนาดเล็กหลายแห่งที่เรานำเงินเข้าไปสนับสนุนไม่ได้ทำให้นักเรียนของโรงเรียนเหล่านี้ประสบความสำเร็จมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ”

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/APRIL%202016/002.png" alt="" />
Mark Zuckerberg
เขาเองก็เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหาด้านการศึกษาเช่นกัน ในปี 2010 CEO ของ Facebook ผู้นี้ ได้ควักเงินถึง 100 ล้านเหรียญเพื่อฟื้นฟูระบบการศึกษาของเมือง Newark ในรัฐ New Jersey ซึ่งล้มเหลวมาอย่างยาวนาน แต่น่าเสียดายที่ครูอาจารย์ไม่เห็นด้วยกับแผนการฟื้นฟูระบบการศึกษาของเขา จำนวนที่ปรึกษาโครงการยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และนักเรียนก็ยังต้องดิ้นรนต่อไป เมื่องบประมาณสำหรับโครงการนี้หมดลง

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/APRIL%202016/003.png" alt="" />
Peter Lewis
ประธานของ Progressive Insurance ผู้ล่วงลับ ได้บริจาคเงินถึง 40 ล้านเหรียญ ผ่านโครงการรณรงค์หลายโครงการเพื่อสนับสนุนให้กัญชาเป็นของที่ถูกกฎหมาย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารอดจากการถูกจับในนิวซีแลนด์ ด้วยข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครอง ประชากรของรัฐส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการทำให้กัญชาเป็นของถูกกฎหมาย แต่ในปี 2012 ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขายังทันได้เห็นประชากรของรัฐ Colorado และ Washington เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ของเขา

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/APRIL%202016/004.png" alt="" />
George Soros
ตั้งแต่เริ่มทศวรรษที่ 1980 เจ้าพ่อกองทุน hedge fund ผู้นี้ได้ทุ่มเงินลงในยุโรปตะวันออก ด้วยความหวังว่าจะส่งเสริมให้ประเทศเหล่านี้มีสังคมที่เปิดกว้างมากขึ้น เขาบริจาคเงินให้กับองค์กรขนาดเล็กๆ แต่กลับปรากฎว่าไม่สามารถจะบริหารจัดการเงินก้อนใหญ่ยักษ์ที่เขาทุ่มให้ได้ “ดูเหมือนว่าแผนการใหญ่ของผมจะพังทลายไปทั้งที่เกือบจะสำเร็จอยู่รอมร่อแล้วเชียว” Soros ยอมรับอย่างเสียดายในหนังสือ Underwriting Democracy ที่เขาตีพิมพ์ในปี 1991

<hr />

<a href="http://goo.gl/lvtWCi">คลิ๊กอ่านบทความเพื่อจุดประกายไฟฝันทางด้านธุรกิจ จาก Forbes Thailand ฉบับ APRIL 2016 ในรูปแบบ E-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/lvtWCi"><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/APRIL%202016/COVER-Resize.png" alt="" width="259" height="339" /></a>

โครงการดีๆ ที่ไม่ประสบความสำเร็จของอภิมหาเศรษฐีระดับโลก

<h2>Bill Gates Sr. พูดคุยถึงวัยเด็กของลูกชาย ซึ่งต่อมากลายเป็นผู้ก่อตั้ง Microsoft และอภิมหาเศรษฐีใจบุญ</h2>
Bill ในวัยเด็กเป็นยังไง?
เขาชอบอ่านหนังสือมาก ทั้งสารานุกรม นวนิยายแนววิทยาศาสตร์ เรียกได้ว่าหนังสือทุกประเภทเลยทีเดียว อ่านมากเสียจนทั้งผมและแม่ของเขาต้องตั้งกฎ ห้ามอ่านหนังสือเวลารับประทานอาหารเย็น

เขาเริ่มสนใจคอมพิวเตอร์ตอนไหน?
ตั้งแต่ตอนที่เขายังเด็กมาก สมัยที่ยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนตอนที่บรรดาผู้ปกครองระดมทุนกันเพื่อซื้ออุปกรณ์ที่จะเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับสายโทรศัพท์เพื่อให้คุณครูที่โรงเรียนได้ใช้ แต่ครูลองใช้แล้วทำไม่ค่อยถูก เลยไม่กล้าใช้มัน Bill เป็นหนึ่งในกลุ่มนักเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่ได้รับเลือกให้ทดลองใช้และเรียนรู้วิธีการใช้งาน และพอเขาอายุได้ 13 ปี เขาก็ติดคอมพิวเตอร์งอมแงม

เขาทำงานอะไรก่อนที่จะเข้ามหาวิทยาลัยหรือเปล่า?
ตอนที่เขาใกล้จะจบชั้นมัธยมปลาย Bill ขอพักการเรียนเพื่อไปวางโปรแกรมให้กับโรงไฟฟ้าที่ North Bonneville ในรัฐ Washington ซึ่งตอนนั้นผมกับภรรยาได้คุยกับครูใหญ่ของโรงเรียนและเห็นตรงกันว่างานนี้น่าจะช่วยเปิดโอกาสให้เขาได้ใช้ทักษะและความสนใจที่เขามีอยู่ ผมจำได้ว่าตอนนั้น Bill เล่าให้ฟังว่าเขากับ Paul Allen ทำงานกันไม่ยอมหลับยอมนอนเพื่อเขียนโปรแกรมระบบการบริหารสายส่งไฟฟ้า

คุณรู้สึกอย่างไรตอนที่ Bill บอกว่าเขาจะลาออกจาก Harvard?
ถ้าจะบอกว่าไม่ได้กังวลอะไรก็คงไม่ใช่ แต่ในตอนนั้น Bill ค่อนข้างมีความชัดเจนในเป้าหมายชีวิตของตัวเอง แล้วอีกอย่าง เขาเองก็ต้องทุ่มเทเวลาให้กับบริษัทคอมพิวเตอร์ที่เขากับ Paul Allen ตั้งขึ้นมาด้วย แต่ผมกับภรรยาก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าลูกของเราจะเลิกเรียนกลางคันแบบนี้ แต่สำหรับ Bill แล้ว เขารู้ดีว่าเขาทำอะไรอยู่

<hr />

<a href="http://goo.gl/5KbXgP">คลิ๊กอ่านบทความเพื่อสร้างแรงบันดาลใจทางธุรกิจได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ MARCH 2016 ในรูปแบบ E-Magaizne </a>
<a href="http://goo.gl/5KbXgP"><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%20march/cover-forbes-march2016-re.jpg" alt="" width="330" height="432" /></a>

เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นมหาเศรษฐี

เรื่อง: Liyan Chen เรียบเรียง: ชนกานต์ อนันตคุณากร 
&nbsp; 
บ่ายวันหนึ่ง Wang Jianlin ก้าวลงมาจากรถลีมูซีนบนถนนเลขที่ 42 ที่อยู่ไม่ไกลจากย่านไทม์สแควร์ในเมือง New York ที่บรรยากาศกำลังอบอวลไปด้วยไออากาศร้อนระอุของช่วงปลายเดือนมีนาคม กลุ่มคนที่ยืนเข้าแถวรอต้อนรับต่างกรูเข้าไปล้อมหน้าล้อมหลังชายผู้นี้แทบจะในทันทีที่เขาปรากฎตัว นี่เป็นครั้งแรกที่พนักงานของ AMC Empire Theatre จะได้พบกับเจ้าของกิจการชาวจีนคนใหม่ ชายผู้ได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในเอเชียด้วยมูลค่าทรัพย์สินจำนวน 38,600 ล้านเหรียญ 
&nbsp; 
Jianlin ปรากฎกาย โดยมีผู้ติดตามคอยเดินประกบเพื่อให้ข้อมูลความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ อาคารซึ่งมีอายุเก่าแก่ร่วมร้อยปีหลังนี้เป็นหนึ่งในโรงภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดติดอันดับโลก &ldquo;รายได้โดยรวมอาจจะสูงที่สุดจริง แต่ถ้าคำนวณรายได้ต่อโรงภาพยนตร์แล้วถือว่าไม่สูง ผมคิดว่ายอดขายบัตรชมภาพยนตร์ของเราที่ Wujiaochang (ในเมือง Shanghai) สูงกว่านี้&rdquo; 
&nbsp; 
ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครรู้จักเขา แต่ความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการบริษัท AMC มูลค่า 2.6 พันล้านเหรียญในปี 2012 ส่งผลให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลก การถือหุ้นในกิจการโรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าราว 2.1 พันล้านเหรียญ และการเสนอขายหุ้นไอพีโอกิจการสองแห่งของเขาในประเทศบ้านเกิดเมื่อไม่นานมานี้เปลี่ยนสถานะของ Jianlin จากนักธุรกิจชาวจีนผู้ชอบทำตัวลึกลับให้กลายเป็นอภิมหาเศรษฐีลำดับที่ 11 ของโลกไปในทันที 
 
โดยอันดับความมั่งคั่งของเขาแซงหน้า Mark Zuckerberg, Sheldon Adelson และ Li Ka-shing (ซึ่งติดโผอภิมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดของเอเชียมาเป็นเวลานานก่อนหน้านี้) และการเสนอขายหุ้นไอพีโอมูลค่า 3.7 พันล้านเหรียญในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาทำให้ Dalian Wanda Commercial Properties บริษัทที่เป็นธุรกิจเรือธงของเขาได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน FORBES Global 2000 List และในปีหน้า Wanda Cinema Line ธุรกิจอีกแห่งหนึ่งของเขาจะเดินรอยตามความสำเร็จแบบเดียวกัน 
&nbsp; 
Jianlin ไม่ได้ต้องการเป็นแค่เบอร์หนึ่งในประเทศจีน เขาวางเป้าหมายสำหรับตัวเองและกลุ่มธุรกิจในเครือ Dalian Wanda ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น โดยตั้งเป้าว่ายอดขายของกลุ่ม Wanda Group จะต้องแตะ 1 แสนล้านเหรียญในปี 2020 ให้ได้ (จากยอดขายปัจจุบันที่ 40,000 ล้านเหรียญ) และมีสัดส่วนรายได้ 1/5 จากต่างประเทศ 
&nbsp; 
การพบกันระหว่างทีมงานกับ Jianlin ในครั้งนี้จัดขึ้นที่ห้องสวีทสุดหรูบนถนน Fifth Avenue ในโรงแรม St. Regis โดยเขาได้พูดคุยกับทีมงาน Forbes Asia เกี่ยวกับความฝันของเขาที่จะก้าวไปไกลถึงระดับโลก เนื่องจากเป็นทริปการเดินทางมาอเมริกาช่วงสั้นๆ ตารางงานของเขาในแต่ละวันจึงค่อนข้างจะแน่นเอียด แต่เขาก็พอจะปลีกตัวให้เราได้มีโอกาสนั่งสัมภาษณ์ในวันนี้ 
&nbsp; 
&ldquo;เรามีเป้าหมายชัดเจนที่จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศ (สำหรับ Wanda Group) ในส่วนของธุรกิจบันเทิงและกีฬา&rdquo; Jianlin ให้สัมภาษณ์ทีมงานเป็นภาษาจีนขณะโน้มตัวมาทางด้านหน้าของเก้าอี้ 
&nbsp; 
ปริศนาชิ้นที่สองของการขยายธุรกิจไปต่างประเทศของกลุ่ม Wanda คือ การสร้างอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ระดับหรู ซึ่งเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปดูภูมิหลังความเป็นมาของ Jianlin ที่ก่อร่างสร้างตัวมาจากการทำธุรกิจในบ้านเกิด เขาเคยเป็นทหารประจำการกองทัพบกและเป็นข้าราชการก่อนที่จะประสบความสำเร็จและร่ำรวยจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันเขาเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า แหล่งการค้า โรงภาพยนตร์ และโรงแรมหรูในประเทศจีนรวมทั้งสิ้น 430 แห่ง 
&nbsp; 
&ldquo;ผมต้องการใช้เวลา 10 ปีนับจากนี้ในการสร้างตราสินค้าของจีนให้ติดอันดับโลก&rdquo; Jianlin พูดอย่างโอ้อวดว่ากลุ่มโรงแรมในเครือ Wanda ของเขาจะต้องเลิศหรูอลังการกว่าโรงแรมในเครือ Shangri-La ของ Robert Kuok ซึ่งเป็นอภิมหาเศรษฐีชาวมาเลเซียอย่างแน่นอน โดยเขาได้ลงทุนเงินไปแล้วกว่า 2 พันล้านเหรียญในเมือง Chicago และเมือง Beverly Hills และกำลังจะลงทุนเพิ่มในเมือง New York และเมือง San Francisco ทั้งนี้ Jianlin วาดฝันที่จะเห็นโรงแรมในเครือ Wanda ผุดขึ้นในเมืองสำคัญๆ กว่า 30 แห่งทั่วโลก ไล่เรียงจากกรุงลอนดอนไปจนถึงเมืองซิดนีย์ภายในปี 2025 
&nbsp; 
Jianlin ไม่ได้ปิดบังความรู้สึกทะเยอทะยานที่ต้องการก้าวไปไกลถึงระดับฮอลลีวู้ด จะว่าไปตัวเขาก็ไม่ต่างจากชาวจีนส่วนใหญ่ที่ให้ค่าความสำคัญกับขนาดและสถานะเหนือสิ่งอื่นใด ดูได้จากการที่ Dalian Wanda Group ของ Jianlin ลงทุนเงินประมาณ 8 พันล้านเหรียญเพื่อสร้างสตูดิโอผลิตภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เมือง Qingdao และเชิญดาราภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Nicole Kidman และ Leonardo DiCaprio มาร่วมในงานเปิดตัวโครงการก่อสร้างสตูดิโอดังกล่าว ซึ่งภาพยนตร์แนวอินดี้ไม่อยู่ในกลุ่มที่ได้รับเชิญ Jianlin บอกว่าเฉพาะภาพยนตร์ที่มีทุนสร้างไม่ต่ำกว่า 50 ล้านเหรียญเท่านั้นถึงจะได้เข้าฉายในมหานครแห่งโรงภาพยนตร์ของเขาที่ชื่อว่า Qingdao Oriental Movie Metropolis 
&nbsp; 
เมื่อหันมาดูกิจการที่เขาซื้อในต่างประเทศจะเห็นว่ามูลค่ากิจการจะอยู่ระหว่าง 5,000 &ndash; 10,000 ล้านหยวน (ราว 800 &ndash; 1,600 ล้านเหรียญ) ถึงแม้ว่า Dalian Wanda Group จะไม่สนใจการซื้อสตูดิโอภาพยนตร์ Lionsgate และ MGM แล้วในตอนนี้ แต่ Jianlin ก็ยังออกตระเวนไปตามที่ต่างๆ เพื่อมองหาธุรกิจที่น่าสนใจต่อไป โดยเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า &ldquo;ในอีก 2-3 ปีนับจากนี้ คุณจะได้เห็นดีลการซื้อกิจการของ Wanda อย่างต่อเนื่องแน่นอน&rdquo; ก่อนจะตบท้ายประโยคว่า &ldquo;พวกเราจะกวาดให้เกลี้ยง&rdquo;
<hr />
<a href="http://goo.gl/xs62JE">คลิ๊กอ่าน "จอเงิน พร้อมรบ" ฉบับเต็มได้ที่ FORBES THAILAND ฉบับ SEPTEMBER 2015</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events