<h2>ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน ความเคลื่อนไหวของผู้คนที่อยู่ในสปอตไลท์ เช่น ดารา ไฮโซ ฯลฯ ยังคงได้รับความสนใจเสมอ วันนี้ Forbes Thailand อยากชวนมาคุยในอีกมิติ คือ ความมั่งคั่งของ 'ไฮโซหนุ่ม' คู่รักดาราหญิงไทยถือหุ้นในบริษัทอะไรบ้าง และธุรกิจนั้นอยู่ใกล้ตัวเราแค่ไหน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Forbes Thailand สืบค้นข้อมูลผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) พบว่า หนึ่งในคนที่โดดเด่นในวงการธุรกิจคือ ‘พิธาน องค์โฆษิต’ คู่รักของ ออม - สุชาร์ มานะยิ่ง ซึ่งเป็นทั้งผู้บริหารระดับสูงขององค์กร และยังถือหุ้นในหลายธุรกิจ มูลค่ารวมกว่า 6,857 ล้านบาท แบ่งเป็น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- บมจ. เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ หรือ KCE ธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ &nbsp; &nbsp; &nbsp; มีหุ้นจำนวน 164,754,244 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 13.94% มูลค่าราว 6,178 ล้านบาท (ราคา 37.5 บาท/หุ้น*)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น หรือ AAV ธุรกิจการบินในแบรนด์ที่หลายคนคุ้นหูอย่าง ไทยแอร์เอเชีย &nbsp; &nbsp; &nbsp; โดยมีหุ้นจำนวน 222,253,196 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 1.73% มูลค่าราว 475 ล้านบาท (ราคา 2.14 บาท/หุ้น*)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- บมจ. แพลน บี มีเดีย หรือ PLANB ธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ เจ้าของป้ายโฆษณาที่หลายคนเคยเห็นบนรถไฟฟ้า หรือริมถนนสายหลักต่างๆ &nbsp; &nbsp; &nbsp; โดยมีหุ้นจำนวน 26,437,500 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.62% มูลค่าราว 174 ล้านบาท (ราคา 6.6 บาท/หุ้น*)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- บมจ. มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) หรือ MGC ธุรกิจยานยนต์ &nbsp; &nbsp; &nbsp; มีหุ้นจำนวน 8,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.71% มูลค่าราว 29 ล้านบาท (ราคา 3.64 บาท/หุ้น*)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถัดมาคือ ‘กันตพร หาญพาณิชย์’ สามีของ แก้มบุ๋ม - ปรียาดา สิทธาไชย ทายาทเครือโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ โดยถือหุ้นผ่าน บมจ. บางกอก เชน ฮอสปิทอล หรือ BCH จำนวน 87,758,419 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 3.52 % มูลค่าราว 1,316 ล้านบาท (ราคา 15 บาท/หุ้น*)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน ‘ปิติ ภิรมย์ภักดี’ สามีของ นุ่น - วรนุช ภิรมย์ภักดี มีหุ้นใน บมจ. สิงห์ เอสเตท หรือ S ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บริหารจัดการโรงแรม และลงทุนในธุรกิจโรงแรมทั่วโลก มีแบรนด์ที่หลายคนอาจคุ้นเคย เช่น Mercure, Holiday Inn ฯลฯ โดยถือหุ้นจำนวน 192,375,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 2.81% มูลค่าราว 136 ล้านบาท (ราคา 0.71 บาท/หุ้น*)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ ‘ธราภุช คูหาเปรมกิจ’ สามีของ มิว - นิษฐา คูหาเปรมกิจ มีหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยหลายบริษัท โดยมีมูลค่ารวม 94 ล้านบาท ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- บมจ. เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น หรือ SSP ธุรกิจด้านพลังงานสาธารณูปโภค &nbsp; &nbsp; &nbsp; จำนวน 9,237,300 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.67% มูลค่าราว 59 ล้านบาท (ราคา 6.4 บาท/หุ้น*)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- บมจ. โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ หรือ GBX ธุรกิจการเงิน &nbsp; &nbsp; &nbsp; จำนวน 45,493,300 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 4.18% มูลค่าราว 28 ล้านบาท (ราคา 0.63 บาท/หุ้น*)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- บมจ. พราว เรียล เอสเตท หรือ PROUD ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ &nbsp; &nbsp; &nbsp; จำนวน 6,512,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.67% มูลค่าราว 7 ล้านบาท (ราคา 1.08 บาท/หุ้น*)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;‘ศิณะ อุ่นทรพันธุ์’ แฟนหนุ่มของ พีค - ภัทรศยา เครือสุวรรณศิริ มีหุ้นใน บมจ. เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส หรือ TKC เป็นธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยถือหุ้นจำนวน 9,254,700 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 2.31% มูลค่าราว 86 ล้านบาท (ราคา 9.3 บาท/หุ้น*)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;‘กรณ์ ณรงค์เดช’ คู่รักของ ศรีริต้า เจนเซ่น ณรงค์เดช เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เคพีเอ็น หรือ KPNPF ซึ่งลงทุนและบริหารอาคารเคพีเอ็น ทาวเวอร์ มีจำนวน 6,735,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 3.74% มูลค่าราว 16 ล้านบาท (ราคา 2.4 บาท/หุ้น*)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ฝั่งตระกูลเตชะณรงค์ ทายาทของโบนันซ่า เขาใหญ่ พบว่า พี่น้อง ‘สงกรานต์ เตชะณรงค์’ แฟนของ มายด์ - ณภศศิ สุรวรรณ และ ‘ภูผา เตชะณรงค์’ แฟนหนุ่มของ มิ้นต์ - ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง ต่างถือหุ้นสัดส่วนเท่ากันใน บมจ. โซลาร์ตรอน หรือ SOLAR ซึ่งเป็นธุรกิจด้านพลังงาน และสาธารณูปโภค จำนวน 29,997,132 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 2.51% มูลค่าราว 14 ล้านบาท (ราคา 0.48 บาท/หุ้น*)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พอร์ตหุ้นของเหล่าไฮโซหนุ่ม เป็นเพียงทรัพย์สินส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะหลายครอบครัวยังมีธุรกิจที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ และอาจเป็นแบรนด์ที่เราทุกคนต่างได้ใช้หรือเห็นกันในชีวิตประจำวันก็ได้<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/ZDP8Yn4SUJoQcc6aJs1a.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,900px" data-align="center" data-file-name="ZDP8Yn4SUJoQcc6aJs1a.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,900" data-origin="720px,900px" style="width: 720px; height: 900px;" data-index="0"></figure></div>*ราคาปิดตลาด ณ 15 ส.ค. 2567 ที่มา Forbes Thailand รวบรวมจาก Instagram และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ 15 ส.ค. 2567 ​ ภาพ และ Infographic:&nbsp;ธัญวดี นิรุตติศาสตร์​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/paetongtarn-shinawatra-aug-2024" alt="เปิดพอร์ตหุ้นพันล้านของ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ว่าที่นายกฯ คนที่ 31 ของไทย">เปิดพอร์ตหุ้นพันล้านของ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ว่าที่นายกฯ คนที่ 31 ของไทย</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เปิดพอร์ต 'ไฮโซหนุ่ม' คู่รักดาราหญิงไทย ถือหุ้นอะไรบ้าง

<h2>ONEE แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ "พิธาน องค์โฆษิต" เข้าถือหุ้นบริษัท 14.84% พร้อมส่งบริษัทวันทองของพิธานเข้าถือหุ้นอีก 10% ด้วย หลังแพทย์หญิงปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ ขายหุ้นเกลี้ยงพอร์ต</h2>​​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ได้รับแจ้งจากแพทย์หญิงปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ ถึงการขายหุ้นของบริษัทฯ ทั้งหมดจำนวนทั้งสิ้น 596,500,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 25.05ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ ให้แก่บุคคลดังต่อไปนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(1) นายพิธาน องค์โฆษิต (“นายพิธาน”) จำนวน 353,375,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 14.84 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(2) บริษัท วันทอง โฮลดิ้งส์ จำกัด (“วันทอง โฮลดิ้งส์”) ซึ่งเป็นบริษัทที่นายพิธานถือหุ้นร้อยละ 100 จำนวน 238,125,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 10.00 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(3) นายถกลเกียรติ วีรวรรณ จำนวน 1,666,800 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 0.07 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(4) นางรศนาภรณ์ วีรวรรณ จำนวน 1,666,600 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 0.07 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ และ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(5) นางสาวอมรพิมล วีรวรรณ จำนวน 1,666,600 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 0.07 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ในเวลาต่อมา บริษัทฯ ได้รับแจ้งจากบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) (“แกรมมี่”) ว่าแกรมมี่ได้เข้าลงนามในสัญญาให้สิทธิในการซื้อหุ้น (Call Option) กับนายพิธาน โดยนายพิธานให้สิทธิแก่แกรมมี่ในการซื้อหุ้นทั้งหมดในวันทอง โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นบริษัทที่นายพิธานถือหุ้นร้อยละ 100 รวมเป็นจำนวน 100,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของวันทองโฮลดิ้งส์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยแกรมมี่มีหน้าที่ต้องรับโอนภาระหนี้เงินกู้ของ วันทอง โฮลดิ้งส์ ที่มีต่อนายพิธานมาด้วย ทั้งนี้ รายละเอียดของธุรกรรม Call Option ดังกล่าวปรากฏตามสารสนเทศรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ของแกรมมี่เกี่ยวกับการเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดใน วันทอง โฮลดิ้งส์ฉบับลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายพิธาน เป็นนักธุรกิจที่ลงทุนในหลากหลายธุรกิจโดยมุ่งเน้นธุรกิจที่มีโอกาสในการเติบโตและมีโอกาสในการต่อยอดกับธุรกิจอื่นๆ ของนายพิธาน การที่นายพิธานเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการต่อยอดทางธุรกิจของบริษัทฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทฯ ขอเรียนว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นดังกล่าว ไม่มีผลต่อนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และการได้มาซึ่งหุ้นของบริษัทฯ ของนายพิธานข้างต้นไม่มีผลทำให้นายพิธานมีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อหุ้นของบริษัทฯ ต่อผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไป (Tender Offer) เนื่องจากกลุ่มนายพิธานถือหุ้นในบริษัทฯ รวมกันไม่ถึงร้อยละ 25 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ หากในอนาคตมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจัดการ บริษัทฯ จะดำเนินการแจ้งให้นักลงทุนทราบต่อไป ​​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/people/cover-story/%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5-%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%99" alt="นักธุรกิจอนาคตไกล เจ้าแห่งทางลัด &quot;แอมป์-พิธาน&quot;">นักธุรกิจอนาคตไกล เจ้าแห่งทางลัด "แอมป์-พิธาน"</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘แอมป์-พิธาน’ เข้าถือหุ้น ONEE 14.84% หลังตระกูลปราสาททองโอสถขายหุ้นเกลี้ยงพอร์ต

<h2>เกิดมาก็รวยแล้ว คำนี้ใช้ได้ดีกับนักธุรกิจหนุ่มอนาคตไกลอย่าง "แอมป์-พิธาน องค์โฆษิต ทายาทและผู้บริหารหลัก KCE ในปัจจุบัน"</h2>
นอกเหนือจากธุรกิจแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ‘แอมป์ พิธาน’ ยังขยายไลน์การลงทุนในธุรกิจอื่นๆ และมีตำแหน่งหน้าที่อื่นด้วย เช่น ประธานกรรมการ บริษัท The Face Shop (Thailand) นำเข้าเครื่องสำอางจากเกาหลี และยังได้เข้าซื้อหุ้น MOS Burger Thailand ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 14 สาขา

มองจากการขยายโอกาสแบบนี้แล้วต้องบอกว่า ดีกรีปริญญาวิศวกรรมไฟฟ้าและวิศวกรรมคอมพิวเตอร์จาก University of California, Riverside สหรัฐอเมริกา และปริญญาโทจาก Johnson Graduate School of Management, Cornell University ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

<figure><img class="wp-image-60508 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/03/แอมป์-พิธาน-01.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> พิธาน องค์โฆษิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ KCE</figcaption></figure>

ความไม่ธรรมดาของนักธุรกิจหนุ่มทายาทตระกูลดังรายนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่วัยเด็กที่เขามักคิดและทำอะไรที่ต่างออกไป จะเรียกว่าเหนือความคาดหมายก็ไม่ผิด แต่เราอยากเรียกเขาว่า “prince of shortcut” เพราะเขามักจะมองหาทางลัดในการทำอะไรอยู่เสมอๆ ติดคำนวณและหาทางเลือกที่ทำน้อยแล้วได้มากอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กสมัยเรียนหนังสือที่เจ้าตัวบอกว่า ค่อนข้าง “ขี้เกียจ”

ซึ่งในที่นี้คือไม่ชอบทำการบ้าน แต่ตอนเรียนก็เรียนตามปกติ พอกลับมาบ้านก็อยากทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่การเรียน เขาคำนวณว่าคะแนนจากการทำการบ้านเป็นสัดส่วนเพียง 10% เมื่อเทียบกับคะแนนจากการสอบและการเรียนในห้อง ดังนั้น เขาจึงเลือกทุ่มเทให้กับสิ่งที่มีสัดส่วนคะแนนมากกว่า เรียกว่าช่างคิดตั้งแต่ยังเด็ก

เมื่อโตขึ้นก็มีความคิดไปอีกแบบ เป็นคนชอบเล่นกีฬาและสนุกสนานเฮฮาจนทำให้เพื่อนบ้านสบประมาทว่า สงสัยจะเรียนไม่จบแน่ เพราะดูจะเล่นเป็นหลักเสียมากกว่า ด้วยความที่พิธานไม่อยากให้บิดามารดา (บัญชา-วรลักษณ์ องค์โฆษิต) ถูกเพื่อนบ้านดูถูก เขาจึงมุ่งมั่นกับการเรียน แต่การมุ่งมั่นของเขาไม่ธรรมดา เพราะเลือกการเรียนที่วิชาน้อยเข้าไว้ และทำให้ได้ดีทุกตัว กระทั่งจบปริญญามาด้วยเกียรตินิยม ลบคำสบประมาทลงได้อย่างราบคาบ เขาออกแนวคิดเร็วทำเร็วและค่อนข้างละเอียด ดูได้จากการให้สัมภาษณ์ทีมงาน Forbes Thailand เขาเตรียมตัวมาอย่างดี ใส่ใจในรายละเอียดทุกอย่างที่กล่าวถึง และลงรายละเอียดเรื่องงานได้ค่อนข้างชัดเจน

อีกจุดเด่นของเขาคือ รถแรง พิธานเป็นอีกคนที่ชื่นชอบสปอร์ตคาร์ ไฮเปอร์คาร์ ถึงขั้นจะเรียกว่าสะสมก็ไม่ผิด เขามีรถแรงๆ เหล่านี้ไว้ในครอบครองหลายคัน แต่ขอเก็บไว้เป็นความชอบส่วนตัวไม่อยากนำมาเผยแพร่เป็นสาธารณะ ซึ่งทีมงานเข้าใจในมุมนี้ เพราะครอบครัวเศรษฐีติดอันดับ 35 ใน 50 อันดับมหาเศรษฐีไทยที่จัดโดย Forbes ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ทำอะไรก็เป็นที่จับตามอง ตั้งแต่เรื่องส่วนตัวไปยันเรื่องธุรกิจ

หลายปีมานี้เรามักได้ยินข่าวพิธานกับสาวๆ ระดับนางเอกในแวดวงบันเทิงอยู่บ่อยครั้ง แม้กระทั่งปัจจุบันในวันที่เราไปสัมภาษณ์และบันทึกเทปวิดีโอ แฟนสาวคนล่าสุด “ออม สุชาร์” ดาราสาวคนดังก็จัดทีมถ่ายทำมาร่วมเก็บภาพเตรียมเผยแพร่ในช่องยูทูบของเธอด้วย ทั้งคู่ดูน่ารักไปกันได้ดี หนุ่มหล่อกับสาวสวยเป็นของคู่กัน และหนุ่มรวยกับรถสปอร์ตก็มักจะเป็นของคู่กายเช่นเดียวกัน

<figure><img class="wp-image-60506 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/03/PITHAN-2.jpg" alt="" width="300" height="299" /><figcaption> ออม สุชาร์ และ แอมป์ พิธาน</figcaption></figure>

แต่พิธานไม่ได้พูดถึงกิจกรรมเกี่ยวกับรถมากนัก เขาบอกว่า เวลาส่วนใหญ่เขาใช้กับการทำงาน เพราะอย่างที่เราทราบกันดีกิจการ KCE ที่เขาต้องดูแลกำลังเติบโตและไปได้ดี เพราะเป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์โลกอนาคต ทุกอุตสาหกรรมล้วนต้องใช้แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของยนตรกรรมไฟฟ้า ซึ่งในบ้านเราเริ่มต้นแล้วหลังจากจ่อคิวมาหลายปี ในขณะที่ประเทศแถบยุโรปเขาเดินหน้าเรื่องนี้ไปไกลมากแล้ว ตลาดของ KCE ก็ก้าวไปไกลมากแล้วเช่นกัน

วันนี้ของหนุ่มพิธานยังคงให้น้ำหนักงานที่ KCE มีความสำคัญเป็นอันดับแรก ทุ่มเต็มตัวรับสืบทอดธุรกิจต่อจากบิดาที่เริ่มอายุมากขึ้น เพราะตัวพิธานยังอยู่ในวัย 40 เรี่ยวแรงยังดี มีทั้งความรู้และความทันสมัยที่จะนำพาธุรกิจให้เติบโตแบบก้าวกระโดดไปสู่ระดับโลก เหมือนที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนฝันนั้นจะไม่ไกลเกินจริง และน่าจะเป็นไปได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้

แม่ทัพเจเนอเรชั่น 2 ของ KCE ดูใส่ใจในทุกรายละเอียด เป็นคนเด็ดขาดและจริงจัง ในช่วงโควิดที่ผ่านมาเขาต้องรับมือกับปัญหาใหญ่ พนักงานติดโควิด-19 กว่าร้อยคนทำให้ต้องปิดโรงงานไปเป็นเดือน การผลิตต้องหยุดไปในขณะที่สินค้าก็ต้องส่งมอบ เขาแก้ปัญหาโดยอาศัยความร่วมมือจากทุกคน และวางมาตรการเข้มงวดเรื่องป้องกันโควิด ทำให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ

“ผมยอมรับตอนนั้นปัญหาใหญ่เหมือนกัน แต่เราก็ต้องรับมือให้ได้ เพราะมันเกิดขึ้นแล้วสิ่งที่ต้องทำคือ แก้ปัญหาและป้องกันการเกิดซ้ำขึ้นอีก” นั่นคือสิ่งที่เขาคิดในการแก้ปัญหาพนักงานในโรงงานติดโควิด-19 เพราะการทำงานแบบโรงงานปิด โอกาสในการติดเชื้อมีความเป็นไปได้สูง จึงต้องปรับให้มีความสะอาดและรัดกุมมากขึ้น เขายอมลงทุนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในโรงงานไปไม่น้อย ยิ่งตอกย้ำเรื่องวิสัยทัศน์และมุมมองของนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่กล้าตัดสินใจและรวดเร็ว การดำเนินการแทบทุกเรื่องที่เขาทำมักจะมองเห็นโอกาสอยู่ข้างหน้าเสมอ

สิ่งหนึ่งที่สรุปได้ในความเป็นพิธาน ซีอีโอหนุ่มมือหนึ่งแห่ง KCE คือ ความฉลาด รอบคอบ และเจ้าแห่งทางลัดในทุกเรื่อง แต่เป็นทางลัดที่มาจากการคำนวณความคุ้มค่าต่อการที่จะทำอะไรสักอย่าง ต้องดูว่าแบบไหนทำแล้วได้ผลดีแต่ลงทุนน้อย หรือลงทุนแบบไหนที่อนาคตจะโตขึ้นแน่นอน 

เหมือนตอนที่เขาขายรถเฟอร์รารี่ที่บิดาซื้อให้ในโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังได้ แทนที่จะเอามาใช้เขากลับนำมันไปขายและนำเงินมาซื้อหุ้น เพราะมองว่าในอนาคตหุ้นบริษัทนี้ต้องขึ้นแน่นอน เพราะเป็นธุรกิจที่อยู่ในกระแสและเทรนด์กำลังมา

ไม่น่าเชื่อว่าเด็กหนุ่มวัยยังไม่ถึง 30 (ช่วงนั้น) มองการณ์ไกลขนาดนี้ มาถึงวันนี้ต้องบอกว่า พิธานก้าวเดินได้ค่อนข้างเร็วในฐานะนักธุรกิจ และมีความเฉพาะตัวในเรื่องวิสัยทัศน์ไม่แพ้ผู้เป็นบิดา แต่ต่างกันที่ยุคสมัยและสภาพแวดล้อมเท่านั้น ถือเป็นลูกไม้ที่หล่นใต้ต้นอีกคนของบ้าน “องค์โฆษิต"

&nbsp;

ภาพ: กิตติเดช เจริญพร และ KCE

อ่านเพิ่มเติม:
<ul id="crumbs">
 	<li><a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/people/fabulous-40s-and-50s/%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%98%e0%b9%8c-proen%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%81%e0%b9%82%e0%b8%88%e0%b8%97%e0%b8%a2%e0%b9%8c-ict.html">กิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม “PROEN” ตอบทุกโจทย์ ICT</a></li>
 	<li><a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/world/america/kurt-stein-%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%95%e0%b9%82%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%84%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%9c%e0%b8%a2.html">KURT STEIN อดีตโบรกเกอร์คนดังเผยกลเม็ดต้มคนรวยของกองทุนหุ้นนอกตลาด</a></li>
</ul>

<hr />

<a href="https://bit.ly/3GpDqJa">คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<a href="https://bit.ly/3GpDqJa"><img class="lazy alignnone wp-image-59362 lazy-loaded" src="https://i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/02/273008015_3029138657301204_8261853869594269048_n.jpg" sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" srcset="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/02/273008015_3029138657301204_8261853869594269048_n.jpg 457w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/02/273008015_3029138657301204_8261853869594269048_n-229x300.jpg 229w" alt="" width="300" height="394" data-lazy-type="image" data-lazy-src="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/02/273008015_3029138657301204_8261853869594269048_n.jpg" data-lazy-srcset="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/02/273008015_3029138657301204_8261853869594269048_n.jpg 457w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/02/273008015_3029138657301204_8261853869594269048_n-229x300.jpg 229w" data-lazy-sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" /></a>

นักธุรกิจอนาคตไกล เจ้าแห่งทางลัด "แอมป์-พิธาน"

พิธาน องค์โฆษิต รุ่น 2 เร่งสปีด “KCE”

Forbes Thailand พูดคุยกับ “พิธาน องค์โฆษิต” บุตรชายคนกลางของ ‘บัญชา องค์โฆษิต’ ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) ถึงแนวทางการพลิกวิกฤต และสร้างแม่พิมพ์ธุรกิจใหม่ นำ “KCE” เดินหน้าสู่ผู้ผลิตอันดับที่ 20 ของโลก

 (เนื่องจากมีเหตุขัดข้องบางประการ จึงขออภัยในเรื่องคุณภาพเสียงสัมภาษณ์ของคลิปวิดีโอมา ณ โอกาสนี้)

https://youtu.be/ZbfIR8LjscQ

&nbsp;

<hr />

รับชมบทสัมภาษณ์ของบุคคลที่น่าสนใจ กดติดตามแชลเนลวิดีโอของเราบนยูทูบได้ที่ <a href="https://www.youtube.com/user/ForbesThai">Forbes Thailand Magazine</a>

พิธาน องค์โฆษิต รุ่น 2 เร่งสปีด “KCE” (Video)

<h2>นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2565 – พิธาน องค์โฆษิต เร่งสปีด “KCE” PLACE ROADMAP TO WORLD’S TOP 20</h2>
พิธาน องค์โฆษิต รุ่น 2 เร่งสปีด “KCE” - จากวิกฤตทางธุรกิจทำให้ พิธาน องค์โฆษิต ทายาทรุ่นที่ 2 แห่งครอบครัว “องค์โฆษิต” ได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการบริหารธุรกิจ บริหารหนี้สินและสร้างแม่พิมพ์ธุรกิจใหม่ นำ “KCE” เดินหน้าสู่ผู้ผลิตอันดับที่ 20 ของโลก

กิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม Proen ตอบทุกโจทย์ ICT - การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมหลายประเภท ทว่าในภาวะปัจจุบันที่ต้องดำเนินธุรกิจและใช้ชีวิตแบบ new normal ผู้คนต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับด้านนี้จึงได้รับผลด้านบวก

สยาม เตียวตรานนท์ TKC อัพสปีดดิจิทัลเมกะเทรนด์ - วิศวกรโทรคมนาคมไทยที่ใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตในในอเมริกาตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทยในยุคเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีด้วยความมั่นใจเริ่มต้นบุกเบิกน่านนำธุรกิจเทเลคอมครบวงจรที่มีคู่แข่งน้อยรายสู่การเติบโตอย่างต่อเนื่องจาก 2G ถึง 5G พร้อมคว้าโอกาสเมกะเทรนด์รุกเป็นผู้นำในโลกดิจิทัลโซลูชัน

เผดิมภพ สงเคราะห์ จิบกาแฟเล่นหุ้นที่ “ภพรัก” - หลังจากปั้นนักวิเคราะห์ให้ดังมาหลายคน ถึงคราที่ผู้บริหารใหญ่แห่งหยวนต้ารับบทเป็น “ป๋าดัน” ปลุกปั้น 2 ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแจ้งเกิดในธุรกิจคั่วเมล็ดกาแฟ พร้อมสร้างชื่อร้าน “ภพรักกาแฟ” ที่อัมพวาให้ส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่วประเทศ

ภูมิรัฐ หวังปรีดาเลิศกุล และ ปัญญ์ ศิริวิริยะกุล สองหนุ่ม “รักษ์โลก” ปั้นบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยพันล้าน - อายุยังไม่แตะเลข 3 แต่สองหนุ่มรุ่น 4 ทายาทอาณาจักรน้ำตาล KTIS ใจกล้าเกินตัว กระโดดเข้าเมกะเทรนด์ “รักษ์โลก” ปั้นธุรกิจผลิตสินค้าบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยด้วยเม็ดเงินลงทุนแตะระดับพันล้าน พร้อมเป้าหมายดันเข้าตลาดหลักทรัพย์ บทพิสูจน์ธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

พบ "100 สตาร์ทอัพจิ๋วแต่แจ๋ว" ธุรกิจสตาร์ทอัพและบริษัทขนาดย่อมกำลังเติบโตในเอเชียแปซิฟิก และร่วมอ่านบทความและเรื่องราวธุรกิจอันหลากหลายเพื่อสร้าง “แรงบันดาลใจของผู้ใฝ่ความสำเร็จ” จาก Forbes Thailand ฉบับกุมภาพันธ์ 2565

<img class="alignnone size-full wp-image-58089" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/02/Fobes-thailand-ฉบับ-พิธาน-องค์โฆษิต_0101.jpg" alt="" width="650" height="853" />

<img class="alignnone size-full wp-image-58090" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/02/Fobes-thailand-ฉบับ-พิธาน-องค์โฆษิต_0102.jpg" alt="" width="650" height="853" />

&nbsp;

&nbsp;

&nbsp;

นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2565 - พิธาน องค์โฆษิต เร่งสปีด “KCE” PLACE ROADMAP TO WORLD’S TOP 20

<h2>พิธาน องค์โฆษิต ลงทุนส่วนตัวใน มอส เบอร์เกอร์ ประเทศไทย ร่วมทุนญี่ปุ่นเจ้าของแฟรนไชส์ ทุ่ม 200 ล้านบาท บุกขยาย 90 สาขาใน 8 ปี ดันมาร์เก็ตแชร์ในตลาดร้านเบอร์เกอร์เป็น 10% เชื่อครองใจตลาดแมสพรีเมียมได้</h2>
พิธาน องค์โฆษิต ประธาน บริษัท มอส ฟูดส์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากเจรจากันมากว่า 6 เดือน ตนได้เข้าร่วมลงทุนในบริษัท มอส ฟูดส์ฯ โดยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 75% จากเดิมที่บริษัทแม่จากญี่ปุ่นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยมีการเพิ่มทุนจดทะเบียน จาก 6 ล้านบาทเป็น 206 ล้านบาท เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าบริษัทมีความตั้งใจในการลงทุนในอนาคต

โดยขณะนี้ ร้านมอส เบอร์เกอร์ มีเพียง 8 สาขาเฉพาะในกรุงเทพฯ ได้แก่ สาขาเซ็นทรัลเวิลด์, แฟชั่นไอส์แลนด์, เซ็นจูรี่ฯ อ่อนนุช, เซ็นทรัลฯ บางนา, เซ็นทรัลฯ พระราม 3, เอ็มโพเรียม, ฟิวเจอร์ พาร์ค รังสิต และเทอร์มินอล 21 อโศก

แผนงานต่อจากนี้จะบุกเพิ่มจำนวนสาขาทั่วกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดในหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ ภายในปีนี้ มอส เบอร์เกอร์ จะขยายเพิ่มอีก 6 สาขา และตั้งเป้าจะขยายอีกปีละ 9 สาขาในช่วง 5-6 ปีข้างหน้า ก่อนจะเพิ่มเป็นปีละ 12 สาขาในปีถัดๆ ไป ซึ่งพิธานคาดว่า ภายใน 8 ปี ร้านมอส เบอร์เกอร์จะขยายครบ 90 สาขาและมีส่วนแบ่งทางการตลาด 10% ในตลาดร้านเบอร์เกอร์มูลค่า 1 หมื่นล้านบาทของไทย จากปัจจุบันที่มีส่วนแบ่งไม่ถึง 1%

<figure><img class="wp-image-11626" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/Mosburger-1-10.jpg" alt="" width="800" height="491" /><figcaption> ร้านมอส เบอร์เกอร์</figcaption></figure>

สำหรับเป้าหมายรายได้ พิธานกล่าวว่าปีที่ผ่านมามอส เบอร์เกอร์มีรายได้ 80 ล้านบาท ปี 2562 ตั้งเป้าเติบโตเป็น 100 ล้านบาท ปี 2563 เชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 200 ล้านบาท และปี 2565 เพิ่มเป็น 500 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผู้นำในตลาดร้านเบอร์เกอร์ปัจจุบันคือ แมคโดนัลล์ ซึ่งมีจำนวนสาขา 252 สาขา (ณ สิ้นปี 2560) ตามด้วยเบอร์เกอร์คิงซึ่งบริหารโดยเครือไมเนอร์ มีจำนวน 86 สาขา (ณ ปี 2561) เฉพาะสองแบรนด์นี้มีมาร์เก็ตแชร์รวมกันประมาณ 90% ของตลาด

&nbsp;
<h2>ส่งเบอร์เกอร์ญี่ปุ่นเจาะตลาดแมสพรีเมียม</h2>
พิธานกล่าวว่า สาเหตุที่สนใจลงทุนในมอส เบอร์เกอร์เพราะเชื่อในศักยภาพของแบรนด์ ซึ่งมีความแตกต่างกับแบรนด์หลักในตลาดคือเป็นเบอร์เกอร์สัญชาติญี่ปุ่น ทำให้รสชาติและขนาดเบอร์เกอร์เหมาะสมกับชาวเอเชียมากกว่า รวมถึงเป็นร้านกึ่งฟาสต์ฟู้ด การทำอาหารจะทำสดทุกชิ้น ไม่มีการทำเตรียมค้างไว้ และใช้วัตถุดิบคุณภาพดี 70% เป็นวัตถุดิบโดยตรงจากญี่ปุ่น

“เราได้รับการแนะนำให้รู้จักกันผ่านคนกลาง ส่วนตัวผมชอบรสชาติอาหารและจุดเด่นการมี open kitchen ในร้านอยู่แล้ว จึงตกลงร่วม JV กัน” พิธานกล่าว

“ส่วนทางญี่ปุ่นเคยมีพาร์ทเนอร์ในไทยมาก่อนโดยเป็นบริษัทญี่ปุ่น แนวทางการทำงานของเขาจะไม่ aggressive การทำตลาดเบาบางมากและไม่ค่อยขยายสาขา แต่ทางบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นต้องการเติบโตในไทยให้มากกว่านี้ ทำให้เราเซ็นสัญญากันระยะยาว 18 ปี”

<figure><img class="wp-image-11628 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/Mosburger-1-4-e1563444206304.jpg" alt="" width="800" height="534" /><figcaption> (จากซ้าย) Jun Takifuka ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายต่างประเทศ Mos Food Services Inc. , Atsushi Sakurada ประธานกรรมการบริษัทและตัวแทน Mos Food Services Inc. , พิธาน องค์โฆษิต ประธาน บริษัท มอส ฟูดส์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>

พิธานมองว่ามอส เบอร์เกอร์เป็นแบรนด์ที่สามารถเติบโตในระดับแมสได้ โดยมีราคาเบอร์เกอร์ชิ้นละ 49-139 บาท ลูกค้าใช้จ่ายต่อบิล 180 บาท อยู่ระหว่างกลางของสองแบรนด์หลัก คือพรีเมียมกว่าแมคโดนัลด์ แต่ยังราคาต่ำกว่าเบอร์เกอร์คิงประมาณ 20-25 บาทต่อบิล
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/people/cover-story/bill-heinecke-%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%88%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%87%e0%b8%b4%e0%b8%99-88-%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%a5.html">Bill Heinecke ทุ่มเฉียดแสนล้าน นำไมเนอร์ติดท็อป 20 โรงแรมโลก</a></li>
</ul>
ที่ผ่านมามอส เบอร์เกอร์อาศัยการจับกลุ่มลูกค้าเก่าเป็นฐาน ทำให้การเติบโตไม่สูง ประมาณ 0.5% ต่อสาขาต่อปี “แม้ไม่ได้ทำมาร์เก็ตติ้ง แต่ลูกค้ายังเข้าร้าน แสดงว่าแบรนด์นี้เราขยับนิดเดียวก็น่าจะไปได้”

ดังนั้น ทิศทางใหม่ของมอส เบอร์เกอร์จะจัดงบการตลาด 7-10% ของยอดขายต่อปีเพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่ไปพร้อมกับการขยายสาขา รวมถึงมีการออกเมนูใหม่ทุก 1-2 เดือนเพื่อกระตุ้นตลาดให้จดจำแบรนด์ได้ นอกจากนี้จะผลักดันยอดขายเดลิเวอรี่ด้วย จากขณะนี้มีสัดส่วนยอดขายจากเดลิเวอรี่เพียง 13-15% ตั้งเป้าผลักดันเป็น 40% ในอนาคต

“กลุ่มเป้าหมายคือวัยรุ่นถึงวัยทำงาน อายุ 15-45 ปี เป็นคนที่ชอบรับประทานเบอร์เกอร์หรืออาหารญี่ปุ่น และเป็นคนที่ต้องการอาหารคุณภาพดีขึ้นกว่าเดิม” พิธานกล่าว

ทั้งนี้ มอส เบอร์เกอร์ เป็นร้านที่ก่อตั้งในญี่ปุ่นเมื่อ 48 ปีก่อน ปัจจุบันขยายไปใน 10 ประเทศ คือ ไต้หวัน ไทย สิงคโปร์ ฮ่องกง จีน เกาหลี อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย มาเลเซีย และเวียดนาม มีสาขารวมทั้งหมดมากกว่า 1,700 สาขา และเป็นร้านเบอร์เกอร์อันดับ 2 ของญี่ปุ่นรองจากแมคโดนัลด์ โดยนอกเหนือจากญี่ปุ่น ไต้หวันคือประเทศที่มอส เบอร์เกอร์เปิดสาขามากที่สุดจำนวน 260 สาขา

&nbsp;

Forbes Facts
<ul>
 	<li>พิธาน องค์โฆษิต ทำธุรกิจหลักคือ บริษัท เคซีอี อิเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) นั่งตำแหน่งซีอีโอและกรรมการผู้จัดการ</li>
 	<li>เขายังมีธุรกิจส่วนตัวอีกสองแห่งคือ บริษัท ทีเอฟเอส (ไทยแลนด์) จำกัด เจ้าของแฟรนไชส์ The Face Shop ในไทย ปัจจุบันมี 88 สาขา และ “M2Spop” ร้านเสื้อผ้าแบบ multi-brand ที่เปิดตัวเมื่อปลายปีก่อน</li>
 	<li>“MOS” ในชื่อมอส เบอร์เกอร์ มาจากคำว่า Mountain, Ocean, Sea หมายถึงการเลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ</li>
</ul>

พิธาน องค์โฆษิต ซื้อกิจการ "มอส เบอร์เกอร์" ในไทย ปูพรมบุก 90 สาขาท้าชิงเจ้าตลาด

FULLY BOOKED

Forbes Thailand Magazine นิตยสารธุรกิจภาษาไทยที่นำเสนอเรื่องราวความสำเร็จของเจ้าของกิจการและนักบริหาร จัดงานเสวนาประจำปี 2017 ในหัวข้อ The Next Tycoons เวที แสดงวิสัยทัศน์ แบ่งปันประสบการณ์ และร่วมสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อสานต่อกิจการครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่นอย่างมืออาชีพ พร้อมเผยถึงปัญหา อุปสรรค และข้อคิด แก่ผู้บริหาร เจ้าของกิจการ และผู้อ่านนิตยสาร Forbes Thailand ผู้มุ่งมั่นและไฝ่ความสำเร็จ โดยงานสัมมนาแบ่งเป็น 2 ส่วน ในหัวข้อสำคัญ

หัวข้อ “The Next Gen Onward”  

พิธาน องค์โฆษิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เคซีอี อิเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน)
ธิดา แก้วบุตตา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด (มหาชน)
วีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการ กรรมการบริหาร และประธานกรรมการบริหารความเสี่ยง บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน)

&nbsp;

หัวข้อ “Elevating on the Legacies”

สงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
วรสิทธิ อิสสระ ประธานกรรมการ บริษัท ชาญอิสสระ รีท แมเนจเมนท์ จำกัด และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ จำกัด

&nbsp;

<hr />

ขั้นตอนการซื้อบัตรงาน 
Forbes Thailand Forum 2017: The Next Tycoons

1. โอนเงินค่าบัตรเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาสุนทรโกษา เลขที่ 218-0-14041-6 ชื่อบัญชี "บจก.โพสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีเดีย" ประเภทออมทรัพย์ สาขาสุนทรโกษา
(บุคคลทั่วไป 1,500 บาท; สมาชิกนิตยสาร 1,200 บาท)

2. เข้าเว็บไซต์  <a href="http://www.postintermedia.com/ForbesThailandForum/TheNextTycoons2017">http://www.postintermedia.com/ForbesThailandForum/TheNextTycoons2017</a>
เพื่อกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กำหนด พร้อมหลักฐานการโอนเงิน

3. รอรับหลักฐานยืนยันการโอนเงินผ่านทางอีเมล์ที่ระบุในข้อที่ 2

4. นำหลักฐานตาม ข้อที่ 3 ไปยืนยัน เพื่อรับบัตรวันเข้างานในวันที่ 29 มิถุนายน 2560 ณ ห้อง The Grand Ballroom, ANANTARA SIAM BANGKOK HOTEL เวลา 14.00 น.-17.30 น.

<img style="width: 680px; height: 861px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/9bf62635ec0e47290680b3ca83d9ec9f.png" alt="" />

Forbes Thailand Forum 2017: The Next Tycoons (ที่นั่งจองเต็ม!!)

<h2>แม้วัยเพียง 34 ปี แต่พิธาน องค์โฆษิตมีความฝันยิ่งใหญ่ ที่จะนำพา KCE ขึ้นเป็น “ที่หนึ่ง” ของโลก ในฐานะทายาทรุ่นที่ 2 เขามุ่งมั่นขยายงานต่อจากพ่อมหาเศรษฐีหมื่นล้าน ผู้บุกเบิกส่งออกแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์จนตลาดโลกยอมรับ</h2>
ชายหนุ่มเบื้องหน้าของพวกเราคือ พิธาน องค์โฆษิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.เคซีอี อิเลคโทรนิคส์ (KCE) หนุ่มมาดเนี้ยบ น้ำเสียงสุภาพ พูดจาถ่อมตน เขามักตกเป็นข่าวตามหน้าข่าวบันเทิงอยู่บ่อยครั้ง ในฐานะควงคู่กับดาราสาวซูเปอร์-สตาร์ ทั้งที่แท้จริงแล้วในอีกด้าน คนอาจลืมไปว่า เขาเป็นนักธุรกิจผู้ร่ำรวยความสามารถ มุ่งมานะ ขยันขันแข็ง และมีวิสัยทัศน์ ทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากมหาเศรษฐีที่ชื่อบัญชา ผู้เป็นบิดา ให้สานต่อธุรกิจหมื่นล้านของตระกูลบัญชาเป็นมหาเศรษฐีของไทย ที่จัดโดย Forbes อยู่อันดับที่ 46 ในปีนี้ ถือครองทรัพย์สิน 1.76 หมื่นล้านบาท ก่อตั้ง KCE ในปี 2525 และแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนในปี 2535 บุกเบิกจน KCE เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ (printed circuit board: PCB) ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และใหญ่อันดับ 5 ของโลกที่ผลิตและจำหน่าย PCB ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์

สานต่องานพ่อ

พิธาน มีปริญญาตรี 2 ใบคือ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ จาก University of California, Riverside ประเทศ-สหรัฐฯ และด้านเอ็มบีเอจาก Cornell University  หลังเข้าทำงานอย่างเต็มตัวพิธานนำความรู้และประสบกาณณ์ปรับปรุงจุดอ่อนต่างๆ ของบริษัท อาทิ รื้อระบบซ่อมบำรุง ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีเพราะบัญชาก็เห็นว่า ระบบเริ่มที่จะควบคุมไม่ได้ โดยงานส่วนใหญ่ที่รับผิดชอบ มุ่งเน้นไปที่เรื่องการบริหารต้นทุนในทุกๆ ด้านให้ลดต่ำลง เพื่อสามารถแข่งขันกับบริษัทต่างชาติอื่นๆ ในตลาดโลกได้ จากนั้นในปี 2556 เขาก็ได้ถูกโปรโมตให้เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ

“ตอนปี 56 ผมดูเกือบทุกอย่าง ยกเว้นอาร์แอนด์ดี พ่อเห็นว่า สิ่งที่เราเริ่มทำไป เริ่มออกดอกออกผล วางระบบไป...ดูรายละเอียดหมด ดูวิธีการต่อรองเอง ตั้ง target เมื่อก่อนบริษัทเราไม่มี เริ่มทำ cost saving ที่เห็นผล กำไรเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ” เขากล่าว

เขาบอกว่า สิ่งที่ทำให้ KCE แข็งแกร่งมากขึ้นในอนาคต ช่วยเติมเต็มสิ่งที่พ่อสร้างมาช่วงที่บัญชาบริหาร KCE มีการเติบโตค่อนข้างเร็ว ให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิต เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพ มากกว่าให้ความสำคัญกับการจัดระบบงานหลังบ้าน เหตุเพราะระหว่างปี 2553-2543 เป็นช่วงที่ฐานการผลิต PCB ย้ายจากยุโรปและอเมริกามาในทวีปเอเชีย โดยมีจีนเป็นตลาดผลิตใหญ่ พ่อจึงต้องเร่งผลิตสินค้าให้มีคุณภาพตามมาตรฐานยุโรป เพื่อมัดใจและขยายฐานลูกค้าจากฝั่งตะวันตก ดังนั้น เมื่อทายาทรุ่นที่ 2 เข้ามารับช่วงต่อ ภารกิจจัดทัพหลังบ้านให้มีประสิทธิภาพจึงตกอยู่ที่พิธาน ที่ไม่เพียงรักษาการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพแล้ว แต่ยังทำต้นทุนให้ถูกลง เพื่อ “ราคา” สินค้าของบริษัทลดลง เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด โดยเฉพาะจากประเทศจีน

ที่หนึ่งของโลก

ความฝันที่จะขึ้นเป็นผู้ผลิตแผ่นพิมพ์ PCB อันดับ 1 ของโลก อยู่ในความคิดของพิธานตลอดเวลา ปัจจุบันอุตสาหกรรมนี้ทั่วโลกมีมูลค่าตลาดราว 6 หมื่นล้านเหรียญและในปี 2561 คาดว่าน่าจะโตขึ้นเป็น 6.5 หมื่นล้านเหรียญ ปัจจุบันผู้นำในตลาดครองสัดส่วนส่วนแบ่งตลาดราว 5% ส่วน KCE มีไม่ถึง 1% ซึ่งพิธานบอกว่า ยังมีโอกาสอีกเยอะ หากบริษัท “ขยัน”และมุ่งมั่นอย่างจริงจัง

พิธาน ไม่รีบร้อนที่จะไปถึงเป้าหมายนั้น แต่จะค่อยๆ ก้าวไปอย่างมั่นคง โดยเร่ิมที่เป้าหมายแรกคือ เป็นเบอร์ 1 ของผู้ผลิต PCB โลกเพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในอีก 5 ปีข้างหน้า จากที่อยู่อันดับ 5 ในปัจจุบัน จากนั้นอีก 8 ปีต่อมา เขาจะผลักดันให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นยักษ์ใหญ่ที่สุดของ PCB โลกตามที่หวัง

พิธานบอกว่า ทุกวันนี้ KCE ก็เติบโตมีระบบที่แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับปีที่แล้ว KCE มียอดขาย 1.25 หมื่นล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2.24 พันล้านบาท โตจากปี 2557 ที่มียอดขายรวม 1.17 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 2.11 พันล้านบาทจากนี้ไปยอดขาย

ทุกวันนี้ พิธานเดินทางตลอดเพื่อเยี่ยมเยียนลูกค้า หาลูกค้าใหม่ในต่างประเทศด้วยตัวเองเพื่อนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงพัฒนาสินค้าและบริการ หรือแม้แต่ในยามที่ลูกค้ามีปัญหาสามารถโทรหาพิธานได้โดยตรง จุดนี้ ทำให้ได้ใจจากลูกค้าจำนวนไม่น้อย เนื่องจากอายุยังไม่มาก เขาบอกว่า ยังมีพลัง ยังรับภาระงานได้อีกเยอะ อดหลับอดนอนก็ยังไหว ทั้งหมดก็เพื่อพิชิตฝันให้ KCE เป็น “เบอร์ 1” ของอุตสาหกรรม PBC โลก

&nbsp;

<hr />

<a href="http://goo.gl/5ixXvJ">คลิ๊กอ่าน ฉบับเต็ม "พิธาน องค์โฆษิต ดัน KCE เป็นเบอร์หนึ่งของโลก" ได้ที่ Fobes Thailand Magazine ฉบับ SEPTEMBER 2016</a>
<a href="http://goo.gl/5ixXvJ"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d18fffd2a6e14edc4fb9936f32a1d320.png" alt="" width="297" height="388" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events